18 พฤษภาคม 2553

ประสบการณ์พระวิญญาณมีไว้เพื่ออะไร

(จากข้อเขียนของ Bill Jackson)

1.เพื่อแสดงว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ที่นั่น

ในอพยพ 33: 14-16 ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า "เราเองจะไปกับเจ้า” พระสัญญาว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าเป็นประชากรของพระเจ้า “จะทำอย่างไรจะทราบได้ว่า ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ก็เมื่อพระองค์เสด็จ ขึ้นไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ ดังนี้ ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์จึงแตกต่างกับชนชาติอื่น ๆ ทั่วพื้นแผ่นดินโลก

การสถิตอยู่ของพระวิญญาณในคริสเตียนและในคริสตจักรตั้งแต่กิจการบทที่ 2 พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ถึงพระวิญญาณว่า “พระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน”บางครั้งพระเจ้าทรงอนุญาตให้เราเห็นการสถิตอยู่ของพระองค์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อและสำแดงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้การสถิตอยู่ของพระเจ้าปรากฏออกมา ปรากฏการณ์อาจจะเรียกว่า เป็นหมายสำคัญการพยากรณ์ เช่นเดียวกับที่เอเสเคียลและเยเรมีย์เป็นหมายสำคัญเน้นไปยังพระเจ้า


สำหรับผู้ที่ได้รับใช้โดยหมายสำคัญเหล่านี้ได้สังเกตว่า ปรากฏการณ์แต่ละอย่างจะบ่งบอกถึงสิ่งที่แตกต่างกัน

1. การสั่นบางอย่างจะมาก่อนการกล่าวคำพยากรณ์
2. การสั่นบางอย่างหมายถึงการได้รับฤทธิ์เดช
3. การเคลื่อนไหวของร่างกายบางอย่างแสดงว่ามีวิญญาณชั่วอยู่

2.เพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้น
อฟ.5: 14 เหตุฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า นี่แน่ะคนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และฟื้นขึ้นมาจากความตายและพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน

3. เพื่อให้เราถ่อมลง
เมื่อ Randy Clack ถามพระเจ้าว่า ทำไมท่านจึงเป็นผู้ที่นำการฟื้นฟูมาที่เมื่องโตรอนโต พระเจ้าตรัสตอบว่าพระองค์มองหาผู้ที่พร้อมจะดู โง่เขลาในสายตาของคนทั่วไปเพื่อยกชูพระนามของพระองค์ สำคัญอยู่ที่การควบคุม พระเจ้าทรงต้องการทราบว่ามีใครในบรรดาคนของพระองค์ที่เต็มใจจะดูโง่เพื่อสง่าราศีของพระองค์

4.เพื่อเจิมเรา
การประกอบพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำได้อีก และเราได้รับคำสั่งให้มีประสบการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง อฟ. 5:18 แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ พระเจ้าทรงไว้ซึ่งอธิปไตยในการประทานความสามารถในการทำอัศจรรย์ต่าง ๆ

Charles Finney

พระวิญญาณเสด็จมาเหนือข้าพเจ้า ในแบบที่เหมือนกับผ่านตัวข้าพเจ้าทั้งร่างกายและวิญญาณ ข้าพเจ้าสามารถรู้สึกได้ เหมือนกับเป็นคลื่น ไฟฟ้า ผ่านตัวข้าพเจ้าหลายๆระลอก ความจริงเหมือนกับมาเป็นคลื่น เป็นคลื่นเหลวของความรักซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถ บรรยายเป็นแบบอื่นได้ เหมือนเป็นลมหายใจที่มาจากพระองค์เอง ข้าพเจ้ายังจำได้อย่างแม่นยำว่า ข้าพเจ้าเหมือนถูกกระพือด้วยปีกขนาดยักษ์ ไม่มีคำบรรยายความรักอันอัศจรรย์ซึ่งได้เข้ามาในใจของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าร้องไห้เสียงดังด้วยความยินดีและด้วยความรัก และข้าพเจ้าพูดออกมาเป็นคำที่ไม่สามารถพูดได้ออกมาจากใจ คลื่นนี้ได้เข้ามาในข้าพเจ้าระลอกแล้วระลอกเล่า จนกระทั่งข้าพเจ้าต้องร้องว่า “ข้าพเจ้าคงจะตายถ้าคลื่นเข้ามาในข้าพเจ้าต่อไป องค์พระผู้เป้นเจ้า ข้าพเจ้าทนไม่ได้อีกแล้ว “ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่กลัวความตาย

Finney มีประสบการณ์การสำแดงอันยอดเยี่ยมโดยพระวิญญาณต่อไปสักพักหนึ่ง คลื่นของฤทธิ์เดชของพระวิญญาณไหลเข้ามาในตัวท่าน ผ่านตัวท่าน เร้าทุกอณูในร่างกายของท่าน
5. เพื่อดึงให้ความสำคัญต่อสิ่งต่าง ๆ มีความสอดคล้องกับของพระเจ้า
5.1 หมายสำคัญเป็นเครื่องชี้ ไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายของเราคือเปลื่ยนแปลงให้เหมือนกับพระฉายของพระคริสต์ ( โรม 8:29 )

5.2 ในฐานะคริสตจักร เราได้รับการทรงเรียกให้นำพระกิตติคุณไปยังทุกประเทศแล้วที่สุดปลายจะมาถึง

( มธ. 2:14 ) เมื่อพระวิญญาณเสด็จด้วยฤทธิ์เดช พระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้เราเหมือนกับพระคริสต์ รักษาเราให้หายและให้ฤทธิ์เดชแก่เรา ตามบทบาทให้หน้าที่ของเรา พระองค์ทรงต้องการผล ไม่ใช่ปรากฏการณ์

5.3 ถ้าพระเจ้าทรงเลือกที่จะทรงทำการของพระองค์โดยไม่มีปรากฏการณ์ภายนอกอะไร นั่นก็เป็นสิทธิของพระองค์เอง ขณะเดียวกันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสั่นหรือล้มลง ถ้าหากว่าไม่ได้มีผลที่ยาวนาน ในที่สุด สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการก็คือ หัวใจทีเต็มใจและถ่อม พระองค์ทรงเลือกว่าจะชำระ รักษาหรือประทานฤทธิ์เดชอย่างไร

5.4 Jonathan Edwards
ไม่ควรจะตัดสินว่าดีหรือไม่ดีบนพื้นฐานของอาการภายนอก เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้ให้หลักเกณฑ์เช่นนั้น

5.5 John White กล่าวว่า
อาการภายนอกซึ่งอาจจะเป็นพระพร ไม่ได้เป็นหลักประกันอะไร ผลนั้นขึ้นอยู่กับการติดต่อกันอย่างลึกลับระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของเรา การล้มลงหรือการสั่นของคุณอาจจะเป็นการแสดงออกที่แท้ถึงการที่พระวิญญาณประทับอยู่เหนือคุณ แต่พระวิญญาณจะไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่คุณ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ให้พระเจ้าทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ ในขณะที่คนอื่นที่ไม่ได้สั่นหรือล้มลงได้รับประโยชน์อย่างมาก

5.6 ลก. 10 : 20 แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือพวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์เพราะชื่อของท่านจดได้ในสวรรค์ ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่เห็นพ้องกันว่า ความสัมพันธ์กับพระเยซูสำคัญกว่าการสำแดงภายนอก

6.จะแน่ใจได้อย่างไรว่ามาจากพระเจ้า
6.1 สาเหตุอาจจะมาจาก

1.คนทำเอง ( เป็นผลทางจิตวิทยา )
2.นักเทศน์ทำให้เกิดขึ้น ( สะกดจิต )
3.มารทำให้เกิด
4.พระเจ้าทำให้เกิด
5.หลายสาเหตุร่วมกัน

6.2 คำเตือนจากพระคัมภีร์

มธ.24: 24 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้พยากรณ์เทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน และจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ถ้าเป็นไปได้จะล่อลวงแม้ผู้ที่ทรงเลือกสรรให้หลง

2คร.11: 14 การกระทำเช่นนั้น ไม่แปลกประหลาดเลย ถึงซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นฑูตแห่งความสว่างได้

1ยน.4: 1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุก ๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์นั้น ๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก

6.3 ข้อพระคัมภีร์สำหรับการวินิจฉัย

1. ลก 11: 9-12 เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขามีผู้ใดในพวกท่านที่เป็นบิดา ถ้าบุตรขอขนมปังจะเอาก้อนหินให้เขาหรือ หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนปลาหรือ หรือถ้าเขาขอไข่จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ

2. 1ยน.4: 2-3 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว ถ้าหากผู้นั้นอธิษฐานยกย่องพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป้นผู้ที่ทรงเสด็จมาตอบคำอธิษฐานของเขา ซาตานจ้องการกล่าวหยาบช้าต่อพระนามพระเยซู ไม่ใช่กล่าวยกย่อง

3. การสังเกตวิญญาณเป็นของประทานของพระวิญญาณอย่างหนึ่ง
1คร.12: 10 และให้อีกคนหนึ่งทำการอัศจรรย์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพยากรณ์ได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้

ก. เราได้เห็นแล้วว่าเมื่อเราอธิษฐานและขอจากพระเจ้า พระวิญญาณจะเสด็จมาตามที่เราได้อธิษฐาน
ข. การสำแดงนี้เป็นมาจากพระเจ้าหรือไม่ให้ดูที่ผล เช่น มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นการเผชิญสงครามฝ่ายวิญญาณหรือไม่ เช่น ความสว่างได้ส่องเข้ามาในความมืดหรือไม่ มีการสารภาพบาปหรือไม่ มีการปลดปล่อยจากอำนาจของวิญญาณชั่วหรือไม่
ค. พิจารณาตัวผู้ที่มีการสำแดง ในกรณีเช่นนี้ ต้องให้ศิษยาภิบาลเข้ามาช่วยด้วย

4. 1คร.14: 40 แต่จงปฏิบัติทุกสิ่งตามระเบียบวินัยเถิด

นี่เป็นหลักเกณฑ์ของการนำที่ประชุม “ทุกสิ่ง” ที่เปาโลกล่าวถึง คือการใช้ของประทานของพระวิญญาณในที่ประชุมโดยทั่วไปอาจจะวุ่นวายในบางครั้ง พิจารณาวิธีการนำที่ประชุม ผู้นำถ่อมใจหรือไม่ ยกย่องพระเยซูหรือไม่ รักษาระเบียบในการให้ใช้ของประทานหรือ ถ้าเป็นและบรรยากาศมีสันติสุข ไม่เป็นเนื้อหนังหรือเร้า แสดงว่าพระวิญญาณเป็นผู้ทำงานเพื่อเสริมสร้างคริสตจักร ไม่ใช่วิญญาณชั่ว

5. มธ.12: 33 จงกระทำให้ต้นไม้ดีแล้วผลของต้นไม้นั้นดี หรือกระทำให้ต้นไม้เลวแล้วผลของต้นไม้นั้นเลว เพราะเราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน

กท. 5:22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ

ก.ถ้าผลระยะยาวคือผลของพระวิญญาณ แสดงว่า มาจากพระเจ้า
ข.ลักษณะของพระคริสต์ คือเป้าหมายของคริสตจักร

โรม 8:29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก

6.4 สรุปแนวทางในการพิจารณา

1.ถ้าคนที่รับการอธิษฐาน ขอพระเจ้าเขาจะได้พระเจ้า
2.ถ้าคนที่อธิษฐานขอพระเจ้าและยกย่องพระคริสต์ พระวิญญาณจะเสด็จมาเป็นการตอบคำอธิษฐานของเขา
3.ท่านขอของประทานสังเกตวิญญาณหรือไม่
4.ผู้นำถ่อมและยกย่องพระคริสต์หรือไม่ บรรยากาศมีสันติสุข แม้ว่ามีเสียงดังหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่าพระวิญญาณทรงสถิตอยู่
5.มีผลที่ดีหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่ามาจากพระเจ้า

………………………………..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น