25 พฤษภาคม 2554

ปัญหาโลก(ไม่)แตก

สวัสดีครับเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน หลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้ดูข่าวและได้อ่านบทความจากต่างประเทศ ได้พูดถึงนายฮาโรลด์ แคมปิง(Harold Camping)ซึ่งเป็นประธานแฟมิลี เรดิโอ (Family radio)

ชุมชนผู้ยึดถือหลักความเชื่อเรื่องการพิพากษาโลก ซึ่งได้พยากรณ์ว่าโลกจะถึงกาลอวสาน ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2011 ดยมีการตีความและพยากรณ์ดังนี้ ผู้พยากรณ์อ้างว่า

พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์เป็นผู้ครองโลก แต่มนุษย์ทำบาป แม้พระเจ้ารักโลกมาก ก็จำใจต้องทำลายโลกเพื่อล้างสิ่งบาป โดยครั้งแรกทำลายด้วยการให้น้ำท่วมโลก เมื่อวันที่ 17 เดือนที่ 2 ของ4,990 ปีก่อนคริสตกาล

5,000 ปี หลังทำลายโลกครั้งแรกแล้ว พระเจ้าก็ได้เขียนคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมา และคนพวกที่เรียกตัวเองว่า Family Radio ก็ได้อ้างว่า ค่อยๆ ไขรหัสลับต่างๆ จากไบเบิลพันธะสัญญาใหม่ จนพบวันโลกแตก 21 พ.ค.2011

ในไบเบิล ในปฐมกาล 7:4 พระเจ้าตรัสแก่โนอาห์เรื่องให้สร้างเรือใหญ่ขึ้นมาก็เพราะว่า อีกเจ็ดวัน เราจะบันดาลให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก ยาวนานสี่สิบวันสี่สิบคืน แล้วสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง ที่เราสร้างมานั้นเราจะทำลายเสียสิ้นจากพื้นแผ่นดินโลก

จากนั้นกลุ่ม แฟมมิลี่ เรดิโอ ก็เอาคำว่า 7 วันของพระเจ้าค้นหาในไบเบิลต่อไป จนพบว่าใน 2 เปโตร 3:8 นั้น 1 วันของพระเจ้าจะยาวเท่ากับ 1,000 ปีบนโลกมนุษย์

7
วันที่อ้างถึงใน ปฐมกาล 7:4 สามารถเข้าใจได้ว่าเป็น 7,000 ปี
7,000
ปีหลังจากปี 4990 ก่อนคริสตกาล (ปีน้ำท่วมโลก ) ก็คือปี ค.ศ. 2011

(
ปฏิทินของเรา) 4990 + 2011 – 1 = 7,000 1 ปี ต้องถูกลบออก เพราะในการนับจากวันทางปฏิทินปีก่อนคริสตกาล ของภาคพันธะสัญญาเดิม ถึงวันทางปฏิทินปี ค.ศ. ในภาคพันธะสัญญาใหม่ เพราะปฏิทินไม่มีปีศูนย์

ดังนั้นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ กำลังแสดงให้เราเห็นโดยถ้อยคำของ 2 เปโตร 3:8 ที่พระองค์ต้องการให้เรารู้ถึง 7,000 ปีแน่นอนนั้น ภายหลังจากที่พระองค์ทรงทำลายโลกด้วยน้ำในยุคของ โนอาห์พระองค์มีแผนที่จะทำลายโลกทั้งหมดตลอดกาล เนื่องจากปี ค.ศ. 2011 เป็น 7,000 ปีพอดีหลังจากปี 4990 ก่อนคริสตกาลที่น้ำท่วมโลกอย่างน่าประหลาดใจ

น้ำท่วมโลกเริ่มเมื่อวันที่ 17 เดือนที่ 2 ของ 4,900 ปีก่อนคริสตกาล แล้วทีนี้เมื่อนับมา 7 วัน หรือ 7,000 ปี ตามคำของพระเจ้าที่พระองค์จะทำลายโลกอีกครั้งด้วยไฟ มันก็ตรงเป๊ะกับวันที่ 21 พ.ค.2011

ส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาคือ ผู้ที่ศรัทธาในคำทำนายของแคมปิง บางคนถึงกับยอมสละทรัพย์สินที่สะสมมาทั้งชีวิต เพื่อรอการขึ้นสวรรค์ในวันเสาร์ที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ทำนายไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาเพราะโลกแตกไม่เป็นปัญหา เพราะพวกเขาจะไปอยู่กับพระเจ้า แต่ปัญหาคือโลกมันยังไม่แตก พวกเขาต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร เพราะได้ทรัพย์สมบัติไปหมดแล้ว บ้างก็เขียนจดหมายลาญาติพี่น้องไว้แล้วด้วย

หลังจากเหตุการณ์วันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา นายแคมปิงได้ออกมาแสดงความรู้สึกเสียใจและกล่าวพยากรณ์วันโลกแตกครั้งใหม่ในระหว่างที่ไปจัดรายการวิทยุ "โอเพ่น ฟอรัม" ที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในระหว่างที่จัดรายการเป็นเวลา90 นาทีซึ่งมีการตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าว

นายแคมปิง ยังคงมีความเชื่อว่า จะเกิดวันโลกาวินาศขึ้นอย่างแน่นอน และรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาต่อมนุษยชาติอีก 5 เดือน และวันที่ 21 ตุลาคมนี้คือจุดจบ

ดังนั้นเราคงจะต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นจุดจบของโลก หรือ จะเป็นจุดจบของนายแคมปิง!

จากเหตุการณ์นี้ มีสิ่งที่น่าชมเชยทีมงานของนาย แคมปิง คือพวกเขาได้จัดรายการวิทยุและมีทีมงานออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าออกไปทั่วโลก แม้ว่าจะมีท่าทีอย่างไร ข่าวประเสริฐก็ได้แพร่ออกไป

ทำให้เป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตอย่างตระหนักมากขึ้นในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเป็นหมายสำคัญที่เตือนใจว่าจะมีข่าวลือเรื่องต่างๆ ที่เราต้องใคร่ครวญพิจารณาเพื่อไม่หลงไปจากหลักการของพระวจนะ และดำเนินชีวิตให้พร้อมเสมอ แม้เราไม่รู้ว่าพระเยซูคริสต์จะมาเมื่อไหร่

แต่จะมาแน่และเราทั้งหลายต้องเตรียมชีวิตของเราให้พร้อมเสมอ สำหรับเวลาของพระองค์!

มัทธิว 24:10-32
10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย
11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป
13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด
14 ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง...
20 จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้นจะไม่ตกในฤดูหนาว หรือในวันสะบาโต 21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก 22 ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
23 ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า "แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่" หรือ "อยู่ที่โน่น" อย่าได้เชื่อเลย
24 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้ 32 "จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว

(ลงในweb. ของคริสตจักรวังธรรม จ.เชียงราย วันที่ 31 พ.ค.2011),,(ลง web.cbnsiam.com)

09 พฤษภาคม 2554

ชีวิตที่ส่องสว่าง

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการพักสงบจากการงานและฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า มีหลายๆคริสตจักรได้จัดค่ายประจำปี และมีการจัดสัมมนาเกือบตลอดทั้งเดือน นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่แต่ละคริสตจักรกำลังเตรียมคนเพื่อทำการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า

ผมเองได้ไปร่วมค่ายของคริสตจักรแห่งพระบัญชาที่จ.นครนายก ในหัวข้อปีนี้คือ ชีวิตในพระสิริ (Abiding in the Glory)ถือว่าเป็นภาคต่อจากค่ายปีที่แล้ว คือ อาณาจักรแห่งพระสิริ เพราะเป็นการดำเนินชีวิตในพระสิริในระดับปัจเจกบุคคลที่แต่คนต้องเข้าสนิท(Abiding)กับการทรงสถิตของพระเจ้า เพื่อรับการรื้อฟื้นในพระสิริ และก้าวต่อไปในการรับใช้ในพระสิริ

หลังจากผมได้กลับจากค่ายที่จ.นครนายก ผมได้ใช้โอกาสลาพักร้อนไปเยี่ยมบ้านพ่อตาแม่ยาย ที่จ.สงขลา และเป็นโอกาสอันดีที่จะไปเยี่ยมพี่น้องที่คริสตจักรแห่งพระบัญชาหาดใหญ่
ผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าในการจะนำสิ่งใดไปแบ่งปันในวันอาทิตย์ และพี่น้องจากโคราชได้ส่งข้อมูลคำเผยพระวจนะของดร.ชัค เพียร์ส มาให้ในเรื่องชั่วโมงแห่งการสาธิตและแสดงวิธีการ
(สามารถอ่านได้ที่ http://pattamarot.blogspot.com/2011/05/blog-post.html )

เมื่อเรารับพระสิริของพระเจ้ามาแล้ว เราก็จะต้องลุกขึ้นฉายแสงแห่งพระสิริของพระเจ้าออกไป(อสย.61:1-2) ชีวิตของเราจึงต้องส่องสว่างความดีงาม ความชอบธรรมและถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าออกไป เพราะเราเป็นลูกของความสว่างที่ต้องมีชีวิตที่ส่องสว่างในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิดที่ปกคลุม ผมขอแบ่งปันจากพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 5:8-14 มาให้ทุกท่านดังต่อไปนี้ครับ

8 เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง 9 (ด้วยว่าผลของความสว่างนั้น คือความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น) 10 ท่านจงพิสูจน์ดูว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 และอย่าเข้าส่วนกับกิจการของความมืดอันไร้ผล แต่จงเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า 12 เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงการเหล่านั้น ซึ่งพวกเขากระทำในที่ลับก็ยังเป็นที่น่าละอาย 13 แต่เมื่อสิ่งสารพัดที่ได้แสดงเปิดเผยออกโดยความสว่าง สิ่งนั้นก็ปรากฏแจ้ง เพราะว่าทุกๆสิ่งที่ปรากฏแจ้ง ก็คือความสว่าง 14 เหตุฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า นี่แน่ะคนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน
ผมประทับใจคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่นเท่านั้น เป็นชีวิตที่มีคุณค่า“ Only a life lived for others is a life worth while”
สะท้อนให้เห็นว่า ชีวิตที่เรามีอยู่นั้น จะมีคุณค่าจริงแท้ก็ต่อเมื่อมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ไม่เพียงแต่อยู่เพื่อความต้องการของตนเอง เรียกว่า อัตตา แต่ต้องมีจิตสารณะที่ได้รับมาก็เพื่อให้ออกไป

พระธรรมเอเฟซัสในตอนนี้ อัครทูตเปาโลได้พยายามอธิบายและสอนชาวเอเฟซัสให้มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ซึ่งเป็น "ชีวิตที่ส่องสว่าง"

"ชีวิตที่ส่องสว่าง" นี้เอง จึงเป็นชีวิตที่มีคุณค่าเพราะมีส่วนเข้าไปทำให้ชีวิตของผู้ที่อยู่ในความมืดได้รับความสว่างด้วย

อัครทูตเปาโลได้ห้ามผู้เชื่อชาวเอเฟซัสไม่ให้มีส่วนร่วมในความผิดบาป ทั้งนี้เพราะถึงแม้พวกเขาเคยเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เป็นความสว่างแล้ว จึงควรดำเนินชีวิตตามความสว่าง

ในข้อ 8 บอกว่า “เพราะว่าเมื่อก่อนท่าน “เป็นความมืด” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าโลกที่อยู่ล้อมรอบพวกเขามืด แต่หมายถึงชีวิตของพวกเขาเองต่างหากที่เป็นความมืด เป็นชีวิตที่อยู่ในความบาป
ในพระคัมภีร์ใหม่มักจะเปรียบเทียบความสว่างกับความมืดว่าเป็นสภาพหรือสถานการณ์ 2 อย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นคือ พระเจ้าเป็นความสว่าง (1 ยน.1:5) แต่มนุษย์ซึ่งอยู่ในสภาพบาปเป็นความมืด (ยน.3:20) แต่โดยพระคุณของพระเจ้าเป็นเหตุให้ความสว่างเข้ามาในจิตใจ (2 คร.4:6) ทำให้พวกเราได้รับความรอด กลายเป็น คริสเตียนและเป็นความสว่าง (กจ.26:18, คส.1:13, 1 ปต.2:9)

เมื่อเราเป็นความสว่าง เราต้องดำเนินชีวิตที่ส่องสว่าง คือ ดำเนินชีวิตในความสว่างและอยู่ห่างจากความมืด

อาณาจักรโลกนี้ มีสองอาณาจักร คือ อาณาจักรความมืดกับอาณาจักรแห่งความสว่าง เป้าหมายปลายก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนที่เราจะรู้จักพระเจ้านั้น เราต่างก็อยู่ในโลกแห่งความมืด ซึ่งเป็นโลกแห่งความบาป อันจะนำเราไปสู่ความพินาศ แต่เพราะเห็นพระคุณของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อเปิดทางให้เราทั้งหลายได้กลับมาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นอาณาจักรแห่งความชอบธรรม อันจะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์
เมื่อพระเจ้าได้จ่ายค่าไถ่เราทั้งหลายให้ได้กลับมาในความสว่าง เป็นค่าไถ่ที่มีราคาที่นับค่าไม่ได้ ไม่มีเงินตราใดๆ ในโลกนี้จะเทียบค่าได้ พระองค์ไถ่ด้วยชีวิตของพระองค์
1 คร.6:20 พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
เมื่อพระองค์ไถ่เราทั้งหลายแล้ว เมื่อเรามาหาพระองค์ เราทั้งหลายได้กลายเป็นคนชอบธรรม และพระองค์ปรารถนาให้เราทั้งหลายดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง และเป็นการสมควรยิ่งนัก ที่เราจะต้องดำเนินชีวิตในความสว่าง
  1. ดำเนินชีวิตในความสว่าง
พระคัมภีร์กล่าวไว้ในข้อ 6ข ว่า “จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง” ชีวิตที่ดำเนินในความสว่างมีลักษณะอย่างไรบ้าง คือ

1.1 ดำเนินอยู่ในความดีของพระเจ้า(9)...คือความดีทุกอย่าง...

พระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวต่อไปว่า ผลของความสว่าง คือความดี ทุกอย่าง
ฉะนั้นลูกแห่งความสว่างจะสำแดงความดีออกมา อันเป็นผลมาจากการรับพระคุณพระเจ้า
เราทำดี ไม่ใช่เพราะทำความดีเพื่อรับความรอดเนื่องจากเรารอดด้วยพระคุณเพราะเหตุแห่งความเชื่อ
เราไม่ได้ทำความดีเพื่อรับความรอดแต่เรารอดแล้วจึงสำแดงความดีงามของพระเจ้าในชีวิต (อฟ.2:8-10) เราเป็นคนดี แต่เพราะพระเจ้าสร้างใจของเราใหม่ให้เป็นคนดี เราจึงกระทำดี

2 คร.5:17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

เป็นกระบวนการที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต จิตวิญญาณบังเกิดใหม่ และจิตใจเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนถ่ายจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่ (Transformation) ไม่ใช่รถยนต์ที่เปลี่ยนร่างกลายเป็นหุ่นแบบหนัง Transformers แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ร่วมมือกับพระเจ้าจากการเปลี่ยนแปลงจิตใจและอุปนิสัยจะเปลี่ยนใหม่(รม.12:1-2) ไม่ใช่เป็นผลจากการกระทำ Input process output แต่เป็นผลที่สำแดงออกมา เมื่อผู้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณจะสำแดงผลพระวิญญาณ
(กท.5:22-23)

นี่เป็นตรรกะ (Logic ) ที่ธรรมดามากว่า “ข้างในใจเป็นอย่างไร สิ่งที่แสดงออกก็ย่อมเป็นอย่างนั้น” จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้

พระเยซูคริสต์ยังได้กล่าวในพระธรรมลูกา ซึ่งพระองค์ได้สอนสาวกของพระองค์และประชาชน และสิ่งหนึ่งที่พระองค์กล่าวสั่งสอนอย่างชัดเจน คือ (ลก.6:43-45)

เมื่อพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความชอบธรรม และชีวิตของเราอยู่ในพระเจ้า เราจึงต้องมีแต่สิ่งดีออกมาจากชีวิตของเราเท่านั้น พระประสงค์ในการทรงสร้างชีวิตมนุษย์มานั้น ก็เพื่อประกอบการดี (อฟ.2:10) เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ

พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อประกอบการดี มิใช่กระทำ การร้าย หรือให้กระทำตามใจเรา แม้ว่าเราไม่ได้ทำความดีเพื่อรับความรอดแต่เราได้รับความรอดด้วยพระคุณเพราะความเชื่อ

ลก.6:33 ถ้าท่านทั้งหลายทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน เพราะว่าคนบาปก็กระทำเหมือนกัน

ถ้าเราทำดีให้แก่คนที่ทำดีต่อเรา ไม่มีประโยชน์อะไร นั่นไม่ใช่เรียกว่าทำดีที่แท้จริง เพราะว่าคนบาป คนทั้งโลกนี้เขาก็ทำกัน

ความดีของเราเทียบกับความดีงาม(พระสิริ)ของพระเจ้า จะหม่นไปเหมือนเสื้อสีขาวตัวเก่าแม้จะขาวแต่ไปเทียบกับเสื้อสีขาวจะหม่น ความดีของเราจึงเปรียบเทียบกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว ไม่ใช่ไม่มีค่าแต่อวดอ้างไม่ได้

ฉะนั้น ในชีวิตคริสเตียนของเราต้องทำดีเสมอ ในบางสถานการณ์ เช่น เราเจอคนรถน้ำมันหมด เจอรถเสีย เราควรมีน้ำใจช่วยเหลือ หากเราเจอคนถูกรถชน เราสามารถทำดีได้โดยพาเขาไปส่งโรงพยาบาล และหากคนบาดเจ็บเป็นคนยากคนจน และเรามีมากกว่า เราอาจเป็นพระพรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขาตามกำลัง แต่ขณะเดียวกัน พระเจ้าก็สอนให้เรามีสติปัญญา เราก็ต้องมีสติปัญญา เราจะได้ไม่ถูกหลอก และตั้งใจทำดีจริงต่อคนทั้งปวงด้วย คือ ทุกคนที่อยู่ในสังคม ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้
พระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลายบอกว่า
มธ.5:13-17
13 "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ 14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ 17 "อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ
พระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลายว่า เราต้องเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก การเป็นเกลือนั้นไม่ใช่อยู่ในขวด ที่ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนในโลกนี้ แต่การเป็นเกลือต้องทำหน้าที่ของการเป็นเกลือ คือ ต้องแทรกเข้าไปในเนื้อ เพื่อรักษาเนื้อไม่ให้เน่าเสีย แต่ไม่ใช่เราจะต้องเป็นเหมือนเขา แต่เราต้องรักษาคุณสมบัติแห่งการเป็นเกลือไว้ คือ รักษาความเค็มหรือความดีไว้ แล้วเข้าไปมีส่วนในสังคมให้มากที่สุด เพื่อจะทำดี ช่วยเหลือคนให้มากที่สุด

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มักจะกล่าวกับตัวเขาเองเสมอว่า “ข้าพเจ้าเตือนสติตัวเองวันละหลายร้อยครั้งว่า “ชีวิตด้านในและด้านนอกของข้าพเจ้าอยู่กับการทุ่มเทให้คนอื่นๆ และข้าพเจ้าจะตอบแทนให้มากพอๆ กับที่ข้าพเจ้าได้รับมา”

1.2 ดำเนินอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า(9) ...และความชอบธรรมทั้งมวล…

ความชอบธรรม เป็นลักษณะของความบริสุทธิ์หมดจด โปร่งใส ถูกต้อง ไม่กระทำผิด คิดคดใดๆ เลย สะอาดไร้ริ้วรอย ไร้ที่ติ
เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าได้สวมสภาพใหม่ เป็นสภาพแห่งความชอบธรรมให้กับเรา ฉะนั้นชีวิตที่จะส่องสว่าง ต้องส่องความชอบธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรมต่อคนทั้งปวง
อฟ.4:24 และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
ชีวิตที่อยู่ในพระเจ้า จึงต้องเป็นชีวิตที่ชอบธรรม พระเจ้าทรงกำชับคนของพระองค์ให้ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม ยุติธรรม รักความถูกต้อง (ฉธบ.16:19) ท่านอย่ากระทำให้เสียความยุติธรรม อย่าลำเอียง อย่ารับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้ตาของคนมีปัญญามืดมัวไป และกลับคดีของคนชอบธรรมเสีย
พระวจนะของพระเจ้าสอนตลอดเรื่อยมาให้รักษาความยุติธรรม ไม่ลำเอียง ไม่ให้รับสินบน ไม่ให้คอรัปชั่น เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ตาของคนมีปัญญามืดมัวไป

ฉะนั้นในชีวิตคริสเตียน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร อยู่กับใคร แม้งานที่เราทำ จะมีคนเห็นหรือไม่ก็ตาม เราจะเป็นคนที่ไว้วางใจได้ของเจ้านาย และของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเป็นที่ไว้วางใจได้สำหรับพระเจ้า กิจการงานทุกอย่างของเรา ต้องมีความชอบธรรมเสมอ เพราะ พระเจ้ารักกิจการที่ชอบธรรม (สดด.11:7) ชีวิตที่ชอบธรรมมีคุณค่ายิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า มีค่าที่นับได้ในแผ่นดินสวรรค์ ชีวิตในโลกนี้เราจึงต้องไม่ให้สิ่งใดมาแลกชีวิตแห่งความชอบธรรมได้

พระเยซูคริสต์ได้สอนเราทั้งหลายในการดำเนินชีวิตท่ามกลางโลกมืด โลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบาย แต่เราอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ แต่เรายังต้องสามารถทวนกระแสแห่งความไม่ชอบธรรม และยังสามารถยืนหยัดในความชอบธรรมได้

มธ.10:16 "ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ

เราอยู่ท่ามกลางกระแสของระบบโลกนี้ เราต้องไม่ไหลตามกระแสแห่งระบบของโลกนี้ เราจึงเปรียบเสมือนเรือที่อยู่บนน้ำที่เป็นกระแสแห่งระบบของโลกนี้ ไม่ใช่ให้น้ำมาอยู่บนเรือทำให้เรืออับปางลงได้

1ทิโมธี 1:19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง

ฉะนั้นเราจึงต้องดำเนินชีวิตทุกช่วงเวลานาที ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดๆ ก็ตามเราต้องรักษาชีวิตที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ และยุติธรรมไว้เสมอ

1.3 ดำเนินอยู่ในความจริงของพระเจ้า(9)..และความจริงทั้งสิ้น

ชีวิตที่ดำเนินในความจริง ต้องดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า แม้ว่าจะมีการทดลอง การล่อลวงใดๆ เราต้องยืนหยัดในความจริงของพระเจ้า ชีวิตที่เดินอยู่ในความจริง ต้องเป็นชีวิตที่สามารถรักษาทางของพระเจ้าได้ แม้ว่าจะเผชิญสิ่งใด เราก็ไม่หันไปทางซ้าย หรือทางขวา แต่จะเดินตรงตามพระมรรคาของพระเจ้าได้ จะไม่เข้าหุ้นส่วนกับ ทุกกิจการที่เป็นความมืดใดๆ(1ยน.1:6)
ชีวิตที่อยู่ในความจริง ต้องเป็นชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
ไม่เพียงแต่ที่เราเดินอยู่ในความจริง แม้เผชิญสิ่งใด หรือมีชีวิตที่สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า แต่ชีวิตที่อยู่ในความจริงต้องเป็นชีวิตที่ปรารถนาให้ผู้ที่ดำเนินในความมืดได้รู้จักความจริงที่เที่ยงแท้ด้วย คือ ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ โดยฉายส่องแสงสว่างแห่งความจริงออกไป
อสย.60:1 จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า

ถึงเวลาออกไปทำความดีงาม ประกาศความชอบธรรม และสำแดงความจริง

ฉะนั้นเราจึงต้องสื่อสารความจริงของพระเจ้าไปยังทุกคน เราต้องส่องสว่าง ไม่ใช่เอาความจริงซ่อนไว้ เหมือนกับเอาถังครอบความสว่างไว้

มธ.5:15-16 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

เราจึงต้องประกาศข่าวประเสริฐ ประกาศความจริงของพระเจ้าให้คนทั้งปวงได้รู้

ชีวิตที่ส่องสว่างไม่เพียงดำเนินในความสว่าง แต่ต้องอยู่ห่างไกลจากความมืด

2.อยู่ห่างไกลจากความมืด (10-14)

คำว่า "อย่าเข้าส่วน" ในภาษากรีกคำนี้เป็นคำเดียวกันกับที่ใช้ในความหมายของการสามัคคีธรรมของคริสเตียน (กจ.2:42, ฟป.1:5) หมายถึง การมีส่วนร่วมกับคนอื่น ซึ่งเป็นการมีหุ้นส่วนร่วมกันระหว่าง 2 คนขึ้นไปในกิจกรรม หรือความสนใจที่เป็นของส่วนรวม หรือ การผูกพันชีวิต

ซึ่งเปาโลได้สอนชาวโครินธ์ ถึงการไม่เข้าหุ้นส่วนกับกิจกรรมความมืด โดยไม่ให้เราเข้าเทียมแอกด้วย
(2 คร.6:14) อัครทูตเปาโลให้หลักการไว้ว่า เราจะไม่เทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ หรือกิจการของคนอธรรม นั่นหมายความว่า เราจะต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของกิจการที่มีความอธรรม ในความมืด หรือไปทำสิ่งที่เป็นความอสัตย์อธรรม

เปรียบภาพให้เห็นว่า ความสว่างกับความมืด ทั้งสองสิ่งนี้ไม่มีทางจะไปด้วยกัน เหมือนน้ำกับน้ำมัน
เข้าด้วยกันไม่ได้

ชีวิตในพระคริสต์กับชีวิตโลกแห่งความบาปก็เป็นเช่นนั้น เราต้องดำเนินชีวิตโดยไม่มีส่วนในการอธรรมใดๆ
การไม่เข้าส่วน ไม่ได้หมายถึง ให้เราเลิกติดต่อกับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เราสามารถติดต่อกับเขาได้ เพื่อจุดประสงค์คือ การเป็นเกลือและแสงสว่างเพื่อนำเขามาพบพระคุณพระเจ้า

คริสเตียนไม่ใช่คนที่อยู่นอกโลก ลงยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมีทั้งคนที่ดำเนินในความสว่าง และความมืด แต่เราต้องอยู่อย่างรู้เท่าทัน ไม่ไปผูกพันชีวิต แม้จะต้องเข้าไปรู้จักคนที่อยู่ในความมืดเพื่อนำเขามาพบพระเจ้า แต่ไม่ใช่เป็นการผูกพันร่วมชีวิต จนทำให้เขามีอิทธิพลชีวิตเหนือเรา เช่น ส่งทอดความคิดผิดๆ ทำให้เราไม่ได้เดินตามความจริงของพระเจ้า

มธ.10:16 "ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ

ถ้าพระองค์ใช้เรา นั่นหมายความว่า พระองค์รู้ว่า เราจะสามารถเผชิญ ยืนหยัดในความจริงได้อย่างมีสติปัญญา ที่ยังคงรักษาความชอบธรรมได้ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางสังคมที่คอรัปชั่น แต่เรายังรักษาความสัตย์ซื่อและยังอยู่กับเขาได้ และยังช่วยให้สังคม จิตใจของคนสูงขึ้นได้

พระวจนะของพระเจ้ายังกล่าวต่อไปว่า แต่จะเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า นั่นหมายความว่า ชีวิตคริสเตียนต้องโปร่งใส จนสามารถเห็นได้ถึงท่าที ความคิดจิตใจของเราว่า ทุกสิ่งที่เรากระทำนั้น บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม ไม่มีความคิดชั่วร้ายแฝงเร้นอยู่

คำว่า เผย มาจากภาษากรีกว่า el- eng-kho แปลว่า การตักเตือน การพิสูจน์ให้เห็นว่าผิด

ในข้อ 11 อัครทูตเปาโลต้องการเตือนชาวเอเฟซัสให้เปิดเผยสิ่งที่ผิด การเปิดเผยนี้ไม่ใช่แค่การเปิดเผยเฉย ๆ แต่จะนำไปถึงความรอดด้วย

ชีวิตที่ส่องสว่าง เราไม่สามารถทำด้วยชีวิตของเราเท่านั้น แต่เราต้องร่วมกันส่องแสง เป็นแสงสว่างที่มีพลังมากพอที่จะให้เห็นความจริง ความชอบธรรมและอธรรม จนสามารถแยกให้เห็นอย่างชัดเจนได้ว่า คนของพระเจ้ากับกิจการในโลกเป็นอย่างไร เหมือนกับเราได้นำไฟฉายส่องไปในอากาศ เราจะเห็นฝุ่นละอองในอากาศ นั่นเป็นการเปิดเผยความจริงที่ทำให้มองเห็นได้

ภารกิจแห่งการส่องสว่างนี้ เป็นภารกิจที่ใหญ่ยิ่งนัก ที่เราไม่สามารถกระทำได้ด้วยตนเราคนเดียว เพราะตัวเราคนเดียวก็เหมือนกันดวงไฟเล็กๆ ดวงเดียวก็แสงสว่างไม่พอ แต่เราต้องร่วมกันฉายแสงแห่ง พระสิริของพระเจ้าร่วมกันให้แต่ละดวงคือชีวิตของเราแต่ละคนมีความสว่างมากพอ ยิ่งเมื่อรวมกันจนกลายเป็นแสงสว่างที่มีอิทธิพลจนคนเมืองนี้ จนกระทั่งคนในโลกก็เห็นได้
เมื่อนั้น คนทั้งหลายเราจะเห็นความยิ่งใหญ่ ความชอบธรรมของ พระเจ้า และเราจะสรรเสริญพระเจ้าที่เราทั้งหลายเชื่อ

ตัวอย่างชีวิต ดาเนียล (ดนล.6:25-27) ดาเนียลเป็นแบบอย่างให้เราทั้งหลายรู้ว่า เราต้องไม่เข้าหุ้นส่วนในกิจการของความมืด แต่เราสามารถยืนอย่างสง่างามในท่ามกลางสังคมแห่งความมืดได้ แต่ทำให้คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างในพระเจ้า จนคนทั้งประชาชาติ อดไม่ได้ที่จะต้องสรรเสริญ ยำเกรงพระนามพระเจ้า

เราได้เห็นประวัติศาสตร์ว่า มีแบบอย่างที่มนุษย์สามารถทำได้ ในยุคนี้ เรายิ่งสามารถทำได้ยิ่งกว่า เพราะว่าเราได้เห็นแบบอย่าง เราได้เรียนรู้ เราได้ต่อยอดจากคนรุ่นก่อนอีกด้วย

ทุกสิ่งที่พระเจ้าบัญชาให้เราทั้งหลายทำนั้น พี่น้องที่รักยิ่ง เราจะสามารถทำได้ ไม่มีสิ่งใดยากเกินไป
ชีวิตที่ส่องแสงสว่าง ที่เรามาร่วมกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ให้เราสามารถส่งผ่านพระสิริพระเจ้าผ่านท่ามกลางชีวิตของเราทั้งหลาย กลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ที่ไม่ใช่เพียงรอบตัวเราทั้งหลาย แต่สามารถเห็นได้จนสุดปลายแผ่นดินโลกนี้ ทั้งประชาชาติจะเห็นความจริงในพระเจ้าได้
บทสรุป (จากหนังสือมานาประจำวัน ฉบับเดือนกย.-พ.ย.2004)


ฟริตซ์ ไครสเลอร์ (1875-1962) เป็นนักไวโอลินชื่อก้องโลก เขาทำรายได้มหาศาลจากคอนเสิร์ต และบทประพันธ์ แต่ก็บริจาคเงินเหล่านั้นไปเกือบหมด ดังนั้น เมื่อเขาพบไวโอลินที่งดงามระหว่าง การเดินทางครั้งหนึ่ง เขาจึงมีเงินไม่พอซื้อ หลังจากนั้น เมื่อเขาเก็บเงินได้มากพอ เขาจึงกลับไปที่ร้าน เพื่อจะซื้อเครื่องดนตรีสวยงามชิ้นนั้น แต่น่าเศร้าที่มันถูกขายให้กับนักสะสมไปแล้ว
ไครสเลอร์จึงเดินทางไปที่บ้านของเจ้าของคนใหม่ และขอซื้อไวโอลินนั้น แต่นักสะสมตอบว่า มันเป็นสมบัติล้ำค่าของเขาแล้ว และเขาจะไม่ขายมัน ไครสเลอร์กำลังจะกลับด้วยความผิดหวัง เมื่อความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา เขาขอร้องว่า “ให้ผมเล่นมันสักครั้ง ก่อนที่มันจะถูกเก็บไว้เงียบ ๆ ตลอดไปได้ไหมครับ”

เขาได้รับอนุญาตและปรมาจารย์ท่านนี้ก็ได้สะกดทั้งห้องนั้นด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะจับหัวใจ จนนักสะสมรู้สึกซาบซึ้งถึงเบื้องลึก เขาจึงกล่าวว่า
“ผมไม่มีสิทธิ์จะเก็บสิ่งนี้ไว้ มันเป็นของคุณแล้ว คุณไครสเลอร์ จงนำมันออกไปสู่โลก ให้ผู้คนได้ฟังมันเถอะ”

เช่นเดียวกัน สำหรับคนบาปที่ได้รับการช่วยให้รอดด้วยพระเมตตาจนมีชีวิตที่อยู่ในความสว่างแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บความสว่างนั้นไว้กับตัว แต่เราจะต้องนำมันออกไปสู่โลก ดังที่พระเจ้ากล่าวไว้ใน อสย.60:1 ว่า “จงลุกขึ้นฉายแสง” จงส่องความสว่างออกไปเพื่อด้วยความสว่างนั้น เราจะทำให้คนได้รับความรอดและสิ่งดีอย่างมากมาย

ขอหนุนใจให้เราร่วมใจกันสุดกำลังของเรา ที่จะส่องแสงสว่างแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าให้คนทั้งโลกได้เห็น เอเมนไหมครับ...

ลงข่าวคริสตชน วันที่ 11 พ.ค.2011,ลง web.คริสตจักรวังธรรม
วันที่ 11 พ.ค.2011,
ลงบทความของคลื่น trueloveradio 89.5 MHz,
,ลง web.cbnsiam.com

นี่จะเป็นชั่วโมงแห่งการสาธิตและการแสดงวิธีการทำงาน


คำเผยพระวจนะ จาก ชัค ดี.เพียร์ซ: "นี่จะเป็นชั่วโมงแห่งการสาธิตและการแสดงวิธีการทำงาน"

(ขอบคุณข้อมูลจาก missionkorat.blogspot.com)


ถึง บรรดาผู้มีชัยชนะทุกท่าน:

ในช่วงเทศกาลปูริม พวกเราได้เผยพระวจนะว่า ความเป็นจริงของปูริม นั้นจะเกิดขึ้นในเวลานี้ นั่นหมายความว่าบางสิ่งและบางคนที่ตั้งตัวต่อต้านพันธสัญญาของพระเจ้าจะถูกเปิดโปงและถูกนำเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม สิ่งที่ได้ถูกเผยพระวจนะเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้ถูกประกาศออกมาเมื่อคืนนี้เมื่อประธานาธิบดีของเราได้แบ่งปันเรื่องของโอซาม่า บิน แลเด็น ความยุติธรรมก็พุ่งออกมา! สิ่งนี้ได้กลายเป็นเหตุการณ์ปูริมในยุคสมัยของพวกเรา (อ่านต่อด้านล่างนี้)

นับตั้งแต่เทศกาลปัสกาเป็นต้นมา พวกเราก็ประสบกับฝนที่เกือบจะไม่หยุดตกเลยที่นี่ในเมืองเด็นตั้น! อัครทูตเจย์ สวอลโล่ว์ ได้ประกาศิตอย่างอัครทูตเอาไว้ล่วงหน้า แล้วฝนก็มาจริง ๆ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขาได้แบ่งปันเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่ 22 เมษายน ว่า
"พวกเราประกาศว่านี่คือวันแห่งการอัศจรรย์ทั้งหลาย พวกเราเราประกาศว่าพวกเราเรียกฝนมา! ฝนเอ๋ยจงมา! ฝนเอ๋ยจงเข้ามา! มาดับไฟป่านี่เสีย! พวกเราตอบสนองต่อรายงานที่แจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการของพระองค์ว่า นี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเราที่จะนำวิธีใหม่และที่มีชีวิตให้พุ่งออกมา ยาห์เวห์! พวกเราร้องเรียกพระองค์ ขอทรงนำเมฆฝนมาเถิด นำมันมาอย่างเหนือธรรมชาติ พระเจ้า พวกเราสร้างถ้อยคำนี้ในหัวใจทุกดวงของพวกเรา ขอทรงนำความแห้งแล้งกันดารนี้มาถึงจุดจบเถิด พระเจ้า พวกเราร้องเรียกพระองค์ โอ พระเจ้า! โอ้! นำลงมาเถิด! พวกเราประกาศว่ามันจะเป็นเช่นนั้นในนามของพระยาห์เวห์ ให้เมฆฝนเคลื่อนมา ให้ฟ้าร้องคำรนออกมาจากหัวใจของพระองค์ ทรงขอเห็นด้วยกับลูกเถิด ขอบพระคุณพระองค์ องค์เจ้าชีวิต พวกเรามองหาฝน จงไปหยิบร่มมาเถิดพี่น้องครับ ด้วยว่าฝนกำลังมาแล้ว!”

สำคัญที่สุดคือ การเปิดเผยสำแดงนั้นได้ถูกเทลงมาแล้วจริง ๆ
"ชั่วโมงแห่งการสาธิตและแสดงวิธีทำงาน"

ต่อไปนี้คือคำเผยพระวจนะที่องค์เจ้าชีวิตได้ปลดปล่อยออกมาผ่านผมและคุณบ้าร์บบร่า เว้นโทรบึล ในวันปัสกา:
"ท้องฟ้าทั้งหลายกำลังเปลี่ยนแปลง จงเฝ้าดูที่ท้องฟ้าทั้งหลาย จงเฝ้าระวังเราขี่มา! เราเป็นผู้นำการเปิดเผยสำแดงมาเพื่อที่เจ้าจะพูดในเวลานี้! การเปิดเผยสำแดงนี้จะตั้งหนทางหลวงทั้งหลายแห่งสวรรค์และแผ่นดินโลกตามลำดับที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ ถนนสายต่าง ๆ ซึ่งเคยถูกปิดกั้นนั้นก็จะเปิดทางออกหมดในเวลานี้ เส้นทางนั้นของพวกเจ้าซึ่งได้ถูกทิ้งร้างเอาไว้ เวลานี้ก็จะกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง เราคือยาห์ และเรากำลังขี่มา และนำเสียงแห่งสวรรค์มาตามแนวปะทะข้าศึกของแผ่นดินโลก พวกเจ้าอยู่บนเส้นทางประจำที่ผู้พิพากษาเดินทางเวียนไปตัดสินคดีตามเมืองและเขตต่าง ๆ ของเราในชั่วโมงนี้ จงให้เราขี่เข้ามาด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะและความสำเร็จเถิด

"ด้วยว่าเมื่อเราลงมาและนำการเปิดเผยสำแดงนั้น สภาพที่พวกเจ้าเป็นอยู่และที่ที่พวกเจ้ายืนอยู่นั้นก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกับการเร่งความเร็วขึ้น ในฤดูกาลที่แล้วลูก ๆ ของเราหลายคนได้สะดุดหกล้มและพลาดพลั้งไป และหลายคนก็ได้ออกไปด้านข้างเสีย ส่วนหลายคนในพวกเจ้าก็เดินกะโผลกกะเผลก ติด ๆ ขัด ๆ เข้ามาในฤดูกาลใหม่นี้จริง ๆ แต่บัดนี้ เรากำลังสร้างแท่นแนวนโยบายของเราสำหรับฤดูกาลนี้แล้ว พวกเจ้าจะได้พักในหนทางใหม่ในขณะที่พวกเจ้าทำสงคราม จงอย่าได้ยอมให้สงครามจากฤดูกาลที่ผ่านมานั้นรั้งพวกเจ้าเอาไว้จากการก้าวเข้าไปสู่สงครามแห่งฤดูกาลใหม่! สงครามซึ่งอยู่ข้างหน้านี้ และเป็นสงครามที่พวกเจ้าเพิ่งได้ก้าวข้ามเข้ามานั้น มันก็จะมีการพัก สำหรับพวกเจ้าอยู่ด้วย

"นี่จะเป็นฤดูกาลที่ไม่เหมือนกับในวันเหล่านั้นของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของเรา ด้วยว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับการเปิดเผยสำแดงซึ่งจะยังไม่มาถึง สำหรับพวกเจ้าไม่เพียงแต่ได้รับการเปิดเผยสำแดงเท่านั้น แต่มันจะเป็นชั่วโมงแห่งการสาธิตด้วย เราจะเป็นเหตุให้คนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นในชั่วโมงนี้ เขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่รู้จักพระคำขององค์เจ้าชีวิต และพระประสงค์ขององค์เจ้าชีวิต แต่พวกเขาก็จะแสดงวิธีทำงานของสองสิ่งนั้นด้วยฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจบนแผ่นดินโลกนี้ได้อีกด้วย จากการสาธิตวิธีการทำงานนั้นแหละ การสำแดงอาณาจักรของเราก็จะมาถึงอย่างใหญ่ยิ่งนัก
"นี่คือเวลาที่เราจะเป็นเหตุให้อาณาจักรของเรา รุดก้าวไป ตลอดทั่วทั้งแผ่นดินโลก สิ่งซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหลายในอดีตกาล สิ่งซึ่งพวกเขาได้แค่เพียงชิมลาง “ยุคต่อ ๆ ไป” เวลานี้ยุคแห่งอาณาจักรของเราได้มาถึงแล้ว จงลุกขึ้นเถิด ในชั่วโมงนี้ อย่าได้เพียงแต่รับเอาการเปิดเผยสำแดงของเราเท่านั้น แต่จงเป็นผู้สาธิตและผู้แสดงวิธีการทำงานของสิ่งซึ่งเราได้เฝ้ารอคอยมานานแล้วที่จะได้เห็นมันเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกนี้ จงรู้ไว้เถิดว่าจะมีการสำแดงอาณาจักรของเราอย่างเต็มกำลังและใหญ่ยิ่งนักเลยทีเดียว

"กองทัพสวรรค์ของเราจะรุดก้าวไปเพื่อขยายอาณาจักรของเราในชั่วโมงนี้ จง​ลุก​ขึ้น​ส่อง​สว่าง เพราะว่า​ความ​สว่าง​ของพวก​เจ้า​มา​แล้ว และ​พระ​สิริ​ขององค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าปรากฏ​ขึ้น​เหนือพวก​เจ้าแล้ว ในชั่วโมงนี้!"

ขอพระพรมากมายเป็นของพวกท่าน,

Chuck Pierce
Glory of Zion International Ministries
Email: chuckp@glory-of-zion.org
ที่มา:http://www.elijahlist.com/words/display_word.html?ID=9841
เอ็ม สุรชัย แปล

Chuck D. Pierce:"This Shall Be the Hour of Demonstration"

Dear Overcomers:

During Purim we prophesied that a Purim Reality would occur. That means something and someone that was set against God's covenant would be exposed and brought to justice. What was prophesied was announced last night when our President shared about Osama bin Laden. Justice was brought forth! This was a modern day Purim event (see below).
Since Passover, we have experienced almost non-stop rain here in Denton! Apostle Jay Swallow made an apostolic decree and the rain has come. Part of what he shared on Friday, April 22 was: "We declare this is a day of miracles. We declare we call in the rain! Call in the rain! Put out that fire! We respond to Your notification that this is our responsibility to bring forth the new and the living way. Yahweh! We call upon You. Bring in the clouds. Bring it supernaturally. God we create in our hearts the word. Bring an end to the drought. God we call upon You! Oh God! Oh! Bring it down! We declare this to be so in Yahweh's name. Let it roll, let it rumble from your heart. Agree with me. Thank You Lord, we look for the rain. Get out your umbrellas. The rain is coming!" Most importantly, revelation has poured forth. "The Hour of Demonstration" Here is a prophecy the Lord released through me and Barbara Wentroble at Passover: "The skies are changing. Watch the skies. Watch Me ride! I AM bringing revelation for you to say now! This revelation will set the highways of Heaven and Earth in order. Roads now will open that have been closed. That way of yours that was just desolate will now come alive. I am Yah and I am riding and bringing the sound of Heaven along the lines of the earth. You are on My circuit this hour. Let Me ride in in triumph. "When I come down and bring revelation, how and where you've been standing will shift. In the last season many of My children have stumbled, and many have gotten sideways. Many of you actually limped into the new season. But now I am building My platform for this season. You will rest in a new way as you war. Don't let the war from the past season keep you from entering into the war of the new season! This war that is ahead and the war that you've crossed into – there is a REST to be found. "This shall be a season not just as in the days of My prophets. They were those who had revelation of that which had not yet come into existence. Not only will you have revelation, but this shall be the hour of demonstration. I will cause a people to arise in this hour who will not just know the Word of the Lord and the will of the Lord, but they shall demonstrate it in power and authority in this earth. Out of that demonstration will come such a manifestation of My Kingdom.
"This is a time that I would cause My Kingdom to advance throughout the earth. That the prophets saw in days of old, that they only tasted of "the ages to come" – the age of My Kingdom has come. Rise up in this hour. Do not just receive My revelation but be a demonstration of that which I have longed to see in the earth. Know that there shall be a mighty manifestation of My Kingdom.


"My army shall advance My Kingdom in this hour. Arise and shine for the glory of the Lord has risen upon you for this season!"

Blessings,


Chuck Pierce
Glory of Zion International Ministries