21 กุมภาพันธ์ 2561

อะไรคือการดับพระวิญญาณ?

1 เธสะโลนิกา 5:19-21) อย่าดับพระวิญญาณ อย่าหมิ่นประมาทคำเผยพระวจนะ แต่จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น

   “การดับพระวิญญาณเป็นวลีที่ปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์ ซึ่งบริบทที่วลีนี้ปรากฏมีความเกี่ยวข้องกับคำเผยพระวจนะ

            ปกติแล้ว เมื่อคนเราได้รับคำเผยพระวจนะหรือได้รับพระสัญญาบางอย่าง ในช่วงแรกๆที่พวกเขาเพิ่งจะได้รับพระสัญญานั้น ความเปรมปรีดิ์ก็เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา พวกเขาสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย ยามใดที่พวกเขาคิดถึงถ้อยคำที่พวกเขาได้รับ พวกเขาก็มักจะยิ้มได้และหัวเราะได้ร่ำไป พร้อมกับความหวังในหัวใจว่า พระสัญญานี้จะสำเร็จแน่นอน บ้างก็คิดว่า อีกไม่นานคำเผยพระวจนะนี้ก็จะลุล่วงไปด้วยดี

            ทว่า เมื่อวันเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าพระสัญญาที่เคยได้รับก็ติดขัดและไม่เห็นผลสักที วันเวลาผ่านไป อุปสรรคนานาประการก็เกิดขึ้น เส้นทางที่แรกๆดูเหมือนจะราบรื่นก็พานพบกับทางตัน โอ ในวาระเช่นนี้แหละ ที่คนเราเริ่มสงสัยว่า คำเผยพระวจนะที่ได้รับนี้ ใช่มาจากพระเจ้าหรือไม่? ในวาระเช่นนี้แหละ ที่คนเราเริ่มสงสัยว่า ถ้อยคำที่เราเคยได้รับนั้น เป็นพระสัญญาของพระเจ้าหรือเปล่า? ทว่า เมื่อหัวใจของพวกเราขบคิดอย่างเที่ยงตรง พวกเราก็เห็นถึงการยืนยันจากพระเจ้าอยู่ตลอดมา หลายครั้งหลายครา พระเจ้าก็อยู่ด้วยและยืนยันในพระสัญญานี้อยู่เสมอ

            จากประสบการณ์ของหลายคน สามารถบอกได้ว่า หลายครั้งหลายครา พระสัญญาของพระเจ้าก็ไม่ได้สำเร็จในวิธีที่พวกเราคิด บางครั้งพระเจ้าประทานพระสัญญามาให้ แต่พระสัญญานั้นก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ โอ เพื่อนๆเอ๋ย จงดูอับราฮัมบิดาของพวกเราเป็นแบบอย่าง ท่านได้รับพระสัญญาจากพระเจ้าอย่างจริงแท้แน่นอน และพระองค์ก็ทรงยืนยันพระสัญญานั้นกับอับราฮัมเป็นระยะๆ แต่พระสัญญานั้นก็ใช้เวลาหลายปีกว่าสำเร็จ โอ เพื่อนๆเอ๋ย ให้พวกเรามีอับราฮัมเป็นแบบอย่าง แม้เส้นทางดูเหมือนจะมืดมน แม้ว่าหนทางจะดูตีบตัน แต่อับราฮัมบิดาของพวกเราก็ยังคงมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะทำให้พระสัญญาสำเร็จ

            ฉะนั้นแล้ว การดับพระวิญญาณคืออะไร? ในพระคัมภีร์เมื่อพวกเราดูบริบทของคำว่า ดับพระวิญญาณ พวกเราก็ค้นพบว่า การดับพระวิญญาณดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับ การหมิ่นประมาทคำเผยพระวจนะ กล่าวได้ว่าด้านหนึ่ง การดับพระวิญญาณก็คือการที่พวกเราเริ่มหยุดเชื่อในคำเผยพระวจนะ และเริ่มดูแคลนพระสัญญาของพระเจ้า ซึ่งคนเรามักจะเกิดอาการนี้ เมื่อได้รับพระสัญญามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เห็นผลสำเร็จเสียที แรกๆที่คนเราเพิ่งได้รับพระสัญญาใหม่ๆมักจะไม่ค่อยมีอาการเช่นนี้ เพราะตอนแรกๆ ไฟยังคงลุกโชนอยู่ ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆก็เริ่มไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ไฟที่เคยลุกโชติช่วงในตอนแรกๆก็ค่อยๆริบหรี่ลง จนเริ่มสงสัยในพระสัญญา อย่างไรก็ดี พระคัมภีร์ตอนนี้ ก็ให้แนวทางในการจุดไฟแห่งพระวิญญาณขึ้นมาอีก โอ ขอบคุณพระเจ้า

แนวทางจุดไฟแห่งพระวิญญาณ
(1 เธสะโลนิกา 4:16-19) จง​ชื่น​บาน​อยู่​เสมอ​ จง​อธิษฐาน​อย่าง​สม่ำเสมอ​ จง​ขอบ​พระ​คุณ​ใน​ทุก​กรณี เพราะ​นี่​แหละ​เป็น​น้ำ​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า ซึ่ง​ปรากฏ​อยู่​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ อย่าดับพระวิญญาณ

            โอ เพื่อนๆเอ๋ย จงชื่นบานเถิด แม้ว่าเส้นทางจะดูเหมือนตีบตัน แต่ถ้าเพื่อนๆพิจารณาดูให้ดี เส้นทางนั้นก็ไม่ได้ตีบตันซะทีเดียว แต่ยังคงมีช่องทางและมีแสงสว่างอยู่ แม้ว่ามันจะเล็กไปบ้าง แต่พระเจ้าก็สามารถขยายโอกาสและช่องทางที่เล็กๆนี้ให้กว้างขึ้นได้  โอ ให้พวกเราขอบคุณพระเจ้า สำหรับโอกาสและช่องทางเล็กๆนี้กันเถิด ไม่แน่นะ โอกาสและช่องทางเล็กๆนี้นี่แหละ ที่จะนำไปสู่โอกาสและเส้นทางที่กว้างขวางในอนาคต

            นอกจากการชื่นบานและการขอบพระคุณแล้ว โอ เพื่อนๆเอ๋ย พวกเราต้องอธิษฐานด้วย ดูสิ แม้ดาเนียลจะล่วงรู้คำเผยพระวจนะจากหนังสือเยเรมีย์ว่าพระเจ้าจะนำคนอิสราเอลกลับสู่เยรูซาเล็ม แต่ดาเนียลก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ดาเนียลไม่ได้อยู่นิ่งๆและเอาแต่รอคอยให้คำเผยพระวจนะสำเร็จ แต่ดาเนียลได้มีส่วนร่วมในการทำให้คำเผยพระวจนะนี้สำเร็จ ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าให้พระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ โอ เพื่อนๆเอ๋ย อย่าเพียงแต่รอคอยให้พระสัญญาสำเร็จเท่านั้น ให้พวกเราลุกขึ้นมา ใช่แล้ว ให้พวกเราลุกขึ้นมา และอธิษฐานต่อพระเจ้า ทูลขอให้พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้สำเร็จ โอ ไฟแห่งพระวิญญาณจงลุกโชนท่ามกลางเพื่อนๆเถิด


พระคุณจงมีแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar



20 กุมภาพันธ์ 2561

รักจริงผ่านจอ

สุขสันต์ในเทศกาลแห่งความรัก วันวาเลนไทน์ที่กำลังมาถึง
ซึ่งเป็น "วันแห่งความรักที่บริสุทธิ์" แต่ไม่ใช่ "วันเสียความบริสุทธิ์เพื่อความรัก"

ความรักมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งความรักของครอบครัว พ่อแม่ลูก คู่รัก เพื่อนๆหรือคนกับสัตว์ต่างๆ
ถ้ารักสัตว์ก็จะไม่เข้าป่าไปล่าสัตว์ แต่ต้องรักษาป่าไม้ไว้ให้ลูกหลาน
บางคนรักของสะสมเช่นนาฬิกา ก็จะหวงไม่ยอมให้ใครยืม ถ้ายืมไปต้องรีบทวงคืน
บางคนรักสนุกเล่นคุกกี้เสี่ยงทาย บางคนชอบเสี่ยงโชค ขนาดซื้อหวย ยังต้องถ่ายรูป Selfie ไว้เพื่อกันหาย

นั่นเป็นหลากหลายความรักที่สามารถแสดงออกได้ในหลายวิธีการ
ปีนักษัตรปีนี้ คือ ปีจอ นั่นคือ สุนัข แต่สำหรับจอที่เรารู้จักกันดี ในยุคเมืองไทย 4.0 ที่มีฝุ่นควันระดับ pm 2.5 นั่นคือ
จอโทรศัพท์มือถือหรือจอคอมพิวเตอร์ เพราะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไทยทุกคนต้องยอมก้มหัวให้ นั่นคือ โทรศัพท์มือถือ
ทุกสิ่งในโลกถูกย่อลงมาสามารถค้นหาได้ในจอมือถือ เพื่อใช้สื่อสารหรือทำธุรกิจในสังคมออนไลน์
จอมือถือทำให้คนไทยเอาแต่ก้มหน้ามองจอ
ขอหนุนใจว่าเราไม่ควรเป็นสังคมแบบ Hi-Tech แต่ Low Touch อย่าเอาแต่สัมผัสจอ แต่เราต้องสัมผัสใจ เอาใจใส่กันด้วย
ความรักต้องใช้เวลาร่วมกัน ครอบครัวควรมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะรับประทานอาหาร ดูโทรทัศน์หรือออกกำลังกายด้วยกัน

บทความครั้งนี้เป็นข้อคิดเรื่องความรัก "รักจริงผ่านจอ" เราสามารถแสดงความรักอย่างไรบ้าง ผ่านทางจอมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์ ที่สื่อสารออกมาให้อ่านกัน ดังนี้

1. พูดจริงแม้ใจต้องเจ็บ ดีกว่าเจ็บไม่มีวันจบ

มีคำกล่าวว่า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่บางครั้งคนพูดความจริงอาจจะตายได้ " 
สิ่งนี้ทำให้คนเราใจฝ่อไม่ขอพูดความจริง เพราะกลัวเจ็บที่ถูกปฏิเสธหากพูดออกไป
หลายคนจึงเรื่องที่จะใช้วิธีการโกหก หรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว แต่ขอบอกว่า "การพูดความจริงครึ่งเดียวก็เท่ากับโกหกทั้งเรื่อง" (A half-truth is a whole lie.)

ไม่ว่าจะโกหกแบบใด สีขาวหรือสีไหนๆ ก็คือโกหกทั้งสิ้น เมื่อคนที่เราพูดโกหกไป รู้ความจริงภายหลังจากคนอื่น ทำให้เจ็บช้ำกว่าพูดจริงแต่เริ่มต้น

ดังนั้น "จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดเท่านี้ก็พอ" ไม่จำเป็นต้องต่อความยาว ไปใส่ไข่ใส่สีเพิ่มเติม"
การพูดความจริงหรือสื่อสารความจริงด้วยวิธีการที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เราควรที่จะพูดความจริงด้วยใจรัก แม้อาจจะต้องเจ็บใจ ดีกว่าปล่อยให้คนที่เรารักทำผิดต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ใจเราต้องเจ็บแบบไม่มีวันจบ

การพูดความจริงด้วยเจตนาไม่ดี อาจจะเป็นเหมือนการยิงกระสุนปิืนเข้าไปทำร้ายผู้ฟังได้
ดังนั้นเราควรที่จะคิดก่อนที่จะพูด หรือคิดก่อนจะ Post หรือส่งข้อความ ควรจะให้ถูกเวลา และมีวิธีการสื่อสารที่ถูกต้องเหมาะสม
รับรองจะได้ผลการตอบสนองที่ดีกว่าพูดแบบสุ่มสี่สุมห้าเหมือนคนหาเรื่อง เพราะบางทีหากเราพูดความจริงในเชิงตำหนิหรือต่อว่า คนที่รับฟังก็อาจจะไม่ยอมรับได้

2.ทำจริงแม้ไม่ถูกใจ ดีกว่าจนใจที่ไม่รู้จักจำ

การแสดงออกถึงความรัก พูดอย่างเดียวไม่พอ ต้องแสดงออกเป็นการกระทำด้วย
คำว่า "รัก" ที่พูดออกมาง่ายๆจะเป็นคำมักง่ายที่ไม่ได้มาจากการกระทำที่สำแดง เราจึงไม่ควรรักกันและกันที่คำพูดเท่านั้นแต่ต้องแสดงออกเป็นการกระทำด้วย

การทำในสิ่งที่ใช่บางครั้งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ เพราะหากเรามุ่งต่อการทำตามใจแต่ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ถูก เราอาจจะต้องจนใจ เพราะเขาก็ทำสิ่งที่ผิดต่อไปอย่างไม่รู้จักจำ ดังนั้นความรักจึงไม่ทำร้ายกันโดยทำตามใจในสิ่งผิดๆ บางครั้งต้องยอมขัดใจเพราะขัดเกลาให้เขาเปลี่ยนนิสัย

สุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า "เหล็กลับเหล็กได้ คนหนึ่งก็ลับเพื่อนของตนได้” 

เป็นการขัดเกลาเหลี่ยมมุมในนิสัยของกันและกัน อาจมีบาดแผลเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการ แต่ในที่สุด การกระทำเช่นนี้ช่วยให้คนที่เรารักเขาปลี่ยนแปลงได้ ดีกว่าปล่อยให้ทำผิดซ้ำอีกโดยไม่รู้จักจำ เราต้องมานั่งจนใจทำอะไรไม่ได้เมื่อสายไป

3.รักจริงแม้ต้องจ๋อย ดีกว่าปล่อยใจถูกจำจอง

ถ้ารักจริงต้องกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องดีกว่าฝืนใจตนเอง เก็บซ่อนความรู้สึกไว้ไม่กล้าบอกใคร เหมือนหัวใจถูกจองจำในมุมมืดของความรู้สึก
บางคนกลัวที่จะปักใจรักใครจริงเพราะกลัวว่าจะอกหัก ขอหนุนใจว่า "อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนที่รักใครแม้ว่าต้องอกหักผิดหวังนั้นยังดีกว่าคนที่ไม่มีความรัก

"อกไก่ยังต้องมีคนหมัก อกหักก็ต้องมีคนใหม่" เป็นเรื่องธรรมดา 

ขอให้เราแสดงความจริงใจ เมื่อเราหว่านสิ่งใดก็จะได้รับสิ่งนั้น

แม้ว่าเรารักใครจริงแล้วต้องจ๋อยก็ปล่อยมันไป เมื่อเรารักจริงกับใครวันหนึ่งจะสมหวัง
อย่าท้อใจทำดีต่อไปด้วยความรัก เราจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีที่ทำในเวลาที่สมควร ขอเป็นกำลังใจให้คนที่รักจริงทุกท่าน

ขอให้ความสุขในช่วงเวลาเทศกาลแห่งความรัก

โจ นัฟทาลี




15 กุมภาพันธ์ 2561

เสาเมฆเสาเพลิงในชีวิตคริสเตียน

คนอิสราเอลในสมัยโมเสส ได้รับการทรงนำจากพระเจ้าผ่านเสาเมฆและเสาเพลิง ยามที่ดวงอาทิตย์ฉายส่อง พระเจ้าทรงนำคนอิสราเอลด้วยเสาเมฆ แต่ในยามที่ดวงอาทิตย์ลาลับ พระองค์ก็ทรงนำคนอิสราเอลด้วยเสาเพลิง
ยามดวงอาทิตย์ฉายส่อง-เสาเมฆ       
บางครั้ง ฤดูกาลของพวกเราก็เหมือนฤดูกาลที่เหมือนดวงอาทิตย์ฉายส่อง มองไปทางไหนก็ได้รับการสำแดง ขยับไปทางไหนก็ได้รับการสัมผัสใจ มองไปทางไหนก็เห็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ โอ วาระแห่งดวงอาทิตย์ฉายส่องช่างสดใสยิ่งนัก ทูลถามอะไรกับพระเจ้า แปปๆก็ได้คำตอบแล้ว วาระแห่งดวงอาทิตย์ฉายส่องนี่แหละ ที่อาจเรียกได้ว่าวาระแห่งเสาเมฆ เป็นวาระที่เห็นถึงการอยู่ด้วยของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย

ยามดวงอาทิตย์ลาลับ-เสาเพลิง
            ทว่า พวกเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางฤดูกาลพวกเราก็เหมือนอยู่ในความมืด มองไปทางไหนก็ไม่เห็นการสำแดง ทูลถามอะไรกับพระเจ้า ก็ดูเหมือนไม่ได้คำตอบสักที เส้นทางที่ก้าวเดินก็ดูเหมือนไม่เห็นทางไปต่อ อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในฤดูกาลแห่งความมืดที่ไม่ค่อยเห็นการสำแดง แต่สิ่งที่พวกเรามีอยู่ก็คือ คำเผยพระวจนะที่เคยได้รับหรือพระสัญญาที่พระองค์เคยประทานให้

            ในวาระที่ดูเหมือนมืดมิดนี้ ก็ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนแสงสว่าง เป็นเหมือนประทีปที่นำพาให้เดินต่อไป แสงสว่างนั่นก็คือ พระคำ(คำเผยพระวจนะหรือพระสัญญา)ที่เคยได้รับ พระคำนี่แหละที่เป็นเหมือนดั่งเสาเพลิงที่นำพาในยามมืดมิด หากพวกเราปรารถนาที่จะก้าวหน้าต่อไปในวาระที่ไม่ค่อยเห็นการสำแดง สิ่งที่พวกเราควรใคร่ครวญและจดจ่อก็คือ คำเผยพระวจนะหรือพระสัญญาที่เคยได้รับ เมื่อพวกเราจดจ่อที่พระสัญญาของพระองค์ โอ ความหวังก็เกิดขึ้นในหัวใจของเรา โอ แม้ในยามมืดมิด พวกเราก็ยังคงเห็นพระสัญญาของพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้พระสัญญาสำเร็จ

แนวทางการมองเห็นเสาเพลิง
          หากเพื่อนๆรู้สึกว่า ตนเองอยู่ในวาระที่ดวงอาทิตย์ไม่ฉายส่องหรือไม่ค่อยเห็นการสำแดง วาระนี้แหละที่เพื่อนๆควรจดจ่ออยู่ที่เสาเพลิง ด้วยการสรรเสริญพระเจ้าและป่าวประกาศพระสัญญาของพระองค์ ในวาระนี้ เป็นวาระที่การสรรเสริญพระเจ้าควรไหลล้นจากปากของพวกเรา ในวาระนี้ เป็นวาระที่พวกเราควรนำพระสัญญาหรือคำเผยพระวจนะมาใคร่ครวญและทบทวน พร้อมกับป่าวประกาศอยู่เสมอว่า คำเผยพระวจนะหรือพระสัญญาที่พวกเราได้รับจะประสบความสำเร็จ อาเมน

            ในวาระที่มืดมิดนี่ สิ่งที่พวกเราควรจดจ่อ ไม่ใช่ความมืดหรือเส้นทางที่ยังมองไม่เห็น แต่สิ่งที่พวกเราควรจดจ่อก็คือ เสาเพลิง นั่นก็คือ พระคำ คำเผยพระวจนะ และพระสัญญาที่พวกเราได้รับ เมื่อพวกเราจดจ่อที่เสาเพลิง ดูสิ ความสว่างก็มากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังก็เพิ่มทวี กำลังที่ก้าวเดินก็มากขึ้น

พระคุณจงมีแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar


แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ All-Inclusive Christ เขียนโดย Witness Lee


13 กุมภาพันธ์ 2561

โปรโมชั่นพิเศษ ! ต้อนรับเทศกาลแห่งความรัก ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์

โปรโมชั่นพิเศษ ! ต้อนรับเทศกาลแห่งความรัก ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์


ส่งเสริมความรักในครอบครัว ส่งเป็นของขวัญสำหรับทุกครอบครัวในช่วงตรุษจีนและวาเลนไทน์

E-book #LoveMatch เลือกคนที่เหมาะเพราะเป็นคู่ที่ใช่

E book ที่เหมาะสำหรับคนที่มีความรัก หรือต้องการข้อคิดสำหรับการเลือกคู่ครองในอนาคต

E bookที่เหมาะสำหรับคนที่จะสร้างครอบครัวด้วยความรัก ความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง
โปรโมชั่นพิเศษ ! ราคา 390 บาท ลดเหลือเพียง 200 บาท

หากซื้อ 2 เล่ม (บ้านในฝัน+Love Match) จาก 780 บาท ลดเหลือเพียง 300 บาท
ราคาพิเศษนี้ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เท่านั้น พลาดไม่ได้!

วิธีการสั่งซื้อ
1. inbox เข้ามาในเพจเล่าเรื่องครอบครัว
https://www.facebook.com/Naphtali5777/
2. สั่งซื้อผ่าน Line@ : @family777 หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40wpi1491h

08 กุมภาพันธ์ 2561

ข้อควรปฏิบัติ 5 ประการ เมื่อคุณได้รับคำเผยพระวจนะ

ข้อควรปฏิบัติ 5 ประการ เมื่อคุณได้รับคำเผยพระวจนะ

เขียนโดย Jonathan Welton (โจนาธาน เวลตัน) แปลโดย Philip Kavilar 

1. จดบันทึกคำเผยพระวจนะที่ได้รับ
(ฮาบากุก 2:2 )แล้ว​พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ตอบ​ข้าพเจ้า​ว่า “จง​เขียน​นิมิต​นั้น​ลง​ไป จง​เขียน​ไว้​บน​แผ่น​ป้าย​ให้​ชัดเจน เพื่อ​ให้​คน​ที่​วิ่ง​อ่าน​ได้​คล่อง

2. พิสูจน์คำเผยพระวจนะอย่างเที่ยงตรง
(1 เธสะโลนิกา 5:20-21) อย่า​ดู​หมิ่น​ถ้อย​คำ​ของ​ผู้​เผย​พระ​วจนะ จง​พิ​สูจน์​ทุก​สิ่ง สิ่ง​ที่​ดี​นั้น​จง​ยึด​ถือ​ไว้​ให้​มั่น

3. ขบคิดและใคร่ครวญคำเผยพระวจนะ
(1 ทิโมธี 4:14-15) อย่า​ละ​เลย​ของ​ประ​ทาน​ที่​มี​อยู่​ใน​ตัว​ท่าน ซึ่ง​ประ​ทาน​แก่​ท่าน​ตาม​คำ​เผย​พระ​วจนะ เมื่อ​คณะ​ผู้​ปก​ครอง​วาง​มือ​บน​ตัว​ท่าน จง​ปฏิ​บัติ​หน้า​ที่​เหล่า​นี้​และ​ทุ่ม​เท​ตัว​เอง​ให้​กับ​หน้าที่​ดัง​กล่าว เพื่อ​ให้​ทุก​คน​เห็น​ความ​ก้าว​หน้า​ของ​ท่าน

4. สู้รบและอธิษฐานให้คำเผยพระวจนะสำเร็จ
(1 ทิโมธี 1:18) ทิ​โม​ธี​ลูก​รัก คำ​กำ​ชับ​นี้ ข้าพ​เจ้า​มอบไว้​กับ​ท่าน​ตาม​คำ​เผย​พระ​วจนะ​ซึ่ง​เล็ง​ถึง​ท่าน เพื่อ​ว่า​ข้อ​ความ​เหล่า​นี้​จะ​ช่วย​ให้​ท่าน​สู้​รบ​ได้ดี

5. เชื่อมั่นในคำเผยพระวจนะ และปฏิบัติตามเท่าที่จะทำได้
(2 พงศาวดาร 20:20) เขา​ทั้ง​หลาย​ลุก​ขึ้น​แต่​เช้า​และ​ออก​ไป​ยัง​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร​เท​โค​อา และ​เมื่อ​เขา​ออก​ไป เย​โฮ​ชา​ฟัท​ทรง​ยืน​และ​ตรัส​ว่า “ยู​ดาห์​และ​ชาว​เย​รู​ซา​เล็ม​เอ๋ย จง​ฟัง​ข้าพ​เจ้า จง​วาง​ใจ​ใน​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย แล้ว​ท่าน​จะ​ได้​รับ​ความ​มั่น​คง จง​เชื่อ​บรร​ดา​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ของ​พระ​องค์ แล้ว​ท่าน​จะ​ได้​รับ​ความ​สำ​เร็จ”


ผม[เวลตัน] ได้เขียนเรื่องนี้ เพื่อตอบคำถามของลูกสาวของผม ผมหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อพวกคุณด้วยเช่นกัน คุณสามารถแบ่งปันเรื่องนี้ต่อไปได้นะครับ

07 กุมภาพันธ์ 2561

02 กุมภาพันธ์ 2561

3 หลักการเป็นผู้นำจาก 1เปโตร บทที่5


3 หลักการเป็นผู้นำจาก 1เปโตร บทที่ 
(3 Principles of Biblical Leadership from 1 Peter 5)
โดย แอเรียล บลูเมนเทล  (Ariel Blumenthal)
1 เปโตร 5:2-3 
2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่านเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจแต่ด้วยความเต็มใจตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของที่ได้มาโดยทุจริต แต่ด้วยใจเลื่อมใส​  
3 และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น​ 
1.  ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจตามน้ำพระทัยพระเจ้า (2) 
(Not Under compulsion, but voluntarily according to the will of God.)
ในยอห์น 21:15-17 พระเยซูผู้คืนพระชนม์ได้สั่งเปโตรถึง 3 ครั้งว่า จงเลี้ยงลูกแกะ….. จงดูแลแกะ…..จงเลี้ยงแกะ” แน่นอนว่าเราต้องทำมาหาเลี้ยงชี เราต้องใช้เงินเพื่อครอบครัว อาหาร เสื้อผ้า หรือแม้แต่รถยนต์ ฯลฯ การจ่ายเงินค่าจ้างให้ผู้นำคริสตจักรไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เช่นเดียวกันกับสถานที่ทำงานอื่นๆ ผู้ที่มีอำนาจและความรับผิดชอบมาก ก็ควรได้ค่าจ้างที่สูงขึ้น
ก่อนที่ผมจะเป็นพ่อคน ผมได้ไปเรียนชั้นสร้างพ่อแม่โดยมีคู่สามีภรรยาศิษภิบาลคริสตจักรในเยรูเล็มเป็น    ผู้สอน 7ปีให้หลัง  
เปโตรเป็นคนกล้าและแกร่ง เขาถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่แก่คนของพระเจ้า ด้วยกำลังของเขาเอง เขาอาจรับคำสั่งนี้ จากพระเยซูภายใต้ความฝืนใจแต่พระเยซูรู้ว่าไม่ใช่เปโตรหรือมนุษย์คนใดที่โดยกำลังของตนจะทำได้เหมือนอย่างพระองค์ที่นำ 
ตามน้ำพระทัยพระเจ้าเขาอาจจะเริ่มด้วยความแข็งแกร่งแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาจะล้มลง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าในยอห์น21 
พระเยซูจึงถามคำถามเปโตรทุกครั้งก่อนว่าเปโตร เจ้ารักเราหรือ
และนี่ก็เกี่ยวกับเราแต่ละคนที่เป็นผู้นำด้วย ถ้าเรากำลังฟังพระวิญญาณที่ถามเราอยู่เรื่อยๆด้วยคำถามเดียวกันว่า
เจ้าทำสิ่งนี้เพราะจำใจ หรือเพราะเจ้ารักพระเจ้า” “หากเจ้ารักเราและเข้ามาใกล้เรา นั่นแหละเจ้าจะนำด้วยหัวใจ ความรักและสติปัญญาของเรา แต่ถ้าไม่ ก็ขอให้โชคดี!”
2. ไม่ใช่โลภผลประโยชน์ แต่ทำด้วยความร้อนรน (2
(Not for sordid gain, but with eagerness.)
แต่การเป็นผู้นำที่แท้จริงตามแบบพระองค์ก็คือ แรงจูงใจของเราต้องไม่ได้มาจากความต้องการหรือความปรารถนาเงิน(ที่ต้องมากขึ้นๆ) ใน1โครินธ์ บทที่9 เปาโลได้กล่าวย้ำเตือนว่ากระนั้นเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะข้าพเจ้าจำต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้าหากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ!” ผู้นำทุกคนในคริสตจักรต้องมี่ทัศนคติเช่นนี้
 คือ เรากำลังทำสิ่งนี้เพราะพระเจ้าทรงเรียกเรา ให้ของประทานแก่เรา นี่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ในเรา วิบัติแก่ตัวฉัน 
หากฉันไม่ทำตาม ไม่สำคัญว่าจะได้ค่าตอบแทนหรือไม่ หรือได้เท่าไหร่ นี่ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงชีพในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็เป็นความจริงสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแม่หรือเจ้านาย เราต้องรู้ว่าสิทธิอำนาจทุกอย่างคือของขวัญจากพระเจ้า (โรม13:1) และเป็นสิ่งที่เราควรทำด้วยเพื่อพระสิริพระองค์ด้วยใจร้อนรน ไม่ใช่เพื่อเงินหรือตำแหน่ง
3. ไม่ใช่เหมือนเจ้านายที่ข่มขู่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น (3)
 (Not as Lording it over…but as examples to the flock.)
ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ชัดเจนคือ ลูกคุณจะทำอย่างที่คุณทำ ไม่ใช่เพราะคุณบอกให้เขาทำ  “นำด้วยการเป็นแบบอย่างคือ หลักการที่ง่ายและเป็นที่ยอมรับที่สุดในการเป็นผู้นำ หลายคนประสบผลสำเร็จในการปกครองโดยวิธีสั่งการ”(แบบเผด็จการโดยอาศัยกำลังและอำนาจ แต่การปกครองและอิทธิพลของพวกเขาจะอยู่ได้ไม่นาน ทันทีที่ผู้นำเผด็จการตาย ทุกสิ่งก็ล่มสลายไปด้วย
 แต่เมื่อเรานำจากข้างล่างไม่ใช่ข้างบนคือเป็นแบบอย่างในการเชื่อฟังและความบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา เราจึงจะสามารถสร้างผลที่ยั่งยืนในผู้อื่น ซึ่งจะส่งอิทธิผลต่อไปให้ชนรุ่นต่อไปได้หลังจากที่เราจากไป ใน1โครินธ์ 4:9 เปาโลได้อธิบายถึงอัครทูตว่า  เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงให้เราเหล่าอัครทูตปรากฏอยู่ท้ายขบวนไม่ได้มีชื่อเสียง หรือยืนเด่นอยู่หน้าแถว แต่ไร้ตัวตน เป็นเหมือนผู้ที่ถูกสาปให้ตาย อ่อนแอ ไร้เกียรติ ฯลฯ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่มักไม่เป็นที่รู้จัก แต่นำคนจำนวนมากอย่างเงียบๆ ด้วยชีวิตที่ถ่อมใจ
พระเยซูกล่าวว่า “… และเรียนรู้จากเราเพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ เพราะแอกของเรานั้พอเหมาะและภาระของเราก็เบา (มัทธิว 11:29-30)
 ขอบคุณข้อมูลจาก https://tribe.reviveisrael.org/3-principles-of-biblical-leadership/