29 พฤศจิกายน 2556

รวบรวมบทความเนื่องใน "วันพ่อ"

รวบรวมบทความเนื่องใน "วันพ่อ"

ภูมิใจที่ได้เกิดในแผ่นดินของพ่อหลวง  ดีใจที่ได้เป็นลูกของพ่อเฉลิม ตื่นตันใจที่ได้เขียนถึงพ่อ และขอบคุณพระบิดาในสวรรค์







ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post.html



ทำเนียบพ่อต้นแบบ
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post_03.html



บทความเรื่อง ศรัทธา
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post_21.html



สายธารแห่งน้ำพระทัยของพ่อหลวง
http://pattamarot.blogspot.com/2011/12/blog-post_09.html


เรียกพระบิดาว่า พ่อจ๋า
http://pattamarot.blogspot.com/2012/11/blog-post.html


22 พฤศจิกายน 2556

มิติการสำแดงกับความจริงของพระคัมภีร์

มีคำถามสำหรับคริสตชนในเรื่องมิติการสำแดงกับความจริงของพระคัมภีร์ มีความสอดคล้องกันอย่างไร? การเปิดเผยสำแดง(Revalation) ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นมาจากพระเจ้าหรือมาจากมารวิญญาณชั่ว  เราจะแยกแยะได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้ เราไม่สามารถอธิบายด้วยหลักการเหตุผลได้ เพราะมันเป็นเรื่องมิติอัศจรรย์ เกินความเข้าใจในความจำกัดของมนุษย์ หลายครั้งมนุษย์จะนำความจำกัดของเรา มาจำกัดพระเจ้าซึ่งพระองค์ไม่จำกัด  

ต้องศึกษาพระคัมภีร์โดยมีความเชื่อในเรื่องฤทธิ์เดชอัศจรรย์ของพระเจ้า แม้แต่การเปิดเผยสำแดงที่พระเจ้าทรงใช้ลาในการเผยพระวจนะกับบาลาอัม(กันดารวิถี 22)  สิ่งต่างๆเช่นต้นไม้หรืออื่นๆก็สามารถนมัสการพระเจ้าได้

สดุดี 96:12   ให้ทุ่งนาเริงโลด  กับสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น  แล้วต้นไม้ทั้งสิ้นของป่าไม้  จะร้องเพลงด้วยความชื่นบาน

การเปิดเผยสำแดงต่างๆกับบุคคลในพระคัมภีร์ เช่น โมเสสได้เห็นการสำแดงของพระเจ้าเป็นพุ่มไม้ติดไฟพูดได้ (อพย.3:1-10) เป็นที่แห่งการทรงสถิต (Into His Presence)

โมเสส ได้พบพระพักตร์กับพระเจ้า และชีวิตของท่านไม่เหมือนเดิม จากผู้ร้ายฆ่าคนหนีคดี กลายเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่นำการปลดปล่อยทาสมาสู่ชนชาติอิสราเอล เป็นต้น  

สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่หลักการว่าทุกคนจะต้องทำอย่างนั้นได้

สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเชื่อในเรื่องฤทธิ์เดชอัศจรรย์ของพระเจ้ามีจริงและยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน  รวมถึงอย่าไปเหมาว่าผู้ที่ทำการอัศจรรย์จะเป็นพวกแม่มด(Witcraft)หรือเป็นพวก Kabbalah (คับบาล่าห์)

แม้แต่อัครทูตเปาโลที่เป็นนักศาสนศาตร์เรียนกับอาจารย์กามาลิเอลก็กล่าวไว้

1โครินธ์ 2:4   คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา  แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ

1โครินธ์ 4:20   เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูด (Logos -ความรู้) แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช(Dunamis-ฤทธิ์เดช)

บางสิ่งพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีจริง แต่บันทึกได้ไม่หมดโดยเฉพาะเรื่องการอัศจรรย์

ยอห์น 21:25   มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ  ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่งข้าพเจ้าคาดว่า  แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น

เราไม่ควรเป็นพวก Only Bible ไม่ใช่ Holy Bible คือเอาแต่ พระคัมภีร์(Holy Bible)เท่านั้น ในสมัยหลังพระธรรมกิจการฯ มีการรวบรวมคำสอนหลักข้อเชื่อต่างๆของอัครทูต(Apostolic creeds)  และมีการรวบรวมพระคัมภีร์(Canon แปลว่าไม้วัด) 

ดังนั้นไม่ใช่ว่าความจริงของพระเจ้าจะมีแค่ในสารบบของ Holy Bible แม้แต่หนังสือหลักลอย(Apocrypha) ยังมีการบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความจริงของพระเจ้า เพียงแต่ไม่ได้ถูกนำมารวบรวม (Canon)เป็นพระคริสตธรรมคัมภีร์(Holy Bible)เท่านั้น

คำที่น่าสนใจเรียนรู้ คือ Holy Bible คำว่า Holy หมายถึง บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ คือ การแยกออกมา ในภาษาฮีบรูคือคำว่า Kadosh :คาโดช

คำว่า "Bible" มาจากคำว่า "bíblos"(ไบบลอส) ในภาษากรีก แปลว่า หนังสือ

หากเราทำรายงาน เราจะเขียนแหล่งข้อมูลอ้างอิงหนังสือ จะใช้คำว่า Bibliography หรือ บรรณานุกรม

สรุปความคือ Holy Bible เป็นหนังสือศักสิทธิ์ที่มีการแยกออกมาเป็นสารบบ(canon) เป็นไม้วัดบรรทัดฐานของการสำแดงความจริงเกี่ยวกับพระวจนะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะพระเจ้าทรงสำแดงในมิติที่เกินความเข้าใจของเราผ่านวิธีการต่างๆ มากมาย

พระเจ้าทรงใช้การสำแดงได้หลายมิติ ทรงใช้เผยพระวจนะผ่านสิ่งต่างๆ เช่นดวงดาวบนท้องฟ้าก็เป็นจอ Display ขนาดใหญ่  ที่พระเจ้าสำแดงการเผยพระวจนะ ดวงจันทร์ก็เป็นตัวกำหนดฤดูกาล วาระเวลาต่างๆ

สดุดี 19:1-2
1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์
วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
 
สิ่งที่เราต้องระมัดระวังคือ การสำแดงในเรื่องดวงดาวหรือโหราศาสตร์ เพราะสิ่งเหล่านี้วิญญาณชั่วได้ใช้เป็นเครื่องมือดึงความสนใจออกจากทางของพระเจ้า

(สามารถอ่านบทความเรื่อง คริสเตียนกับความเข้าใจเรื่องโหราศาสตร์ ได้ใน blog )


พระเจ้าทรงใช้สื่อต่างๆ ในการเปิดเผยการสำแดงได้ เช่น การพูดเผยพระวจนะ เสียงดนตรี ภาพวาด หรืออื่นๆ  เราจึงไม่ควรใช้ความจำกัดของเรา มาจำกัดพระเจ้าที่ไม่จำกัดว่าการสำแดงมีเฉพาะในพระคัมภีร์เท่านั้น (Only Bible)


เราต้องใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์(Holy Bible)เป็นไม้วัดเพื่อวินิจฉัยการสำแดงอื่นๆของพระเจ้าที่เราได้รับเช่นทางนิมิต ภวังค์ ความฝัน การเปิดเผยสำแดงผ่านทางการเผยพระวจนะว่า ขัดแย้งกับหลักการของพระคริสตธรรมคัมภีร์(Holy Bible)ไหม?

หากขัดแย้งแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะไม่สำแดงสิ่งที่ขัดต่อหลักการที่พระองค์กำหนดไว้

1เธสะโลนิกา 5:21   จงพิสูจน์ทุกสิ่ง  สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น

 ยอห์น 4:1  ท่านที่รักทั้งหลาย  อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ  แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่  เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก

ฮีบรู 4:12   เพราะว่า  พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ  คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ  ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก  และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

ขอพระเจ้าอวยพระพรให้เราทุกคนได้รับการยกระดับการสำแดงจากพระเจ้าดั่งเช่นท่านยอห์น ได้รับเมื่อท่านอยู่ที่เกาะปัทมอส และท่านได้เขียนพระธรรมวิวรณ์

วิวรณ์ 4:1 ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่ และพระสุรเสียงแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น ได้ตรัสกับข้าพเจ้าดุจเสียงแตรว่า "จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า"

วันนี้พระเจ้าต้องการให้เราได้รับมิติการสำแดงความจริงของพระองค์
เพื่อจะถ่ายทอดความจริงอันมีชีวิต(Rhema)ต่อไปสู่คนทั้งหลาย เพื่อเขาทั้งหลายได้ประจักษ์แจ้งในความจริงนิรันดร์(Logos)ของพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ 

12 พฤศจิกายน 2556

เปิดบัญชีหัวใจฝากไว้ในธนาคารแห่งความรัก

ข้อคิดเพื่อครอบครัว
 "เปิดบัญชีหัวใจฝากไว้ในธนาคารแห่งความรัก"
  
สำหรับบทความครั้งนี้ ผมขอนำคำให้โอวาทที่ผมไปแบ่งปันในงานแต่งงานของบ่าวสาวคู่หนึ่งในคริสตจักรแห่งพระบัญชาเพื่อเป็นข้อคิดสำหรับครอบครัว  เนื่องจากเจ้าสาวเป็นนักบัญชีและผมต้องการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ข้าวของแพง ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ดำเนินชีวิตอย่างเพียงพอตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียง จึงจะอยู่ได้ 

เราต้องรู้จักประหยัดเก็บ "ออมเงิน" ไม่ใช่การ "อมเงิน"(คอร์รัปชั่น)นะครับ การแต่งงานสร้างครอบครัวเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งแต่เป็นการลงทุนด้วยหัวใจและกำไรทั้ง 2 ฝ่ายคือความรักที่เพิ่มพูนเหมือนดอกเบี้ย
แม้ว่าเราจะอดออมให้สอยอย่างประหยัดแต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถใช้อย่างฟุ่มเฟือยได้ คือ การแบ่งปันความรักออกไปอย่างไม่มีวันหมด

การที่คู่รักตัดสินใจมาใช้ชีวิตครอบครัว จะต้องมั่นใจว่าตัดสินใจเลือกอย่างเหมาะสมแล้ว เพราะเป็นการลงทุนชีวิต ต้องอยู่กับคนที่"ใช่"ไม่ใช่เพียงคนที่"ชอบ"  การแต่งงานจึงเป็นการตัดสินใจ การลงทุนมีความเสี่ยง แต่สำหรับครอบครัวคริสเตียน เรามั่นใจว่าไม่ได้เสี่ยง เพราะเราฝากชีวิตไว้ในหลักการแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือ "พระคริสตธรรมคัมภีร์"
และพระเยซูคริสต์เป็นหลักประกันดั่ง บริษัทเมืองสวรรค์ประกันชีวิตนิรันดร์ ไม่จำกัด

เงื่อนไขคือ ผู้เชื่อในพระบุตรนั้นไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์

ในพระธรรมยอห์น 3:16 ผู้ที่เชื่อวางใจในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์ นั่นเป็นคำสัญญาที่ทำให้เรามั่นใจ ในการลงทุนชีวิต
มาร่วมชีวิตครอบครัวด้วยการ
"เปิดบัญชีหัวใจฝากไว้ในธนาคารแห่งความรัก" ซึ่งมีข้อคิดจากต้นฉบับความรักแบบพระเยซูคริสต์ ให้คำจำกัดความไว้ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์  จากพระธรรมจดหมายฝาก   

1 โครินธ์ 13:4-7 
   4   ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้  ความรักไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว
   5   ไม่หยิ่งผยอง  ไม่หยาบคาย  ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่ช่างจดจำความผิด
   6   ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด  แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
   7   ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น  และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง

พระวจนะตอนนี้ อัครทูตเปาโลกล่าวถึงความรักแท้ของพระเจ้า เป็นแม่แบบของความรักให้ผู้เชื่อได้เลียนแบบอย่างเพื่อจะปฏิบัติต่อกันและกัน
ดังนั้นทันทีที่ผ่านพิธีแต่งงาน นั่นเป็นคำสัญญาที่เปิดบัญชีหัวใจร่วมกัน และไปฝากไว้ในธนาคารแห่งความรัก ขอเปรียบเทียบการดำเนินชีวิตครอบครัวเป็นการลงทุนชีวิตร่วมกัน ต้องทำธุรกรรมในชีวิตร่วมกันโดยฝากชีวิตให้พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นหลักประกันไว้ มี 3 สิ่งที่ทำคือ ฝาก ถอนและโอน
นั่นคือ "ฝากประจำความรักด้วยใจอดทนนาน  ถอนความผิดด้วยใจให้อภัย และโอนถ่ายความรักที่กระทำคุณให้

1.  ฝากประจำความรักด้วยใจอดทนนาน 
 
การฝากคือการเอาไปเก็บไว้  การเปิดบัญชีหัวใจในครอบครัวเป็นการฝากชีวิตร่วมกันต้องดูแลซึ่งกันและกัน สามีอาจจะบอกภรรยาดังนี้ว่า
"รูปของคุณ" ผมจะเก็บไว้ใน Hard disk  แต่"หัวใจของคุณ" ผมเก็บไว้ใน This Heart  หัวใจคุณฝากประจำใจผมแล้ว การแต่งงานเป็นการฝากตลอดชีพไม่ได้เป็นฝากแบบเผื่อเรียก "ไม่ใช่แบบรักชั่วคราว  ความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืน" การแต่งงานต้องเป็นการตัดสินใจจากทั้ง 2 คนที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์จากความเป็นพี่น้อง ต่อมาเป็นเพื่อนสนิท มาเป็นแฟน เป็นคู่หมั้นและคู่แต่งงาน

ไม่ใช่รักฉาบฉวยเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ ที่ลงเอยด้วยความสัมพันธ์ทางกาย แทนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ทางใจให้มั่นใจก่อน ทำให้เกิดเป็นปัญหาสังคม แทนที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกันมั่นคงเป็นปึกแผ่น แต่กลายเป็นเหมือนทองเนื้อเก้าแทน  เรียกว่า   "คบคนผิดเลยเสียตัว คบคนชั่วเลยเสียใจ"

ได้รู้บทเรียนรักว่า คบกันแรกๆก็ทำตามสัญญาแต่ต่อมาก็ทำตามสันดานดังนั้นผมขอเตือนใจคนที่เป็นคนโสดว่า "ถ้าคบคนพาล อยู่บนคานยังดีกว่า"
แต่ผมขอคัดค้านการขึ้นคานของทุกคนนะครับ อยากให้มีคู่ที่ดี
"คนโสดไม่ใช่คนอ่อนแอแต่เข้มแข็งพอที่จะรอคอยคนที่คู่ควร"  ผมขออวยพรให้คนโสดไปถึงวันแต่งงาน  "ในวันนั้นที่รอคอย แม้วันนี้ยังลอยคอ รอคอยอยู่" เลือกให้ดีนะครับ  การแต่งงานเป็นการฝากประจำตลอดชีพนะครับ
 
ข้อคิดสิ่งแรก คือ การฝากประจำความรักด้วยใจอดทนนาน 
(ข้อ 4)  วามรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ 

คำว่า อดทนนาน หมายถึง "การผ่อนผันให้" เป็นท่าทีภายในที่มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ ยอมผ่อนผันให้   แม้ว่าจะถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมก็ตาม รักที่อดทนนานจะสามารถชนะจิตใจคนได้  พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบของการมีความรักที่อดทนนาน (1 ปต.2:23) และพระองค์รู้ว่าผู้เชื่อสามารถแสดงความรักแบบนี้ต่อผู้อื่นได้เช่นกัน

ครอบครัวจะต้องมีการการปรับตัวต่อกัน จากต่างคนต่างอยู่แล้วตอนนี้มาอยู่ร่วมกัน อาจจะมีกระทบกันบ้าง เราต้องมีการ ผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน
ตามพระวจนะ โคโลสี 3:13-14  ที่กล่าว
 13   จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน  และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน  ก็จงยกโทษให้กันและกัน  องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด  ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน
14   แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์

การแต่งงานจะมีการสวมแหวนให้แก่กัน คู่สามีภรรยาเมื่อมีปัญหาต้องผ่อนหนักให้เป็นเบา ให้อภัยกัน สวมความรักเหมือนแหวนแต่งงาน
จงจำไว้ดังนี้ว่า "แหวนนี้คือ "ธำมรงค์"  เป็น "สัญลักษณ์" ที่"ธำรงค์"ไว้ซึ่งของ "สัญญารัก"  
 

 สามีภรรยาต้องมีการดูแลกันและกัน เหมือนการเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารต่างๆจะมีคำขวัญ(Slogan) ต่างๆ  ขอให้ครอบครัวมีความรักแบบนี้
 
ความรักแบบธ. นครหลวงไทย-  "ใส่ใจดูแลคุณ"

ความรักแบบธ.กสิกรไทย - "บริการ(ดูแลกัน)ทุกระดับประทับใจ"  

ความรักแบบธ.กรุเทพฯ -  สามีภรรยา"เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน"

ความรักแบบธ.ไทยพานิชย์ มั่นคงด้วยรากฐาน บริการด้วยน้ำใจ

ขอให้ครอบครัว  "มั่นคงด้วยรากฐานพระคำ รักษาอย่างสุดใจ"

ความรักแบบธ.ทหารไทย (TMB)- มั่นคงจริงใจรับใช้ประชาชน 
ขอให้ครอบครัว  จง"มั่นคงให้อภัยด้วยใจอดทน" 

นั่นคือสิ่งแรก คือ ฝากประจำความรักด้วยใจอดทนนาน  สิ่งต่อไปคือ

2. ถอนความผิดด้วยใจให้อภัย(ข้อ 4-5)
4 ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
5 ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด

ผมขอหนุนใจข้อคิดของครอบครัวจะมี 3 ท.คือ ต้อง "ทน ทำ และทิ้ง"
การ"ทิ้ง"ไม่ใช่ทอดทิ้งกัน แต่เป็นการทิ้งสิ่งที่ไม่ดีที่มีระหว่างกัน คือ "การถอน" ดังนั้นหากพบสิ่งผิดก็สามารถถอนได้  คือ การทิ้ง

ปกติเวลาเราฝากธนาคารเราจะถอนเอาเงินมาใช้ แต่ธนาคารแห่งความรักต้องถอนความผิดออกด้วยใจให้อภัย มีอะไรที่ต้องถอนทิ้ง

ความอิจฉา   คำว่า อิจฉา (Envy) ตามความหมายในภาษาเดิม หมายถึง ความรู้สึกรุ่มร้อนอยู่ภายในที่อยากต่อสู้ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า  ความหึงหวงหรือหวงแหน(Jealousy
ความหึงหวงหรือหวงแหน (Jealousy)มีจุดยืนต่างกัน ความหึงนั้นใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง  แต่ความหวงแหนให้ผู้อื่นเป็นศูนย์กลาง เป็นความรักแบบพระเจ้าที่พระองค์ทรงหวงแหนเรา ไม่ประสงค์ให้เราแบ่งปันใจให้กับรูปเคารพอื่น 
เพราะสิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของเราในฝ่ายวิญญาณ

อพยพ 20:5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน 

ความรักของพระเจ้าจึงเป็นความรักแท้ที่กระทำคุณให้นั้น สำแดงออกมาเป็นการไม่อิจฉา เมื่อเห็นคนอื่นได้ดี ก็รู้สึกชื่นชมยินดีด้วยอย่างจริงใจ

สามีภรรยาจึงต้องมีวางใจต่อกัน ไม่ระแวง แต่ต้องมีการสื่อสารต่อกัน จะไปไหนจะต้องมีการสื่อสารบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ซึ่งกัน เพื่อละช่องว่างไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดได้

สิ่งที่ต้องถอนทิ้งอื่นๆ คือ การอวดตัว หยิ่งผยอง และหยาบคาย  

พระคัมภีร์สั่งให้เราต้องม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง และไม่หยาบคาย

การแสดงออกของความรักแท้ที่ต้องอยู่คู่กันเสมอ เพราะถ้าไม่อวดตัว ก็ย่อมไม่หยิ่งผยอง  การแสดงออกที่ไม่งดงาม คือ การหยาบคายนั้นก็ย่อมไม่ปรากฏออกมา ความรักแท้ที่จะมีชัยเหนือสิ่งต่างๆ ได้ต้องแสดงออกถึงการให้เกียรติต่อกันและกัน ไม่ยกตนว่าอยู่เหนือผู้อื่น  (รม.12:10; ฟป.2:3)
 
ครอบครัวจะต้องรักกันและกันด้วยการให้เกียรติ คำเรียกกันในครอบครัวอาจจะเรียกว่า "ฮันนี่"หรือ"ที่รักขา" มาจากความรักให้เกียรติเห็นคุณค่า และเราต้องรักษาไว้ ไม่ใช่ว่าเวลาผ่านไป การให้เกียรติน้อยลง จาก "ฮันนี่ ที่รักขา"
กลับกลายเป็น "โดน ขาที่รัก ต้องหันหนี" แบบนี้เรียกว่า หยาบคาย คือการแดงออกด้วยอารมณ์ที่โกรธอย่างรุนแรง ดั่งเช่นละครทองเนื้อเก้า ตัวละครนางลำยองทำร้ายลูกคือวันเฉลิม
ข้อคิดเพื่อครอบครัว คือ เราต้องไม่หยิ่งผยองเหมือนนางลำยอง ที่หยาบคายทำร้ายลูกวันเฉลิม

สิ่งอิ่นๆนอกจากนี้ที่ต้องถอนทิ้งคือ การเห็นแก่ตัว ฉุนเฉียว  ช่างจดจำความผิด   

ครอบครัวจะต้องมีความรักที่กระทำคุณให้ โดยมาจากจิตใจที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่าตนเอง ไม่ยึดตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง  ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว และไม่ช่างจดจำความผิดของผู้อื่น

โดยทั่วไปในครอบครัว ฝ่ายผู้หญิง(ภรรยา)จะเป็นเหมือน "นักบัญชี" คือชอบ"คิดบัญชี" คือการจดจำความผิด และเป็น "นักโบราณคดี"  นั่นคือการไปนำเอาคดีเก่ามาเล่าใหม่  เป็นความโกรธไหลที่ย้อนกลับ
เธอมักจะกล่าวกับสามีว่า "ฉันเป็น "นักบัญชีชอบตัวเลข เป็น "เลขคณิตที่คิดในใจ" แต่ "เธอ(สามี) อย่าคิดนอกใจ" ไม่งั้นอาจจะถูก คิดบัญชี ปิดคดีได้"

ฉะนั้นผมขอหนุนใจโดยเฉพาะภรรยาขอให้ถอนความผิดด้วยใจให้อภัย นิรโทษความคิดเรื่องเก่าอย่าเอามาเก็บไว้และให้อภัย จะได้เกฺดความสงบสุขในครอบครัว

สำหรับผู้ชาย(สามี)ต้องไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ครอบครัว ต้องจัดเวลาให้ เมื่อก่อนแต่งงานอาจจะมีเพื่อนฝูงมากมาย ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน พอแต่งงานแล้วต้องจัดเวลาให้ครอบครัวอย่างสมดุล ความรักไม่ใช่สะกดด้วย LOVE อย่างเดียวต้องสะกดด้วย TIME หากรักครอบครัวต้องจัดเวลาให้ครอบครัว

ผู้ชายต้องไม่ใช้กำลังในการทำร้ายร่างกายหรือโมโหฉุนเฉียว แต่ต้องใช้ความรักในการดูแลภรรยาอย่างทะนุถนอม

พระวจนะของพระเจ้าใน เอเฟซัส 5:22-29 กล่าวให้  "ผู้ชายต้องรักภรรยา และผู้หญิงต้องเชื่อฟังสามี" เป็นหลักการนี้ให้บทบาทในครอบครัวที่ทั้งภรรยาและสามีควรจะต้องทำคือ

ภรรยาจงเชื่อฟังสามีด้วยใจภักดี (Wife:Submit your husband with loyalty)(22-24)  พระวจนะบอกกับภรรยาว่า จงยอมฟังสามีของตน ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Submit yourselves unto your own husbands” ซึ่งให้ความหมายถึง การยอมจำนน หรือนบนอบ
และสามีจงรักภรรยาด้วยสุดใจ  (Husband : Love (your wife) wholeheartedly) พระวจนะบอกในข้อ 25 ว่า ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน” พระวจนะสั่งให้สามีรักและดูแลทะนุถนอมภรรยาเหมือนกับการดูแลร่างกายของตนเอง

(สามารถอ่านในบทความเชื่อฟังด้วยใจภักดิ์ รักด้วยสุดใจ ได้  )

และสิ่งที่ 3 นั่นคือ "โอนถ่ายความรักที่กระทำคุณให้

เมื่อครอบครัวเปิดบัญชีหัวใจฝากไว้ในธนาคารแห่งความรัก นั่นหมายถึงว่าความรักของทั้ง 2 คนที่เป็นต้นทุนในการลงทุน สิ่งที่จะได้รับคือความรักที่เป็นดอกเบี้ยที่เพิ่มพูนขึ้น เพราะความรักเป็นสิ่งที่กระทำคุณให้กับทุกคน เมื่อแจกจ่ายความรักออกไป ความรักจะไม่สูญหายไปแต่จะเป็นความรักที่ได้กลับมาสู่ผู้ให้ นี่คือหลักการของพระเจ้า ที่ประทานพระบัญญัติแห่งรักไว้ คือ "ให้เรารักพระเจ้าด้วยสุดใจและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" 

3.โอนถ่ายความรักที่กระทำคุณให้ (ข้อ 4,6-7)

ดังนั้นแต่ละครอบครัวจึงต้องโอนถ่ายความรักออกไปอย่าเพียงเก็บไว้อย่างเดียว เมื่อสะสมความรักก็ต้องส่งผ่านไปถึงครอบครัวอื่นๆด้วย โดยความรักที่กระทำคุณให้มีลักษณะดังนี้ 
คำว่า กระทำคุณให้ ในภาษากรีกหมายถึง มีความเมตตากรุณา  ความรักที่กระทำคุณให้เป็นความรักที่สำแดงความเมตตาออกดังนี้
 
เป็นรักที่ชื่นชมยินดีในความชอบธรรม (ข้อ 6)  
ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
 
พระวจนะสอนให้ชื่นชมยินดีเมื่อผู้อื่นกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม  แต่ไม่ชื่นชมยินดีหรือคล้อยตามเมื่อผู้นั้นกระทำผิด เพราะการกระทำผิดย่อมนำมาซึ่งการถูกลงโทษ ดังนั้นการที่รักใครต้องไม่เพิกเฉยหรือเห็นคนที่เรารักทำผิด ต้องมีการตักเตือน เพื่อให้กลับใจและไม่ทำผิด การกลับใจเป็นเหตุที่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า ดังนั้นคนที่ทำผิดอย่าชะล่าใจคิดว่าทำผิดแล้วไม่มีใครรู้เห็น จะมีการพิพากษาแน่ และเมื่อทำผิดอย่าใช้การอภัยมาเป็นข้ออ้าง เพื่อจะทำผิดต่อไป คนที่ทำผิดต้องพิสูจน์การกลับใจด้วยการกระทำ(มธ.3:8)

ครอบครัวเช่นเดียวกัน ต้องชื่นชมยินดีเมื่อทำดี แต่ไม่ชื่นชมเห็นด้วยเมื่อทำผิด สามีและภรรยาต้องตักเตือนกันอย่างเหมาะสม

เป็นรักที่เชื่อในส่วนดีและมีความหวังอยู่เสมอ (ข้อ 7)
  
ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่นและเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอและมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง

ความรักที่ทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น โดยเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ เป็นความรักที่ให้ "ความเป็นธรรม"เพื่อให้คนที่ทำผิดได้มีจุดยืนให้โอกาส โดยการเชื่อในส่วนที่ดีอยู่เสมอ ไม่ตัดสินว่าผิดไปก่อนการวินิจฉัย และคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน 

ดังนั้นสำหรับคริสเตียนไม่มี "ความเป็นกลาง"คือ อยู่แบบเทาๆ ไม่ขาวไม่ดำ แต่เราต้องอยู่ข้างสิ่งที่ถูกคือ สีขาว ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก  เราจะต้องนำความสว่างของความชอบธรรมของพระเจ้าไปสู่สังคม(อสย.60:1-2) 
แต่เราต้องให้ความเป็นธรรม เมื่อทำผิดและให้อภัยกัน ก็ต้องมีความหวังใจกับคนให้เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตในพระเจ้า

ครอบครัวเช่นเดียวกัน ต้องส่งผ่านความรักต่อกันและโอนถ่ายความรักของพระเจ้าออกไปสู่สังคม เพราะสังคมในวันนี้อาจจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความแตกแยกในความคิด แต่ความรักจะทำให้ความแตกต่างกลายเป็นความเสริมสร้าง การให้โอกาสเป็นสิ่งที่สำคัญของคนที่ทำผิดและกลับใจ เริ่มต้นใหม่ได้ทุกคน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าครอบครัวทุกครอบครัวจะได้รับข้อคิดนี้นะครับ

ขอให้มีใจอดทนนาน ถอนความผิดด้วยใจให้อภัย และโอนถ่ายความรักที่กระทำคุณให้ออกไปสู่สังคมนะครับ

ขอให้สังคมทุกวันนี้ อย่าเอาแต่มองที่ความผิด เลิกคิดบัญชีแก้แค้นและปิดบัญชีเกลียดชัง แต่เปิดบัญชีหัวใจฝากไว้ในธนาคารแห่งความรัก  

ผมขอปิดท้ายด้วยบทกลอนสำหรับครอบครัวไว้  หากพอใจให้กด Like ไม่ชอบใจอย่ากดไล่นะครับ

เอารักฝาก  ธนาคารใจ  ไว้กินดอก

ไม่ถอนออก  ประจำไว้  ตลอดชีพ

หากทำผิด  ขอนิรโทษ  โปรดอภัย

กลับใจใหม่ ด้วยสำนึก  อย่างสุดใจ

เชื่อในรักแท้  ต้องดูแล  และรักษา

ขอพึ่งพา  พระองค์  ทรงนำหน้า

ทำสัญญา  รักฝากไว้  ให้สุดซอย

ขอทรงคอย ประคองรักไว้  ไปสุดทาง

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ