ค่านิยมผู้รับใช้
มก10 :42-45
42 พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ
43 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย
44 และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง
45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"
บริบท
บริบทพระธรรมตอนนี้ เป็นตอนที่พระเยซูกำลังจะเดินทางไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และพระองค์ได้บอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะถูกจับและปรับโทษถึงตาย (มก.10:32-33,มธ.20:17-19,ลก.18:31-33) เพื่อสำเร็จตามคำพยากรณ์ (Christ's prediction of his sufferings)
ยอห์นและยากอบไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูคริสต์พยายามอธิบาย โดยคิดว่าพระเยซูไปที่เยรูซาเล็มและพระองค์จะเต็มไปด้วยสง่าราศีเป็นองค์กษัตริย์ ปกครองแผ่นดิน พวกเขาจึงขอให้ได้นั่งครอบครองร่วมกับพระองค์ (37-40) ซึ่งสะท้อนการทะเยอทะยานแบบมนุษย์
แท้จริงพระเยซูต้องการสอนพวกเขาให้เข้าใจแผนการของพระองค์ที่จะไปที่เยรูซาเล็มว่า พระองค์ไปในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า ที่ยอมเชื่อฟังจนถึงการมรณาที่กางเขน พระองค์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนัติแต่พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตพระองค์เองเพื่อเป็นค่าไถ่ให้กับทุกคน
(ฟป.2:6-8)
6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ
7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
ฉะนั้นคนที่จะเป็นสาวกของพระคริสต์ที่แท้จริงไม่ได้ปรารถนาในตำแหน่ง หรือการได้รับเกียรติแต่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ และมีหัวใจแบบพระเยซูคริสต์
ค่านิยมของผู้รับใช้ที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร
ค่านิยมผู้รับใช้ : ผู้ปรนนิบัติ (รับใช้)
ไม่แสวงหาตำแหน่ง
มก 1o:35-37
35 ฝ่ายยากอบกับยอห์นบุตรของเศเบดีเข้ามาทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้พระองค์ ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์"
36 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า "ท่านทั้งสองปรารถนาจะให้เราทำสิ่งใดให้ท่าน"
37 เขาจึงทูลตอบว่า "เมื่อพระองค์จะทรงพระสิรินั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง"
ทั้งยากอบและยอห์นคิดว่าเมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นในวันที่สามได้เป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริแล้ว พวกเขาในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์ก็จะต้องได้เป็นพวกขุนนาง หรือมีตำแหน่งที่ถูกยกขึ้นเช่นกัน
เป็นความรู้สึกคาดหวัง เป็นความทะเยอทะยานที่จะได้หน้าได้ตา ได้เกียรติเพื่อสนองตัณหาในแบบมนุษย์
แต่ท่าทีนี้ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า
ถาม : เกียรติและตำแหน่งมาจากไหน?
ตอบ : มาจากพระเจ้า
กท1:1
1 เปาโล ผู้เป็นอัครทูต (มิใช่มนุษย์แต่งตั้ง หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง แต่พระเยซูคริสต์และพระบิดาเจ้า ผู้ทรงโปรดให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ได้ทรงแต่งตั้ง)
เปาโลบอกว่าตำหน่งอัครทูตของท่านมาจากพระเจ้าแต่งตั้ง ไม่ใช่มนุษย์แต่งตั้ง
เมื่อพระเจ้ามอบหมายให้เรามีตำแหน่ง เราก็ต้องรับผิดชอบต่อตำแหน่ง หรือบทบาทนั้นอย่างเต็มที่เช่นกัน
ถาม : ไม่มีตำแหน่งรับใช้ได้ไหม?
ตอบ : ได้ เพราะทุกคนถูกเรียกมาให้รับใช้พระเจ้า เพียงแต่ตำแหน่งเป็นตัวบอกบทบาทที่ต้องทำอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
เช่น บางคนคิดว่า ไม่มีตำแหน่งฝ่ายวิญญาณห้ามสอน จริงหรือไม่
แท้จริงแล้ว เราสามารถสอนได้ เพราะมธ.28:19-20 บอกให้เราออกไปสั่งสอน…
พระคัมภีร์บอกว่า ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ใช้ว่า “เจ้าทั้งหลาย”
มธ.28:19-20
19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
เราทุกคนสอนได้แม้ไม่มีตำแหน่ง แต่คนจะยอมรับหรือไม่ แท้จริงอยู่ที่ชีวิต ต่างหาก
การมีตำแหน่งเป็นผู้นำ ก็เช่นกัน ไม่ว่าเราจะเป็นหัวหน้าแคร์ หน่วย แขวง เขต หรือ ตำแหน่งฝ่ายวิญญาณใด ๆ แท้จริงอยู่ที่ชีวิต
ดังนั้นเมื่อถามว่าผู้นำคือใคร
ถาม : ผู้นำคือใคร?
คำตอบคือ ผู้นำคือ คนที่มีตำแหน่ง แต่ตำแหน่งไม่พอ ต้องมีชีวิตที่ดีด้วย
ผู้นำ= ตำแหน่ง + ชีวิต
ดังนั้น ผู้นำที่มีทั้งตำแหน่งและชีวิตที่ดี จึงสมควรได้รับเกียรติ
1 ทธ 3:13
13 เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่มัคนายกได้ดีก็มีเกียรติ และมีใจกล้าเป็นอันมากเพราะความเชื่อซึ่งมีใน พระเยซูคริสต์
1 ทธ5:17
17 จงถือว่าผู้ปกครองที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เทศนาและสั่งสอน
ฟป2:29-30
29 เหตุฉะนั้น ท่านจงต้อนรับเขาไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดีอย่างยิ่ง และจงนับถือคนอย่างนี้
30 เพราะเขาเกือบจะสิ้นชีวิตเสีย เนื่องจากการปฏิบัติงานของพระคริสต์ เขาได้เสี่ยงชีวิตของเขา เพื่อการปรนนิบัติของท่านต่อข้าพเจ้าจะได้เต็มบริบูรณ์
พระเจ้าไม่ต่อต้านการมีตำแหน่ง แต่พระเจ้าปรารถนาให้มีการทำหน้าที่ตามตำแหน่งด้วยชีวิตด้วย
เกียรติมาจากการรับใช้ ทำหน้าที่ไม่ใช่อยู่ที่ตำแหน่ง
ถาม : ทำไมผู้นำหลงหาย?
หลายครั้งเราเห็นผู้นำหลงหาย เพราะอะไร สาเหตุหนึ่งมาจากการยึดมั่นถือมั่นกับตำแหน่ง ตำแหน่งเป็นเหมือนหน้าตา เมื่ออยู่บนตำแหน่งก็คิดว่าต้องไม่ให้คนเห็นความผิดพลาดของตนเอง
แต่เราต้องมองให้ถูกต้อง
แท้จริงผู้นำคือ คนบาปคนหนึ่งที่สำนึกในพระคุณพระเจ้า
2 ทธ1:9
9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงให้เรามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การดีที่เราได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา ในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มานั้น
ดังนั้นผู้นำสามารถอ่อนแอผิดพลาดได้ แต่เมื่อผิดพลาดก็ต้องลุกขึ้น เดินต่อไป ทำหน้าที่ตามตำแหน่งที่พระเจ้ามอบหมายให้ทำต่อไป
2.ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่
พระวจนะกล่าวในข้อ 42 ว่า…
ข้อ 42 พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ
โดยทั่วไปคนที่มีอำนาจ จะใช้สิทธิอำนาจที่มีเพื่อบีบบังคับผู้อื่น เหมือนดังที่พระเยซูบอกว่า มีอำนาจ “เพื่อจะเป็นเจ้าเหนือเขา”
คำว่า “เพื่อจะเป็นเจ้าเหนือเขา” ในรากศัพท์ภาษาเดิมหมายถึง การครอบครอง ทำตัวเหนือ หรือ มีชนะเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง
แต่พระเจ้าไม่ได้สอนเราให้ทำเช่นนั้น
ถาม : แล้วพระเจ้าให้สิทธิอำนาจแก่เราเพื่ออะไร?
พระเจ้ามอบสิทธิอำนาจแก่เราเพื่อใช้ให้ถูกต้องคือ ที่จะนำสวัสดิภาพไม่ใช่นำทุกขภาพมาให้ผู้คน
สิทธิอำนาจของพระเจ้าที่มอบให้แก่คนในตำแหน่งต่าง ๆ ถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ของพระเจ้าเพราะความบาปจึงถูกนำมาสนองตัณหาของตนแทน
เมื่อเราเป็นคนของพระเจ้าถูกเรียกเข้าสู่ความสว่างแล้ว จึงเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและหันกลับมาใช้ให้ถูกต้อง
ทุกคนที่พระเจ้ามอบหมายหรือให้สิทธิอำนาจแก่เรามีส่วนเข้าไปดูแลชีวิตเขา เราต้องดูแลให้ดี ให้สิทธิอำนาจที่เรามีนำสวัสดิภาพมาถึงเขา อย่าให้เป็นเหมือนคนในอาณาจักรฝ่ายโลกที่มืดมัวในบาปใช้อำนาจ ตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่าบีบบังคับหรือกลั่นแกล้งผู้อื่นด้วยอำนาจของตน เช่น การใช้อำนาจเพื่อเส้นสาย แต่งตั้งลูกน้องคนสนิทขึ้นสู่ตำแหน่งโดยไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้ชอบธรรมที่ไม่มีเส้นสายเดือดร้อนต้องทุกข์ระทม เป็นต้น
สังคมใดที่มีการใช้สิทธิอำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ย่อมทำให้เกิดความทุกข์โศก และสังคมจะวุ่นวาย
สภษ.29:2 เมื่อคนชอบธรรมทวีอำนาจ ประชาชนก็เปรมปรีดิ์แต่เมื่อคนชั่วร้ายครอบครองประชาชนก็คร่ำครวญ
ในฐานะผู้รับใช้ พระเจ้าไม่ปรารถนาให้เราใช้อำนาจบาดใหญ่ต่อกัน แต่ให้เราเป็นแบบอย่างต่อแกะด้วยความรัก
1 ปต5:3
3 และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น
3.รับใช้ด้วยใจสมัคร
ข้อ 44 และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง
พระวจนะกล่าวว่า นี่คือ สิ่งที่ต้องสมัครใจทำ คือ เต็มใจที่จะรับใช้คนอื่น โดยไม่มีใครมาบีบบังคับให้ต้องทำ
คือ สมัครใจที่จะรับใช้อย่างทาส นั่นหมายถึง การสมัครใจที่จะทำแม้ไม่ได้รับความสะดวกสบาย แม้ไม่ง่าย แม้ต้องเหน็ดเหนื่อย แม้ต้องเจ็บปวด
พระคัมภีร์ใช้คำว่า ทาส แสดงว่า งานนั้นหนักหนาสาหัส ไม่สบายเลย
และนี่เป็นสิ่งที่ย้อนตามเราว่า เราสมัครใจที่จะทำไหม?
ถาม : เหตุใดที่ทำให้เราสมัครใจที่จะรับใช้ผู้อื่น?
เพราะความรักและแบบอย่างชีวิตของพระเยซูคริสต์
ฟป 2:7
7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
ด้วยเหตุนี้เราจึงเต็มใจทำทุกสิ่งที่พระองค์ให้ทำ ด้วยความเต็มใจ
1 ปต 5:2
2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน {สำเนาต้นฉบับบางฉบับเพิ่มคำว่า เอาใจใส่ดูแล} ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจแต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของที่ได้มาโดยทุจริต แต่ด้วยใจเลื่อมใส
ถาม : วันนี้ท่านสมัครใจที่จะทำอะไรเพื่อพระเจ้าบ้าง?
4.รับใช้คนทั้งปวง
ข้อ 43-45
43 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย
44 และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง
45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"
พระเยซูคริสต์ปรารถนาให้สาวกของพระองค์รับใช้ คนทั้งปวง ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า All
ซึ่งนั่นหมายถึง ไม่ใช่แค่รับใช้ตัวเอง แต่คนทั้งปวงด้วย คือ ไม่เพียงแค่คนที่น่ารัก น่าทำดีด้วย แต่หมายถึง คนทุกคนที่ดูเหมือนไม่น่ารัก กับเรา ด้วยเช่นกัน
เพื่ออะไร ก็เพื่อนำคนทั้งปวงมาถึงพระคริสต์ และรับพระคุณความรอดนั่นเอง
มก 9:35
35 พระเยซูได้ประทับนั่ง แล้วทรงเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมาตรัสแก่เขาว่า "ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น ก็ให้ผู้นั้นเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง"
มธ 23:11
11 ผู้ใดที่เป็นนายใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นย่อมต้องรับใช้ท่านทั้งหลาย
การรับใช้ เอาใจใส่ผู้อื่น ถือเป็นการปรนนิบัติพระคริสต์ ดังที่เอปาฟรัสกระทำ และเปาโลชื่นชมเขา
คส1:7
7 ดังที่ท่านได้เรียนจากเอปาฟรัสซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่รักของเรา เขาเป็นผู้ที่เอาใจใส่ปรนนิบัติพระคริสต์เพื่อพวกเราจริงๆ
เปาโลใช้ร่างกายในชีวิตนี้เพื่อปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น
ฟป1:23-24
23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก
24 แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน
การรับใช้คนทั้งปวง เป็นดัชนีชี้วัดความเติบโตของผู้รับใช้
ทิตัส
2 คร 8:23
23 ส่วนทิตัส เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า และเป็นผู้ช่วยในการรับใช้ท่านทั้งหลาย ส่วนพี่น้องสองคนนั้น เขาเป็นทูตรับใช้ของคริสตจักรทั้งหลายเป็นศักดิ์ศรีของพระคริสต์
ทิโมธี
ฟป2:20
20 ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ในทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง
เอปาโฟรดิตัส
ฟป2:25
25 ข้าพเจ้าคิดแล้วว่า จะต้องให้เอปาโฟรดิทัสน้องของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนทหารของข้าพเจ้า และเป็นผู้รับใช้ของพวกท่านให้ปรนนิบัติข้าพเจ้าในยามขัดสน ไปหาท่านทั้งหลาย
…………………………………………………..
ขอบคุณค่ะ อ.โรจน์ สำหรับบทเรียน
ตอบลบ