28 กุมภาพันธ์ 2556

ดำเนินชีวิตสู่วิถีไท

ข้อคิดจาก อ.นิมิต  พานิช ศิษยาภิบาล คริสตจักรแห่งพระบัญชา (UCC)
เรื่อง "ดำเนินชีวิตสู่วิถีไท" 


“วิถีไท” ในที่นี้หมายถึง วิถีชีวิตแห่งความเป็นไท คือการดำเนินชีวิตอย่างมีเสรีภาพพ้นจากสภาพทาสเข้าสู่ความเป็นไทในพระคุณพระเจ้า

1.วิถีไท ตัวเป็นไทใจไม่เป็นทาส


กาลาเทีย 5:1   เพื่อเสรีภาพนั้นเอง  พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท  เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น  และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย

นั่นคือเราต้องออกจากการดำเนินชีวิตามวิถีทางเดิม คือเป็นไทมีเสรีภาพแล้ว อย่ากลับไปเป็นทาสของบาป ทาสของการดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ธรรมบัญญัติตามวิญญาณศาสนาที่ควบคุมเรา แต่เราต้องมีเสรีภาพในความเป็นไทในพระคุณพระเจ้า


2.วิถีไท  ทำตามใจไม่ใช่ไทแท้

กาลาเทีย 5:13  ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย  ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ  อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง  แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด

Galatians 5:13 (NIV)   13 You, my brothers and sisters, were called to be free. But do not use your freedom to indulge the flesh rather, serve one another humbly in love.

การมีเสรีภาพ (Freedom)ทำให้เกิดความสดชื่น (Fresh) แต่ไม่ใช่ทำตามใจ ดังคำกล่าวในสังคมไทยในอดีตที่ส่งผลเสียต่อชาติ คือ “ทำตามใจคือไทยแท้” อันที่จริงแล้วต้องเป็น “มีระเบียบวินัยคือไทยแท้”

ความเป็นไท ไม่ใช่ใช้เสรีภาพแล้วดำเนินชีวิตปล่อยตัวตามเนื้อหนัง(flesh) เราจะต้องมีระเบียบวินัยในฝ่ายวิญญาณ


1โครินธ์ 9:27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ  เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว  ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้

3.วิถีไท  เคลื่อนไหวตามพระวิญญาณ

 กาลาเทีย 5: 25   ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย

ความเป็นไท คือการดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เคลื่อนไปตามการทรงนำของพระองค์อย่างมีเสรีภาพ

2โครินธ์ 3:17   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ  และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน  เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น

สาสน์จากใจ อ.นิมิต พานิช เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปี คริสตจักรแห่งพระบัญชา



13 กุมภาพันธ์ 2556

ความรักไม่มีเงื่อนไข(Unconditional Love)


สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเดือนแห่งความรัก หากถามถึงเรื่องของความรัก หลายๆคนคงจะนึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ ผู้ที่เป็นที่มาของวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ เพราะท่านเป็นผู้อุทิศชีวิตของท่านในการสำแดงความรักโดยจัดการประกอบพิธีให้กีบคู่สมรสต่างๆ ท่านยอมฝ่าฝืนกฎหมายอันไม่ชอบธรรมในการห้ามจัดงานแต่งงานให้กับชายผู้เป็นทหารของโรมัน
(อ่านประวัติที่มาของวันวาเลไทน์ได้ที่ http://pattamarot.blogspot.com/2011/02/valentine.html)

ความรักเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นสิ่งที่ความสวยงามและทำให้โลกน่าอยู่ แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ถูกล่อลวงจากวิญญาณชั่วร้ายให้ใช้ความรักในทางที่ไม่ถูกต้อง ทำผิดบาปทางเพศโดยเฉพาะในช่วงวันที่ 14..วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก แต่หนุ่มสาวในวัยเรียนหลายคู่ได้ไปทำผิดบาปทางเพศทำให้เกิดปัญหาสังคม วันนี้จึงถูกขนานนามให้ใหม่ว่าเป็นวันเสียความบริสุทธิ์แห่งชาติ

ผมหวังว่า หนุ่มสาวในสมัยปัจจุบันจะเห็นความสำคัญของชีวิตที่ชอบธรรมรักษาความบริสุทธิ์ทางเพศจนกว่าจะถึงวันสมรสในชีวิต ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและปกป้องให้ดำเนินในความชอบธรรมตามแบบพระองค์
ในบทความวันนี้ผมขอแบ่งปันเรื่องความรัก ที่เป็นความรักแท้ที่ไม่มีเงื่อนไขและไร้พรมแดน ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นแม้เรื่องของชาติพันธุ์หรือเป็นศัตรูคู่ปรับ

 ในวันที่4 ..ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานระลึกถึงเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
(UN International Holocaust Memorial Day)
ที่สำนักงานสหประชาชาติ .ราชดำเนินนอก จัดโดยสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยและสหประชาติ

ในงานวันนั้นได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญหลายท่าน อาทิ นายซีมอน โรเดด (Mr.Simon Roded) เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายรอล์ฟ ชูลเซ่ (Mr. Rolf Schulze)เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย มาร่วมงาน มีคำหนุนใจผ่านทางวีดีทัศน์ของนายบันคีมูน (Mr.Ban Ki Moon) เลขาธิการสหประชาชาติ กิจกรรมในงานทั้งนิทรรศการ บทเพลงพิเศษ และการบรรยายพิเศษเรื่อง บทเรียนจากเหตุการณ์ Holocaust สำหรับทวีปเอเชียโดยรับบี อับบราฮัม คูเปอร์(Rabbi Abraham Cooper)

ผมรู้สึกประทับใจในบรรยายกาศในงานแม้จะมีพิธีการที่เรียบง่ายแต่มีความหมายมีการจุดเทียน 11 เล่มเพื่อเป็นการระลึกถึงชาวยิว 11 ล้านที่สูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์Holocaustสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

บทเพลงจากนักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนา ที่บรรเลงเพลง Imagine ของจอห์น เลนน่อน (John Lennon)เพลงนี้เป็นจินตนาการที่กล่าวถึง โลกนี้จะมีความสุขหากคนในโลกรักกันมีการมแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา แม้ว่าเหตุการณ์ Holocaustจะเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วแต่ปัจจุบันประเทศอิสราเอล ยังต้องถูกโจมตีจากศัตรูที่รายล้อมประเทศ เราจึงควรที่จะยืนเคียงข้างประเทศนี้ ร่วมในพันธสัญญากับพระเจ้าแห่งอิสราเอล 
บุคคลสำคัญที่เป็นแบบอย่างแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ที่ได้ถูกกล่าวถึงในงานนี้คือ นาย จิอุเนะ สึกิฮาระ(Chiune Sugihara)
นาย จิอุเนะสึกิฮาระ (Chiune Sugihara) ได้รับรางวัล ยาด-วาเช็ม Yad Vashemตั้งตามชื่อของศูนย์ที่ระลึกถึงเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว(Holocaust-โฮโลคอสต์) ในกรุงเยรูซาเล็ม และมอบให้กับ Justice of Peoples (หรือภาษาฮีบรู Khasidei Umot HaOlam หมายถึง บุคคลนอกศาสนายิวที่มีจิตใจดีงาม )
ในปี 1963 โดยสมาชิกศาลสูงสุดของอิสราเอลได้เพื่อมอบรางวัลเพื่อสดุดีคุณงามความดีของบุคคลซึ่งให้ความช่วยเหลือชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ปัจจุบันมีผู้ได้รับการเสนอชื่อ (รวมทั้งครอบครัว)20,205 คน และมีผู้ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลประมาณ 8,000คน ซึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ ออสการ์ชินเดอร์ (Oskar Schindler)ซึ่ง สตีเวน สปีลเบิร์ก(Steven Spielberg) นำมาทำภาพยนตร์เรื่อง Schindler’s list นั่นเอง
(ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Chiune_Sugihara)
จิอุเนะ สึกิฮาระ(Chiune Sugihara) หรือ เซ็มโป "SEMPO"
ในปี ..1839 สึกิฮาระและครอบครัวย้ายมาประจำอยู่ที่สถานฑูตญี่ปุ่นในเมืองเคานัส ประเทศลิทัวเนีย
ลิทัวเนียเป็นประเทศเล็กๆถูกขนาบข้างด้วยเยอรมันและรัสเซีย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองในปี ..1940 มีชาวยิวจำนวนมากหนีข้ามพรมแดนโปแลนด์เข้ามาในประเทศ
หากทุกคนก็รู้ดีว่ากองทัพนาซีคงจะมาถึงลิทัวเนียในเวลาไม่ช้า และทางรอดเพียงทางเดียวก็คือการเดินทางหนีไปยังประเทศอื่นซึ่งต้องอาศัยวีซ่า

ลิทัวเนียตกอยู่ใต้อาณัติของรัสเซียซึ่งได้ออกคำสั่งให้ประเทศต่างๆถอนสถานฑูตออกไปจากลิทัวเนียทั้งหมด ประกอบกับการออกวีซ่านั้นถูกควบคุมไว้โดยกฏหมายอเมริกา ไม่ว่าประเทศใดยุโรปรวมทั้งรัสเซียต่างก็ปฏิบัติต่อชาวยิวอย่างเย็นชาทีเดียว

สถานฑูตญี่ปุ่นในยามนั้นได้ทำสัญญาไม่รุกรานกับรัสเซียไว้ จึงสามารถเปิดทำการอยู่ได้จนกว่าจะมีคำสั่งย้ายมาถึง และจากการที่ญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบายว่าจะปฏิบัติต่อทุกประเทศโดยเท่าเทียมกันชาวยิวจำนวนมากจึงพากันมาเฝ้ารออยู่หน้าสถานฑูตญี่ปุ่นเพื่อยื่นคำขอให้ออกวีซ่าทรานซิท (Visa Transit)สำหรับใช้เดินทางผ่านญี่ปุ่นไปยังประเทศที่สามอีกที
ในความจริงแล้ว ญี่ปุ่นได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับเยอรมันและอิตาลี การออกวีซ่าให้กับชาวยิวนี้ถูกเกรงว่าจะทำความไม่พอใจให้กับฝ่ายนาซีได้
กระทรวงต่างประเทศจึงตั้งเงื่อนไขในการออกวีซ่าว่าจะออกให้กับบุคคลที่มีรายได้ประจำในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งชาวยิวที่เป็นผู้อพยพย่อมมีน้อยคนที่จะมีคุณสมบัติในข้อนี้ และนี่ก็เท่ากับเป็นการขังชาวยิวนับแสนคนไว้ในลิทัวเนียนั่นเอง

สึกิฮาระลำบากใจต่อสถานการณ์นี้และแสดงความเห็นใจในชาวยิวเป็นอย่างมากเขารู้ว่าเวลามีไม่มากและได้พยายามร้องเรียนไปยังกระทรวงต่างประเทศให้อนุญาตการออกวีซ่าโดยยกเว้นเงื่อนไข

ในวันที่ 23 กรกฎาคม 1940 สถาณฑูตญี่ปุ่นก็ได้รับคำสั่งจากกองทัพรัสเซียให้โยกย้ายออกไปภายในสิ้นเดือนสิงหาคม

วันที่ 25กรกฎาคม 1940สึกิฮาระตัดสินใจละเมิดคำสั่งกระทรวง เขาเดินออกไปหน้าสถานฑูตและประกาศว่าจะออกวีซ่าให้กับชาวยิวด้วยตัวเอง ชาวยิวที่มาเฝ้ารอแต่เช้านั้นไม่ว่าใครต่างก็ตกตะลึง หลายคนพากันโผเข้ากอดกันด้วยความยินดี

มีชาวยิวกว่า 6,000 คนที่ใช้วีซ่าของสึกิฮาระหนีออกจากลิทัวเนียไปได้

ระหว่างการออกวีซ่าเหล่านี้ วีซ่าเกิดหมดลงกลางคันสึกิอุระจึงใช้กฏพิเศษออกวีซ่าฉุกเฉินแทน

วันที่ 28 สิงหาคม หลังจากคำเตือนสามครั้งโดยรัสเซียและโทรเลขด่วนจากญี่ปุ่น สึกิอุระก็จำใจต้องปิดสถานฑูตลงโดยที่ยังมีชาวยิวจำนวนมากเข้าแถวรออยู่ข้างนอก
หากเขาก็ยังออกวีซ่าเองต่อไปกระทั่งในขณะที่รอขึ้นรถไฟไปเบอร์ลินในวันที่ 5กันยายน กล่าวกันว่า สึกิอุระถึงกับยื่นตัวออกมาจากหน้าต่างรถไฟเพื่อเขียนวีซ่าจนนาทีสุดท้ายที่รถไฟจะออกจากชานชาลา และเมื่อรถไฟเริ่มวิ่ง เขาก็บอกกับชาวยิวในที่นั้นทั้งน้ำตา

"ยกโทษให้ผมด้วยผมเขียนไม่ได้แล้ว ขอให้พวกคุณทุกคนจงปลอดภัย"
ชาวยิวหลายคนวิ่งตามรถไฟพร้อมกับตะโกน "สึกิฮาระเราจะไม่ลืมคุณเลย เราจะไปพบคุณอีกครั้งให้ได้"

ฝ่ายสึกิฮาระ หลังจากออกจากลิทัวเนียไปถึงเบอร์ลินแล้ว เขาก็ย้ายไปประจำอยู่ในสถานฑูตญี่ปุ่นตามประเทศต่างๆในยุโรปอีกหลายประเทศ เมื่อสงครามโลกและสงครามแปซิฟิคจบลง เขาและครอบครัวก็ถูกรัสเซียคุมตัวไว้และถูกกักกันอยู่เป็นเวลา 1 ปี

2 ปีหลังจากจบสงครามในปี 1947สึกิฮาระและครอบครัวได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดในที่สุดเมื่อเดือนเมษายน หลังจากนั้นอีกสามเดือน เขาได้รับคำสั่งปลดจากหน้าที่โดยอ้างว่าไม่มีตำแหน่งว่างสำหรับเขาแล้ว ซึ่งในข้อนี้ กล่าวว่าเป็นเพราะที่เขาละเมิดคำสั่ง ทำการออกวีซ่าให้กับชาวยิวนั่นเอง
นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าจะคนละเชื้อชาติ แต่ด้วยความรักจึงยอมช่วยเหลือโดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง
ความรักแท้ต้องสำแดงออกอย่างไม่มีเงื่อนไข ดังความรักของพระเจ้าที่ให้กับเราแม้เราเป็นคนบาป แต่พระองค์ก็รักเราจึงยอมตายไถ่บาปให้เราอย่างไม่มีเงื่อนไข

โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

สำหรับอีกตัวอย่างหนึ่งที่ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ผมขอนำมาแบ่งปันคือ  เหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมัน เกิดขึ้นเมื่อวันที่6 .. .. 1958 เมื่อเครื่องบินของสายการบินบริติชยูโรเปียนแอร์เวย์ส เที่ยวบิน 609 พุ่งชนกับรันเวย์ของสนามบินมิวนิกโดยเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นลำที่ผู้เล่นของทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชุดที่ได้รับการขนามนามว่า "บัสบี เบบส์" โดยสารอยู่ด้วย เหตุการณ์นี้มีผู้โดยสารเสียชีวิต 23 คน จากทั้งหมด 44 คน ซึ่ง8 คนเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ส่วนศพที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่สโมสร, แฟนบอล และนักข่าว นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 3 คน

นาฬิกาที่ระลึกเหตุการณ์
ติดไว้ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
จากเหตุการณ์นี้ทำให้สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีผู้เล่นไม่พอที่จะทำการแข่งขันจนจบฤดูกาล ทำให้ต้องทำเรื่องเพื่อจะขอยืมผู้เล่นจากทีมต่างๆ  ซึ่งแม้แต่ทีมร่วมเมืองเดียวกันอย่างทีมสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิติ้ยังไม่ให้ยืมผู้เล่น  แต่มีทีมสโมสรฟุตบอลเพียง 2 สโมสรเท่านั้นที่ให้ยืมผู้เล่น นั่นคือ ทีมสโมสรฟุตบอลลิวอร์พูลและทีมสโมสรฟุตบอลฟอเรสต์
 

ทีมสโมสรฟุตบอลลิวอร์พูล นั้นเป็นคู่ปรับกับทีมทีมสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาโดยตลอด เวลาที่ทั้ง 2 ทีมมาเจอกัน ก็จะเป็นการแข่งขันแบบดุเดือดเอาเป็นเอาตาย เรียกว่า "ศึกแดงเดือด (Red war match)
 
แต่เนื่องจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไข อาจจะดูเป็นคู่ปรับในสนาม แต่ถึงเวลาที่ยากลำบากเราทั้งหลายก็ต่างเป็น "พี่น้องร่วมอาชีพพี่น้องร่วมชาติ" ก็ยินดีเสียสละและช่วยเหลือกัน ตามสโลแกนของสโมสรลิเวอร์พูล นั่นคือ
"คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย" You'll never walk alone .
ในทุกวันนี้ทั้ง 2 ทีมก็ยังเป็นคู่รักคู่แค้น ในการแข่งขันในสนาม แต่นอกสนามก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  เพราะความรักที่ไม่มีเงื่อนไข หวังว่าเราคงจะได้รับตัวอย่างจากต่างประเทศแล้วกลับมามองประเทศไทยของเรา แม้เราอาจจะใส่เสือคนละสี มีความชอบหลากหลาย มีพรรคการเมืองหลากหลายแต่ขอให้ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ สุขสันต์วันวาเลนไทน์

04 กุมภาพันธ์ 2556

คำอธิษฐานอวยพรในเดือนอาดาร์

คำอธิษฐานอวยพรในเดือนอาดาร์ 5773(วันที่ 11ก.พ.-12 มี.ค.2013)
(เดือนที่ 12 ตามปฎิทินยิวแบบราชการ เดือนที่ตามปฏิทินยิวแบบศาสนา(Ecclesiastical year) เดือนที่ 6 ตามปฎิทินยิวแบบราชการ(Civil year) 
ในปีพิเศษ ปีอธิกมาส (leap year ) คือปีปฏิทินทางสุริยคติที่มีจำนวนวันทั้งหมดรวมเป็น 366 วัน เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน   จะมีเดือนอาดาร์ 2 เดือน)


1.เดือนแห่งเผ่านัฟทาลี ซึ่งหมายถึง "ความหวานต่อฉัน" นี่เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเพื่อว่าคำแช่งสาปจะถูกล้างและสิ่งต่างๆกลับกลายเป็นหวานสำหรับคุณ ใน ฉธบ.33:23 เราเห็นได้ว่า เผ่านัฟทาลี "เต็มด้วยพระพรที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า"
(เผ่านัฟทาลีเป็นเผ่าแห่งนักประพันธ์ เป็นบุตรคนที่ 6 ของยาโคบ เกิดจากนางบิลฮาร์สาวใช้
นางบิลฮาห์ ได้มีบุตรชายให้แก่ยาโคบคนแรก คือ ดาน ต่อมานางก็ตั้งครรภ์อีก และมีบุตรชายให้แก่ยาโคบ นางราเชล ผู้เป็นนายหญิงจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าปล้ำสู้กับพี่สาวของข้าพเจ้าเสียใหญ่โต และข้าพเจ้าได้ชัยชนะแล้ว"(ปฐก.30:7-8) นางราเชลจึงให้ชื่อเด็กนั้นว่า นัฟทาลี ซึ่งมาจากคำภาษาฮีบรู ที่ออกเสียงว่า นิฟทาล)


2.เดือนแห่งการสื่อสารที่คล่องแคล่วและการแสดงออกซึ่งความยินดีและเสียงหัวเราะ ปฐก.49:21 "นัฟทาลีเป็นกวางตัวเมียที่ถูกปล่อย ผู้ให้กำเนิดลูกกวางงดงาม" (บางเล่มใช้คำว่า ถ้อยคำที่สวยงาม) เราต้องอยู่ใน "อารมณ์เฉลิมฉลอง" เราต้องฉลองการจบรอบ ประกาศว่าพระเจ้าได้นำเราออกจากวงจรเก่าและเข้าไปสู่ยุคแห่งความโปรดปรานมาก

3.เดือนประจำราศีมีน - คือปลา การพบสิ่งจำเป็นในโลกที่ซ่อนอยู่ (เช่น เหรียญทองในปากปลา) มีอัตลักษณ์ของคุณในโลกที่มองไม่เห็น อย่าเอาแต่ภาคปฏิบัติ (คืออยากที่จะทำตามคนอื่นเพื่อให้ถูกยอมรับ) เราต้องหาอัตลักษณ์ฝ่ายวิญญาณของเราให้เจอ

4.อัตลักษณ์ที่แท้จริงของคุณควรจะต้องเริ่มสะท้อนออกมาให้เห็นแล้วในเดือนนี้ ทั้งฝ่ายวิญญาณและกายภาพ พระเจ้าได้กำหนดวงจรขึ้นมาแล้วเพื่อช่วยให้เรามาถึงอัตลักษณ์ของเรา - ฝ่ายวิญญาณสะท้อนให้เห็นทางกายภาพ

5.เดือนของตัวอักษร "คาฟ" (ตัวอักษรฮีบรูนี้ดูคล้ายกับหน้ากาก) นี่คือเวลาที่จะถอดหน้ากากทั้งหมดและเข้าไปสู่เสียงหัวเราะ คุณต้องถอดหน้ากากออกและเข้าไปสู่ความยินดีที่แท้จริงที่คุณรู้ว่าคุณคือใคร

6.เดือนที่จะกำจัดความกังวลและวุ่นวายใจ ซึ่งรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยดำรงชีพ ถ้าคุณกำจัดความกังวลไปได้ คุณจะได้เห็นปัจจัยเหล่านั้น ถ้าคุณถูกความกังวลครอบครอง คุณจะไม่สามารถเห็นการจัดสรรที่พระเจ้ามีไว้สำหรับคุณ (ฟป 4:6-7)

7.เดือนแห่งเสียงหัวเราะ ความยินดีอันอุดม การเป็นพยานว่าชีวิตเข้ามาในความมืด แสงสว่างที่โดดเด่นขึ้นเหนือความมืด อำนาจของความแห้งแล้งถูกทำลาย ไม่ว่าความมืดนั้นจะเป็นอะไร จงหัวเราะและคอยดูพระเจ้าทรงทะลวงมัน แสงสว่างจะทะลวงความมืดเมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้ และความแห้งแล้งจะถูกทำลาย จงเริ่มหัวเราะใส่ความกลัว (สดด.34:4-6)

8.เดือนแห่งม้าม จงดึงรากของความตกต่ำและสิ้นหวัง เพื่อว่าความเชื่อจะทะลุผ่านกระบวนความคิดของเราออกมาได้

9.เดือนที่โมเสสถือกำเนิด มันหมายความว่าการปลดปล่อยกำลังเริ่มขึ้นแล้ว จงดู การปลดปล่อยกำลังเริ่มขึ้นแล้วสำหรับคุณ จงจ้องสิ่งที่ล่ามคุณไว้แล้วประกาศสัจจะแห่งพระเจ้าออกมา จงประกาศว่าพระองค์ได้เริ่มต้นการปลดปล่อยและอิสรภาพสำหรับคุณแล้ว และมันกำลังจะมาถึง! (อพย 2:10)

10.เดือนที่จะพัฒนายุทธศาสตร์สงครามของคุณเพื่อต่อสู้กับวิญญาณแห่งปฏิปักษ์พระคริสต์
อย่าปล่อยให้ยักษ์ทำให้คุณกลัว จงตั้งมั่นต่อสู้การไหว้รูปเคารพ อามาเลขพยายามที่จะเข้ามา อย่าอยู่ในความกลัวจนสิ้นปี ข้าพเจ้าชอบพระธรรม อพย 17:8-16 เมื่อมือของโมเสสชูขึ้น อิสราเอลก็ได้รับชัยชนะ เมื่อมือของเขาลดต่ำลง ชาวอิสราเอลก็เริ่มถูกโจมตี สำหรับเราแล้ว นี่หมายความว่า เราสามารถให้มือของเราถูกยกขึ้นอยู่ตลอดโดยการอยู่ในความเชื่อและความยินดี ซึ่งจะทำให้เรารักษาชัยชนะไว้ได้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า

11.เป็นเวลาที่คำสบประมาทคุณจะถูกถอดถอน
(ถ้าคุณใส่ใจในคำเหล่านั้น มันก็จะล้อมคุณไว้แล้วทำให้คนอื่นพูดสิ่งแง่ลบเกี่ยวกับตัวคุณ) คุณจำเป็นต้องทุบคำสบประมาทแง่ลบเกี่ยวกับตัวคุณทิ้งซะ ข้าพเจ้าแนะนำให้อธิษฐานและขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเปิดเผยคำสบประมาทเหล่านั้น ทั้งที่ตัวคุณสร้างเอง และที่คนอื่นกล่าวถึง จงยกโทษให้กับคนที่กล่าวมันออกมา วางพระโลหิตพระเยซูบนคำเหล่านั้นและหักมันลงด้วยพระนามของพระเยซู

12.เป็นเวลาที่ผู้นำต้องตื่นขึ้นแล้ว - เดือนหน้าเขาจะต้องก้าวสู่สงคราม


(ข้อมูลจาก :http://arise5.com/#/hebrew-months )

(เกร็ดความรู้เพิ่มเติม ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ.13 ประเทศอิสราเอลมีการเฉลิมฉลองเทศกาล "ปูริม" ต้นกำเนิดของเทศกาลปุริมอยู่ในหนังสือ เอสเธอร์ เป็นการฉลองที่น่าตื่นเต้นระลึกถึงสมัยพระราชาอาหสุเอรัสแห่งเปอร์เชียร์ที่ เอสเธอร์กับโมรเดคัยลูกพี่ลุกน้องของเธอช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากการถูกฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ (ปุริม มาจากภาษาฮีบรู แปลว่า สลาก) เป็นการอ้างอิงถึงการทอดสลากของฮามาน เพื่อหาวันที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวผู้ใหญ่และเด็ก มักจะแต่งตัวสวยงาม และมีการละเล่นพื้นเมืองต่างๆที่เรียกกันว่า "ปุริมสปีล" และมีคุกกี้ชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า "ฮามานตาชิน" (อสธ.3;7;9:24,26)