31 มีนาคม 2554

ยึดสมอไว้เสมอ

“จะเห็นคุณค่าของสมอ เราต้องสัมผัสกับลมพายุ”

(To realize the worth of the anchor, we need to feel the storm.)

ฮีบรู 6:19 ความหวังที่เรายึดนั้นเป็นเสมือนสมอที่แน่และมั่นคงของจิตใจ ...

พระเจ้าทรงเป็นความหวังของเราเสมอ แม้คลื่นลมแห่งความยากลำบาก ความหวังใจเป็นสมอที่ยึดเราไว้

โดยปกติแล้ว“คริสตจักร” ต่าง ๆ ที่อยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ แทบไม่ได้เป็นที่สนใจของชุมชนอันเป็นที่ตั้งเลย เปรียบ เสมือนกับ “สมอเรือ” ที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนในเรือ จนกระทั่งเรือเผชิญกับคลื่นลมพายุที่ซัดใส่ หากไม่มีอะไรยึดเรือไว้ เรือก็อาจถูกซัดไปซัดมาจนไร้ทิศทาง ออกนอกเส้นทางการเดินเรือจนอาจหลงทางหรืออาจไปกระแทกเข้ากับหินโสโครก จนอับปางลงก็ได้

ดังนั้น การมีสมอเรือช่วยยึดเรือไว้จึงจะทำให้ เรือ คนและสิ่งของที่อยู่บนเรือปลอดภัย!

ในยามที่เผชิญกับลมมรสุมแปรปรวนเช่นนี้เองที่ “สมอเรือ” มีบทบาทสำคัญขึ้นมาในทันที

คริสตจักรที่อยู่ท่ามกลางที่ปลอดภัยไร้ปัญหาหรือไร้ความกังวลใด ๆ คือคริสตจักรที่เปรียบเสมือสมอใน เรือที่แล่นลอยอยู่ในทะเลหรือมหาสมุทรที่ปลอดคลื่น คริสตจักรเช่นที่ว่านี้ แทบถูกมองข้ามความสำคัญไปอย่างสิ้นเชิง ดีไม่ดีอาจมีคนรู้สึกว่าเกะกะและกินพื้นที่ของชุมชนเสียด้วยซ้ำ

แต่ในยามที่ชุมชนมากมายกำลังประสบภัยวิบัติภัยนานาชาติ ทั้งภัยน้ำท่วม ภัยหนาว (หรือภัยแล้ง) และอื่น ๆ

คริสตจักร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่) กำลังมีโอกาสสำแดงคุณค่าของตนเอง แต่โอกาสดังกล่าวจะมีอยู่เพียง สั้น ๆ เสมือนกับสมอเรือที่จะมีเวลาให้ใช้อยู่เพียงช่วงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น หลังจากนั้นต้องถอนสมอเรือขึ้นมาเก็บ!

หรือเปรียบเสมือนกับภายในบ้านที่มีเทียน ตะเกียงหรือไฟฉายสิ่งที่กล่าวมานั้นแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย จนกว่าวันนั้นไฟฟ้าดับ!

เช่นเดียวกัน…เรารู้ค่าของคริสตจักรและชุมชนคริสเตียนเมื่อเกิดอุบัติภัย ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ

ในยามวิกฤติเช่นนั้น คริสตจักรหรือชุมชนคริสตชน จะต้องรีบสำแดงคุณค่าของตนเองต่อผู้อื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากว่าคริสตจักรหรือคริสตชน เพิกเฉย โอกาสดังกล่าวก็จะผ่านพ้นหรือหลุดลอยไป

คำแนะนำของอาจารย์เปาโลที่ว่า…

“… จงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญหา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส…(อฟ.5:15-16)

บางทีคริสตจักรหรือคริสตชนในที่แห่ง นั้นอาจเป็นเหยื่อของวิบัติภัยร่วมกับคนอื่น ๆ ในชุมชนด้วย ทำให้ต้องสาละวนกับการช่วยเหลือตัวเองอยู่ ซึ่งก็เห็นใจ พอเข้าใจ และรับได้!

อย่างไรก็ตาม คริสตจักรและคริสตชนในพื้นที่นั้น ๆ จะต้องไม่ลืมถามตัวเองว่า “เราดำรงอยู่ในพื้นที่นั้น” เพื่ออะไร?

องค์พระเยซูกำชับให้เรารู้บทบาทของเราว่า พระองค์ทรงตั้งเราให้เป็นความสว่างของชุมชนนั้น เราจึงเป็นดุจ ตะเกียง หรือ ไฟฉายที่มีประโยชน์ในยามที่ไฟดับ! เราจึงควรเป็นดุจสมอในยามที่เรือเผชิญกับคลื่นลมแรง!

เราสำแดงคุณประโยชน์เป็นพรต่อคนเหล่านั้นในวิกฤตกาลเช่นนั้นควบคู่ไปกับ การช่วยเหลือตัวของเราเอง มิฉะนั้น โอกาสทองของเราจะผ่านพ้นไปหลังจากที่เราช่วยตัวเองแล้ว เพราะต่อให้เราพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่น ก็อาจสายเกินไปแล้ว เนื่องจากพวกเขาช่วยตัวเองได้แล้วเช่นกัน เหมือน ตะเกียง และ ไฟฉาย จะหมดความหมายลงในทันทีที่ไฟฟ้าติดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

สมอเรือจึงหมดความหมายแล้ว เมื่อคลื่นลมไม่มี!

ดังนั้น ขอให้คุณจงถามตัวเองว่า วันนี้ คุณได้สำแดงคุณค่าของคุณต่อสังคมรอบตัวของคุณอย่างไรบ้าง ก่อนโอกาสทำดีของคุณจะผ่านพ้นไป?

ท่านทั้งหลายก็เหมือน กับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มธ.5:16)

(ข้อมูลจากบทความของ ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์)

23 มีนาคม 2554

การรื้อฟื้นคืนสู่สภาพดี

จากสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่มีเหตุการณ์สึนามิ แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น สงครามกลางเมืองในลิเบียและเหตุการณ์กันดารอาหารในที่ต่างๆ ทั่วโลก ผมได้นึกถึงถ้อยคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ในบทที่ 35:1-6 คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำในชุมชนของพระเจ้า(คริสตจักร)ในวาระสุดท้าย การรื้อฟื้นคืนสู่สภาพดี”

เมื่อคนของพระเจ้าไม่ตื่นตระหนก แต่ตระหนักว่าถึงเวลาที่เราต้องกลับใจ กลับมาแสวงหาพระเจ้ามากขึ้น เพื่อขอการรื้อฟื้นคืนสู่สภาพดี เพราะเราได้ทำบาปจึงทำให้เราเสื่อมไปจากพระสิริของพระเจ้า(รม.3:23)ในครั้งนี้พระเจ้าต้องการรื้อฟื้นพระสิริของพระองค์ในชีวิตของเรา

1 ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก อย่างต้นดอกฝรั่น
2
มันจะออกดอกอุดม และเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานและการร้องเพลง ศักดิ์ศรีของเลบานอนก็จะประทานให้มัน ทั้งความโอ่อ่าตระการของคารเมลและชาโรน ที่เหล่านี้จะเห็นพระสิริของพระเจ้า ความโอ่อ่าตระการของพระเจ้าของพวกเรา
3
จงหนุนกำลังของมือที่อ่อน และกระทำหัวเข่าที่อ่อนให้มั่นคง
4
จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า "จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลาย จะเสด็จมาด้วยการแก้แค้น พระองค์จะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด ด้วยการตอบแทนของพระเจ้า"
5
แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะเปิดออก แล้วหูของคนหูหนวกจะเบิก
6
แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงด้วยความชื่นบาน เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในป่าดอน และลำธารจะพลุ่งขึ้นในทะเลทราย

จากพระธรรมตอนนี้ เป็นสภาพของคนอิสราเอลต้องเผชิญกับสงคราม และความยากลำบาก ที่เป็นผลพวงจากความบาปจากการทอดทิ้งของพระเจ้า อิสราเอลต้องทุกข์ลำบากอย่างแสนสาหัสจากการรุกรานของชนชาติอัสซีเรีย ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อตีสอน ให้อิสราเอลกลับมาหาพระเจ้า เป็นการรื้อฟื้นคืนสู่สภาพดี เป็นดังภาพ "ฟ้าหลังฝนของคนกลับใจ"

จากสิ่งสลักหักพังจากการถูกเผาทำลาย กลายเป็นสิ่งใหม่ ฝนได้มาทำให้สิ่งมีชีวิตได้งอกงามขึ้นมาใหม่

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ลุกขึ้นเตือนสติให้เขารู้ถึงที่มาของความทุกข์ยาก และให้กลับใจจากบาป พระองค์เปิดเผยให้รู้ถึงแผนการแห่งการช่วยกู้ ชัยชนะและอนาคตที่สดใสในกายภาคหน้า

1 การเกิดผลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (ข้อ 1-2ก)

อิสยาห์เปรียบเทียบภาพแห่งความทุกข์ที่อาณาจักรยูดาห์ถูกล้อมไว้ในยามสงคราม เหมือนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงยอมให้ชนชาติของพระองค์เผชิญกับความทุกข์ยากแต่เมื่อถึงเวลาอัน เหมาะสมแล้ว พระองค์ก็จะแทรงแซงและช่วยกู้ ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก เสียงคร่ำครวญร้องไห้กับกลายเป็นเสียงแห่งความปิติยินดี ...และเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานและการร้องเพลง

เช่นเดียวกับคริสตจักรที่เคยสูญเสียสภาพฝ่ายวิญญาณเป็นเวลานานจะได้สัมผัส ถึงความรู้สึกใหม่ของการเยียวยา พระเจ้าทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นเพราะข่าวประเสริฐที่แพร่ออกไปจะเป็นดังสายน้ำ ที่รดผืนดินให้ชุ่มฉ่ำ คนมากมายจะกลับมาหาพระเจ้าและได้รับความชุ่มฉ่ำในพระองค์ (มธ.24:14)

2 การเทลงมาของพระสิริพระเจ้า ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน (ข้อ 2ข)

...ศักดิ์ศรีของเลบานอนก็จะประทานให้มัน ทั้งความโอ่อ่าตระการของคารเมลและชาโรน ที่เหล่านี้จะเห็นพระสิริของพระเจ้า ความโอ่อ่าตระการของพระเจ้าของพวกเรา

คำว่า พระสิริ ในรากศัพท์ภาษาเดิม ("Kabod" ซึ่งเป็นรากศัพท์ของ"ความมีน้ำหนัก" หรือ "ความมีค่าคู่ควร" )ให้ความหมายถึง เกียรติ ความงดงาม"

ในวาระสุดท้ายพระเจ้าจะกระทำให้ผู้คนเห็นพระสิริของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ในพระวจนะข้อนี้ภูเขาเลบานอน ภูเขาคารเมล ทุ่งชาโรน สถานที่ทั้ง3 แห่งนี้เป็นภาพของสง่าราศี ความมีเกียรติ ซึ่งสะท้อนไปถึงความยิ่งใหญ่ พระเกียรติและพระสิริของพระเจ้า ที่คนจะสามารถประจักษ์อย่างแจ่มชัดในวาระสุดท้าย

เราทุกคนจะนมัสการพระเจ้าในระดับแห่งพระสิริที่สูงขึ้นมากกว่าระดับสายตาที่เรามองจะมองเห็น

ลึกเกินกว่าความเข้าใจในฝ่ายวิญญาณที่เราจะรู้จัก และกว้างมากขึ้นในความเข้าใจแห่งอารมณ์ความรู้สึกที่เราจะสัมผัสได้ เพราะมิติแห่งพระสิริ ไม่มีความจำกัด

3 การพิพากษาศัตรูของเราอย่างเด็ดขาดที่ไม่เคยทำมาก่อน (ข้อ 3-4)

3 จงหนุนกำลังของมือที่อ่อน และกระทำหัวเข่าที่อ่อนให้มั่นคง
4
จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า "จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลาย จะเสด็จมาด้วยการแก้แค้น พระองค์จะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด ด้วยการตอบแทนของพระเจ้า"

พระวจนะข้อนี้กล่าวถึง มือและเข่า ที่อ่อนกำลัง เป็นสภาพความรู้สึกของคนอิสราเอลในเวลานั้นที่ถูกข้าศึก คืออัสซีเรีย บุกเข้าโจมตีโดยล้อมกรุงเยรูซาเล็มไว้ ทหารอิสราเอลในเวลานั้น รู้สึกหมดแรงเพราะความกลัว พวกเขาเห็นว่าทหารของศัตรูมีกำลังเข้มแข็งเหนือกว่าตนเอง เช่นเดียวกับในยามที่เรามองเห็นอุปสรรคปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ แต่พระวจนะกล่าวว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกปัญหา พระองค์จะทรงจัดการกับผู้ที่ขัดขวางแผนการของพระองค์ นั่นคือ มารซาตาน ซึ่งถือเป็นปฏิปักษ์ของพระองค์ พระเจ้าจะไม่ปล่อยไว้ แต่จะทรงจดจำเพื่อพิพากษาโทษอย่างสาสมในวันสุดท้าย (วว.20:10)

วันนี้ให้เรามีกำลังขึ้น ยกมือที่อ่อนล้าขึ้นเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และถ่อมใจให้หัวเข่าที่อ่อนกำลัง ได้นั่งลงเพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า เมื่อก่อนอาจะจะใช้หัวคิดมากกว่า หัวเข่า แต่วันนี้เราต้องใช้หัวเข่าในการทรุดตัวลงอธิษฐานต่อพระเจ้า และยกเสียงของเราเพื่อสรรเสริญพระเจ้า

เสียงแห่งการนมัสการจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ และศัตรูของเราคือมารจะถูกจัดการขั้นเด็ดขาดจากพระเจ้า

4 หมายสำคัญการอัศจรรย์จะเกิดขึ้นมากกว่ายุคก่อน (ข้อ 5-6)
ในวาระสุดท้าย พระเจ้าจะสำแดงฤทธานุภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านความเชื่อของธรรมิกชน พระวจนะให้ภาพของฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่กระทำการอัศจรรย์ ให้นัยน์ตาของคนตาบอดมองเห็นได้ คนหูหนวกสามารถได้ยินเสียงและภาพของคนง่อยที่จะกระโดดได้อย่างกวางและคนใบ้ ที่จะร้องเพลงแห่งความชื่นบานได้ (มธ.11:1-6) สิ่งเหล่านี้ คือ ฤทธิ์เดชที่พระเยซูทรงเคยกระทำมาแล้วในขณะที่ทรงดำเนินอยู่บนโลก และจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์ใกล้เสด็จกลับมา เราจะเห็นหมายสำคัญการอัศจรรย์จะเกิดขึ้นมากกว่ายุคก่อน การอัศจรรย์ที่เกินธรรมชาติจะเป็นเรื่องที่ธรรมดาในวิถีชีวิตของเรา ถ้าเรามีความเชื่อ สิ่งที่เราจะ
ทำไม่ได้จะไม่มีเลย ขอให้เราตั้งมั่นคง และทำส่วนของเราที่เป็นไปได้ให้มากที่สุด และพระเจ้าจะทำในส่วนที่เป็นไปไม่ได้ให้กับเรา

1โครินธ์ 15:58 เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้าท่านจงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าการของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้

ลงข่าวคริสตชน วันที่ 23 มี.ค.2011, ลงในบทความของ Web.CBNsiam.com, ลงข่าวหนังสือพิมพ์ Thai Texas news

15 มีนาคม 2554

ตักเตือนใจไม่ให้หลง

คริสตจักรที่ดำเนินชีวิตในยุคสุดท้าย


ตอนที่ 2 “ตักเตือนใจไม่ให้หลง”


สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ผมได้เขียนบทความในเรื่อง "ได้เวลาตื่นตระหนัก" เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2010 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยให้เรา ได้เริ่มตระหนัก เพราะในโลกนี้มีเหตุการณ์ที่สะท้อนว่าเวลาวันของพระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว ตามที่พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวไว้ใน


มัทธิว 24:7 เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ


ในวันที่ 11 มีนาคม 2011ที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์โศกนาฏกรรมสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นยืนยันยอดเหยื่อแผ่นดินไหวเกิดสึนามิมากกว่า 700 ราย สื่อคาดว่าน่าจะสูงถึง 1,600 คน สถิติแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ประมาณ 8.9 ริคเตอร์ เป็นเหตุการณ์ที่หนักมากที่สุดในรอบ 300 ปี


นายกรัฐมนตรี นาโอโตะ คัง แถลงข่าวหลังการประชุมของคณะทำงานบรรเทาภัยพิบัติฉุกเฉิน โดยยอมรับว่าแผ่นดินไหวได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง และให้คำมั่นว่าจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของประชาชน และจำกัดผลกระทบจากแผ่นดินไหวให้น้อยที่สุด พร้อมกับขอให้ประชาชนเฝ้าติดตามข่าวทางทีวีและวิทยุ และอยู่ในความสงบ

นั่นเป็นการเตือนใจเรา ทำให้เราต้องกลับมาสู่ทางที่ถูกต้องในทางพระเจ้า ไม่อย่างนั้นเราอาจจะหลงไปกับวิถีทางของโลก ที่นำใจเราออกห่างจากทางพระเจ้า

ขอบพระคุณพระเจ้าที่รักเราจึงให้การ"ตักเตือน"ของพระองค์ทำให้เราได้ "กลับใจใหม่" ขอบคุณพระเจ้าสำหรับจากการ "ตีสอน" ของพระองค์ ที่่ทำให้เรา "กลับมา"หาพระองค์ไม่หลงทางหลงหายไป


วิวรณ์ 3:19 เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจเสียใหม่
ฮีบรู 12:6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น
ฮีบรู 12:11 เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง


ในครั้งนี้ผมจึงเขียนเรื่อง คริสตจักรที่ดำเนินชีวิตในยุคสุดท้าย เป็นตอน ที่ 2 ให้ชื่อว่า “ตักเตือนใจไม่ให้หลง”
โดยนำหลักการจากจดหมายถึงคริสตจักรทั้ง 7 ในแคว้นเอเชียจากพระธรรมวิวรณ์(บทที่2-3) เขียนโดยอัครสาวกยอห์น นำมาสรุปเป็นข้อเตือนใจดังนี้
1.คริสตจักรเมือง เอเฟซัส (วว.2:1-7) "เตือนใจให้กลับสู่ความรักดั้งเดิม"

คริสตจักรเมือง เอเฟซัสเป็นคริสตจักรที่มี จุดที่ดี(2-3,6) คือความอดทนต่อความเหนื่อยยาก ไม่สามารถต่อทุรชน และคนมุสา เกลียดพวกนิโคเลาส์ (เป็นผู้เชื่อ ซึ่งประนีประนอมกับความบาป ตั้งตัวเป็นอัครทูตเทียมเท็จ) แต่มีจุดเสียคือ ละทิ้งความรักดั้งเดิม(4-5) คือ ความรักแบบพระคริสต์ พระเจ้าปรารถนาให้กลับใจเสียใหม่ เพราะพระองค์มีรางวัลคือกินผลจากต้นไม้แห่งชีวิต(7)
... ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นกินผลจากต้นไม้แห่งชีวิต ที่อยู่ในอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า"

ดังนั้นเราจึงต้องรักษาชีวิตของเราไม่ให้ล่วงหล่นจากความรักของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักเราแบบไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าสถานการณ์โลกจะเป็นเช่นไร เราสามารถเผชิญสิ่งต่างๆได้ ความรักของพระองค์ทำให้เรามีชัยชนะในทุกสถานการณ์ (รม.8:35-37)

35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ
37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย

2.คริสตจักร เมืองสเมอร์นา (วว.2:8-11)
"เตือนใจให้ผ่านบททดสอบ แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร"

เป็นคริสตจักรที่มี
จุดที่ดี (8-9) คือยอมทนทุกข์ลำบากและยากจนแม้ว่าถูดทดลองโดยมาร พระเจ้าหนุนใจว่าจงมีใจมั่นคงอยู่ตราบเท่าวันตายจะได้รับรางวัล คือไม่ต้องตายครั้งที่สองและได้มงกุฏแห่งชีวิต(10-11)

10 ...
และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า


11 ...ผู้ที่มีชัยชนะจะไม่ได้รับอันตรายจากความตายครั้งที่สองเลย"





ดังนั้นเราจึงต้องรักษาชีวิตให้ผ่านบททดสอบจากพระเจ้า แม้มารมาทดลองเราให้ทำบาป แต่เราต้องไม่ยอมแพ้ ถ้ายอมแพ้ก็จะกลายเป็นถ่าน แต่ทดสอบสอบผ่านก็จะเป็นดังเพชรที่นำมาประดับที่มงกุฏแห่งชีวิตที่จะได้สวมใส่


ยากอบ 1:12 คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้วเขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์




3.คริสตจักรเมืองเปอร์กามัม (วว.2:12-17)



"เตือนใจให้มีความอดทน ทนอด ดีกว่าทำบาป"



เป็นคริสตจักรที่มีจุดดี(13)คือยึดนามของพระเยซูคริสต์ไว้มั่นไม่ปฎิเสธความเชื่อ จุดเสีย(14-15)คือ บางคนถือคำสอนของบาลาอัมกินของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพแล้วและให้เขาล่วง ประเวณี บางคนยึดคำสอนของพวกนิโคเลาส์นิยม พระเจ้าหนุนใจให้กลับใจเสียใหม่ เพื่อได้รางวัลคือให้รับมานา คือ อาหารทิพย์และให้หินขาวคือจารึกชื่อไว้(17)

17... เราจะให้มานา ที่ซ่อนอยู่แก่ผู้ที่มีชัยชนะ และจะให้หินขาวแก่เขาด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น"

ดังนั้นเราจึงต้องรักษาชีวิตในความเชื่อแม้ว่าเผชิญความยากลำบาก ยอมอดอาหารดีกว่าทำผิดหลักการ ตัวอย่างดาเนียลยอมไม่รับประทานอาหารสูงของพระราชาและยอมถุกขุมขังดีกว่าต้องทำผิดหลักการกราบไหว้รูปเคารพ พระเจ้าทรงดูแลและอวยพระพรชีวิตของเขาให้มีความจำเริญขึ้น พระเจ้าทรงเลี้ยงดูคนอิสราเอลด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร(อพย.16) พระองค์จะประทานการจัดสรรให้กับคนของพระองค์ในทุกสถานการณ์ บำเหน็จจะเป็นของผู้เชื่อ ชื่อจะอยู่ในหอเกียรติยศ(Hall of fame)แห่งสวรรค์
4.คริสตจักรเมืองธิยาทิรา (วว.2:18-28)
"เตือนใจให้ปลดแอกเยเซเบล"

เป็นคริสตจักรที่มี
จุดที่ดี(19)คือมีความรัก ความเชื่อ การปรนนิบัติ และความอดทน
จุดเสีย (20-24)คือ
ทนฟังผู้หญิง ชื่อเยเซเบลที่ยกตัวขึ้นเป็นผู้เผยพระวจนะ ล่อลวงให้ล่วงประเวณี และให้กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว ข้อแก้ไข(25)คือ จงยึดความรัก ความเชื่อ การปรนนิบัติ และความอดทนไว้ให้มั่น รางวัลที่จะได้รับคือได้รับมอบดาวประจำรุ่ง คือ พระเยซูคริสต์ ให้มีอำนาจครอบครองบรรดาประชาชาติ

28
และเราจะมอบดาวประจำรุ่งให้แก่ผู้นั้น

ดังนั้นเราจึงต้องมีชีวิตที่ติดสนิทนำมาซึ่งสิทธิอำนาจ เราจึงต้อง
ปลดแอกที่แบกภาระหนัก เข้ามาพักสงบในพระเจ้า
มัทธิว 11:28-30

28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"



5.คริสตจักรเมืองซาร์ดิส (วว.3:1-6)"เตือนใจให้ตื่นตัวก่อนตัวตาย"



เป็นคริสตจักรที่มีข้อดี(4)คือไม่ได้กระทำให้เสื้อผ้าเป็นมลทิน แสดงถึงการรักษาตนให้บริสุทธิ์ ข้อเสีย(2-3) คือมีชีวิตแต่จิตวิญญาณตายแล้ว พระเจ้าหนุนใจจงตื่นขึ้น และไม่ลบชื่อออกจากหนังสือแห่งชีวิต และได้รางวัลคือได้รับรองชื่อต่อพระพักตร์พระบิดา และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์(5)

5 ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรองชื่อผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์
ข้อคิดคือเราต้องตื่นตัวอยู่เสมอ อย่าให้จิตวิญญาณตายด้าน ชาชินกับความผิดบาป เมื่อทำบาปต้องกลับใจ กลับมาหาพระเจ้า อย่าคิดว่าชื่อของเราอยู่ในสวรรค์ แต่หากไม่ดำเนินชีวิต ชื่ออาจจะลบออกได้หากไม่เดินอย่างถูกต้องในทางพระเจ้า เราต้องขอพระเจ้าเปลี่ยนแปลงของเราอยู่เสมอ ให้พระองค์ฟื้นฟูชีวิต ฟื้นจิตวิญญาณไม่ให้ตายด้านไปเพราะบาปครอบงำ แต่ให้พระคุณครอบนำเราไปสู่ชีวิต
โรม 5:21 เพื่อว่าบาปได้ครอบงำ ทำให้ถึงซึ่งความตายฉันใด พระคุณก็ครอบงำด้วยความชอบธรรมให้ถึงซึ่งชีวิตนิรันดร์ โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น


6.
คริสตจักร เมืองฟิลาเดลเฟีย (วว.3:7-13) "เตือนใจให้อดทน ยึดมั่นในสิ่งที่มี"
เป็นคริสตจักรที่ไม่มีคำติมีแต่ชมว่าประพฤติตามคำของพระเจ้า และไม่ได้ปฎิเสธนามของพระเยซูคริสต์ แม้ว่า มีกำลังเพียงเล็กน้อย รางวัลที่ได้รับคือพระเจ้าจะเปิดประตูพระวิหาร จารึกพระนามพระเจ้า และ ชื่อเมืองนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์ในตัวของเขา

12...
เราจะตั้งให้ผู้นั้นเป็นหลักอยู่ในพระวิหารแห่งพระเจ้าของเรา และผู้นั้นจะไม่ออกไปนอกพระวิหารอีกเลย และที่ตัวของผู้นั้นเราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราไว้ที่ผู้นั้นด้วย

เราจึงต้องดำเนินชีวิตเลียนแบบคริสตจักร
ฟิลาเดลเฟีย คือ อดทน ยึดมั่นในสิ่งที่มีประพฤติตามคำของพระเจ้า



7.คริสตจักรเมือง เลาดิเซีย (วว.3:14-22)"เตือนใจว่าได้เวลาใช้ยาทาตา ใส่เสื้อผ้าชอบธรรม"



เป็นคริสตจักรที่มีไม่มีจุดที่ดีเลย ข้อเสียมากมายเป็นคริสตจักรที่น่าสงสารที่สุด เป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นไม่ร้อน เป็นคนแร้นแค้นเข็ญใจ คนขัดสน คนตาบอด และเปลือยกาย หมายความว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ยังมีทางแก้ไข(18)คือ กลับใจใหม่ โดยการซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วจากพระองค์ ซื้อเสื้อผ้าสีขาวเพื่อนุ่งห่มให้พ้นจากความอับอาย ที่ต้องเปลือยกาย หมายถึงชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์


ซื้อยาทาตา ให้แลเห็นหมายถึง ได้เห็นความสว่างและความจริงของพระองค์



รางวัลที่จะได้เมื่อกลับใจคือนั่งกับพระเยซูคริสต์บนพระที่นั่ง และรับประทานอาหารร่วมกับพระองค์



ฉะนั้นคริสตจักรทั้ง 7 แห่งเป็นผู้แทนของคริสตจักรทั้งหลายในโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แสดงว่าทุกคริสตจักรมีจุดที่ดี และจุดที่เสียไม่สมบูรณ์แบบ แต่ทุกคริสตจักรต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้คริสตจักรเป็นคริสตจักรบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าจึงจะทรงอวยพระพรแก่คริสตจักรที่รับใช้พระองค์อย่างแท้จริง



ดังนั้นการตักเตือนใจของพระเจ้าจะทำให้เราไม่ให้หลงทางและจะนำไปสู่การหลงหาย เพราะว่ามารมาล่อลวงให้หลงกล เราจึงต้องรับการตักเตือนเพื่อเราจะกลับ ใจและกลับมาหา แม้ว่าหลายครั้งเราต้องหยุดฟังเพื่อรับการตักเตือนจากพระเจ้า อาจจะเสียเวลาแต่ดีกว่าเสียใจไปตลอดชีวิต ขอพระเจ้าทรงนำชีวิตของเราที่จะไม่คลาดจากพระคุณและพระสิริของพระเจ้า เหมือนที่พระเจ้าให้เสาเมฆและเสาเพลิงเพื่อนำพวกเขา (อพย.13) แม้พวกเขาต้องเดินอ้อมไปถิ่นทุรกันดาร แต่หากไปเร็วเกินต้องเผชิญศัตรูนำไปสู่ความตาย บทเรียนการตักเตือนใจในยุคของโมเสส ทำให้คนรุ่นใหม่อย่างโยชูวาได้เข้าในคานาอัน



ในชีวิตของเราต้องรับการตักเตือนใจ แม้เดินอ้อมดีกว่าหลงทางและหลงหายไปสู่ความตาย


ขอพระเจ้าอวยพระพรนำการปกป้องในทุกย่างเท้าที่เราเดิน


อิสยาห์ 58:8...ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระเจ้าจะระวังหลังเจ้า


ลงข่าวคริสตชน วันที่ 15 มี.ค.2011 ลง web.คริสเตียนไทยในสิงคโปร์

11 มีนาคม 2554

The End-time Prayer Movement-การเคลื่อนไหวของการอธิษฐานในยุคสุดท้าย

The End-time Prayer Movement-การเคลื่อนไหวของการอธิษฐานในยุคสุดท้าย

โดย ไมค์ บิคเคิ้ล นิเวศอธิฐานนานาชาติ เมืองแคนซัส อเมริกา แปลโดย อ.วรรณา ไพบูลย์เกษมสุทธิ

( นิเวศอธิษฐานประเทศไทย Thailand House of Prayer Mission Based)

A. ก่อนที่พระเยซูเสด็จกลับมา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของการอธิษฐานวิงวอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั่วโลก Before Jesus returns, the Spirit will raise up the greatest prayer movement in history (อสย. 19:20-22; 24:14-16; 25:9; 26:8-9; 27:2-5, 13; 30:18-19; 42:10-13; 43:26; 51:11; 52:8; 62:6-7; ยรม. 31:7; 51:8; โยเอล 2:12-17, 32; ศฟย. 2:1-3; สดด. 102:17-20; 122:6; 149:6-9; ศคย. 8:20-23; 10:1; 12:10; 13:9; ลก 18:7-8; มธ. 21:13; 25:1-13; วว. 5:8; 6:9-11; 8:3-5; 9:13; 14:18; 16:7; 18:6; 22:17, 20).

B. นิเวศอธิษฐาน คือ อัตลักษณ์นิจนิรันดร์ของผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้ The eternal identity of the redeemed is to be a “house of prayer.

การเป็นนิเวศอธิษฐานหมายความว่า “ เมื่อพระเจ้าตรัสและเคลื่อนใจเราแล้วเราก็อธิษฐานและไปเคลื่อนใจพระเจ้า เพื่อให้พระองค์ปลดปล่อยทรัพยากรของพระองค์ในโลก เมื่อพระเจ้าเอ่ยชื่อผู้ใด เป็นการบ่งว่าเขาดำเนินการในพระวิญญาณ Being a house of prayer means that God speaks and moves our heart and then we speak and move His heart so that He releases His resources on earth. When God names someone, it indicates how they function in the Spirit.

(อสย. 56:7) คน​เหล่า​นี้​เรา​จะ​นำมา​ยัง​ภูเขา​บริสุทธิ์​ของ​เรา และ กระทำ ให้ เขา ชื่น บาน อยู่ ใน นิเวศ อธิษฐาน ของ ​เรา เครื่อง​เผา​บูชา​ของ​เขา​และ​เครื่อง​สักการบูชา​ของ​เขา จะ​เป็น​ที่​โปรด​ปราน​บน​แท่น​บูชา​ของ​เรา เพราะ​นิเวศ​ของ​เรา​เขา​จะ​เรียก​ว่า​เป็น​นิเวศ​อธิษฐาน สำหรับ​บรรดา​ชน​ชาติ​ทั้ง​หลาย

7Even them I will bring to My holy mountain, and make them joyful in My house of prayer…For My house shall be called a house of prayer for all nations. (อสย. 56:7)

C. พระเจ้าทรงมองเห็นคริสตจักรท้องถิ่นในเมืองต่างๆเป็นส่วนหนึ่งของนิเวศ อธิษฐานของพระองค์

เช่น นิเวศอธิษฐานของเมืองแคนซัสประกอบไปด้วยคริสตจักรท้องถิ่นมากกว่า 1000 แห่ง พันธกิจนิเวศอธิษฐาน 24/7 เป็นดุจสถานนีเติมน้ำมัน ให้กับนิเวศของเมืองนั้น วิวรณ์ บทที่ 4-5 อธิบายการนมัสการรอบพระที่นั่ง พระบัลลังก์ของพระเจ้า ที่ต่อเนื่อง มีดนตรี คนเหล่านั้นที่อยู่ใกล้พระที่นั่งมีส่วนในการ นมัสการ อธิษฐาน ในสวรรค์ ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน พระเจ้าทรงปรารถนาให้การนมัสการในโลกนี้เป็นเหมือนการนมัสการในสวรรค์ Revelation 4-5 describes the worship order around God’s throne that is continual and musical (Rev. 5:8; 14:2; 15:2). Those nearest God’s throne are the most involved in the 24/7 worship and intercession in heaven. God desires to be worshiped on earth as He is in heaven (มธ. 6:10).

(วว. 4:8 ) สัตว์​ทั้ง​สี่​นั้น​มี​ปีก​หก​ปีก​และ​มี​ตา​ทั้ง​รอบ​นอก​และ​ข้าง​ใน​ และ​สัตว์​เหล่า​นั้น​ร้อง​ตลอด​วัน​ตลอด​คืน​ไม่ได้​หยุด​เลย​ว่า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระ เจ้า ผู้ ทรง ฤทธานุภาพ สูงสุด ผู้​ได้​ทรง​ดำรง​อยู่​ใน​กาล​ก่อน ผู้​ทรง​ดำรง​อยู่​ใน​ปัจจุบัน และ​ผู้​ซึ่ง​จะ​เสด็จ​มา”

(วว. 5:8-9 )

เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​รับ​หนังสือ​นั้น​แล้ว สัตว์​ทั้ง​สี่​กับ​ผู้​อาวุโส​ยี่สิบ​สี่​คน​นั้น ​ก็​ทรุด​ตัว​ลง​ถวาย​บังคม​พระ​เมษโปดก ทุก​คน​ถือ​พิณ​และ​ถือ​ขัน​ทองคำ​บรรจุ​เครื่อง​หอม ซึ่ง​เป็น​คำ​อธิษฐาน​ของ​ธรรมิก​ชน​ทั้ง​ปวง และ​เขา​ทั้ง​หลาย​ก็​ร้อง​เพลง​ใหม่ ว่า​ดังนี้ “​พระ​องค์​ทรง​เป็น​ผู้​ที่​สมควร​จะ​ทรง​รับ​ม้วน​หนังสือ และ​แกะ​ตรา​ม้วน​หนังสือ​นั้น​ออก เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ถูก​ปลง​พระ​ชนม์​แล้ว และ​ด้วย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​องค์​นั้น ​พระ​องค์​ได้​ทรง​ไถ่​คน​ทุก​เผ่า ทุก​ภาษา ทุก​ชาติ​และ​ทุก​ประเทศ​เพื่อ​ถวาย​แด่​พระ​เจ้า

D. การนมัสการบนโลกได้เป็นพยานในโลกนี้ถึงพระองค์ผู้งดงามผู้ทรงสมควรแก่การนมัสการ

การนมัสการอธิษฐานเปลี่ยนแปลงบรรยากาศฝ่ายวิญญาณ ของภูมิภาค ที่มีการประกาศพระกิติคุณ เพื่อให้เกิดการปลดปล่อยพระคุณของพระเจ้าในฝ่ายวิญญาณมากขึ้น Worship gives witness on earth to the indescribable worth and beauty of God. Worship and intercession change the spiritual atmosphere of the region in which the gospel is proclaimed so that much more happens because there is a greater release of grace in the Spirit.

E. ท่านอิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงการนมัสการอธิษฐานของยุคสุดท้ายต่อหน้าพระเจ้าองค์เจ้าบ่าว

ว่าจะมีดนตรี มีความต่อเนื่อง มีไปทั่วโลก มีพันธกิจ มีการเปิดเผยสำแดงจากพระเจ้าเพิ่มขึ้น การร้องเพลต่อหน้าพระองค์ผู้เป็นที่รักที่เปิดเผยถึงความรักและถ่ายทอดความ รักของพระเจ้า ในจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นมีดนตรี ดังนั้นดนตรีและการร้องเพลงที่มีการเจิมจะแตะจิตวิญญาณของมนุษย์ในระดับลึก และทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน Isaiah prophesied of an end-time intercessory worship movement before our Bridegroom God (Isa. 54:5; 62:5) that will be musical (Isa. 24:14-16; 26:1; 27:2; 30:29, 32; 35:2, 10; 42:10-12; 54:1), continual (Isa. 62:6-7), global (Isa. 24:16; 42:10-13), missional (Isa. 54:13-14; 62:6-12), and relational in flowing from revelation of our Bridegroom God (Isa. 54:5; 62:5).

F. พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเรียกร้องให้คริสตจักร ร่วมงานกันเพื่อถวายคำอธิษฐาน

เคลื่อนไปกับ ดนตรีแห่งการเผยพระวจนะและชีวิตที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า เพื่อทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จ ( ฟื้นใจคริสตจักร นำวิญญาณที่หลงหาย สร้างผลกระทบต่อสังคม ) นี่คือการอธิษฐานเพื่อพันธกิจ ด้วยดนตรี ที่หลั่งไหลจากชีวิตที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า ความขัดแย้งในยุคสุดท้ายคือ การต่อสู้ระหว่าง นิเวศอธิษฐาน สองแบบ หรือ การขับเคลื่อนการนมัสการสองสาย ปฎิปักษ์พระคริสต์จะสร้างการเคลื่อนไหวการนมัสการขึ้นทั่วโลกเช่นกัน