28 กุมภาพันธ์ 2554

รู้จักพระคริสต์ ชีวิตเหนือระดับ(Up class)

เอเฟซัส 1:15-23

15 เหตุฉะนั้น ครั้นข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านทั้งหลายได้วางใจในพระเยซูเจ้า และท่านรักธรรมิกชนทั้งปวง

16 ข้าพเจ้าจึงได้ขอบพระคุณเพราะท่านทั้งหลายไม่หยุดเลย ในเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่าน
17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์
18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
19 และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์
20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน
21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย
22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร
23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน

ในพระธรรมตอนนี้อัครทูตเปาโลปรารถนาจะให้ผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัสได้รับประสบการณ์แห่งพระพรในการรู้จักพระคริสต์ในวิถีชีวิต อัครทูตเปาโลอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าโปรดประทานให้เขามีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญาและความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของเขาสว่างขึ้น มีความเข้าใจและรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริง เรียกว่า "ขอให้ตาสว่าง ใจเปิดออกรับรู้และจิตวิญญาณได้เข้าไปทำความรู้จักกับพระองค์" เราสามารถเรียนรู้ถึงคำอธิษฐานนี้และนำไปประยุกต์ได้ดังนี้

1. รู้จักความหวังแท้ในชีวิต (ข้อ 18ก)

เมื่อรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริงแล้ว ผู้เชื่อจะรู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังแท้ ความหวังที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระคริสต์เป็นความหวังแท้ ทรงเป็นที่พึ่งที่เราสามารถยึดมั่นได้ตราบนิรันดร ที่เราได้วางใจในพระเยซูเจ้า (13, 15) นั้นเราจะไม่ผิดหวัง ฮบ.10:23 ว่า “ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้นโดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ”

ตัวอย่างจากหนังสือ ร้อยแปด พันเก้า เล่ม 2 เรื่องอุทิศตัว หน้า 82 ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า

ในปี 1931 เจน ไวท์ รู้สึกว่าชีวิตของเธอจวนจะดับลงเมื่ออเล็กซานเดอร์ สามีของเธอซึ่งเป็นนักเทศน์ชาวสก็อตที่มีชื่อเสียงได้จากโลกนี้ไป แม้เวลาผ่านไปเธอย่างเข้าสู่วัยชรา เมื่อมองออกไปในโลกรอบๆ ตัว เธอรู้สึกหดหู่กับความวุ่นวายทางด้านการเมืองและศีลธรรม ดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผลที่เธอจะอยู่ต่อไป และไม่มีสิ่งใดที่เธอจะทำได้อีกแล้ว งานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนหนึ่ง ชายคนหนึ่งนั่งใกล้เธอ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าสลดของเธอ จึงถามว่า “คุณกำลังเป็นห่วงอะไร” เธอตอบว่า"ฉันกำลังเตรียมตัวที่จะตาย” ชายคนนั้นพูดสวนกลับไปว่า ทำไมคุณไม่เตรียมตัวที่จะมีชีวิตอยู่ล่ะ

คำพูดประโยคนี้ เป็นดังเสียงจากสวรรค์ เธอเกิดความเข้าใจ และได้มองเห็น ความจริงว่า แท้จริงพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เธอมีชีวิตอยู่ และให้เธอแตะต้องชีวิตของผู้อื่นเพื่อพระองค์

ทัศนคติของเธอได้เปลี่ยนไป และภายในเวลา 1 ปี เธอก็ได้นำทีมประกาศ ของคริสเตียนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปประกาศที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และในการเดินทางครั้งนั้นมีผลต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมาก

การดำเนินชีวิตกับพระเจ้าอย่างเข้าใจ และรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริงนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทำให้เกิดความหวังใจในการดำเนินชีวิต

"ความหวัง"เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำเนินอยู่ได้ หากต้องสูญเสียทุกสิ่งไป "ความหวัง" ขอให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่

จะสูญเสีย เพราะชีวิตจะสูญสิ้น ถ้าสิ้นหวังคนที่มีความหวัง ตาของเขาก็เริ่มตาสว่างแล้ว

อัครทูตเปาโลอธิษฐานขอให้ตาใจ ของชาวเอเฟซัสสว่างขึ้น

คำว่า “สว่าง” ในภาษากรีก อยู่ในรูปของ passive voice คือ ไม่ใช่ตัวพวกเขาทำเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้

ตาใจสว่าง นั่นคือ ทำให้มองเห็น ทำให้เข้าใจความจริงเมื่อตาใจสว่างแล้ว พวกเขาจะรู้ได้ว่าในการทรงเรียกของพระเจ้าที่มาถึงชีวิต ของเขานั้น พระเจ้าได้ประทานความหวังอะไรแก่เขาบ้าง

ความหวัง ในที่นี้ หมายถึง ความหวังที่แน่นอน หรือ ความหวังที่สามารถ มั่นใจได้ ไม่ใช่หวังลมๆแล้งๆ

เพราะพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้เป็นความหวังอันเกิดจากการทรงเรียกของพระเจ้า ให้เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์

1 ปต.1:3 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เราทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังอันมีชีวิตอยู่โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์...

2. รู้จักมรดกที่มีสง่าราศีของเรา (ข้อ 18ข)

ท่านได้อธิษฐานขอให้ผู้เชื่อรู้จักคุณค่าสูงส่งของมรดกที่มีสง่าราศีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้อย่างอุดมบริบูรณ์ให้แก่เขาด้วย เป็นมรดกที่ดีกว่ามรดกใดๆ ในโลกนี้

พระวจนะใน 1 ปต.1:4 กล่าวว่า เป็นมรดกที่ไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย ซึ่งผู้เชื่อทุกคนจะได้รับเป็นรางวัลสมกับที่ได้ดำเนินชีวิตติดตามพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อในโลกนี้ (1 คร.3:14; 1 ปต.5:4)

เราเป็นลูกของพระองค์ ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยความรัก เราไม่ใช่ลูกจ้างชั่วคราวแต่เราเป็นลูกพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ลูกจะได้รับมรดกแต่ลูกจ้างจะไม่ได้รับ

มรดกที่เราได้รับคือชีวิตนิรันดร์และสง่าราศีที่ไม่สามารถเทียบได้กับทรัพย์สิ่งของในโลกนี้ วันนี้มรดกจึงเป็นความหวังใจที่เราจะได้รับในอนาคต

3. รู้จักประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชของพระเจ้า (ข้อ 19-23)

อัครทูตเปาโลได้อธิษฐานต่อไป คือ ขอให้ชาวเอเฟซัสได้รู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา พื่อต้องการให้พวกเขามีประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ในข้อ19 ท่านได้ใช้ภาษากรีกถึง 4 คำที่หมายถึง ฤทธานุภาพของพระเจ้า

คำแรก ฤทธานุภาพ มาจากภาษากรีกว่า ดูนามิส คำนี้ในภาษากรีกหมายถึง อำนาจ ความสามารถที่อยู่ในบุคคลและสิ่งของ ภาษาอังกฤษ คือ คำว่า "Dynamite" ไดนาไมท์

คำที่สอง อำนาจ มาจากภาษากรีกว่า เอนเนอร์เกอา ในพระคัมภีร์ใหม่ คำนี้ใช้อธิบายถึงการกระทำของอำนาจบางสิ่งบางอย่างที่เหนืออำนาจของมนุษย์ อำนาจนี้เป็นอำนาจที่มีพลังการเคลื่อนไหวกระทำให้ทุกสิ่งสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมาย

คำที่สาม พระกำลัง มาจากภาษากรีกว่า แคตอส หมายความว่า แรง กำลังอำนาจ

คำที่สี่ ที่เปาโลเลือกใช้คือ ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ มาจากภาษา กรีกว่า อิสคัส ซึ่งหมายความว่าแรงกำลัง อำนาจ และความสามารถ

ทั้งนี้อัครทูตเปาโลต้องการจะเน้นให้ชาวเอเฟซัสมั่นใจ ว่าพระเจ้ามีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และไม่จำกัดเป็น

พระเจ้าที่เขาจะพึ่งพา และติดตามได้ เพราะเมืองเอเฟซัสเป็นเมืองที่มีรูปเคารพมากมาย มีวิหารของรูปปั้นพระอารเทมิสตั้งอยู่ และมีการค้าขายรูปเคารพมากมาย ดังนั้นแม้ชาวเอเฟซัสจะกลับใจมาเชื่อพระเจ้าแล้ว

แต่ท่านต้องการย้ำให้เขามั่นใจ และรู้จักชีวิตใหม่ในพระคริสต์อย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้ใครสักคนหันกลับไปสู่วิถีทางเดิม และกราบไหว้รูปเคารพ เหล่านั้นอีก ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพ เหนือเรื่อง

อะไรบ้าง นอกจากนี้ ได้ขอให้ผู้เชื่อมีตาใจสว่าง เพื่อจะได้รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้าอีกด้วย คือ รู้ว่าพระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือ... สิ่งต่างๆดังต่อไปนี้


3.1 เหนือความตาย (ข้อ 20)

พระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือความตาย ไม่เพียงพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย แต่จะทรงทำให้มนุษย์ทุกคนฟื้นจากความตายและเข้าสู่การพิพากษา (1 ธส.4:16)

3.2 เหนือเทวอำนาจทั้งปวง (ข้อ 21)

พระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือเทวอำนาจทั้งปวง ทรงอยู่เหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงในโลกนี้

เพราะทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

3.3 เหนือคริสตจักร (ข้อ 22-23)

พระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูคริสต์ไว้ให้เป็นประมุขเหนือคริสตจักร คริสตจักรเป็นอาณาจักรของพระคริสต์จึงนบนอบต่อพระคริสต์ ทรงปกครองและปกป้องคริสตจักรด้วยพระองค์เอง

(ตัวอย่างจากหนังสือ มานาประจำวัน ฉบับเดือน มีนาคม พฤษภาคม 2006)

เมื่อ ดี.แอล.มูดดี้ เริ่มชราภาพ มีผู้ไปขออนุญาตเขียนชีวประวัติของเขา แต่มูดี้กลับปฏิเสธโดยกล่าวว่า เราไม่ควรจะเขียนเรื่องของคน ๆ หนึ่งขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ สิ่งสำคัญคือ ชีวิตของเขาจบลงอย่างไร ไม่ใช่ เริ่มต้นอย่างไร

ชีวิตวันนี้ไม่สำคัญเท่าชีวิตในวันสุดท้าย จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อบั้นปลายชีวิตของท่านจะจบลงอย่างสวยงาม

จงดำเนินชีวิตแต่ละวันด้วยการรู้จักพระเจ้า ยิ่งเชื่อพระเจ้านานเท่าไร ยิ่งลึกซึ้งกับพระเจ้า ไม่ใช่ยิ่งเชื่อ พระเจ้านานเท่าไร ยิ่งถดถอย

เราจะเดินไปถึงวันสุดท้ายได้อย่างสง่างาม หากเราดำเนินกับพระเจ้าอย่างประจักษ์แจ้งถึงความจริงในพระองค์ รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง รู้ถึงความหวังในพระเจ้า รู้ถึงมรดกแห่งศักดิ์ศรีที่เราจะได้รับ และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพื่อการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น จะทำให้ได้รับกำลัง และสู้ ฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ ไปได้อย่างมีชัยชนะ

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์จะทำให้เรารู้จักพระองค์มากขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ได้เวลา Up class ยกระดับความสัมพันธ์กับพระองค์แล้ว!

ลงข่าวคริสตชน วันที่ 28 ก.พ. 2011 ลงในบทความของ Web.CBNsiam.com

21 กุมภาพันธ์ 2554

คำอวยพรเนื่องในโอกาสครบรอบ 1ปีคริสตจักรแห่งพระบัญชา

First Anniversary for UCC


Dr. Chuck D. Pierce

President of Global Spheres, Inc. as well as the President of Glory of Zion International Ministries, Inc.

Hello to all of you in Thailand. I know it’s not too typical weather there in Bangkok but this is what’s going on in Texas for a whole week now. So I just want to come and say what a wonderful blessing. It’s been to have a relationship with you to be a part of what God is doing in Thailand.

Remember the prophesy over Thailand was the fire is coming and I want to say to you, the passion will grow. So Pastor Nimit, We want to honor you, we want to Thank God for you stepping out and we want to say to you. It’s been a year to establish yourself for a Glory of God. I want to encourage you “Get Ready The Fire will get hotter next year but The Glory will get stronger, Lead that nation into mighty of awakening for The Lord.

We bless you from Glory of Zion, International Ministry, from Global Sphere and we Thank God that you will be a model for nation of Asian to follow as the awakening comes forward through. What God is doing there at your ministry, Blessing.

สวัสดีครับพี่น้องทุกๆท่านที่เมืองไทย ผมเชื่อว่าอากาศเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยแต่ที่เมืองเท็กซัส เรากำลังเผชิญกับพายุตลอดทั้งอาทิตย์นี้ อย่างไรก็ตามผมอยากจะมากล่าวถึงพระพรอันอัศจรรย์สำหรับความสัมพันธ์ที่เกิด ขึ้นระหว่างเราที่ได้มีส่วนร่วมในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำลังกระทำต่อประเทศ ไทยในเวลานี้ หากท่านยังจำการเผยพระวจนะที่มีต่อประเทศไทยได้เรื่องการเคลื่อนมาของไฟของ พระเจ้า ผมอยากจะกล่าวย้ำว่าความเชื่อมั่นในพระเจ้าจะเติบโตขึ้นที่นั่นด้วย ดังนั้น อาจารย์นิมิตพวกเราอยากจะให้เกียรติแก่อาจารย์และขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับ ย่างก้าวของอาจารย์ที่ได้ก้าวออกไป พวกเราเชื่อว่าจะเป็นปีที่ท่านจะได้รับการสถาปนาในพระสิริของพระเจ้า และอยากหนุนใจท่านอีกว่า “จงเตรียม พร้อมสำหรับไฟที่จะร้อนแรงขึ้นในปีหน้านี้ แต่พระสิริของพระเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน จงนำประชาชาติให้ตื่นขึ้นต่อพระมหิทธิฤทธิ์ของพระจ้า”

ในนามของ กลอรี่ออฟไซออน พันธกิจสากล และ โกลเบิลสฟียรส์ ขออวยพรท่านทั้งหลาย และ ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านเป็นแบบอย่างต่อประชาชาติในเอเชียในการติดตามพระเจ้า เพื่อเขาเหล่านั้นจะตื่นขึ้นต่อสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำผ่านการปรนนิบัติรับ ใช้ของท่าน ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

Dr. Peter C Wagner

Ambassadorial Apostle for Global Spheres, Inc.

Congratulations to Pastor Nimit and the United Church of Commandment for their first anniversary celebration. The UCC has been raised up by God in a crucial hour for Thailand, because a new day is dawning. Reports of the new unity of the body of Christ in Thailand are encouraging, a heightened openness to the gospel is flowing like a stream, measureable increase in church growth is being recorded. These are both signs and challenges which I believe UCC is going to accept and implement for advancing the kingdom of God! I bless the UCC in the name of Jesus!

ผมขอแสดงความยินดีมายังอาจารย์นิมิต และ คริสตจักรแห่งพระบัญชาในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งปีนี้ พระเจ้าได้ยกชูคริสตจักรแห่งนี้ขึ้นโดยในช่วงเวลาอันสำคัญอย่างยิ่งต่อ ประเทศไทย ด้วยเหตุว่ายามรุ่งอรุ่ณของเช้าวันใหม่กำลังจะปรากฏขึ้น การประกาศของความเป็นเอกภาพในพระกายของพระคริสต์ในประเทศไทยจะเป็นที่สนับสนุนมากขึ้น รวมทั้งการสำแดงแห่งความจริงของพระเจ้าจะหลั่งไหลดั่งธารน้ำ และการเติบโตของคริสตจักรจะทวีเพิ่มมากขึ้นจะได้รับการบันทึกไว้ ผมเชื่อว่าคริสตจักรแห่งพระบัญชา จะยอมรับในหมายสำคัญและความท้าทายนี้และจะเคลื่อนอาณาจักรพระเจ้าไปข้างหน้า ให้สำเร็จ! ขออวยพรคริสตจักรคริสตจักรแห่งพระบัญชา ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า!

Dr. Robert Heidler

Senior Teacher for Glory of Zion International Ministries, Inc.

Greetings to Pastor Nimit and the people of United Church of Commandment , and blessings on your one year anniversary! Linda and I have been so impressed by Pastor Nimit’s humility and his desire to follow the Lord in establishing this new church. We’ve also been blessed by your leadership, and are honored to partner with you to see God’s kingdom move forward in Thailand. We look forward with great anticipation to see what God does through you in the years ahead!

ผมขอฝาก คำทักทายมายังอาจารย์นิมิตและพี่น้อง UCC ทุกท่าน และอยากจะอวยพรท่านในวาระครบรอบหนึ่งปีของคริสตจักรแห่งนี้ อาจารย์ลินดา และ ผมมีความประทับใจในความถ่อมใจของ

อาจารย์นิมิตและความปรารถนาของท่านในการดำเนินติดตามพระเจ้าในการตั้งคริสตจักรใหม่แห่งนี้ขึ้น เราได้รับพระพรจากการเป็นผู้นำของท่าน และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ากำลังเคลื่อนไปในประเทศ ไทย เรารอคอยด้วยความคาดหวังอย่างมากที่จะเห็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำผ่านท่าน ในปีข้างหน้านี้นะครับ

20 กุมภาพันธ์ 2554

ข้อคิดครอบครัว“เชื่อฟังด้วยใจภักดิ์ รักด้วยสุดใจ”

เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปให้โอวาทคู่แต่งงาน วันนี้จึงขอนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิดสำหรับครอบครัวทุกครอบครัว โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรัก 365 วันในหนึ่งปี ขอให้เป็นวัน Valentine ทุกวันในครอบครัวครับ
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ชายและหญิงให้รักกัน เป็นคู่อุปถัมภ์กันเป็นครอบครัว
ผมขออนุญาตเปรียบเทียบความรักเหมือนไข่ ที่มีคุณประโยชน์แต่บางครั้งความรักก็มีความเปราะบาง เหมือนเปลือกไข่ ต้องรักษาความรักเหมือนดูไข่ในหิน ที่ต้องรักษาความรักให้คงอยู่ได้นานเท่านาน
ไม่เป็นรักลวงหลอก เหมือนไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แต่เป็นความรักแบบไข่เจียว คือ คนที่ถูกเจียว คือ คนเดียวที่ถูกใจ
กด Like ให้ใน facebook ความรักที่มาถึงจุดบรรจบคือการแต่งงาน คู่บ่าวสาวต้องคัดเลือกสรรมาอย่างดี เหมือนดังเลือกคัดเกรดไข่ ไม่ใช่ชั่งขายรวมกันเป็นกิโล ในงานแต่งงานคู่บ่าวสาวเข้ามาเกี่ยวดองกันเหมือนไข่เค็มที่ต้องใช้เวลาในการซึมซาบความรักที่ออสโมซิส (osmosis)เข้ามาในเนื้อไข่
งานแต่งงานทำให้ทั้งสองจึงเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังไข่ลูกเขย และไข่ดาว เจ้าสาวและเจ้าบ่าว
ในครั้งนี้ขอนำหลักการจากพระคัมภีร์พระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 ข้อ 22-33 มาหนุนใจ
พระธรรมตอนนี้ เปาโลสอนชาวเอเฟซัสให้ดำเนินชีวิตอย่างถวายเกียรติพระเจ้า เมื่อกลับใจมาเป็นคริสเตียนแล้ว พวกเขาต้องดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งไม่เพียงกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า แต่พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกันด้วย พระวจนะตอนนี้บอกเราถึงสัมพันธภาพใหม่ในพระคริสต์ที่ ในภาพของครอบครัวคือสามีและภรรยา ดังนั้นสามีและภรรยาควรปฏิบัติต่อกันตามหลักการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ดังนี้
“เชื่อฟังด้วยใจภักดิ์ รักด้วยสุดใจ”
ในหลักการนี้ให้บทบาทในครอบครัวที่ทั้งภรรยาและสามีควรจะต้องทำคือ
1.ภรรยา:เชื่อฟัง(สามี)ด้วยใจภักดิ์(Wife:Submit your husband with loyalty)(22-24)
พระวจนะบอกกับภรรยาว่า จงยอมฟังสามีของตน ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Submit
yourselves unto your own husbands” ซึ่งให้ความหมายถึง การยอมจำนน หรือนบนอบ
เป็นรูปประโยคเป็นประโยคคำสั่ง อันแสดงว่า เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับภรรยาที่ควรทำตาม หากไม่ทำตามย่อมก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา· พี่น้องที่รัก จากสถิติพบว่า หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดการหย่าร้าง หรือการล้มเหลวในชีวิตคู่ คือ การไม่ยอมฟังกันและกัน
บางครอบครัว เมื่อสามีพูด ภรรยาเถียง บางคู่ภรรยาบ่นต่อว่าสามีเป็นชั่วโมง ๆ บางทีด่าไปถึงบุพการี หรือแม้กระทั่งเมื่อภรรยาพูด สามีเถียง สลับกันเถียงไปมา โดยไม่มีใครยอมฟังใคร
และท้ายที่สุด ก็มาถึงคำว่า สุดที่จะทน จึงแยกทางกันไป ทิ้งไว้แต่ปัญหาให้ลูกที่ต้องรับผลจากการกระทำของบิดามารดามากที่สุด นี่คือผลจากการไม่ยอมฟังกันและกัน
การที่พระเจ้าบอกให้ภรรยายอมฟังสามีนั้น ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้ามองคุณค่าของภรรยาด้อยกว่าสามี หรือมองว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย แท้จริงพระเจ้าให้คุณค่ากับทุกคนเท่าเทียมกัน
แต่ในความเท่าเทียมไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องลุกขึ้นมานำ
เรื่องสามีภรรยา ไม่ได้เป็นเรื่องว่าใครเหนือกว่าใคร แต่เป็นเรื่องของการทำตามบทบาทที่พระเจ้าให้ไว้ในชีวิตแต่ละคน
สำหรับในครอบครัว พระเจ้าให้บทบาทผู้ชายเป็นผู้นำ และให้บทบาทผู้หญิงเป็นผู้อุปถัมภ์
ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"
คำว่า อุปถัมภ์ คือ ผู้ช่วยเหลือ เพื่อก้าวกันไปในทางที่สูงขึ้น เจริญขึ้น
การพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายถึง ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่ควรเป็นเท้าที่ก้าวไปเพื่อส่งเสริมให้เท้าทั้งหมดเดินไปได้อย่างดี ภรรยาจึงควรที่จะเชื่อฟังสามี
1.1 ยอมฟังเหมือนฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 22-23, 32-33) As you submit to the Lord
พระวจนะบอกว่า ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่า สามี เป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร การยอมฟังมิได้หมายถึงพระเจ้าสร้างผู้หญิงให้ด้อยกว่าผู้ชาย แต่เป็นเรื่องของบทบาทที่แต่ละฝ่ายต้องตระหนักและกระทำตามบทบาทอย่างถูกต้องเพื่อทำให้ครอบครัวเกิดสันติสุข
1.2 ยอมฟังในสิ่งชอบธรรมทุกประการ (ข้อ 24) Submit to your husband in everything
พระวจนะบอกว่า คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์เพราะพระคริสต์นำด้วยความรัก ความชอบธรรมทุกประการ
ดังนั้นเมื่อสามีมีความรัก ความชอบธรรม ภรรยาก็ควรเชื่อฟังทุกประการเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นคนบาปย่อมมีความบกพร่อง ภรรยาจึงต้องพิจารณาว่า สามีนำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการพระวจนะหรือไม่ หากไม่ขัดกับหลักการในพระวจนะก็ควรเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข
พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า ภรรยาควรยอมฟังสามีทุกประการ เหมือนกับที่คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์
คำว่า ยอมฟัง ในข้อนี้ ภาษากรีกใช้คำว่า “hupotasso” (ฮูโพทาสโซ) หมายถึง นอบน้อม เชื่อฟัง อยู่ใต้บังคับบัญชา
สิ่งหนึ่งที่เราต้องพิจารณาคือ คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ เพราะ พระคริสต์นำคริสตจักรไปในทางชอบธรรม
ริสตจักรมีหน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาควรยอมเชื่อฟังสามีทุกประการฉันนั้น นั่นคือ ตราบใดที่สามีดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม ไม่ได้บอกให้ภรรยาทำผิดหลักการของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ ภรรยาต้องเชื่อฟังและทำตาม เป็นผู้สนับสนุนที่ดีของสามีเสมอ
ในกรณีที่ภรรยามีสามีที่มิได้เชื่อพระเจ้า ภรรยาก็ต้องยอมเชื่อฟังในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่ไม่ขัดกับหลักการของพระเจ้าทุกประการ ภรรยาควรประพฤติในสิ่งที่ดีงาม เพราะการกระทำเช่นนี้อาจมีส่วนช่วยสามีให้มารู้จักพระคุณความรักของพระเจ้าได้
1 ปต.3:1-2
1 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน เพื่อว่าแม้สามีบางคนจะไม่เชื่อฟัง
พระวจนะของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจเขาได้ โดยไม่ต้องพูดเลยสักคำเดียว
2 คือเมื่อเขาได้เห็นการประพฤติที่นอบน้อมและดีงามของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นภรรยา
นั่นเป็นบทบาทของผู้ที่เป็นภรรยา ส่วนบทบาทของสามี คือ รักภรรยาด้วยสุดใจ
2. สามี: รัก (ภรรยา) ด้วยสุดใจ Husband: Love (your wife) wholeheartedly
พระวจนะบอกในข้อ 25 ว่า ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน
คำว่า รัก ในที่นี้เปาโลใช้คำในภาษากรีกว่า agapao “อากาเป้โอ ซึ่งชี้ไปถึงความรักอันสูงส่งของพระเจ้า เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และเป็นความรักแบบที่แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเสมอให้แก่คนที่เรารักนั้น
ดังนั้น เราอาจจะกล่าวคำว่า"รัก"ได้ในเวลาไม่กี่วินาที แต่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการพิสูจน์คำว่า"รัก" จากชีวิต
คำกล่าวในพันธสัญญาในงานแต่งงานที่ว่า "จะรักกันไปจนถึงซึ่งความตายที่มาแยกจากกัน" (Love Till death do us part) เป็นคำที่มีตวามหมายกล่าวมาจากใจคู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน
เคยบอกว่ารักอย่างไร ก็ให้รักมากมาย มากๆๆ ทุกวัน แบบเพลง
Loving You Too Much So Much Very Much Right Now ...
ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนี้ แต่ตลอดไป Now and forever
สามีต้องรักภรรยา อย่าทำให้เสียใจ ไม่ให้น้ำตาออกจาก her eyes
ความรักเช่นนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ไม่ใช่ความรู้สึกอย่างเดียว ต่างจากความรักแบบ เอรอส ซึ่งเป็นความรักในทางอารมณ์ทางเพศ และต่างจากความรักแบบ ฟิเลโอ ซึ่งเป็นความรักแบบเพื่อน หรือเป็นมิตรกัน
แม้ในการแต่งงานจะมีความรักทั้งสองแบบนี้รวมอยู่ด้วย แต่เปาโลได้ยกความรักของสามีที่มีต่อภรรยาขึ้นไปถึงระดับของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์
พระคัมภีร์ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัยให้สามีรักภรรยาในแบบของพระเจ้า คือ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ความรักที่ปรารถนาจะมอบสิ่งดีที่สุดให้กับภรรยาของตนเสมอ
ไม่ว่าภรรยาจะเป็นอย่างไร ก็ยังรักภรรยา ไม่ว่าภรรยาจะรูปร่างเปลี่ยนไปหรือไม่หลังแต่งงาน ก็ยังรักภรรยา พระเจ้าทรงสอนสามีให้รักภรรรยาอย่างไรบ้าง ดังต่อไปนี้
2.1 รักเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร (ข้อ 25-27) As Christ loves His church
พระวจนะกล่าวว่า ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรมากจนสามารถ ประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใดๆ สามีก็ควรรักภรรยาเช่นนี้ คือมีใจเสียสละเพื่อภรรยา และสนับสนุนภรรยาให้มีชีวิตที่จำเริญขึ้นในพระคริสต์
2.2 รักเหมือนเป็นกายเดียวกัน (ข้อ 28-31) As one flesh
พระวจนะกล่าวว่า สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง โดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีผู้ใดจะเกลียดชังเนื้อหนังตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม สามีก็ควรทำสิ่งนี้แก่ภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร สามีควรเลียนแบบการเลี้ยงดูของพระเจ้า โดยเลี้ยงดูภรรยาไม่ให้ขัดสนทั้งในฝ่ายร่างกาย ฝ่ายจิตใจ และฝ่ายวิญญาณ
คำว่า ไปผูกพันอยู่กับภรรยา มาจากภาษากรีกคำว่า “proskollao” (โปร-สโกลลาโอ) หมายถึง ผูกพันด้วยการสมรส เป็นภาพของการติดกันอย่างกับกาว เกาะกันติดสนิท นั่นคือ สามีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับภรรยาจนแยกไม่ออกเป็นเสมือนกายเดียวกัน
ปฐก.2:24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
พระคัมภีร์บอกว่าสามีและภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น เมื่อสามีรักร่างกายของตนเองอย่างไร ก็ควรจะรักกายของภรรยาอย่างนั้นด้วย การรักภรรยาเหมือนอย่างรักกายของตนนั้น แสดงออกอย่างไร พระคัมภีร์ตอนนี้บอกไว้ 2 ประการ คือ
ประการแรก เลี้ยงดู
คำว่า เลี้ยงดู มาจากภาษากรีกคำว่า “ektrepho” (เอ็กเทรโฟ) หมายถึง บำรุงเลี้ยง ให้เติบโตขึ้น สามีต้องบำรุงเลี้ยงภรรยาของตน เหมือนอย่างที่ตนบำรุงเลี้ยงร่างกายของตนเอง
สามีต้องเลี้ยงดูภรรยา สามีต้องเป็นคนหลักในการจัดสรรสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว
แม้ว่าในสังคมปัจจุบัน สามีภรรยาจำเป็นต้องช่วยกันทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่ไม่ได้หมายความว่า สามีจะผลักภาระของการดูแลจัดสรรสำหรับครอบครัวให้กับภรรยา
สามีควรเลี้ยงดูภรรยาอย่างไร
ในข้อ 29 ตอนท้ายบอกว่า มีแต่เลี้ยงดู... เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร
สามีควรเลียนแบบพระคริสต์ในการเลี้ยงดูคริสตจักรของพระองค์
มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่บอกว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ เช่น
ฉธบ.8:16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งปู่ย่าตายายของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย
สดด.23:1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
สามีควรเลียนแบบการเลี้ยงดูของพระเจ้า โดยเลี้ยงดูภรรยาไม่ให้ขัดสนทั้งในฝ่ายร่างกาย ฝ่ายจิตใจ และฝ่ายวิญญาณ
สามีไม่เพียงเลี้ยงดูภรรยาด้านร่างกายเท่านั้น แต่สามีควรจะเลี้ยงดูจิตใจของภรรยาด้วย
สามีจะเลี้ยงดูจิตใจของภรรยาได้อย่างไร ก็โดยการทำให้ภรรยามีความมั่นใจในความรักที่สามีมีต่อภรรยาอยู่เสมอ ทั้งโดยคำพูดและการกระทำ เช่น หมั่นพูดคำว่า รัก ต่อภรรยาบ่อย ๆ และแสดงออกถึงความรักเป็นการกระทำ เช่น รับฟังภาระปัญหาของภรรยา หรือการแสดงการเห็นคุณค่าวันสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เป็นต้น
นอกจากสามีจะเลี้ยงดูภรรยาด้านร่างกาย จิตใจแล้ว สามีก็ควรจะเลี้ยงดูภรรยาด้านจิตวิญญาณด้วย
สามีต้องนำภรรยาให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเรียนรู้หลักการของพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น สามีจึงต้องสร้างบรรยากาศในบ้านให้เป็นบรรยากาศฝ่ายวิญญาณในบ้านให้มีการอธิษฐาน การนมัสการ การอ่านพระคัมภีร์ร่วมกันทุก ๆ วัน
ประการที่ 2 คือ ทะนุถนอม
สามีมีหน้าที่ทะนุถนอมภรรยาของตน เหมือนอย่างที่ตนทะนุถนอมร่างกายของตนเอง
คำว่า ทะนุถนอม มาจากภาษากรีกคำว่า “thalpo” (thal'-po) ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำว่า เลี้ยงดูลูกของตน ใน 1 ธส.2:7
ให้ความรู้สึกถึงการเอาใจใส่ดูแลทะนุถนอม ให้ความอบอุ่น เป็นภาพของนกที่ กางปีกออกกกลูกด้วยขนของมัน ในที่นี้หมายถึงการทะนุถนอมด้วยความรักที่อ่อนโยน
สามีควรทะนุถนอมภรรยาอย่างไร
ในข้อ 29 ตอนท้ายบอกว่า ทะนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร
สามีควรเลียนแบบพระคริสต์ในการทะนุถนอมคริสตจักรของพระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงทะนุถนอมคริสตจักรของพระองค์ ด้วยการให้ความรักความอบอุ่น การปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย
สามีก็ควรจะทะนุถนอมภรรยาด้วยการปกป้องดูแลทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณด้วยเหมือนกัน
สามีต้องให้ความอบอุ่นใจแก่ภรรยา ไม่ทำให้ภรรยาอยู่ในสภาพที่วิตกกังวล หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
พระเจ้าทรงตั้งสถาบันครอบครัวมาให้กับมนุษย์โดยการจัดสรรของพระองค์
ปฐมกาล 2:21-23
21 แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม
22 ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น
23 ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง { ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย" เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย")
พระจ้าไม่ได้หักกระดูกจากศรีษะผู้ชาย เพื่อให้ผู้หญิงเป็นผู้นำ แต่ให้เป็นคู่คิดคู๋อุปถัมภ์สนับสนุน
พระเจ้าไม่ได้หักกระดูกจากเท้าของผู้ชาย เพื่อให้ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย แต่ให้เป็นคู่เคียงเดินเคียงข้างด้วยกัน
แต่พระเจ้าหักกระดูกจากซี่โครงผู้ชาย เพื่อให้ผู้หญิงจะอยู่ในร่มปีกรับการปกป้องจากผู้ชาย ขอให้คู่รักทั้งสองโอบกอดไปด้วยกันในทุกสถานการณ์
ขอพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในครอบครัวเสมอ ความรักของพระองค์จะนำมาซึ่งความสมบูรณ์
..................