23 มิถุนายน 2555

คำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนทัมมุส (Tammuz )

คำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนทัมมุส(Tammuz)ปี5772(21มิ.ย.-19ก.ค.2012)
ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2012 นี้ หากนับตามปฎิทินยิวเป็นเดือนทัมมุส (Tammuz) ประเทศอิสราเอลจะมีการจัดเทศกาลเพื่อฉลองในช่วงต้นเดือน คือ Rosh Chodesh การเริ่มต้นเดือนใหม่เป็นการตั้งสติก่อนสตาร์ท  เพื่อหยุดคิดใคร่ครวญและมีการอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าทรงชำระชีวิตตั้งแต่เริ่มเดือนใหม่เพื่อตลอดทั้งเดือนจะได้รับการชำระ ถือเป็นการถวายผลแรกของเวลาในการเลือกที่จะยกให้พระเจ้าก่อนสิ่งใด การถวายผลแรกทำได้หลายสิ่งทั้งการถวายส่วนทรัพย์ที่เรามีที่เป็นผลแรก ตามหลักการพระคัมภีร์ให้มีการแบ่งการถวายเป็น 3 ส่วนคือ ของบริจาค(Contributions), ผลไม้รุ่นแรก(First fruits) ,ทศางค์หรือสิบลด(Tithes) สิ่งเหล่านี้เป็นการมอบถวายจากใจให้พระเจ้า
เนหะมีย์ 12:43-44
43 และเขาทั้งหลายได้ถวายเครื่องสัตวบูชาใหญ่โตในวันนั้น และเปรมปรีดิ์เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้เขาเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานใหญ่ยิ่ง พวกผู้หญิงและเด็กๆ ก็เปรมปรีดิ์ด้วย และความชื่นบานของเยรูซาเล็มก็ได้ยินไปไกล
44 ในวันนั้น เขาแต่งตั้งคนให้ดูแลห้องสำหรับพัสดุ ของบริจาค ผลไม้รุ่นแรก ทศางค์ ให้รวบรวมสิ่งซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายสำหรับปุโรหิตและคนเลวีเข้ามาไว้ในนั้น ตามไร่นาในหัวเมืองเหล่านั้น เพราะยูดาห์เปรมปรีดิ์ด้วยเรื่องบรรดาปุโรหิต และคนเลวีผู้ปรนนิบัติอยู่นั้น
 
ชื่อทัมมุส (Tammuz) เป็นชื่อเดือนที่10 ตามแบบปฎิทินราชการแต่เป็นเดือนที่ 4 ตามปฎิทินศาสนา ตั้งตามชื่อเทพเจ้าของบาบิโลน ซึ่งประยุกต์มาจากพวกบาบิโลน

ยิวได้ตั้งชื่อเดือนที่ 4 ว่า เดือนทัมมุส เป็นเดือนแห่งการเตือนใจ เนื่องจากเพื่อระลึกว่า รูปเคารพเป็นเหตุให้บ้านเมืองของตนต้องพินาศย่อยยับ ชือเดือนทัลมุส เป็นชื่อของรูปเคารพจริง ๆ แต่ตั้งเพื่อเตือนใจเขาให้หันกลับมาหาพระเจ้า ดังนั้นในเดือนนี้ คนยิวจะอดอาหาร และบรรยากาศของเดือนจะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกใจ เพื่อเตือนใจเขาเรื่องพระวิหารถูกทำลายเพราะรูปเคารพ ดังที่กล่าวชื่อรูปเคารพไว้ใน เอเสเคียล 8:14-15
14 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงทางเข้าประตูพระนิเวศของพระเจ้าด้านเหนือ และดูเถิด ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนนั่งร้องไห้อาลัยเจ้าพ่อ ทัมมุส แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า
15 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วหรือ เจ้ายังจะเห็นการลามกยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้อีก"
ช่วงเดือนTammuz(ทัมมุส) เป็นเทศกาลไว้ทุกข์ ถือการอดอหาร เพื่อระลึกถึงการที่บาบิโลนมาทำลายพระวิหารของยิวในช่วง ปี 606-587 กคศ. และเป็นการระลึกถึงความเศร้าโศกของโมเสสที่หักแผ่นพระบัญญัติด้วยความโกรธเนื่องจากคนอิสราเอลไปกราบไหว้รูปเคารพ (อพย.32)
คำอธิษฐานอวยพรในเดือนนี้คือการให้ความชอบธรรมถูกสถาปนาขึ้นมา โดยสรุปจากบทความ เรื่อง Blessings for the Hebrew Month of Tammuz
by Ron Sawka  แปลภาษาไทยโดยคุณเอ็ม สุรชัย ขอบคุณข้อมูลจากhttp://missionkorat.blogspot.com/2012/06/blog-post_23.html#more

1.เดือนนี้เป็นเดือนที่แห่งการมองเห็นและการสถาปนาความสว่างแห่งความชอบธรรมของคุณขึ้น  แม้ว่าจะมีสิ่งที่เป็นแง่ลบหลายสิ่งตลอดเดือนนี้ ดังนั้น พวกเราจำเป็นที่จะต้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบโดยผ่านการสรรเสริญและการประกาศถ้อยคำของพระเจ้า
อิสยาห์ 58:8 แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าอย่างอรุณและแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระเจ้าจะระวังหลังเจ้า
สดุดี 112:4 ความสว่างจะโผล่ขึ้นมาในความมืดให้คนเที่ยงธรรมพระองค์ทรงมีพระคุณ ทรงพระกรุณาและทรงชอบธรรม
ดาเนียล 12:3 และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์

2.เดือนนี้เป็นเดือนแห่งเผ่ารูเบน เขาสูญเสียมรดกแห่งการเป็นบุตรหัวปีไป  มีปัญหาและความยากลำบากมากมายในเดือนนี้ (อีกความหมายหนึ่ง มีการออกธนบัตร หุ้น หนังสือเดินทางมากมายเพื่อเผยแพร่หรือจำหน่ายด้วยในเดือนนี้) ปฐมกาล 49:3-4บรรยายถึงเผ่ารูเบนว่าเป็นผลแรกแห่งเรี่ยวแรง,เป็นยอดแห่งความเย่อหยิ่งและยอดของความรุนแรงดั่งสายน้ำเชี่ยว

3.พวกเราต้องฉายแสง (สดใสเป็นประกายโดยผ่านการนมัสการ) มิฉะนั้น พวกเราก็อาจจะพัฒนา “ลูกวัวทองคำ” ขึ้นมาได้ การกราบไหว้รูปเคารพสามารถเริ่มต้นขึ้น คือ จู่ๆ ก็เกิดความสนใจที่รุนแรงและมักไม่นานเพื่อความสนุกสุดเหวี่ยงขึ้นมาได้ในเดือนนี้ ให้สังเกตความแตกต่างของคนสองประเภทนี้

4.เดือนแห่งการยอมรับการทรงเรียกคุณ มิฉะนั้น คุณก็จะพูดแต่รายงานที่ชั่วร้าย คือพูดแต่ในแง่ร้าย (ซึ่งพวกเรามีสิทธิที่จะเลือกว่าจะเอาอันไหน) คนส่วนใหญ่ตกลงไปในสิ่งที่ไม่ดี เป็นอันตราย และเป็นทางลบ ก็เพราะว่าพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะพูดว่าพวกเขาเป็นใครและมีฐานะอะไรอย่างไร คุณต้องชอบตัวคุณเองเสียก่อน หากว่าคุณไม่ชอบตัวคุณเองแล้วละก็ แสดงว่าก็ต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่ชอบในองค์เจ้านายของคุณแน่ๆ คำพูดของคุณจะเป็นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่คุณหว่านซึ่งจะนำผลผลิตในการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ที่จะมาถึงในเดือนกันยายนแน่นอน คือ ในช่วงเทศกาลฉลองอยูเพิง (Feast of Tabernacles)
ปฐมกาล 49:3-4
3 รูเบนเอ๋ย เจ้าเป็นบุตรหัวปีของเรา เป็นกำลังและเป็นผลแรกแห่งเรี่ยวแรงของเรา เป็นยอดแห่งความเย่อหยิ่งและยอดของความรุนแรง
4 เจ้าเดือดดาลอย่างน้ำเชี่ยวจึงเป็นยอดไม่ได้ ด้วยเจ้าล่วงเข้าไปถึงที่นอนบิดาของเจ้า เจ้าทำให้ที่นอนนั้นเป็นมลทิน เจ้าล่วงเข้าไปถึงที่นอนของเรา

(เพิ่มเติม :กำลังและผลแรกแห่งเรี่ยวแรง ปฐมกาล 29:32 กล่าวว่า “นางเลอาห์ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย และตั้งชื่อว่า รูเบน ด้วยนางว่า “เพราะพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรความทุกข์ใจของฉัน เพราะเดี๋ยวนี้สามีจะรักฉัน”
สูงสุดของเกียรติ และสูงสุดของพลังแต่ไม่มั่นคงอย่างน้ำ ปฐมกาล 35:22 “อยู่มาเมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ที่ดินแดนนั้น รูเบนไปนอนกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของบิดา อิสราเอลก็รู้เรื่องนี้” และใน 1พงศาวดาร 5:1 กล่าวว่า “บุตรของรูเบนผู้เป็นบุตรหัวปีของอิสราเอล (รูเบนเป็นบุตรหัวปีก็จริง แต่เพราะเขาได้ทำให้ที่นอนของบิดาของเขามีมลทิน สิทธิบุตรหัวปีของเขาจึงถูกมอบให้กับบุตรของโยเซฟผู้เป็นบุตรของอิสราเอล ดังนั้นรูเบนจึงไม่ได้อยู่ในทะเบียนลำดับพงศ์ของบุตรหัวปี)”
รูเบนไม่ได้รับเกียรติสูงสุดเพราะว่าปัญหาต่างๆ ที่เขาไม่ได้แก้ไข เขามีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยได้นำมาใช้ให้สำเร็จ เขาไม่เคยจัดการกับปัญหาทางเพศของเขา จงอธิษฐานและขอต่อองค์เจ้านายที่จะสำแดง “ปัญหาต่างๆ” ของคุณเอง เพื่อที่คุณจะสามารถจัดการแก้ไขมันได้ ผมสังเกตด้วยว่าในช่วงฤดูร้อน คริสเตียนหลายคนมีแนวโน้มที่จะถดถอย คือ กลับไปมีพฤติกรรมอย่างเดิมที่ยังไม่ได้พัฒนาให้ดีขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง “เหมือนเด็กๆ” สักหน่อย บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะแนวความคิดว่านี่คือช่วงแห่งการพักผ่อนหย่อนใจ หรืออะไรสักอย่าง จงตัดสินใจที่จะ “รุกคืบเข้าไปข้างหน้า” ในเดือนนี้เถิด
โมเสส ใช้เวลาอยู่กับองค์เจ้านายสี่สิบวันสี่สบคืน หน้าของเขาก็เรืองแสง คือรู้สึกปีติมีความสุขอย่างท่วมท้น หน้าแดงปลั่งมีสุขภาพดี “ต่อมาโมเสสลงมาจากภูเขาซีนาย มีแผ่นพระโอวาทสองแผ่นในมือของท่านด้วยขณะที่ลงมาจากภูเขานั้น โมเสสก็ไม่ทราบว่าผิวหน้าของตนทอแสงเนื่องจากท่านได้สนทนากับพระเจ้า” อพยพ 34.29
ประชาชนก็กราบไหว้ลูกวัวเพราะว่า พวกเขาไม่สามารถรับ “ความล่าช้า” ได้ “เมื่อประชาชนเห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขา จึงพากันมาหาอาโรน กล่าวว่า “จงลุกขึ้นสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา เพราะว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ทราบว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว” อพยพ 32.1

5.เดือนแห่งตัวอัษรเฆท หมายถึง “แสงเปล่งรัศมีออกมาจากดวงตาของคุณ” มารพยายามที่จะดับแสงนี้ แต่พระยาห์เวห์ตรัสเกี่ยวกับคุณว่า “เราคือพระเจ้า เราได้เรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราได้ยุดเจ้าและรักษาเจ้าไว้ เราได้ให้เจ้าเป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” พระเยซูคริสต์ทรงเป็น “เป็นความสว่างที่ส่องแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์” ลูกา 2:32 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” ยอห์น 8:12 ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงมี “พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ” วิวรณ์ 1.14 และบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์จึงมีความสว่างแห่งชีวิต “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเราว่าอย่างนี้ ‘เราตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างสำหรับคนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก’ ” กิจการของอัครทูต 13:47 และแก่นสารของความรอดนั้นก็ “คือว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และพระองค์จะทรงแสดงความสว่างแก่ชนอิสราเอลและแก่คนต่างชาติ โดยที่ทรงเป็นผู้แรกซึ่งคืนพระชนม์” กิจการของอัครทูต 26.23 พวกคุณจึงเข้าใจถึงการทรงเรียกของพวกคุณแล้วว่า “พวกท่านเป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” 1เปโตร 2:9

เฆท เป็นตัวอักษรแห่งชีวิต เพราะทั้งคำว่า คายิม “ชีวิต” และ คายาห์ “การมีชีวิต” นั้นขึ้นต้นด้วยตัวอักษรนี้ และชีวิตอันแท้ก็มาจาก คาซีดัท “การอุทิศทุ่มเท” นอกจากนี้ เฆท ยังมีค่าเท่ากับเลขแปด ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับคำว่า เคน “พระคุณ” และ โคกมาห์ “สติปัญญา” “ลูกเอ๋ย อย่าให้สิ่งต่อไปนี้คลาดสายตาของเจ้า แต่จงเฝ้ารักษาไว้ คือ สติปัญญาและความเฉลียวฉลาด ทั้งสองสิ่งจะเป็นชีวิตแก่เจ้า เป็นเครื่องประดับที่คอของเจ้า แล้วเจ้าจะดำเนินในทางของเจ้าอย่างปลอดภัย และเท้าของเจ้าจะไม่สะดุด” สุภาษิต 3.21-23 ให้สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเลขแปด “การเริ่มต้นใหม่” กับพระคุณ
1. พันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัต เกิดขึ้นในวันที่ 8 ของชีวิตของทารกเพศชาย เป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นชีวิต
2. มี 8 คนรอดตายจาก มาบุล ฮากาโดล “น้ำท่วมครั้งใหญ่” สมัยโนอาห์
3. องค์เจ้านายยืนยันพันธสัญญาของพระองค์แก่อับราฮัม 8 ครั้ง
4. ดาวิด เป็นบุตรคนที่ 8 ของเจสสี
5. สุคคต(เทศกาลอยู่เพิง) เป็นเทศกาลเดียวที่มีการเฉลิมฉลอง 8 วัน เล็งถึงการรอคอย โอลาม ฮาบาห์ “โลกใหม่ที่จะมาถึง” อย่างมีความหวัง
6. พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในวันแรกของสัปดาห์ หากเราเข้าใจว่าเจ็ดวันก่อนหน้านี้คือการบรรจบครบรอบที่สมบูรณ์แล้วละก็ วันแรกของสัปดาห์ถัดไปก็คือวันที่ 8 นั่นเอง

6.เดือนแห่งแผ่นฟิล์มภาพยนตร์  คุณสามารถเฝ้าดูกระบวนการชีวิตของคุณว่าจะดำเนินไปในทิศทางใดได้ เหตุฉะนั้น จงหยุดแล้วจงปรับปรุงแก้ไขส่วนที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเสียก่อน จงขอให้องค์เจ้านายแสดงให้คุณเห็นว่าชีวิตของคุณจะลงเอยอย่างไรหากว่าคุณไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิตไปกับองค์เจ้าชีวิต!

7.เดือนนี้เชื่อมต่อกับกลุ่มดาวปู (Cancer)“กระดอง” ของเราจำเป็นที่จะต้องถูกถอดออกไปเสีย เพื่อที่พวกเราจะสามารถรับเอาการปรับปรุงแก้ไขได้ ถ้าหากคุณไม่อนุญาตให้ตัวคุณเองได้รับการปรับปรุงแก้ไขได้แล้วละก็ คุณก็จะแข็งกระด้าง และเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าไปสู่ระดับต่อไปของการเจริญเติบโตได้ จงขอองค์เจ้านายที่จะเอาความแข็งกระด้างไม่ว่าด้านใดก็ตามออกไปเสียจากตัวคุณ จงขอองค์เจ้าชีวิตที่จะเอากระดองของคุณออกไปเสียเถิด

8.นี่เป็นเดือนที่จะต้องปกป้องหัวใจและดวงตาของคุณเอาไว้ให้ดี
กล่าวคือ จงระมัดระวังสิ่งที่คุณรู้สึกและสิ่งที่คุณคิด และจงเฝ้าระวังสิ่งที่คุณอนุญาตให้ตัวคุณเองมองดู เฉลยธรรมบัญญัติ 11:26 และ 30:15 กล่าวว่า “ดูสิ วันนี้ข้าพเจ้าได้นำคำอวยพรและคำสาปแช่งมาไว้ตรงหน้าท่านทั้งหลาย…จงดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้าได้วางชีวิตและสิ่งดี ความตายและสิ่งร้ายไว้ต่อหน้าท่าน” และในเฉลยธรรมบัญญัติ 30.19 บอกว่า “ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่” ดาวิดได้เลือกทำสิ่งนี้ และพระเจ้าเรียกเขาว่า “เป็นคนที่เราชอบใจ เป็นผู้ที่จะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทุกประการ” กิจการของอัครทูต 13.22 เพราะเขาไล่ตามหัวใจของพระองค์ สิ่งที่ดาวิดทำก็คือ “ข้าพเจ้าตั้งพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว” สดุดี 16:8

9.เดือนของมือขวาและพันธสัญญาที่เรียงตรงกัน อ่าน เพลงซาโลมอน 5.2-12 แล้วจงระลึกถึงพันธสัญญาทั้งสิ้นของคุณ ด้วยว่ามือขวานั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ต่างๆ และพันธสัญญาต่างๆ จงยืนยันความสัมพันธ์ต่างๆ ที่คุณต้องรักษาไว้ จงให้พระเจ้านำทางคุณ และจัดเรียงคุณเข้ากับความสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่กำลังจะมา

22 มิถุนายน 2555

เตรียมยุ้งฉางเพื่อรับพระพร

สวัสดีครับเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ในวันนี้ขอแบ่งปันบทความเรื่อง “เตรียมยุ้งฉางเพื่อรับพระพร” ซึ่งเป็นการเตรียมชีวิตเพื่อรับการอวยพระพรจากพระเจ้า เรียกว่า “เตรียมตัวรับมือกับความมั่งคั่ง” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้า เป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ซึ่งสำแดงพระสิริของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่สถาปนาขึ้นในโลกนี้ และมีแผนการให้มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมาตามพระฉายาเพื่อทำการปกครองตามพระบัญชาของพระองค์
ปฐก.1:28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ทำบาป (ปฐก.3)และมารได้หลอกลวงสิทธิอำนาจแห่งการครอบครองนี้มาเป็นของมัน ทำให้มนุษย์อยู่ในความบาป เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า(รม.3:23)อยู่ในความยากลำบาก ตรากตรำทำงานหนัก อยู่ในวิญญาณแห่งความยากจนที่มารได้ยัดเยียดมาให้กับมนุษย์ เปรียบเทียบเหมือนลูกเศรษฐีตกยาก
แต่พระเจ้ามีแผนการดีในการรื้อฟื้นอาณาจักรของพระองค์ ผ่านทางชนชาติอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติแห่งพระพร(ปฐก.12) การอวยพรได้ผ่านเชื้อสายอับราฮัมบิดาแห่งความเชื่อและแผนการนี้ยังดำเนินต่อมาจนถึงพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นดังจอมกษัตริย์และมหาปุโรหิตที่เป็นผู้กลางที่เชื่อมเราทั้งหลายเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือคริสตจักรอยู่ในวิญญาณแห่งความยากจน เราจะต้องขับไล่วิญญาณนี้ออกจากชีวิตของเรา และรับเอาพระพรและความมั่งคั่งตามพระสัญญาเข้ามาในชีวิต
ในปี 5773 ตามปฎิทินฮีบรูจะเป็นช่วงปลายเดือนก.ย.2012 เป็นปีแห่งตัวอักษรคือ Ayin Gimmelหมายถึงปีแห่งพระพรความมั่งคั่ง ตัวอักษร Gimmel เป็นภาษาสัญลักษณ์เล็งถึงตัวอูฐ (Camel)อูฐเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง เนื่องจากโดยทั่วไปคนที่มั่งมีจะเลี้ยงอูฐไว้เป็นการเลี้ยงประดับบารมี เปรียบเหมือนกับคนที่ร่ำรวยจะขับรถ Benz เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่ง สำหรับในพระคัมภีร์หากกล่าวถึงอูฐจะเป็นการแสดงถึงความมั่งคั่ง ดังเช่น 
อสย. 60:5-6
5 แล้วเจ้าจะเห็นและปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้นและเปรมปรีดิ์ เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะหันมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติของบรรดาประชาชาติจะมายังเจ้า
6 มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดาเหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการอันน่าสรรเสริญของพระเจ้า
ภาพจากพระธรรมตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนที่เหล่าโหราจาย์ได้ขี่มวลอูฐมาถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเยซูคริสต์ทั้งทองคำ กำยาน และมดยอบ (มธ.2:11) พระเยซูคริสต์จึงเป็นผู้นำการเจิมแบบกษัตริย์เพื่อปลดปล่อยความมั่งคั่งจากอาณาจักรสวรรค์มาสู่โลกจริงๆ เราจึงต้องมีความเชื่อในสิทธิ์การเป็นบุตรของพระเจ้า และรับพระพรจากพระองค์

ในพระคัมภีร์อีกตอนที่พูดถึงอูฐคือ คนมั่งมีจะเข้าแผ่นดินสวรรค์นั้นยากเหมือนอูฐจะรอดรูเข็ม(มธ.19:24)ให้ข้อคิดถึงการที่เป็นคนมั่งมีแต่รักเงินทองทำให้หัวใจห่างไกลจากพระเจ้า  เราต้องมีเงินอยู่ในมือ ไม่ใช่มีเงินอยู่ในใจ  เพราะการรักเงินเป็นมูลรากแห่งความชั่ว (1ทธ.6:10)การมีเงินเป็นสิ่งไม่ผิดอะไร พระเจ้าให้เรามีเงินได้ แต่การรักเงินเป็นสิ่งที่ผิด พระเจ้าปรารถนาจะอวยพระพรให้เราเป็นคน "มั่งมี" ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่เราอย่าเป็นคนแบบอยาก"มีมั่ง" คนอยากมีมั่งคือ เห็นคนอื่นเค้ามีก็อยากมีมั่ง อยากได้ อยากมี อยากเป็นไม่รู้จักพอ เป็นคนโลภ

ในบทความครั้งนี้ผมจึงขอนำชีวิตของบุคคลหนึ่งในประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ที่เป็นผู้เตรียมชีวิตอย่างดี เพื่อรับพระพรจากพระเจ้าเพื่อเป็นพระพรให้กับผู้อื่น บุคคลท่านนั้นคือ โยเซฟ จากพระธรรม ปฐมกาลบทที 41.37-57 โยเซฟเป็นผู้ที่ "เตรียมยุ้งฉางเพื่อรับพระพร" เรามีศึกษาชีวิตของท่านร่วมกันดังนี้

1.โยเซฟมีการทรงสถิตของพระเจ้า(ข้อ38)
แม้แต่ฟาโรห์ยังกล่าวชมโยเซฟ(ข้อ 38)ฟาโรห์ตรัสกับบรรดาข้าราชการว่า  "เราจะหาคนที่มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ" แท้จริง พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็นพรให้กับคนในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม โยงใยไปถึงคนทั้งโลก เพื่อนำคนทั้งโลกมาหาพระเจ้า  เราจึงควรตั้งเป้าให้ชีวิตส่วนตัวของเราเป็นเหมือนยุ้งฉางแห่งพระพร 
ตลอดประวัติศาสตร์พบว่า มีคนที่พระเจ้าทรงอวยพรให้เกิดผล และเป็นพรต่อคนในโลก พระเจ้าทรงอวยพรให้ชีวิตของเขาเหล่านี้ เป็นเหมือนยุ้งฉางใหญ่ที่เต็มด้วยพระพรของพระเจ้า ทำให้ผู้คนรับกำลัง รับพระพรมากมาย รวมทั้งเราทั้งหลายที่รับกำลังใจจากชีวิตของพวกเขาด้วย
ชีวิตของโยเซฟ เป็นคนหนึ่งที่พระคัมภีร์บันทึกว่า เขาเป็นคนที่ช่วยทั้งโลกได้ในคราววิกฤตการณ์กันดารอาหาร   
โยเซฟจัดว่าเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ ที่ทำคุณงามความดีในการกอบกู้บ้านเมืองอียิปต์และประเทศเพื่อนบ้านในเวลานั้น ให้พ้นจากวิกฤตการกันดารอาหาร
โยเซฟเป็นบุตรของยาโคบหรืออิสราเอล ที่ถูกขายไปเป็นทาสของชาวอียิปต์ แต่ด้วยชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ในที่สุด พระเจ้าทรงยกชู โยเซฟกลับกลายเป็นอุปราชนายกรัฐมนตรีอียิปต์ในชั่วข้ามคืน เพียงหนึ่งชีวิตที่ยอมต่อพระเจ้า ก็ทำให้เป็นพรให้กับคนทั้งโลก
เนื่องจากพระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ ทำให้ชีวิตของโยเซฟเป็นพอพระทัยของกษัตริย์ฟาโรห์  เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ ท่านจึงมีสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยสิ่งที่จะเกิดขึ้น และในเจ็ดปีนั้น ก็เกิดความอุดมสมบูรณ์ดังที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดง
พระคัมภีร์บันทึกว่า พระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ และประทานให้ทุกอย่างในมือเขาเกิดผล
ปฐก.39:2 ...พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ โยเซฟจึงเจริญรวดเร็ว เขาอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของเขา
ปฐก.39:21 ...แต่ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่เขา ทรงโปรดให้พัศดีเมตตาปรานีเขายุ้งฉางของเราจะเป็นพระพรได้ ก็ต่อเมื่อมีการเกิดผล บรรจุพระพรเต็มขนาด
การเกิดผลเป็นได้จริงอย่างอัศจรรย์ก็ต่อเมื่อมีการทรงสถิตของพระเจ้า
จากชีวิตโยเซฟที่บันทึกไว้ ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนจากโลกไป เป็นคนที่ตอบสนองพระเจ้า ดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อด้วยความยำเกรงพระองค์
ความสัตย์ซื่อของโยเซฟ เห็นได้จากการทำงานอย่างซื่อตรงตลอดเวลา ไม่ใช่ดีเพียงชั่วคราว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ทำงานอย่างดี มีชีวิตดีงาม
ตั้งแต่ถูกขายเป็นทาสในอียิปต์ ตอนอายุประมาณ 17 ปี จนถึงเวลาที่รับการยกชูอายุ 30 ปี (ปฐก.37:2,41:46) ยำเกรงพระเจ้า ไม่ยอมประนีประนอมกับความบาป แม้ว่าภรรยาโปทิฟาร์ชักชวนทำบาป แต่โยเซฟไม่ยอม แม้จะต้องยากลำบากเพราะความยำเกรงพระเจ้าก็ตาม (ปฐก 39:3-10)
การมีทัศนคติที่ถูกต้อง แม้เผชิญสถานการณ์ยากลำบาก ก็ไม่ได้บ่นต่อว่าพระเจ้า หรือตีโพยตีพาย แต่ทัศนคติที่ดีทำให้เขาทำงาน ทุกอย่างที่รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี จนนายพอใจเสมอ ทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้ในชีวิต ไม่มีผิดพลาด ความยากลำบากที่ให้กับโยเซฟ เพื่อสร้างเขาให้ใช้การได้ เมื่องานยิ่งใหญ่มาถึง
พระวจนะสอนเราให้ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์กำลังสร้างเราขึ้นเพื่อพร้อมที่จะกระทำการดี แม้ความยากลำบากก็ไม่เคยเป็นความผิดพลาดของพระเจ้า มนุษย์อาจผิดพลาด แต่พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด และแม้ความผิดพลาดของมนุษย์ในบางครั้ง เมื่ออยู่ในการควบคุมของพระเจ้า อาจกลายเป็นอุปกรณ์ของพระองค์ในการขัดเกลาชีวิตเราด้วย เราจึงต้องขอบคุณพระเจ้าได้เสมอ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ รักษาการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิต เพราะถ้าไม่มีชีวิตในพระเจ้า เราก็จะสูญเสียชีวิตในที่สุด

2.โยเซฟมีสติปัญญาจากพระเจ้า(ข้อ 48-49)
48 โยเซฟเก็บอาหารทั้งเจ็ดปีซึ่งมีอยู่ในประเทศอียิปต์ไว้หมด สะสมไว้ในหัวเมือง ผลที่เกิดขึ้นในนารอบหัวเมืองใด ก็เก็บไว้ในหัวเมืองนั้น
49 โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเลมากมายจนต้องหยุดคิดบัญชี เพราะนับไม่ถ้วน
ผลแห่งความสัตย์ซื่อยำเกรงพระเจ้าตลอดชีวิต ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ เขาหวังใจเสมอ ทำให้ โยเซฟ มีสติปัญญามากกว่าคนทั้งประเทศอียิปต์
การมีสติปัญญาแสดงออกอย่างไร
รู้จักกาลเวลาของพระเจ้า(ข้อ 48-49)
... โยเซฟเก็บอาหารทั้งเจ็ดปีซึ่งมีอยู่ในประเทศอียิปต์ไว้หมด สะสมไว้ในหัวเมือง ผลที่เกิดขึ้นในนารอบหัวเมืองใด ก็เก็บไว้ในหัวเมืองนั้น  โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเลมากมายจนต้องหยุดคิดบัญชี เพราะนับไม่ถ้วน ...
พระเจ้าบอกกับโยเซฟผ่านทางความฝันของฟาโรห์ ว่าจะมีความอุดมสมบูรณ์ใน 7 ปีแรก ดังนั้น โยเซฟรู้ว่า เป็นเจ็ดปีที่ต้องลงแรงทำงานอย่างเต็มกำลัง มีเวลาเพียงเจ็ดปีที่จะเตรียมยุ้งฉาง และเก็บเกี่ยวผลผลิตเข้าสู่ยุ้งฉางให้มากที่สุด และเขาทำอย่างสำเร็จ หลังจากนั้นก็เกิดการกันดารอาหารอีก 7 ปี โยเซฟก็ได้แบ่งปันข้าวที่เก็บไว้เป็นพระพรไปทั่วประเทศ 
ข้อคิดจากโยซฟคือคนมีสติปัญญาจากพระเจ้าจะรู้กำหนดเวลา มองภาพชัด ทำให้กระตือรือร้น เพราะมีเวลาเพียง 7 ปี ที่จะต้องหว่าน ต้องเก็บเกี่ยว ต้องเตรียมลับเคียว ต้องสร้างยุ้งฉาง ต้องเตรียมคนงานอย่างเต็มที่
เวลาแต่ละปีในการเตรียมที่นา สร้างยุ้งฉาง หว่าน ลงต้นกล้า เก็บเกี่ยว นำเก็บในยุ้งฉาง ดูเหมือนนานหลายเดือน แต่เวลาผ่านไปเร็วมากสำหรับการเก็บเกี่ยวในแต่ละหน้านา
คนของพระเจ้าต้องรู้เวลาของพระองค์ เวลานี้ คือ ยุคสุดท้าย ใกล้เวลาที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้ว
อัครสาวกยอห์นได้เห็นภาพในยุคสุดท้าย
วว.14:14-19
14...ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิดมีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม
15 และมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่ง ออกมาจากพระวิหาร ร้องทูลพระองค์ผู้ประทับบนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า "จงใช้เคียวของพระองค์เกี่ยวไปเถิด เพราะว่าถึงเวลาเกี่ยวแล้ว เพราะว่าผลที่จะต้องเก็บเกี่ยวในแผ่นดินโลกนั้นสุกแล้ว"
16 และพระองค์ผู้ประทับบนเมฆนั้น ได้ทรงตวัดเคียวนั้นบนแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็ได้ถูกเกี่ยวแล้ว
17 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งก็ออกมาจากพระวิหารบนสวรรค์ ถือเคียวอันคมเช่นเดียวกัน
18 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งผู้มีฤทธิ์เหนือไฟได้ออกมาจากแท่นบูชา และร้องบอกท่านที่ถือเคียวคมนั้นด้วยเสียงอันดังว่า "ท่านจงใช้เคียวคมของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลก เพราะลูกองุ่นนั้นสุกดีแล้ว"
19 ทูตสวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวบนแผ่นดินโลก และเก็บเกี่ยวผลองุ่นแห่งแผ่นดินโลก และเทลงไปในบ่อย่ำองุ่นอันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า
การพิพากษาใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เราต้องรีบเร่งทำการ เพราะเวลามีน้อยแล้วต้องรีบเร่งในการประกาศข่าวประเสริฐให้คนทั้งหลายได้รับพระพรจากพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้รู้กาลเวลาของพระเจ้า ทรงมีพระปัญญายิ่ง ทำให้ทรงทำงานยิ่งใหญ่ที่รับมอบหมายจากพระเจ้าสำเร็จในเวลาเพียงสามปีครึ่ง
ยน.9:4 เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้
คนที่รู้กาลเวลาก็จะเร่งรีบทำการ เราต้องรู้กาลเวลาแห่งการอวยพรของพระเจ้า อย่าเป็นคนเกียจคร้าน เฉื่อยแฉะ เพราะในที่สุดเราจะพลาดพระพร
เมื่อเรารู้ว่าฤดูฝนกำลังจะมาถึง เราก็ต้องเตรียมโอ่งหรือเตรียมภาชนะในการรองรับ ไม่ได้ปล่อยให้ฤดูฝนผ่านไปโดยไม่ได้รับผลประโยชน์จากฝน
สภษ.20:4 คนเกียจคร้านไม่ไถนาในหน้านา เขาจะแสวงหาเมื่อถึงฤดูเกี่ยวแต่ไม่พบอะไรเลย
เราต้องเรียนรู้วาระเวลาของพระเจ้าและรีบเตรียมยุ้งฉางเพื่อพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเทพระพรลงมา
 
รู้จักการบริหาร(ข้อ48)

ข้อ 48...โยเซฟเก็บอาหารทั้งเจ็ดปีซึ่งมีอยู่ในประเทศอียิปต์ไว้หมด สะสมไว้ในหัวเมือง ผลที่เกิดขึ้นในนารอบหัวเมืองใด ก็เก็บไว้ในหัวเมืองนั้น
ด้วยสติปัญญาทำให้โยเซฟมองการณ์ไกล สามารถบริหาร เพื่อให้รองรับผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ของทั้งประเทศ
เขาได้สร้างยุ้งฉางให้พอเพียง ในการรับผลผลิต ไม่ว่าปลูกที่ไหนเกิดผลที่ใด ก็สามารถเก็บเกี่ยวเข้ายุ้งฉางได้หมด เพราะมีการสร้างยุ้งฉางไว้รองรับทุกที
โยเซฟเข้าใจการบริหาร กระจายงานให้ทั่วถึง ทุกคนรับผิดชอบในส่วนเล็กๆ ของตน หัวเมืองใหญ่ก็มีผลผลิตมาก หัวเมืองเล็กมีคนน้อยก็อาจมียุ้งฉางเล็ก เป็นการบริหารการทำงานโดยให้เกิดความร่วมมือกันโดยแต่ละคนรับผิดชอบงานของตนในอาณาเขตของตน ทำให้เกิดงานได้มากกว่า เป็นหลักการบริหารกระจายอำนาจ
แนวคิดบริหารของโยเซฟนับว่าทันสมัยมาก คงเป็นต้นแบบการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือ อบต.ในปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงเวลาขาดแคลน ทุกคนต้องมาซื้อข้าว  การแจกจ่ายก็จะไม่มีปัญหา ทุกคนสามารถซื้อข้าวได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล ไม่เกิดการจลาจล และไม่เกิดจราจรติดขัดเป็นอัมพาตที่เมืองหลวง
สิ่งนี้ทำให้คนได้รับพระพรกันถ้วนหน้าจากยุ้งฉางของโยเซฟ  คริสตจักรจึงเป็นเหมือนยุ้งฉางของพระเจ้าในที่ต่างๆ เพราะเรารับพระพรจากพระเจ้ามากมายในยุ้งฉางของชีวิตเรา
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราพบสิ่งที่เป็นสัญญาณเตือนใจเราให้ตระหนักและเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ  เกิดการเขย่าไปทั่วโลก การเขย่าด้านเศรษฐกิจ ทั้งในทวีปอเมริกาและยุโรป สิ่งที่เราจะต้องเตรียมคือการเป็นผู้ที่มีสติปัญญาจากพระเจ้าในการรู้จักบริหารจัดการ เตรียมทั้งชีวิตในฝ่ายวิญญาณให้พร้อมและเตรียมฝ่ายกายภาพในการรู้จักบริหารจัดการการใช้เงินและทรัพยากรต่างๆอย่างเหมาะสม เพื่อรับมือได้ทุกสถานการณ์  

3.โยเซฟมีใจในการขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ (ข้อ 50-52)
50...ก่อนถึงปีกันดารอาหาร โยเซฟมีบุตรชายสองคน ซึ่งนางอาเสนัทบุตรีโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอนมีให้ท่าน
51 โยเซฟเรียกลูกหัวปีว่า มนัสเสห์ {แปลว่า การทำให้ลืม} "เพราะว่าพระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าลืมความยากลำบากทั้งปวง และบรรดาพงศ์พันธุ์ของบิดาเสีย"
52 บุตรที่สองท่านเรียกชื่อว่า เอฟราอิม {จากคำฮีบรู หมายความว่า มีลูกดก} "เพราะว่า พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้ามีพงศ์พันธุ์ทวีขึ้นในดินแดนที่ข้าพเจ้าได้รับความทุกข์ใจ"
ชื่อบุตรทั้งสองของโยเซฟ บ่งบอกถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขา ในช่วงแห่งการยกชูของพระเจ้าในพระราชวังของฟาโรห์
โยเซฟมีท่าทีถูกต้อง คือ การขอบพระคุณพระเจ้าเสมอในทุกกรณี
ท่านวางใจต่อพระเจ้าตลอดวันคืนชีวิตของเขา ส่งผลต่อการมองภาพต่างๆอย่างถูกต้อง และมีปัญญาไม่ถูกบดบังด้วยอคติและความหวาดกลัว
ชื่อ มนัสเสห์ หมายความว่า ทำให้ลืม เป็นการแสดงออกถึงการขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงโปรดให้ลืมความยากลำบาก และพงศ์พันธุ์บ้านบิดาทั้งปวง (ข้อ 51)
ไม่ได้หมายความว่า ลืมชนชาติของตัวเอง แต่หมายความว่า พระคุณมากมายล้นเหลือของพระเจ้าทำให้ลืมความเจ็บปวดในอดีต ทำให้ไม่หลงเหลือใจขมขื่นต่อพวกพี่ชาย
และในเวลานี้ ได้เห็นภาพว่า สิ่งที่พวกพี่ชายได้ทำผิดนั้น พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนการร้ายให้กลับเป็นการดี

เราพบว่าโยเซฟไม่เคยโกรธและให้อภัยแม้ว่าพี่ชายจะคิดร้ายต่อท่าน
ปฐก.50:20 ...พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก
การวางใจพระเจ้าส่งผลให้มีท่าทีให้อภัย เพราะวางใจ พระเจ้าผู้ทรงอนุญาตทุกสิ่งเพื่อสิ่งดีของคนที่รักพระองค์
หลักการพระเจ้า คือ ไม่ทำการร้ายตอบแทนการร้าย  ท่าทีอภัย เป็นเหตุให้เราสามารถทำงานยิ่งใหญ่ได้ เพราะชีวิตปลดปล่อยจากความโกรธแค้น พระเจ้าอวยพรโยเซฟที่ท่าทีถูกต้อง เราก็ต้องตัดสินใจให้อภัย ไม่มีใจขุ่นเคือง
ยุ้งฉางแห่งพระพร ควรเต็มด้วยความรัก จิตใจของผู้สร้างยุ้งฉางพระพร ต้องมีความรักของพระเจ้าเต็มในหัวใจ

อ.ใหญ่ ศิริพร สุกัญจนศิริ ได้กล่าวว่า ขอให้พวกเราระมัดระวังกับท่าที 4 อย่างด้วยกันในช่วงนี้จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2012 นี้ คือ 1.ท่าทีของความหยิ่ง 2.ความไม่เชื่อ 3.การไม่ให้อภัย (ให้อภัยยากหรือไม่ยอมให้อภัย) 4.ความโลภ ทั้ง 4 สิ่งนี้ยกตัวขึ้นเพื่อขัดขวางสิ่งที่พระเจ้ากำลังกระทำในประเทศไทยในช่วงเวลานี้ สิ่งที่เราต้องทำคือ

(1) สารภาพบาปและท่าทีเหล่านี้ที่อยู่ในใจ
(2) หักล้างพันธสัญญาใจหรือข้อตกลงที่เคยมีกับ 4 สิ่งนี้ 
(3) ป่าวประกาศว่าศัตราวุธและอุบายที่ศัตรูใช้เพื่อต่อสู้กับเรา ประเทศของเรา จะต้องพ่ายแพ้ไป  และเราจะรับทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะทำท่ามกลางเรา
หลายครั้งที่เราไม่สามารถรับพระพรของพระเจ้าได้นั่นมาจากท่าทีที่ผิดเหล่านี้ เราจะต้องขับไล่ท่าทีเหล่านี้และอธิษฐานขอพระเจ้าปลดปล่อยพระพรมาสู่ชีวิตของเรา 
อีกชื่อหนึ่ง คือ ชื่อ เอฟราอิม หมายความถึง การเกิดผล เป็นการบ่งบอกความเชื่อของโยเซฟว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงประทานความมั่งคั่งและพระพรในดินแดนที่เขาได้รับความยากลำบาก
ท่าทีวางใจพระเจ้าทำให้เกิดความเชื่อ และความเชื่อนี้แหละเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า พระเจ้าสามารถทำงานผ่านความเชื่อของเรา ในข้อ 53-57 ได้พูดถึงพระพรที่พระเจ้าอวยพรผ่านยุ้งฉางที่โยเซฟได้เตรียมไว้
53 เจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์ในประเทศอียิปต์ก็ล่วงไป
54 จึงเกิดกันดารอาหารเจ็ดปี ดั่งที่โยเซฟทำนายไว้ การกันดารอาหารนั้น เกิดทั่วแคว้นทั้งหลายแต่ทั่วประเทศอียิปต์ยังมีอาหารอยู่
55 เมื่อชาวอียิปต์อดอยากอาหาร ประชาชนก็ร้องทูลขออาหารต่อฟาโรห์ ฟาโรห์ก็รับสั่งแก่ชาวอียิปต์ทั้งหลายว่า "ไปหาโยเซฟ ท่านบอกอะไร ก็จงทำตาม"
56 การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์ เพราะการกันดารอาหารในแผ่นดินรุนแรงมาก
57 ยิ่งกว่านั้นทั้งโลกก็มายังประเทศอียิปต์หาโยเซฟเพื่อซื้อข้าว เพราะการกันดารอาหารร้ายแรงทั่วโลก
เราได้เห็นว่า โยเซฟสามารถเป็นพรต่อคนทั้งประเทศ ยิ่งกว่านั้น เป็นพรไปสู่คนทั่วทั้งโลก
เพียงหนึ่งชีวิต ส่งผลให้คนทั้งโลกรับพระพร ให้เราเป็นชีวิตแห่ง พระพร ตั้งใจสร้างชีวิตให้เป็นยุ้งฉางที่เต็มด้วยพระพรพระเจ้า ด้วยการรักษาชีวิตให้เต็มด้วยการทรงสถิตของพระเจ้า มีสติปัญญาในการรู้กาลเวลาของพระเจ้า รู้จักการบริหารจัดการ และมีใจขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ นี่คือลักษณะการเตรียมยุ้งฉางเพื่อรับพระพรจากพระเจ้า 

ในวันนี้ขอให้ชีวิตเราร่วมกันทำให้คริสตจักรของเราเป็นยุ้งฉางใหญ่ที่จะเป็นพรให้กับประเทศนี้ และคนในโลกนี้ 
ผมเชื่อพระเจ้าจะอวยพระพรให้เรามั่งคั่งอย่างเหลือเชื่อ เพื่อให้เราจะมีอย่างเหลือเฟือ และแจกจ่ายพระพรออกไปอย่างเหลือล้น  เอเมนไหมครับ...

Blessings for the Hebrew Month of Tammuz

Blessings for the Hebrew Month of Tammuz
by Ron Sawka

Tammuz, 4th Hebrew Month June 21–July 19, Hebrew Year 5772

1. A month to see and establish the brilliance of your righteousness. Lots of negative things occur during this month. So, we need to counteract it through praise and declaration. See Isaiah 58:8, Psalm. 112:4, and Daniel 12:3.

2. The month of the tribe of Reuben. He lost his inheritance as firstborn. Reuben is an example of someone with great potential—but because he did not deal with basic issues, he did not excel. Ask the Lord to help you deal with issues that are holding you back. Genesis 49:3–4 describes Reuben: beginning of power; excellence and dignity; unstable as water.

3. We can shine (be brilliant through worship), or we may develop a golden calf. Idolatry can “kick up” during this month. Ask the Lord to take your worship to a new level. Note that Moses’ face glowed after being with the Lord. Also notice that people worshiped the calf (Exod. 32:1). They couldn’t accept delay.

4. A month to either accept your calling or speak an evil report of who you are. We have a choice of which it will be. People fall into negativity because do not know how to speak out who they are and what they are about. You must like yourself; if you don’t, then is something about the Lord you don’t like. Look at past prophecies of who you are and declare them during this month. They will be like seeds you sow which will bring a great harvest in September (Feast of Tabernacles).

chet5. The month of letter chet,   which means “light radiating from your eyes.” The devil tries to put this light out. Chet is also tied to the number 8—signifying new beginnings; it also is referred to as the “letter of life.” It can also mean “sin.” Through this letter, God is showing us that we can, and must, choose correctly so that we don’t fall into negativity. See Isaiah 42:6, and Revelation 1:14.

6. The “filmstrip” month. You can watch your life progress. Therefore, stop and make any necessary adjustments. Ask the Lord to show you how you might end up if you are not careful to walk with Him.

7. This month is linked with the constellation of the crab. Our shell must be removed so we are vulnerable. If you do not allow yourself to be vulnerable, we will become hardened, and cannot enter into next level of growth. Ask the Lord to remove any hardness or shell from you.

8. A month to guard your heart—what you feel and think, as well as your eyes—what you allow yourself to see. Deuteronomy 11:26 states “Behold, I set before you today a blessing and a curse.” See also Deuteronomy 30:15, “I have set before you today life and good, death and evil.”

9. The month of the right hand—the aligning covenant. See Song of Solomon 5:2–12. Remember your covenants—the right hand has to do with relationships and covenants. Affirm the relationships you are to keep. Let God lead and align you with new relationships.

http://ronsawka.wordpress.com/

11 มิถุนายน 2555

“รักสร้างภาพ…แบบนี้ต้องขยาย”

ข้อคิดเพื่อครอบครัว “รักสร้างภาพ…แบบนี้ต้องขยาย
เมื่อวันเสาร์ที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปให้โอวาทในงานแต่งงานของพี่น้องใน คริสตจักรแห่งพระบัญชาคู่หนึ่ง  ในครั้งนี้ผมจึงขอนำคำให้โอวาทงานแต่งงานเพื่อเป็นข้อคิดสำหรับครอบครัวและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้เช่นกัน  
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและสดใส ถ้าให้ความหมายของความว่ารักอย่างถูกต้อง

ผมได้รู้จักกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เจ้าบ่าวเป็นที่รักยิ่งสำหรับพี่น้องในคริสตจักรเพราะเป็นช่างภาพประจำคริสตจักร ส่วนเจ้าสาวก็สวย น่ารัก ระดับนางแบบ เจ้าบ่าวสายตาแหลมเลือกเจ้าสาวมาเป็นคู่ชีวิต
ตัวอย่างเรื่อง ภาพแห่งแรงบันดาลใจ
ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ นักธุรกิจหนุ่มท่านหนึ่งได้เผชิญวิกฤตการณ์นี้ แต่การผ่านไปได้ด้วยการประสบความสำเร็จ จึงถูกเชิญมาออกรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง นักธุรกิจหนุ่มผู้นี้ได้แบ่งปันเคล็ดลับความสำเร็จอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเก็บรูปภาพงานแต่งงานไว้ในกระเป๋าใส่สตางค์อยู่เสมอ เมื่อเผชิญปัญหาก็จะหยิบขึ้นมาดูทุกทั้ง เขาก็สามารถฝ่าฟันปัญหาไปได้
หลังจากให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ก็ขับรถเดินทางกลับบ้าน ภรรยาได้ชมรายการโทรทัศน์นี้อยู่ที่บ้าน เมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน จึงเดินไปต้อนรับ และกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“ที่รัก ฉันภูมิใจในตัวของที่รักมากเลย ที่ได้เก็บรูปงานแต่งงานของเราไว้ในกระเป๋าสตางค์ คงจะเป็นรูปภาพแห่งแรงบันดาลใจใช่ไหม ทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้…”
สามีตอบกลับไปทันควันว่า “ใช่จ๊ะที่รัก สำหรับฉันแล้ว งานแต่งานระหว่างเราเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เมื่อมองภาพนี้ทีไรแล้ว สถานการณ์อื่นๆกลายเป็นสิ่งเล็กน้อยไปเลย เมื่อเทียบกับการแต่งงานของเรา”
ภาพงานแต่งงานจะเป็นแรงบันดาลใจเสมอ แต่คู่สมรสที่ผมไปให้โอวาทคงไม่เป็นเช่นตัวอย่างข้างต้นนี้ ผมเชื่อว่าภาพงานแต่งงานของคู่นี้จะเป็นแรงบันดาลใจในทางบวกให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ เพราะคู่นี้แต่งงานด้วยความรักและความรักนี้แหละจะเป็นภาพแห่งแรงบันดาลใจที่ทั้งสองท่านนี้
ความรักจึงเป็นการสร้างภาพที่ทั้งสองคนจะเป็นผู้ออกแบบและจัดฉากด้วยกัน การสร้างภาพอาจจะเป็นคำให้ความหมายแง่ลบ ทั้งนี้เพราะมาจากท่าทีไม่ถูกต้อง ผู้สร้างภาพแสดงออกมาโดยไม่มาจากความเป็นตัวตนที่แท้จริง แต่หากมาจากความรักที่อยู่ภายในควารักนี้เองจะสร้างภาพในชีวิตให้สวยงามและสามารถขยายผลแห่งความรักออกไป   ในวันนี้ผมขอให้ข้อคิดเพื่อครอบครัวด้วยหลักการแห่งพระวจนะพระเจ้าในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ให้ชื่อหัวข้อว่า “รักสร้างภาพ…แบบนี้ต้องขยาย
ผมขอให้คำว่า “ภาพ” ต่อท้ายสิ่งที่เป็นข้อคิดในสร้างครอบครัว 3 ประการดังนี้ครับ

1.ความรักสร้าง…เอกภาพ
ปฐมกาล 2:23-24
23 ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง จะต้องเรียกว่า ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย" เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย"
24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
25 ทั้งผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน
ความรักสร้างความเป็นเอกภาพ เป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายในสไตล์ที่แตกต่างกัน เรีบกว่า "Unity in diversity"
แม้ว่าจะมีความแตกต่างแต่การแตกต่างไม่ใช่แตกแยก แต่เป็นการเสริมสร้าง ที่ต้องปรับเข้าหากัน เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพไว้ในครอบครัว 
การมาใช้ชีวิตครอบครัว เป็นการชายและหญิงทำพันธสัญญาต่อกันที่ยิ่งกว่าเป็นการ"ปรองดอง"แต่เป็นการเกี่ยวดอง  ดั่งทองเนื้อเดียวกัน
ดังนั้นต้องรักษาความเป็นเอกภาพ ไม่ใช่อยากอยู่เป็นเอกเทศเหมือนตอนเป็นโสด
การแต่งงานหลายคนบอกว่าเป็น "การติดคุก" แต่เป็นการติดคุกบนสวรรค์ แม้ว่าจะไปไหนไม่ได้แต่ก็อยู่รอดปลอดภัย
คน 2 คนมาอยู่ด้วยกัน จากพื้นภูมิที่แตกต่างกัน ต้องปรับตัวเข้าหากันใช้ความพยายามสูง
พระธรรมปฐมกาลบทที่ 2 ให้หลักการคือ การผูกพันกันเป็นเนื้อเดียวกันและไม่อายต่อกันและกันในการเปิดเผยชีวิตซึ่งกันและกัน
23 ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง จะต้องเรียกว่า ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย" เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย"
24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
25 ทั้งผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน
ครอบครัวจะต้องผูกพันกันเป็นเนื้อเดียวกัน และคำว่า “เปลือยกาย” หมายถึง ไม่มีอะไรปกปิดเป็นความลับต่อกัน ต้องพูดคุยสื่อสารกันเพื่อจะดำเนินชีวิตไปด้วยกัน
อาโมส 3:3 "สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ นอกจากทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน
ครอบครัวต้องมีการกำหนดข้อตกลงและต้องรักษาไว้ให้ได้ มีการปรึกษาและตัดสินใจร่วมกัน
หลักการของพระคัมภีร์ให้หลักการของความเป็นเอกภาพ โดยเอกภาพเป็นพระพรที่ไหลมาจากหลักการเรื่องสิทธิอำนาจ
สดุดี 133:1-3
1 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด
2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน
3 เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์
เอกภาพมาจากสิทธิอำนาจ ผู้ชายต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำและผู้หญิงต้องทำหน้าที่เป็นสนับสนุนเชื่อฟัง
เอเฟซัส 5:22-25
22 ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า
23 เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร
24 คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น
25 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร
สามีต้องรักภรรยา สามีเป็นผู้นำครอบครัว ภรรยาต้องเชื่อฟังสามีและสนับสนุน ดังหลักการพระคัมภีร์  ไม่อย่างนั้นจะผิดหลักการ บางครอบครัวภรรยาเป็นนำเป็นคนตัดสินใจ เหมือนการขับรถที่ขับแล้วผิดบทบาท  ไปไหนก็ติดขัดเหมือนขับรถใส่เกียร์มัว=กลัวเมีย
สามีบางท่านเกรงใจภรรยาจึงมีบทท่องใจเพื่อเชียร์เมีย ดังนี้
รักเมียต้องส่งเสีย อย่าให้เมียต้องสงสัยรักเมียต้องส่งเสริม อย่าให้เมียต้องสับสน
รักเมียต้องสื่อสาร อย่าให้เมียต้องเสี่ยมสอน
เหมือนผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำเหมือนคนที่ขับรถ ภรรยาบอกว่า เค้ามี “แฟนขับ” คือ ผมเป็นคนขับ ส่วนผมเลยบอกไปว่า ผมมี “เมียเก็บ” คือ เมียคอยเก็บเงินออมไว้ นี่คือการแบ่งบทบาทตามความเหมาะสมด้วยการตกลงกันด้วยความรักในครอบครัว
ทั้งนี้ต้องมาจากการตกลงวางบทบาทให้เหมาะสม และช่วยกันตัดสินใจในเรื่องต่างๆภายในครอบครัวเพื่อรักษาควาามเป็นเอกภาพ เพราะเอกภาพนำมาซึ่งพระพรจากพระเจ้า
การรักษาความเป็นเอกภาพไว้ในครอบครัว ต้องใช้ความรัก เพราะความรักลบล้างความผิดมากมายได้ สามีภรรยาต้องให้อภัยกันและกัน ด้วยใจที่รักเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพในครอบครัวไว้ได้
พิธีแต่งงาน การแต่งงานของชาวยิวคือพันธสัญญาตามกฎข้อบังคับทีสำคัญยิ่งระหว่างคนสองคนสองเพศต่อหน้าสักขีพยาน สิ่งสำคัญยิ่งในพิธีนี้คือการที่เจ้าบ่าวจะต้องมอบของมีค่าแก่เจ้าสาวโดยปกติแล้วจะเป็นแหวนกับเปล่งวาจาว่า เธอเป็นของฉันเพราะแหวนนี้ตามกฎของโมเสสและอิสราเอล หลังจากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะร่วมกันดื่มไวน์แก้วเดียวกัน เจ้าสาวจะมอบเอกสารการสมรสแก่เจ้าบ่าว นั่นเป็นการแสดงถึงพันธสัญญาที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ในครอบครัว เป็นความรักแท้ที่ปรารถนา 
ความ"รักแท้"ก็เป็นเหมือน"รักแร้" ที่ต้องดูแลและรักษา  ไม่เช่นนั้นจะส่งกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ออกไป ยกแขนขวาดมแล้วหงาย ยกแขนซ้ายดมแล้วสลบ

2.ความรักสร้าง…สัมพันธภาพ
เพลงซาโลมอน 8:6-7
6 จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิงคือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
คำว่า “รัก” เป็นการกล่าวคำที่เรียบง่าย ใครๆก็พูดได้ แต่ทำตามสิ่งที่พูดยาก และรักษาความรักไว้เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะการกล่าวคำว่า รัก นั้นใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่ต้องพิสูจน์รักด้วยการใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต อย่ากล่าวคำว่ารักแบบ "มักง่าย" แต่ต้องรักมาจากการกระทำไม่เพียงแค่คำพูด
1ยอห์น 3:18 ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
การตีความ (Interpretation) จากพระธรรมบทเพลงซาโลมอนบทที่ 8นี้
ส่วนแรกเป็นคำขอร้องของฝ่ายหญิงหรือผู้เป็นเจ้าสาว บทเพลงซาโลมอน สามารถตีความในมุมความรัก(Romantic)ระหว่างเจ้าสาว คือ คริสตจักร กับเจ้าบ่าวคือ พระเยซูคริสต์ หรืออีกมุมมองคือความรักแบบรักใคร่หนุ่มสาว(Erotic) ใช้เพื่อสอนครอบครัว
ส่วนที่ 2 เป็นการอธิบายถึง “พลังอำนาจแห่งรัก” ว่ามีฤทธิ์อำนาจมากมายขนาดไหน โดยเปรียบเทียบ(Comparative) กับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้าง เช่นความตาย เปลวเพลิง หรือ สิ่งของที่มีคุณค่าต่างๆในโลกนี้
เราสามารถศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันได้
เพลงซาโลมอน 8:6 จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ…
ในพระคัมภีร์ฉบับเดิมแปลว่า “ดวงตรา” (seal) คำว่า “ดวงตรา” หรือตราประทับ ในภาษาอังกฤษใช้หลายคำ seal, stamp, mark, brand, badge, insignia
ในภาษาไทย “ตรา” หมายถึงเครื่องหมายทำเป็นสัญลักษณ์ เช่น ตราแผ่นดิน, เครื่องหมายทำเป็นเครื่องประดับ (ตราสาร คือ หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่างๆ เช่นตั๋วเงิน โฉนดที่ดิน เป็นต้น)
ความรักของพระเจ้าเป็นตราประทับด้วยพระวิญญาณแห่งพระสัญญาของพระเจ้า เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับคริสตจักร
เอเฟซัส 4:30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด
ในพระคัมภีร์ตอนนี้ หญิงสาวได้ร้องขอเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของคนรักคือเจ้าบ่าว ให้ประทับตราลงที่ “ดวงใจ” หมายถึงให้ฝ่ายชายมีอิทธิพลทางด้านความคิด จิตใจและจิตวิญญาณของเธอ
ประทับตราลงที่ “แขน” ของเธอ หมายถึงให้เจ้าบ่าวมีอำนาจ เหนือการกระทำทุกอย่างของเธอ เรื่องนี้เป็นภาพเล็งถึงพระเยซูผู้เป็นเจ้าบ่าว กับคริสตจักรผู้เป็นเจ้าสาว ซึ่งเป็นการยอมจำนนของคริสตจักรอย่างสิ้นเชิงเพื่อให้พระเยซูคริสต์ครอบครองและชำระชีวิตให้บริสุทธิ์เป็นเจ้าสาวที่ไร้ตำหนิริ้วรอย
พระคัมภีร์สอนเราว่า ทันทีใครคนหนึ่งคนใดรับเชื่อในพระคริสต์ พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เข้ามาอยู่ในจิตใจและวิญญาณ เป็นตราประทับว่า เราเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น จงให้พระเยซูมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณและการกระทำของเราเสมอ
ดังนั้นแหวนแต่งงานที่คู่สมรสสวมให้กันในวันแต่งงานจึงเป็นการผูกพันในสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งในทางบริสุทธิ์เพราะทำงานทองคำอันเป็นแร่ธาตุบริสุทธิ์และเป็นแหวนที่เชื่อมกันสนิทไม่มีจุดสิ้นสุด จึงเป็นความสัมพันธภาพที่ไม่มีวันสิ้นสุด ยกเว้นความตายมาพรากไป หรือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมารับเราทั้งหลายไปสวรรค์
มีผู้กล่าวว่า รักไม่ได้สะกดด้วย LOVE เท่านั้นแต่ต้องสะกดด้วย TIME คือครอบครัวต้องมีกิจกรรมที่ไม่ใช้เวลาด้วยกัน เช่นทำกับข้าวรับประทานด้วยกัน ทำความสะอาดบ้านร่วมกัน หรือไปท่องเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น
เพราะคำว่า "ไม่มีเวลา" เป็นข้ออ้างในการเลิกรากัน สิ่งที่สำคัญในการใช้เวลาในครอบครัวคือการให้เวลากับครอบครัวอย้่างเหมาะสม คุณภาพสำคัญมากกว่าปริมาณเวลา

3.ความรักสร้าง…พลานุภาพ
พลังอำนาจที่ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นพลังแห่งความสร้างสรรค์
เพลงซาโลมอน 8:6-7
6 จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิงคือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง


หลักการจากพระธรรมตอนนี้คือ ความรักเป็นสิ่งที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ดังนี้
1.พลังความรักเหนือความตาย
2.พลังความรักเหนือเปลวเพลิง
3.พลังความรักเหนือสิ่งของที่มีคุณค่าใดๆ
ความรักในภาษากรีกที่ใช้ในการเขียนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่นั้น คือคำว่า รักแบบ“อากาเป้” (agape)ไม่ใช่เป้ อารัก หมายถึงความรักที่แท้จริงซึ่งมาจากพระเจ้า เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  แม้เราทำบาป พระเจ้ายังรักเราและมาตายเพื่อเราที่กางเขน
ยอห์น 3:16-17
16“พระเจ้าทรงรักโลกนี้ คือได้ประทานพระบุตร(พระเยซู)องค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
17 เพราะพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น”
ในพระธรรม 1โครินธ์13:1-13อธิบายไว้ว่า ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มากกว่าของประทาน ความรู้ ความสามารถ การเสียสละใดๆ หากปราศจากความรักก็ไร้ประโยชน์
ความรักไม่ใช่ของประทาน เพราะหากเป็นของประทานบางคนจะมีความรัก บางคนจะไม่มี แต่ความรักเป็นผลพระวิญญาณที่อยู่ในลักษณะชีวิตของผู้เชื่อทุกคน (กท.5:22-23) ที่ต้องสำแดงออกไปให้กับผู้อื่น
ในพระธรรมบทเพลงซาโลมอนบทที่ 8 บอกว่า ความรักเหมือนความตายตรงที่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิต สำหรับคริสเตียนมันเป็นสิ่งที่หอมหวนและเป็นความชื่นชมยินดี ที่เราจะได้พักสงบสุขอยู่กับพระเจ้า เป็นการย้ายสถานที่อยู่คือจากบ้านที่อยู่ในโลกนี้ไปสู่บ้านของพระเจ้า บนแผ่นดินสวรรค์
พระเยซูทรงสอนเรื่องของสามีภรรยาว่า “เมื่อเดิมสร้างโลกนั้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจึงต้องละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป…เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์พรากออกจากกันเลย” (มก.10:6-7) ดังนั้น ความตายกับความรักเหมือนกันคือเป็นสิ่งถาวรและน่าหวงแหนยิ่งนัก!
ครอบครัวต้องให้ความรักต่อกัน และเพิ่มพูนความรักขึ้นและส่งต่อออกไปขยายความรักออกไป  ดังไฟที่จุดบนเทียนเล่มหนึ่งแล้วจุดต่อไปยังเทียนเล่มต่อไป เพื่อให้เกิดความสว่างต่อไป  “เปลวเพลิง แห่งความรักนั้นรุนแรงเหมือนประกายไฟ”
คำว่า “ไฟรัก” คนทั่วไปจะมีมุมมองความคิดในแง่ของไฟของตัณหาราคะ แต่คำว่า ความรักเป็นเหมือนไฟในพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ มีความหมายในทางบวกคือ
1) ในความรักนั้นมีความร้อนแรงอยู่เสมอ 
2) เป็นความรักที่เสมอต้นเสมอปลาย นับวันจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนดังโยนฟืนเข้าใส่เตาไฟ
3) ในความรักนั้นมีความบริสุทธิ์ ไม่ชื่นชมเมื่อทำผิด เหมือนการใช้ไฟในการแยกสิ่งที่เป็นขี้แร่ออกจากทองคำ
ดังนั้นในวันนี้ครอบครัวต้องให้ความรักต่อกันเป็นการให้ความรักสร้างภาพที่ต้องขยายให้มองได้ชัดเจน  ความรักสร้าง…เอกภาพ ความรักสร้าง…สัมพันธภาพ และความรักสร้าง…พลานุภาพ ขอพระเจ้าอวยพรครอบครัวให้รักกันอยู่กันไปจนเข้าสู่วัยชราภาพ...


ขอมอบบทเพลง "รักแท้" ให้กับทุกครอบครัวครับ

07 มิถุนายน 2555

Acts 5:17-26_คริสตจักรที่เผชิญการข่มเหง

ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต
คริสตจักร "ต้นแบบ"ตามพระบัญชา
กิจการของอัครทูต 5:17-26
17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านคือพวกสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง
18 จึงได้จับพวกอัครทูตจำไว้ในคุกหลวง
19 แต่ในเวลากลางคืนทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า ได้มาเปิดประตูคุก พาพวกอัครทูตออกไป บอกว่า
20 "จงไปยืนในบริเวณพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง"
21 เมื่ออัครทูตได้ยินอย่างนั้น พอรุ่งเช้าก็เข้าไปสั่งสอนในบริเวณพระวิหารต่อไป ฝ่ายมหาปุโรหิตประจำการกับพรรคพวกของท่าน ได้เรียกประชุมคือพฤฒสภาทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครทูตออกมา
22 เจ้าพนักงานก็ไปแต่ไม่พบพวกอัครทูตในคุก จึงกลับมารายงานว่า
23 "ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่ที่ประตู ครั้นเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน"
24 เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกมหาปุโรหิตได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครทูตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
25 มีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า "นี่แน่ะ คนเหล่านั้นซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในบริเวณพระวิหาร"
26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงาน จึงได้ไปพาพวกอัครทูตมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง


อารัมภบท
เราได้ศึกษาพระธรรมกิจการฯ มาจนถึงในบทที่ 5:12-16 เมื่ออัครทูตได้ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างมากมาย จนกระทั่งเป็นที่โจษขาน ผู้คนรอบ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม พากันนำคนเจ็บ คนป่วยมาหาอัครทูตด้วยความคาดหวังว่า คนเจ็บคนป่วยเหล่านั้น จะได้รับการช่วยเหลือให้ความป่วยไข้รับการรักษาให้หาย และความคาดหวังนั้นได้รับสมความปรารถนา ซึ่งส่งผลให้มีคนมาเข้าพวกกับอัครทูตมากว่าแต่ก่อน ทำให้เป็นที่อิจฉาของพวกบรรดานักการศาสนาในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกฟาริสี สะดูสี เรียกว่า "พวกมีสี"ทั้งหลาย
ฟาริสี คือ กลุ่มนักการศาสนาที่เคร่งครัดในกฎระเบียบที่บรรพบุรุษถ่ายทอด เป็นกลุ่มคนที่อุทิศตัวอย่างจริงจังให้กับลัทธิยูดาห์ของยิว บางคนเชื่อว่าฟาริสีมีต้นกำเนิดย้อนไปตั้งแต่สมัยเอสรา
สะดูสี เป็นกลุ่มผู้เคร่งในศาสนาซึ่งมักอยู่ในกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมชั้นสูงของยิว มีความเชื่อต่างกับฟาริสีในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย กล่าวคือ สะดูสีจะไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ขณะที่ฟาริสีเชื่อว่ามีจริง
เวลาจดจำคือ คำว่า ฟา=ฟื้น สะดู=สิ้น ทำให้เราสามารถแยกแยะว่าต่างกันอย่างไร
นอกจากนี้ยังมี คนหลักที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการรวมตัวกันต่อสู้พวกอัครทูต ที่เอ่ยถึง ณ ที่นี้ คือ “มหาปุโรหิต” ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดของสภาแซนเฮดดริน ซึ่ง คาดว่าน่าจะเป็น “คายาฟาส”(ยน.11:49-50) ด้วยเหตุที่คายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตจึงดำรงตำแหน่งเป็นประธานของสภาแซนเฮดดรินนี้ เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่ตัดสินให้พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่กางเขน จากความอิจฉานี่เองทำให้พวกคนเหล่านี้ข่มเหงพวกสาวกของพระเยซูคริสต์ 
นี่เป็นสิ่งที่คริสตจักรในสมัยกิจการฯเผชิญคือการข่มเหง เราได้มีโอกาสศึกษามาแล้วในเรื่องการขัดขวางข่าวประเสริฐในกจ.4 แต่ในบทที่5เป็นการยกระดับของการขัดขวางเป็นการข่มเหงโดยมีการจับกุมตัวอัครทูตไปขังในคุก  ในวันนี้เราจะมีศึกษาต้นแบบของคริสตจักรที่เผชิญการข่มเหงและพวกเขาตอบสนองสถานการณ์อย่างไร เรามาพิจารณาร่วมกัน
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
17...ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านคือพวกสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง
คำว่า “มีความอิจฉาอย่างยิ่ง” ภาษาเดิมให้ความหมายในลักษณะ การถูกทำให้เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ อันมาจากจิตใจที่ริษยา ประสงค์ร้าย อย่างแรงกล้า
นี่คือสภาวะจิตใจที่มีความขุ่นเคืองอย่างรุนแรง อะไร คือมูลเหตุที่ทำให้มหาปุโรหิตและพวกสะดูสีมีความรู้สึกรุนแรงขนาดนั้น เป็นความรู้สึกขุ่นเคืองใจ ที่แฝงด้วยความริษยาและมุ่งร้าย
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น บอกว่าเมื่ออัครทูตทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างมากมาย
เป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ทำให้คนได้รับการช่วยเหลือ
เป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ทำให้คนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ อาทิ โรคร้ายก็มลายหายสิ้น ซึ่งทำให้คนให้ความเคารพอัครทูตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีคนเป็นจำนวนมากที่เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าแต่ก่อน
ประเด็นหัวใจหลักที่ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรงถูกก่อขึ้นในจิตใจของมหาปุโรหิตและพวกสะดูสี เป็นความรู้สึกที่มากยิ่งกว่าอิจฉา เป็นความริษยา เป็นความริษยาอันเกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
คริสตจักรในแต่ละยุคมักจะเผชิญการข่มเหงเนื่องจากคริสตจักรไปขัดผลประโยชน์ของผู้ที่มีอิทธิพลในชุมชน
ข้อ 18 บรรยายต่อไปว่า ...จึงได้จับพวกอัครทูตจำไว้ในคุกหลวง
ระหว่างข้อที่ 17 และ 18 ได้ใช้คำที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผลสะท้อน มาจากกัน
ความอิจฉา ความขุ่นเคืองใจ ในข้อ 17 นั้น ได้สะท้อนออกมาเป็น การกระทำ ใน ข้อ 18 คือ จับพวกอัครทูตจำไว้ในคุกหลวง ส่งผลให้อัครทูตได้รับความลำบาก  
ความอิจฉาริษยาทำให้คนที่ตกอยู่ในภาวะอันเลวร้ายนั้น สามารถกระทำได้แม้สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ความอิจฉาริษยาสามารถนำมาซึ่งการประหัตประหารและทำลายล้างอย่างน่ากลัว
“พระเยซู” เคยถูกอายัดไว้ก็เพราะความอิจฉาของนักการศาสนา(มธ.27:18)ซึ่งพระองค์ทรงสอนสาวกไว้แล้วให้อดทนต่อการข่มเหง พระองค์บอกว่า "บ่าวไม่ใหญ่กว่านาย" "ถ้าเขาข่มเหงเราเขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามคำของท่านทั้งหลายด้วย"(ยน. 15:20)พระเยซูเป็นแบบอย่างที่ดีในการตอบสนองการข่มเหง เราควรที่จะเลียนแบบพระองค์ สิ่งที่เราจะได้รับคือสันติสุขท่ามกลางการข่มเหงและแผ่นดินสวรรค์เป็นของเรา ตามที่พระเยซูคริสต์สอนไว้ใน (มธ.5:10 "บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา")เมื่อเราดำเนินชีวิตในความชอบธรรมเราอาจจะต้องเผชิญคนอธรรมข่มเหง แต่บางครั้งเราต้องมีสติปัญญาด้วย ในการรู้กาลเวลา ไม่นำการข่มเหงมาสู่ตนเองก่อนเวลาสมควรโดยไม่จำเป็น

หากคิดในแง่บวก "การที่คนอิจฉาเราก็ดีกว่าคนสงสารเราเป็นไหนๆ" การที่ถูกอิจฉาแสดงว่าเรามีสิ่งที่ดีจนคนต้องอิจฉา ยิ่งดำเนินชีวิตในทางพระเจ้า จะมีแต่คนเฝ้าคอยอิจฉา เพราะพระเจ้าจะประทานพระพรแก่เรา

2.ข้อคิดสะกิดใจ
ในข้อ 19-21 เป็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นมาก เพราะทูตสวรรค์มาช่วยอัครทูต และอัครทูตได้โอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐออกไปทั่ว
ข้อคิดตอนนี้คือ พระเจ้าจะมีวิธีการช่วยเหลือผู้ที่ถูกข่มเหงอย่างเกินธรรมชาติ ทูตสวรรค์มาช่วยเหมือนตอนที่ช่วยเพื่อนของดาเนียล ออกจากเตาไฟ(ดนล.3)
ข้อคิดอีกสิ่งคือ การข่มเหงนำมาซึ่งการเกิดผลที่เพิ่มขึ้น หากเราได้ศึกษาต่อไปในพระธรรมกิจการฯ เราจะเห็นว่ายิ่งคริสเตียนถูกการข่มเหงทำให้ข่าวประเสริฐแพร่กระจายไปมากขึ้น เพราะคริสเตียนเอาจริงเอาจังในการประกาศข่าวประเสริฐ

หากศึกษาตามประวัติศาสตร์คริสตจักร ในช่วงหลังจากค.ศ.313 เป็นต้นไป คริสเตียนได้รับการปลดปล่อยจากการข่มเหงโดยจักรพรรดิ์คอนสแตนตินที่กลับใจมานับถือพระเยซูคริสต์ และประกาศให้คริสตศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของจักรวรรดิโรมัน
คริสเตียนได้รับความสะดวกสบาย แต่กลับกลายเป็นการทำให้คริสเตียนตายด้านในฝ่ายวิญญาณ จนเข้าสู่ยุดมืดของคริสตจักรในช่วงค.ศ.500 เป็นต้นมา เพราะวิญญาณศาสนาครอบงำ คริสเตียนได้ดำเนินชีวิตตามรูปแบบพิธีกรรม แต่ขาดการมีชีวิตชีวา คริสตจักรในสมัยพระธรรมกิจการฯ ได้หายไปทั้งการมีชีวิตชีวา ฤทธิ์เดชหมายสำคัญจากพระเจ้า และความรูปแบบสามัคคีธรรมใกล้ชิดกันตามบ้าน นี่คือสิ่งที่ต้องรื้อฟื้นกลับมาในคริสตจักรปัจจุบัน
ในเหตุการณ์จากพระธรรมตอนนี้ เราได้เห็นถึงการตอบสนองของอัครทูตที่ไม่หวั่นไหวต่อการถูกข่มเหง และยืนหยัดมั่นคงในหลักการของพระเจ้า สิ่งที่ได้รับคือ
1.ได้รับอิสรภาพ (21-23)พระเจ้าปลดปล่อยพวกเขาจากคุก
2.ได้ทำตามพระบัญชา (25)พวกเข้าได้ออกไปประกาศสั่งสอนตามพระบัญชา
3.ได้รับการปกป้องจากความอยุติธรรม (26)พระเจ้าปกป้องเขาให้ได้รับความปลอดภัยไม่ถูกก้อนหินขว้าง เมื่อถึงเวลาที่เหมือนทางตัน พระเจ้าจะประทานทางออกให้เสมอ
ในวันนี้เราต้องถามตนเองว่า หากเราถูกการข่มเหง เราจะตอบสนองอย่างไร และเรามั่นใจไหมว่า พระเจ้าทรงมีแผนการดีที่ช่วยเราเสมอ

3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้
พระเจ้าที่ปกป้องบรรดาอัครทูต คือพระเจ้าองค์เดียวกับที่เราทั้งหลายรู้จักและนมัสการพระองค์ ขอให้เราไว้วางใจในการช่วยกู้ของพระเจ้าเมื่อต้องเผชิญกับ การข่มเหง
เพราะ พระเจ้าจะให้อิสรภาพแก่เรา ไม่มีประตูที่ปิดแล้วจะเปิดไม่ได้ ถ้าพระเจ้าเป็นผู้เปิด
เพราะ พระเจ้าจะทำให้คนเหล่านั้นที่ต่อต้านขัดขวางพระราชกิจพระเจ้าต้องตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อเห็นพระหัตถ์พระเจ้าอยู่เหนือ คนของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ และไม่ประนีประนอมต่อความผิด
เพราะพระเจ้าจะทำให้เราได้ทำตามพระบัญชาที่พระเยซูได้มอบไว้ให้แก่เราจนสำเร็จ คือได้นำพระคุณความรักพระเจ้าไปถึงคนทั้งหลายจนสุดปลายแผ่นดินโลก
เพราะเราจะได้รับการปกป้องจากการอยุติธรรม
ในวันนี้ขอให้เราได้มั่นใจในแผนการที่ดีของพระเจ้า แม้เราจะถูกข่มเหง แต่เราได้เห็นจากตัวอย่างในวันนี้แล้วว่า เหล่าอัครทูตได้รับการปกป้องและผ่านพ้นมาได้ การข่มเหงเป็นอุปกรณ์ไม่ใช่อุปสรรคในการที่จะทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแพร่กระจายไป
ขอพระเจ้าอวยพร พบกันใหม่ในโอกาสต่อไป