31 ธันวาคม 2554

Gift of love ความรัก...ของขวัญจากพระเจ้า

ในช่วงเดือนธันวาคม ผมได้มีโอกาสไปให้โอวาทคู่สมรสคู่หนึ่ง เกี่ยวกับเรื่อง "Gift of love ความรัก...ของขวัญจากพระเจ้า" ในครั้งนี้จึงขอนำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตและนำมาแบ่งปันให้ได้อ่านกันครับ
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่ให้กับโลกนี้ พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่รู้จักพระองค์ก็จะมีความรักของพระองค์และสะท้อนออกมาเป็นการกระทำ
1 ยน.4:7-8
7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
ความรักไม่ใช่ของประทาน เพราะของประทานจะมีไว้สำหรับบางคน เพื่อการรับใช้ แต่ความรักเป็นผลพระวิญญาณ(กท.5:22-23)ไม่ใช้มาจากผลของการกระทำ ที่ป้อนข้อมูล (Input) และผ่านกระบวนการประมวลผล (Process) ออกมาเป็นผล (Output)หากแต่เป็นผลที่สำแดงออกมาในชีวิตของผู้ที่เชื่อเป็นลักษณะชีวิต ดังเช่นต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว (มธ.7:17)

ความรักจึงเป็นของขวัญที่พระจ้ามอบให้กับเราทั้งหลาย ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสวันที่25ธ.ค. ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งการให้ และในวันที่ 26ธันวาคมเป็นวันแกะกล่องของขวัญ(Boxing day)หลายคนอยากได้ของขวัญต่างๆที่ตนเองถูกใจ เมื่อสอบถามคนทั่วไปว่าอยากจะได้ของขวัญอะไรในเทศกาลนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะตอบว่า "อยากจะได้เจอผู้ชายดีๆสักคน" สำหรับผู้ชายอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น ผู้ชายจะตอบว่า "อยากได้ผู้หญิงไม่ต้องดีมากก็ได้...แต่ขอหลายๆคน" นั่นเป็นความคิดของคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นของขวัญทีล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้(ยน.3:16)“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
ดังนั้นเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อจึงเป็นผู้ที่ได้รับของขวัญนี้และแบ่งปันออกไปด้วยการมอบความรักของพระองค์ต่อไป ด้วยของขวัญชิ้นนี้ คำว่า "ของขวัญ" ในภาษาอังกฤษคือคำว่า "Gift" วันนี้ผมขอนำข้อคิดเรื่องความรักจากตัวอักษรทั้ง 4 ของคำ
"GIFT" ดังนี้ครับ


G-Gratefulness -การมีใจขอบพระคุณ

ของขวัญแห่งความรักที่เราได้รับ ไม่ได้วัดที่มูลค่าของสิ่งของที่ให้เป็นของขวัญตามราคา แต่สิ่งที่สำคัญคือท่าทีของผู้ที่ให้ พระเจ้าทรงให้ความรักแก่เราโดยให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เราคือการให้พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อเราบนกางเขนแม้ว่าเราเป็นคนบาปไม่สมควรจะได้รับ(รม.5:8) ดังนั้นคำว่า "พระคุณ(Grace)"จึงเป็นของขวัญที่พระเจ้าให้กับเราโดยเราไม่ได้รับเพราะความดีที่เราทำแต่พระเจ้าประทานโดยพระคุณ(อฟ.2:8-9)ดังเช่นของประทานที่พระเจ้าให้กับเราในภาษากรีกคือคำว่า"Charisma"(Charis-grace คือ พระคุณ +Mata-Gift ของขวัญ)ทั้งของประทานใน3มิติคือของประทานพระบิดา(รม.12:3-8)ของประทานพระวิญญาณ(1คร12:8-10)ของประท่านพระคริสต์ พันธกรทั้ง5(อฟ.4:11-13)ดังนั้นสิ่งแรกในการดำเนินชีวิต คือการขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้ ในชีวิตครอบครัว เราจะต้องมีใจในการขอบคุณกันและกัน
1ธส.5:18 จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่ง ปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย

I-Intimacy-การมีความสนิทสนม
ในภาษากรีก คำว่า "สนิทสนม" หรือ Fellowship นี้มาจากคำว่า "Koinonia" แปลได้ว่า การมีส่วนร่วม (communion) การติดต่อสื่อสารทำให้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด (communication) ความสนิทสนม (intimacy )การเข้าไปเชื่อม มีส่วนร่วมด้วย (Joint participation)ความสัมพันธ์แบบสนิทสนมเหมือนกับการเข้าหุ้นส่วน หรือ เป็นเหมือนคู่สมรสที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สิ่งสำคัญคือการต้องมีเวลาในการทำความรู้จักกันและกัน ทั้งนี้ไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณเวลาที่ใช้ร่วมกันแต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเวลาที่ใช้ด้วยกัน
การสนิทสนมกับอีกภาพหนึ่งก็คือ การเคลื่อนไปด้วยกัน(moving together with)นี่เป็นภาพเหมือนกับการขนส่ง ดังนั้นครอบครัวที่ดีคนในครอบครัวต้องตกลงกันและเคลื่อนไปด้วยกันสู่เป้าหมายของครอบครัวด้วยกัน สิ่งที่สำคัญในชีวิตครอบครัวคือการสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยให้พระองค์เป็นหุ้นส่วนในชีวิตและเคลื่อนไปกับพระองค์

F-Forgiveness-การให้อภัยกัน
ในชีวิตครอบครัวเมื่อเรามาอยู่ร่วมกันต้องมีทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาดังสุภาษิตไทยว่าไว้คือลิ้นกับฟัน ดังนั้นความรักที่มีต่อกันและกันคือการไม่ฉุนเฉียวไม่ช่างจดจำความผิดและเชื่อในส่วนดีเสมอ(1คร.13:4-7)
ในการดำเนินชีวิตครอบครัวนอกจากจะต้องมีคำว่า "ขอบคุณ"อยู่เสมอ อีกคำหนึ่งที่จะต้องใช้อยู่เสมอคือคำว่า "ขอโทษ"ให้กล่าวเสมอเมื่อทำผิด และผู้ที่ถูกทำผิดเมื่อมีคนขอโทษก็อย่าให้โทษ แต่ต้องให้อภัยเสมอ เหมือนดังที่พระเจ้าให้อภัยเราเมื่อเราทำผิดและให้โอกาสเราเสมอเมื่อเราสารภาพบาปต่อพระองค์(1ยน.1:9)หลักการในการใช้ชีวิตครอบครัวคือ "ให้อภัย ไม่จดจำ ทำเพื่อพระเจ้า" (Forgive-ให้อภัย Forget-ไม่จดจำ For God-ทำเพื่อพระเจ้า)

T-Tender-การทะนุถนอมรัก
ภาษาฮีบรูของคำว่า “ทะนุถนอม” หมายถึง ซ่อนไว้ ปกป้อง สงวนรักษาไว้ด้วยความรักใคร่ และถูกแปลในสดุดี 27:5 ว่า “ซ่อน” “เพราะพระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้า ในที่กำบังของพระองค์ ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ภายใต้ร่มพลับพลาของพระองค์ พระองค์จะทรงตั้งข้าพเจ้าไว้สูงบนศิลา”
ในฐานะที่เราเป็นคนของพระเจ้า คือ เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าของพระองค์ เป็นผู้ที่พระองค์ทรงทะนุถนอม ซ่อนไว้ ปกป้องและสงวนรักษาไว้ด้วยความรัก
อัครทูตเปาโลกำชับ
สามีให้รักภรรยาเหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และให้เลี้ยงดูและ “ทะนุถนอมเหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร” (อฟ.5:29)
เราอาจจะใช้เวลาในการบอกรักกันเพียงไม่กี่นาที แต่เราต้องพิสูจน์ความรักที่มีให้กันตลอดชีวิต ดังนั้นต้องรักและถนอมความรักที่มีต่อกันไว้ ฉะนั้นเมื่อเราได้ตกลงใจมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน เราจะต้องถนอมความรักที่มีต่อกันไว้เสมอเหมือนดังที่พระเจ้าทรงรักเราไม่มีเสื่อมคลาย


ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านให้ได้รับความรักจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญที่เราได้รับโดยพระคุณที่ได้โดยเปล่าๆและให้เราให้ออกไปเปล่าๆด้วยเช่นเดียวกัน

27 ธันวาคม 2554

ความหมายของเดือนเชิงการเผยพระวจนะ ประจำเดือน Tevet

เดือนเทเบทหรือเทเวท (Tevet) - เดือนที่ 10 ของปีปฏิทินฮีบรู

นี่คือแนวทางแห่งคำอธิษฐาน (หรือพระพร) สำหรับเดือน Tevet เดือนที่ 10 ของปีฮีบรู เดือนนี้มี 29 วัน ขอพระพรมาถึงท่านเมื่อท่านได้อ่าน อธิษฐานตาม และประกาศพระพรเหล่านี้ให้ตัวท่านและครอบครัว (เนื้อหาเหล่านี้มาจากบันทึกในปี 2006 ของข้าพเจ้า ซึ่งได้รับมาจากคำสอน [ใน CD] โดยอ.ชัค เพียซ [Glory of Zion] ข้าพเจ้าขอแนะนำให้เข้าเว็บไซต์ของอาจารย์เพื่อให้ได้เนื้อหาที่มากขึ้นและคำอธิบายที่ลึกซึ้งขึ้น -
รอน ซอว์คา Ron Sawka)

เดือน Tevet ปี 2012 ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 2011 ถึง 24 ม.ค. 2012

1.เดือนแห่งเผ่าดาน ในปฐก.49:16-18 บอกไว้ว่า "ส่วน​ดาน​จะ​เป็น​ทนาย​ของ​ประชาชน​ของ​ตน เป็น​เผ่า​หนึ่ง​ใน​อิสราเอล ดาน​จะ​เป็น​งู​อยู่​กลาง​ถนน เป็น​งู​พิษ​ที่​อยู่​ใน​หนทาง​ที่​กัด​ส้น​เท้า​ม้า ให้​คน​ขี่​ตก​หงาย​ลง ข้า​แต่​พระ​เจ้า ข้า​พระ​องค์​รอ​คอย​ความ​รอด​จาก​พระ​องค์" ซึ่งบอกเรา 3 สิ่ง
- พระเจ้าประสงค์ให้เราเติบโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ เพื่อเราจะสามารถนำคนได้ (จากคำว่า judge ผู้วินิจฉัยหรือทนาย)
- เราสามารถเข้าร่วมในสงครามและทำให้ศัตรูล้มหงายหลัง
- เราจะสามารถเห็นพระสัญญาพระเจ้าสำเร็จเป็นจริงเมือเรารอคอยในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจเชื่อมั่น

2. แซมสันมาจากเผ่าดาน (วนฉ.13-16) แซมสันไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ช่องโหว่สองเรื่องหลักของเขาคือ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะปฏิเสธเนื้อหนังของเขา และ เขาไม่ได้ยึดการทรงเรียกไว้อย่างจริงจัง เขาไม่สามารถแตะถึงศักยภาพอันสูงสุดของเขา และล้มเหลวอย่างสุดขีด แต่ชีวิตของเขาก็จบลงด้วยการกลับใจ ซึ่งก็นำชัยชนะมาให้เขา

3. การฉลอง Hanukah จบลงที่เดือนนี้ (Hanukah นั้นเฉลิมฉลองแสงสว่างที่ไม่ดับไป) ดังนั้น พระคุณจึงมีอยู่ท่ามกลางการทำลาย ไม่ว่าปัญหาจะเป็นอะไรก็ตาม พระเจ้าทางมีทางที่จะมอบพระคุณสำหรับสร้างสรรค์อนาคตที่ดีให้ (ซึ่งเกิดขึ้นกับกรณีแซมสันด้วย)

4.เป็นเวลาทำสงครามกับศัตรูและสะบั้นอำนาจของมันในการเฝ้าดู (ตาแห่งความชั่ว - evil eye) และจัดการเรา เราจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์ จงดูที่เอลิชาอธิษฐานให้ตาของคนใช้ของเขาเปิด แล้วก็อธิษฐานให้ตาของศัตรูบอดไป ปัญหาจะเปลี่ยนมาเป็นชัยชนะ (2พกษ.6:17-18) จงตระหนักว่าพระเจ้าและทูตสวรรค์ของพระองค์กำลังเฝ้ามองอยู่
2พงศ์กษัตริย์ 6:17-18
17 แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น" และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา
18 และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานพระเจ้าว่า "ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย" พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามคำอธิษฐานของเอลีชา


5.จงอธิษฐานให้พระวิญญาณแห่งปัญญาและการเปิดเผยสำแดงอยู่บนผู้นำของเรา (และตัวเราด้วย) ดูใน อฟ1.17 นี่เป็นเวลาที่จะได้รับยุทธศาสตร์ต่างๆ
เอเฟซัส 1:17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์


6.ทบทวนการศึกษาที่ได้ร่ำเรียนมา หรืออะไรที่คุณจำเป็นต้องมีสำหรับระยะถัดไป ฝึกฝนสิ่งที่จำเป็นสำหรับขั้นต่อไปของคุณ

7.ต้องเติบโตทางด้านอารมณ์ และเติบโตในความเข้าใจเรื่องความโกรธ เอเฟซัส 4.26 หนุนใจให้เราไม่ทำบาปด้วยความโกรธ ความโกรธนั้นกระทันหัน และปล่อยให้ผีได้ทำงาน จงขอพระเจ้าให้ช่วยคุณในเรื่องความโกรธ เพื่อคุณจะกำกับมันได้อย่างถูกต้อง และผ่านการทดสอบได้เมื่อมันมาถึง จงใช้เวลาที่คุณมีอยู่ เทพระคำของพระเจ้าลงมาในชีวิตคุณเพื่อรับการสร้าง
เอเฟซัส 4:26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่

8.เป็นเวลาที่จะกระโดดเหมือนอย่างแพะ (เดือน Tevet เชื่อมโยงกับ กลุ่มดาว Capricorn = แพะ) ความเป็นผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเป็นกระบวนการที่ไปอย่างช้า ๆ ใช้เวลานาน เราสามารถตัดสินใจได้ทันทีและกระโดดไปสู่ระดับใหม่ของความเติบโต อสย. 35.6 บอกไว้ว่า "คน​ง่อย​จะ​กระโดด​ได้​อย่าง​กวาง" สดด 18.33 บอกว่า "พระ​องค์​ทรง​กระทำ​ให้​เท้า​ของ​ข้าพเจ้า​เหมือน​อย่าง​ตีน​กวาง​ตัว​เมีย และ​ทรง​วาง​ข้าพเจ้า​ไว้​บน​ที่​สูง" การแบ่งปันคำพยาน (ที่พระเจ้าได้ทำเพื่อคุณ) จะเป็นเหตุให้คุณก้าวกระโดดขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น


9.เดือนแห่งตัวอักษร AYIN (ซึ่งคล้ายกับตัวอักษร Y เล็งถึง สายตา และ มีความหมายว่า ให้ตาแห่งความดีของคุณมองเห็น) นี่จะตรงข้ามกับข้อ 4 ด้านบน ซึ่งเกี่ยวกับตาแห่งความชั่วของศัตรู จงขอพระเจ้าสำหรับ "พระวิญญาณแห่งปัญญาและการเปิดเผยสำแดง ในความรู้ถึงพระองค์" (อฟ.1.17)

10.เดือนแห่งตับ จงขอการรักษาทุกปัญหาเกี่ยวกับตับ ตับนั้นสำคัญเพราะมันทำหน้าที่ชำระ มันเชื่อมโยงกับสิ่งลามกต่างๆด้วย เมื่อตับถูกทำให้สะอาด สมองและหัวใจก็จะทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมเช่นกัน เช่นเรื่องราวของชายหนุ่มกับโสเภณี ซึ่ง สภษ.7.23 สรุปไว้ว่า การอันไม่สมควรของเขา เป็นเหมือนกับธนูที่ปักเข้าไปถึงตับ (ไม่ได้เป็นธนูปักเข่า)บาปเรื่องเพศจะมีผลต่อตับของคุณ
สุภาษิต 7:23 จนลูกธนูปักเข้าไปถึงตับ อย่างนกรนเข้าไปหาบ่วง เขาหาทราบไม่ว่า นี่มีค่าถึงชีวิต


11.เดือนที่จะอดอาหารอธิษฐาน อาจจะอดสมบูรณ์ หรืออดแบบดาเนียลก็ได้

(หมายเหตุ การอดอาหารแบบสมบูรณ์ หมายถึง อดอาหารทุกชนิด ไม่กินดื่มอะไรเลยแบบเดียวกับเอสราและเอสเธอร์ (อสร.8:21,10:6 อสธ.4:16 ) การอดอาหารอย่างดาเนียล หมายถึง งดทานเนื้อสัตว์ และอาหารจานโปรด รับประทาน แต่ผัก ผลไม้ หรือ น้ำผลไม้ (ในปริมาณที่น้อย) และน้ำดื่มเปล่าที่สะอาด (ดูตัวอย่างใน ดนล.1:12 ))


(ข้อมูลจาก
http://www.arise5.com/#/hebrew-months)
(ขอขอบคุณผู้แปลโดย เอกจิต จรุงพรสวัสดิ์)


Tevet – 10th month of the Hebrew Year

Tevet – 10th month of the Hebrew Year

This is the prayer (or blessing) guide for Tevet, the tenth month of the Hebrew year. It has 29 days. Be blessed as you read, pray through, and declare these blessings for yourself and your family. (The material comes from my 2006 notes taken from a series of lectures [on CD] given by Chuck Pierce [Glory of Zion]. I highly recommend his website for more materials and more in-depth explanations. –Ron Sawka)

2012 Tevet: Dec 27, 2011–Jan 24, 2012.

1.The month of the tribe of Dan. Genesis 49:16–18 states, “Dan shall judge his people as one of the tribes of Israel. Dan shall be a serpent by the way, a viper by the path, that bites the horse’s heels so that its rider shall fall backward. I have waited for your salvation, O LORD!” Note these three things:
■The Lord wants us to grow and mature, so we can lead (judge).
■We can engage in warfare and cause the enemy to fall backwards.
■We will be able to see God’s promises fulfilled as we wait confidently in the Lord.


2. Samson came from the tribe of Dan (Judges 13–16). Samson did not mature. His two major flaws were as follows: he was unwilling to deny his flesh; and he didn’t take his calling seriously. He didn’t reach his full potential, and failed mightily. But, his life ended in repentance, and thus in victory.

3. Hanukah ends. (Hanukah celebrates the “light” not going out). Also, in the midst of destruction there is mercy. No matter what the problem may be, God a has way to impart mercy to build for the future (which is what happened to Samson).

4. It’s a time to war with the enemy and break the power of his trying to watch us (the evil eye) and manipulate us. We can join with the angels and push ahead. Note how Elisha prayed for his servant’s eyes to be opened; then he prayed for the enemy to be blinded. Trouble was turned into victory (2 Kings 6:17–18). Let’s be aware that the Lord and His angels are watching.

5. Pray that the spirit of wisdom and revelation would rest on our leaders (and us) See Ephesians 1:17. This is a time for receiving strategies.

6. Review your education or what you need for your next phase. Get the training necessary for your next step.

7. Be sure to grow emotionally and in your understanding of anger. Ephesians 4:26 exhorts us not to sin in our anger. Anger is sudden and allows demons to operate. Ask the Lord to help you with anger, so you can process it correctly, and pass the tests when they come. Take time that is given to you and pour the word of God into yourself to be built up.

8. It’s time to leap like a goat (Tevet is linked to the constellation Capricorn). Maturity does not have to be a long, slow process. We can make decisions and leap to a new level of maturity. Isaiah 35:6 states, “The lame shall leap like a deer.” Psalm 18:33 reads, “He makes my feet like the feet of deer, and sets me on my high places.” Sharing testimonies (of what the Lord did for you) will cause you to leap to a higher level.

9. The month of the Hebrew letter AYIN (it resembles the lettter “Y,” refers to eyesight, and signifies letting your good eye see). This is the opposite of number 4 above regarding the the evil eye of the enemy. Ask the Lord for the “the spirit of wisdom and revelation in the knowledge of Him” (Eph. 1:17).
10. The month of the liver. Let’s ask for healing for any liver problems. The liver is important because it purifies; it’s linked to sexual things as well. When the liver is purified, the brain and heart also function properly. Referring to the young man and the prostitute, Proverbs 7:23 says his indiscretion is like an arrow striking his liver. Sexual sin will affect your liver.

11. A month to fast. Either a full, or a Daniel fast.

http://arise5.com/#/hebrew-months

20 ธันวาคม 2554

Hanukkah(ฮานุกกะห์) เทศกาลแสงสว่างแห่งความหวังใจ

Hanukkah (ฮานุกกะห์) หรือ Chanukah(คานุกกะห์) คือ เทศกาลแห่งแสงไฟของชาวยิว (festival of lights หรือในภาษาฮีบรูเรียกว่า Chag Ha'Urim ได้เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง Hanukkah เป็นวันเทศกาลแห่งแสงไฟของชาวยิวซึ่งมีขึ้นในช่วงกลางฤดูหนาวของทุกปี เทศกาล Hanukkah นี้มีช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองยาวนานถึง 8 วันติดต่อกันสำหรับชาวยิวที่อาศัยอยู่นอกประเทศอิสราเอล ส่วนที่ประเทศอิสราเอลเองนั้น Hanukkah หรือ festival of lights จะฉลองกันนาน 1 อาทิตย์พอดี
สำหรับในปี 2011 นี้เทศกาล Hanukkah ได้เริ่มขึ้นเมื่อตอนพระอาทิตย์ตกดินของวันที่ 20 ธันวาคม และไปสิ้นสุดในช่วงเวลาพลบค่ำของวันที่ 28 ธันวาคมตามปฏิทินสากลหรือเริ่มต้นในวันที่ 24 ของเดือนคิสเลฟ (Kislev) และไปสิ้นสุดในวันที่ 1 ของเดือนเทเบท Tevet ใน Hebrew calendar ซึ่งใช้วิธีนับทางจันทรคตินั่นเอง....
เมื่อกล่าวถึงคำว่า Hanukkah คนไทยคงไม่ค่อยคุ้นเคย คงคุ้นเคยกับวันคริสต์มาสเสียมากกว่า จริงๆแล้วเทศกาล Hanukkah นั้นจะใกล้กับวันคริสต์มาสของทุกปีหรือในบางปีตรงหรือคาบเกี่ยวกัน ด้วยเหตุนี้หลายๆคนจึงมักจะเรียกเทศกาลวัน Hanukkah ว่าเป็นวัน Jewish Christmas เพราะมีการรับเอาประเพณีอย่างเช่นการประดิดประดอยของขวัญและการประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนมาใช้ด้วย เทสกาลนี้เป็นเรื่องที่่น่าขมขื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีรากฐานมาจากการลุกขึ้นต่อสู้จักรวรรดิกรีกของชาวยิวกลุ่มหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระเสรีภาพในการนับถือศาสนา เพื่อให้ชนชาติของตนดำรงอยู่ต่อไป ได้กลับกลายมาเป็นเทศกาลที่ซึมซับวัฒนธรรม ประเพณีใหม่ๆเข้ามาแต่ก็ไม่ถึงกับถูกดูดกลืน
ดังนั้นขอนำความหมายเทศกาล Hanukkah ซึ่งเป็นตัวแทนของเทศกาลส่งความสุขสิ้นปีและเป็นเทศกาลแห่งแสงไฟมาเรียบเรียงให้อ่านกันพอสังเขปนะครับ


คำว่า "Hanukkah" ในภาษาฮีบรูนั้นมี 3 ความหมายด้วยกันคือหมายถึง การอุทิศตน การศึกษา และการเริ่มต้น
Hanukkah ถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของตระกูลมัคคาบีส (The Maccabees)ที่มีเหนือกองทัพของกษัตริย์แอนไทอะคัสที่ 4(Antiochus IV) แห่งซีเรียเมื่อประมาณ 165 ปี ก่อนคริสตศักราช
ตำนานเทศกาลแห่งแสงไฟ Hanukkah ถูกเล่าสืบต่อกันมาว่า มีปริมาณน้ำมันมะกอกเหลืออยู่ในขวดเล็กๆเพียงน้อยนิดเพียงพอที่จะถูกนำไปใช้ในการจุดเทียนบนเชิงเทียน Menorah(มะโนร่าห์)ในพระวิหารหมดในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หากแต่มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่น้ำมันในขวดนั้นสามารถเป็นเชื้อเพลิงให้แสงเทียนได้ส่องสว่างยาวนานถึง 8 วัน และนี่จึงเป็นที่มาของการเฉลิมฉลองเทศกาลวัน Hanukkah ที่มีติดต่อกันยาวนานเป็นระยะเวลา8 วันเพื่อแสดงถึงความศรัทธาต่อมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวและรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวยิวได้กอบกู้และทำการบูรณะปฏิสังขรณ์มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ในกรุงเยรูซาเล็มแห่งนี้ที่ถูกพวกซีเรียนทำลายลงไปอย่างย่อยยับ

เทศกาลวัน Hanukkah เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้ทำการก่อกบฏต่อต้านกษัตริย์แอนไทอะคัสเมื่อประมาณ 165 ปี ก่อนคริสตกาล แม้ว่าวัน Hanukkah จะเป็นเทศกาลวันหยุดเฉลิมฉลองที่เน้นถึงเหตการณ์ที่ชาวยิวมีชัยชนะเหนือกองทัพของกษัตริย์แอนไทอะคัสเป็นหลัก
แต่ในความเป็นจริงแล้วตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ Hanukkah นั้นเริ่มต้นมายาวนานก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเสียอีก


เมื่อประมาณ 334 ปีก่อนคริสตกาล อเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้าตีและครอบครองอาณาจักรยูดาห์และได้นำประเพณีและวัฒนธรรมกรีกเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งนี้ พระองค์ไม่ได้บังคับให้ใครเข้าร่วมหรือรับเอาวัฒนธรรมกรีกมาปฏิบัติแต่อย่างใด แต่พระองค์จะเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมากกับชาวยิวกลุ่มใดก็ตามที่ยอมรับประเพณี วัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตแบบกรีก
เมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชเสด็จสวรรคต อาณาจักรตะวันออกกลางของพระองค์ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคืออาณาจักรตะวันออกที่รวมไปถึงซีเรียยุครุ่งเรือง อิหร่าน อิรัค และเลบานอน พื้นที่ทั้งหมดนี้ถูกรวมเข้าด้วยกันเรียกว่า อาณาจักรซีลูสิต(Seleucid kingdom) ส่วนที่สองคืออาณาจักรตะวันตกที่รวมถึงอียิปต์ด้วย ส่วนนี้ถูกเรียกว่าอาณาจักรโทละเมอีค (Ptolemaic kingdom) อาณาจักรทั้งสองแห่งนี้ได้ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบทางด้านการเมืองและอาณาจักรยูดาห์ถูกจับให้กลายเป็นเบี้ยระหว่างการต่อสู้ห้ำหั่นกันของสองอาณาจักรนี้

ปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่างอันยาวนานนี้ได้กลายมาเป็นตำนานทีถูกจดจำและถ่ายทอดออกมาในรูปของสัญญลักษณ์เชิงเทียนแห่งมโนร่าห์ (Lighting of the Menorah)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อน Talmudic period และก่อนที่จะมีธรรมศาลา (synagogue)นอกจากนี้พวกกรีกยังได้ออกกฎเหล็กให้พระคัมภีร์โทราห์ทุกเล่มที่เขียนด้วยภาษาฮีบรูเปลี่ยนมาเขียนเป็นภาษากรีกแทน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชื่อในทุกบทบัญญัติในพระคัมภีร์ทานัค('Tanakh') ถึงได้มีชื่อเป็นภาษากรีกเป็นต้นว่า Genesis, Exodus..etc.เป็นต้นและคำว่า "messiah" นั้นก็มาจากคำภาษากรีกนั่นเอง
ปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่างที่จุดอย่างต่อเนื่องที่เชิงเทียน Menorah นี้จะยังคงดำเนินต่อไปเป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะของผู้ศรัทธาที่ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติจักวรรดินิยมกรีก
ดังนั้น เทศกาล Hanukkah จึงเป็นเทศกาลที่เป็นดังแสงสว่างที่เข้ามาในความมืดของความสิ้นหวัง พระเยซูคริสต์จึงเป็นความหวังใจ ของทุกคนที่มีความหวังใจไม่ย่อท้อในความยากลำบาก
ยอห์น 1:4-5
4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์
5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่


นอกจากนี้ Hanukkah เทศกาลฉลองพระวิหาร เป็นช่วงเวลาแห่งการ “อุทิศตน(dedication)” เพื่อแสวงหาพระเจ้า เพื่อฟังเสียงและเดินตามพระองค์ในขวบปีข้างหน้า เริ่มจากเย็นวันที่ 20ธันวามคม จนถึงวันที่ 28 ธ.ค. ขอพระเจ้าอวยพรให้เราได้ยินเสียงของพระองค์
ยอห์น 10:22-27
22 ขณะนั้นเป็นเทศกาล (ฉลองพระวิหาร)ที่กรุงเยรูซาเล็ม
23 เป็นฤดูหนาว พระเยซูทรงดำเนินอยู่ในบริเวณพระวิหารที่เฉลียงของซาโลมอน
24 พวกยิวก็พากันมาห้อมล้อมพระองค์และทูลว่า "จะให้ใจเราแขวนอยู่นานสักเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ก็จงบอกเราให้ชัดแจ้งเถิด"...
27 แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา

VDO Clip ประวัติเทศกาล Hanukkah

19 ธันวาคม 2554

ความเข้าใจและหลักปฏิบัติในเทศกาลคริสต์มาส

(สรุปเรื่อง ความเข้าใจและหลักปฏิบัติในเทศกาลคริสต์มาส ของอ.นิมิต พานิช ศบ.คริสตจักรแห่งพระบัญชา)

ในช่วงวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี คนทั่วโลกมีความชื่นชมยินดีเพราะเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นช่วงวันหยุดยาว ที่ครอบครัวจะใช้เวลาร่วมกันไปซื้อของ รับประทานอาหารร่วมกัน ตามถนนหนทางจะมีการประดับประดาด้วยแสงไฟ และตามห้างสรรพสินค้าจะมีการตกแต่งต้นคริสต์มาส ด้วยของกล่องขวัญต่างๆนานา ดูแล้วเพลินตา เพลินใจ แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะทราบความหมายที่แท้จริงของเทศกาลคริสต์มาส
หากจะถามคนทั่วๆไปว่า เมื่อถึงช่วงคริสต์มาสจะนึกถึงสิ่งใดก่อน คำตอบแรกน่าจะเป็น นึกถึงซานตาคลอส นึกถึงเทศกาลการมอบของขวัญ หรือบทเพลงคริสต์มาส แต่หากถามผู้ที่เป็นคริสเตียนผู้เชื่อในพระเจ้าจะบอกว่าเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์


แล้วเราทราบได้อย่างไรว่าพระเยซูคริสต์ประสูติเมื่อใด เพราะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ประสูติเมื่อวันที่เท่าไหร่ แต่ในความมั่นใจของคริสเตียนคือ พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่ลงมาประสูติเป็นมนุษย์และพระองค์เพื่อตายไถ่บาปให้กับเราบนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์จึงเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา
ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
การเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ของผู้ให้คือพระเยซูคริสต์ ส่งผลที่ใหญ่ยิ่งถึงผู้รับคือเราทั้งหลายที่เชื่อ
ในครั้งนี้ ผมขอแบ่งปันข้อคิดเพื่อทำความเข้าใจและให้เรามีหลักปฏิบัติในเทศกาลคริสต์มาส ดังต่อไปนี้
(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org)


คำว่า Christmas ในภาษาอังกฤษ เป็นคำประสมซึ่งหมายถึง "มิสซาของพระคริสต์" มาจากคำในภาษาอังกฤษยุคกลางว่า Christemasse และภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Cristes mæsse ซึ่งถูกพบครั้งแรกในเอกสารโบราณภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 คำว่า "Cristes" มาจากภาษากรีก คำว่า "Christos" และ "mæsse" มาจากภษาละติน
Missa หมายถึง มิสซาอันศักดิ์สิทธิ์ ในภาษากรีกโบราณ ตัวอักษร X เป็นตัวอักษรแรกในคำว่า "คริสต์" จากการที่มันมีลักษณะเหมือนกับอักษรโมัน X จึงได้ถูกใช้เพื่อย่อคำว่า "คริสต์" นับตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรษที่ 16 ด้วยเหตุนี้ ในบางครั้ง X'mas จึงใช้เพื่อย่อคำว่า "คริสต์มาส"
(หมายเหตุ บางกลุ่มที่ต่อต้านเรื่องพระเยซูคริสต์ ได้นำตัวอักษร X หมายถึง สัญลักษณ์ X ซึ่งเป็นส่งที่ไม่สามารถหาความหมายได้ มาแทนที่คำว่า Christ ซึ่งหมายถึงพระเยซูคริสต์)


ซานตาคลอส

นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะมาวันหนึ่ง เป็นวันคริตส์มาสเซนต์จึงเดินทางแจกของขวัญให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข
แม้ว่าซานตาคอสจะทำให้เทศกาลวันคริสต์มาสมีสีสันและความสุขมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่คริสตชนให้ความสำคัญคือ พระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์เป็นของขวัญให้กับเรา เพื่อเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระองค์(ยน.3:16) ในบางครั้งซานตาคลอสกลายเป็นสิ่งที่คนที่ต่อต้านเรื่องพระเยซูคริสต์ได้นำมาแทนที่พระเยซูคริสต์


ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส โดยสังเขป

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งโรม ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริย เทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
จะเห็นได้ว่า วันที่ 25 ธ.ค. ไม่ได้เป็นวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ เพียงแต่เป็นวันที่ทำให้ระลึกถึงพระเยซูคริสต์ประสูติแทนการไปฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ในความเชื่อเดิมของโรมัน
ดังนั้นแล้วพระเยซูคริสต์ประสูติตรงกับวันที่เท่าไหร่ !
ผมข้อนำข้อมูลในเชิงวิชาการตามหลักฐานที่บันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปบ้างแล้วจากคำสอนของเรื่องเทศกาลอยู่เพิง และใน Issachar School ครั้งที่ 1 Interpreting the time

“พระเยซูประสูติเมื่อไหร่” ไม่ใช่วันที่ 25 ธ.ค. เหล่าคนเลี้ยงแกะไม่เฝ้าฝูงแกะที่ทุ่งหญ้าปลายเดือนธันวาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่หนาวมาก
ลก.1:5 เศคาร์ริยาห์ซึ่งเป็นบิดาของยอห์นผู้ให้บัพติสมา เป็นปุโรหิตในเวรอาบียาห์
ใน 1 พศด.24 ..ปุโรหิตในเวรอาบียาห์ปรนนิบัติในพระวิหารระหว่างวันที่ 12-18 ของเดือนสิวาน (มิถุนายน)
ในช่วงเวลาเหล่านั้นเองที่ทูตสวรรค์ปรากฏกับเขา
ทูตสวรรค์ปรากฏ เดือนสิวาน ประมาณวันที่ 12-18
อลิซาเบธตั้งครรภ์ สิวาน 25? อลิซาเบธตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน เมื่อพระเยซูปฏิสนธิ (ลก.1:36)
เดือนคิสเลฟ วันที่ 25 อลิซาเบธตั้งครรภ์ เดือนที่ 6 พระเยซูปฏิสนธิ (เทศกาลแสงสว่าง ฮานุคคาห์)
เดือนนิสาน วันที่ 15 ยอห์นผู้ให้บัพติสมาเกิด (นับจากวันปฏิสนธิ 285 วัน ประมาณ 9 เดือน ) จะตรงกับช่วงเทศกาลปัสกา
ถ้าพระเยซูปฏิสนธิ เดือนคิสเลฟ วันที่ 25 นับไป 285 วัน พระเยซูประสูติจะตรงกับเดือนทิชรี วันที่ 15 ตรงกับเทศกาลอยู่เพิง
ยอห์นอธิบายการประสูติของพระเยซูอย่างนี้..
ยน.1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเราและเราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์”
ให้ความเข้าใจใหม่ในเรื่องราวของคริสต์มาส
ลก.2 – มารีย์มีบุตรชายและวางบุตรชายนั้นในรางหญ้า คำภาษากรีกคือ phatne แปลว่า รางหญ้า, โรงเก็บสัตว์ คอกสัตว์แบบชั่วคราว คำฮีบรูที่เหมือนกับ phatne : SUKKAH (พลับพลา/ เพิง)
ปฐก. 33:17 ยาโคบสร้าง sukkah ให้สัตว์ของเขา
ช่วงเวลาระหว่างเทศกาล : ไม่มีห้องว่างในโรงแรม แต่ sukkah มีอยู่ทั่วไปหมด
ในเทศกาลอยู่เพิงนั้นเอง ที่พระสิริของพระเจ้ามาปรากฏในเพิง และพระเยซูพระเมสสิยาห์ทรงบังเกิด
พระเยซูประทานพระสัญญาตอนเทศกาลอยู่เพิง


ยน.7:37-38 ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลพระเยซูทรงยืนและประกาศว่า

“ถ้าผู้ใดกระหายผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม ผู้ที่วางใจในเรา น้ำแม่น้ำที่มีธำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น

นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องเทศกาลคริสต์มาส ที่คนทั่วไปจัดขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ แต่นี่คือเวลาแห่งโอกาส และประตูใจของคนทั่วไปเปิดออกเพื่อจะเล่าเรื่องข่าวสารในเทศกาลคริสต์มาส
เทศกาลคริสต์มาสจึงไม่ใช่เทศกาลที่มีแต่การกินและการดื่ม เฉลิมฉลอง แต่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าและสัติสุขของพระองค์ที่มายังโลก เป็นการทำให้ระลึกถึงพระเจ้าทรงลงมาประสูติเป็นมนุษย์ นามว่า “เยซู” (พระนามแห่งความรอด)


โรม 14:17 เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์


มัทธิว 1:21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา"


ลูกา 2:14 "พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น"


หลักปฏิบัติในเทศกาลคริสต์มาส


1.ไม่ควรเสียเวลามาถกเถียงเรื่องของวันประสูติของพระเยซูคริสต์ 


สิ่งนี้ไม่ใช่หลักข้อเชื่อแต่เป็นความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน สิ่งสำคัญ “พระเยซูคริสต์มาประสูติเพื่อเราทุกคน”
เราควร “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ในความเป็นพี่น้องคริสเตียน จุดร่วมของเรากับคริสตจักรต่างๆ คือ การฉลองคริสต์มาสเพื่อระลึกถึงพระเยซูด้วยกัน
สิ่งที่สำคัญของคริสเตียนคือการรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะอวยพรท่ามกลางความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สดุดี 133:1-3
1 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด
2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน
3 เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์


2.เราร่วมฉลองเทศกาลทุกสิ่งด้วยเข้าใจถึงหลักการเบื้องหลัง 

อัครทูตเปาโลได้เตือนใจผู้เชื่อให้เข้าใจถึงเทศกาลต่างๆ สาระสำคัญไม่ใช่การกินการดื่ม แต่การเข้าใจถึงเทศกาลต่างๆเป็นสิ่งที่เตือนใจเป็นเงาเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่กำลังจะเสด็จมา
โคโลสี 2:16-17
16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
17 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์


ในเทศกาลต่างๆ นั้นเป็นถือเป็นช่วงเวลานัดพบกับพระเจ้า (Divine appointment) ในพระคัมภีร์พระเจ้ากำหนดเทศกาลต่างๆให้กับชนชาติของพระองค์คืออิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นเทศกาล 3 เทศกาลหลัก คือ ปัสกา เทศกาลสัปดาห์ (Pentecost) และเทศกาลอยู่เพิง ล้วนแต่มีความหมายเล็งถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าเป็นความหวังใจของพวกเขา ในทุกสถานการณ์
แม้คนอิสราเอลจะมีเทศกาลย่อยต่างๆ อีก เช่น ในเดือนนี้(เดือนคิสเลฟ Krislev) เทศกาลแสงสว่าง หรือฉลองพระวิหาร เรียกว่า "ฮานุกกะห์" (Feast of Hanukkah)คนยิวมากจะมีเทศกาลที่เป็นความหมายแง่ลบ แต่เพื่อเตือนใจให้รู้ว่าพระเจ้าของเขาเป็นความสว่าง ที่ไม่สามารถมีสิ่งใดมาทำให้เป็นมลทินได้ (บางกลุ่มเชื่อว่า พระเยซูคริสต์รับการปฎิสนธิในเดือนคิสเลฟ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณซึ่งปราศจากมลทินบาป)
(เทศกาลฉลองพระวิหาร หรือที่เรียกว่า "ฮานุกกะห์" เป็นสัปดาห์ที่ชาวยิวฉลองในเดือนธันวาคม มีการจุดไฟที่บ้านและที่ประชุมชาวยิวทุกคืน เพื่อระลึกถึงการชำระและถวายพระวิหารหลังจากที่อันทิโอกัสเอพิฟาเสนแห่งซีเรีย ทำให้วิหารเป็นมลทินด้วยการนำหมูไปเผาถวายเทพเจ้าซุสของกรีก)

ดังนั้นเทศกาลคริสต์มาสนี้ พระเยซูคริสต์จึงเป็นความหวังใจในชีวิต ที่พระองค์เป็นความสว่างของโลกท่ามกลางความมืดแห่งความทุกข์ยากของโลกนี้


ยอห์น 1:4-5
4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์
5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่


3.ใช้ทุกเทศกาลในการประกาศข่าวประเสริฐ
ในเทศกาสคริสต์มาสถือว่าเป็นโอกาสของการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะเป็นเวลาที่คนเปิดใจใน
เรื่องของพระเยซูคริสต์ แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ประสูติในเทศกาลนี้ แต่เราควรจะใช้โอกาสของเทศกาลนี้เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ ดังที่อัครทูตเปาโล ยอมเป็นคนทุกประเภทเพื่อนำคนทุกประเภทมาเชื่อพระเจ้า (การเป็นคนทุกประเภท คือการแสดงตัวร่วม ปรับตัวให้เข้ากับบริบท (Contextualization) “ปรับตัว”ไม่ได้ “เปลี่ยนตัวเอง” “ยึดหลักการ”แต่ “ยืดหยุ่นในวิธีการ”)

1โครินธ์ 9:19-23
19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น
21 ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์
22 ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น


ดังนั้นเราควรจะฉลองคริสต์มาสอย่างเข้าใจ และมีหลักปฏิบัติอย่างเหมาะสม เช่น เราไม่ควรแต่ง ชุดซานตาคลอสเพราะสิ่งมี้ไม่ใช่ความหมายแท้จริงของคริสต์มาส เราตกแต่งต้นคริสต์มาส เราก็ตกแต่งอย่างมีความหมาย ตกแต่งชีวิตของเราให้เป็นคำพยานสำแดงพระคริสต์
มอบส.ค.ส. แก่กันและกัน อย่าลืม ส.ค.ส. ส่งความสุขด้วยข่าวประเสริฐของพระคริสต์
มอบของขวัญให้แก่กัน แต่ของขวัญที่สำคัญในวันคริสต์มาสคือ พระเยซูคริสต์
คอร์รี่ เทน บูม (Corrie Ten Boom) นักศาสนศาสตร์และนักเขียน ชาวเนเธอร์แลนด์ กล่าวไว้อย่างน่าฟัง และทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงในเทศกาลคริสต์มาส ดังนี้


 “ใครจะสามารถเพิ่มสิ่งใดเข้าไปในเทศกาลคริสต์มาสได้อีกเล่า
แรงจูงใจที่ดีเลิศ คือ พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก
ของขวัญที่ดีเลิศ คือ พระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เงื่อนไขเดียวที่จำเป็น คือ การเชื่อวางใจในพระองค์
รางวัลแห่งการเชื่อวางใจนั้น คือ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ”


เทศกาลคริสต์จึงเป็นเทศกาลแห่งการให้ ที่เป็นความสุขของผู้ให้ ทำให้เกิดรอยยิ้มของผู้รับ
เพราะพระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลายไว้ว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
กิจการของอัครทูต 20:35 … ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า
"การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

4.สิ่งที่สำคัญมากกว่าวันเกิด คือ วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา เตรียมตัวเองให้พร้อม

ในเทศกาลคริสต์มาส แม้ว่าเราไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ประสูติในวันใด แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าวันเกิดของพระเยซูคริสต์ คือ การเตรียมชีวิตของเราให้พร้อมในวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา คนในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาอยู่ในโลกโดยปราศจากความหวังใจ เขาจึงชื่นชมยินดีในการฉลองวันเกิด แต่เขาไม่ทราบว่า วันที่สำคัญมากกว่าวันเกิด คือ วันที่ตายจากโลกนี้ไป แต่คริสเตียนที่เชื่อในพระคริสต์มีชีวิตอย่างมีความหวังใจและเฝ้ารอคอยการเสดร็จกลับมาของพระเคริสต์ด้วยความหวังใจ
เอเฟซัส 2:12-13
12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์


ในเทศกาลคริสต์จึงเป็นเทศกาลเตือนใจ คริสต์มาสแห่งความหวังใจ ความหวังใจของเราอยู่ที่การเสด็จกลับมาของพระองค์ที่เรารอคอยอย่างใจจดจ่อและพร้อมเสมอ


1เปโตร 3:15 แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือ พระคริสต์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ

“ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่เลือกทำดีเพื่อแผ่นดินเกิดได้ ไม่มีใครรู้ อนาคตได้ แต่สามารถกำหนดอนาคตได้ ในการการทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
Yesterday is history, tomorrow is mystery and today is a gift.
วันวานผ่านไปดังอดีต วันพรุ่งนี้ยังลึกลับนับไม่ได้ แต่ในวันนี้เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ ใช้วันนี้ให้ดีที่สุด


ลูกา 2:14 "พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น"

09 ธันวาคม 2554

สายธารแห่งน้ำพระทัยของพ่อหลวง

ในช่วงวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าเป็นวันที่คนไทยมีความสุข และมีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์น้ำท่วม เริ่มลดลง และหลายคนได้เริ่มทำความสะอาดบ้าน เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้าน ความปิติยินดีของคนไทยเนื่องมาจากในวันที่ 5ธ.ค.เป็นวันพ่อแห่งชาติ เป็นวันที่เราได้ระลึกถึง "พ่อหลวงของปวงชนของชาวไทย"
ตลอดเวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทตรากตรำทำงานหนักเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ในยามที่ทรงพระประชวร และประทับรักษาพระองค์อยู่ภายในโรงพยาบาลศิริราช ก็ยังทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้คณะแพทย์, ข้าราชบริพารใกล้ชิด ตลอดจนเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน เข้าเฝ้าฯถวายรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดของเมืองไทยในรอบครึ่งศตวรรษอย่างละเอียดทุกแง่มุม โดยได้พระราชทานคำแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยใหญ่ออกมาต่อเนื่อง ด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์อย่างแท้จริง และคงไม่มีใครในแผ่นดินสยามแห่งนี้ ที่จะรู้ซึ้งเข้าใจถึงวิธีการจัดการ “ทรัพยากรน้ำ” อย่างมีประสิทธิภาพมากเท่ากับพ่อหลวงของเรา
โดยแนวพระราชดำริดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรยังภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2495 เป็นต้นมา ทรงพบว่า ราษฎรต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการเกี่ยวกับน้ำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำแล้ง,ฝนทิ้งช่วง,ฝนไม่ตกในพื้นที่ที่ต้องการ รวมไปถึงปัญหาน้ำท่วม ทำให้ราษฎรไม่สามารถทำการเพาะปลูก อีกทั้งพืชผลยังเสียหายหนัก และน้ำเน่าเสีย ทำให้เกิดมลภาวะทางน้ำ ด้วยเหตุนี้ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดการทรัพยากรน้ำด้วยระบบชลประทานขึ้นเป็นครั้งครั้งแรก ณ อ่างเก็บน้ำเขาเต่า เมื่อปีพ.ศ.2506
ผลจากการเสด็จฯลงพื้นที่ศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า การขาดแคลนน้ำทำการเกษตร คือปัญหาสำคัญที่สุดของเกษตรกรไทย จึงเน้นการทรงงานเพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำ และบริหารจัดการให้เกิดสมดุลธรรมชาติเป็นหลักตลอดมา โดยการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริ ผสมผสานกระบวนการและหลักวิชาการหลากหลายแขนงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคด้านวิศวกรรมเพื่อสร้างฝาย,เขื่อน, อ่างเก็บน้ำ การวางระบบชลประทานเพื่อจัดหาน้ำและนำน้ำไปใช้ตามพื้นที่เกษตรกรรม อีกทั้งยังต้องอาศัยกระบวนการด้านเคมี, ฟิสิกส์ และอุตุนิยมวิทยา เพื่อทำฝนหลวง การคิดค้นเครื่องกลบำบัดน้ำเสีย เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา ตลอดจนการปลูกป่าด้วยวิธีต่างๆ เพื่อรักษาป่าต้นน้ำและป้องกันน้ำท่วม
สำหรับวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ของเมืองไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระปริวิตกห่วงใยยิ่ง โดยทรงมีพระวิสัยทัศน์ยาวไกลเกี่ยวกับการ บริหารจัดการน้ำท่วม และได้พระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหาไว้อย่างเปี่ยมประสิทธิผล กลายเป็นที่มาของทฤษฎีแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นี่คือสายธารแห่งน้ำพระทัยของพ่อหลวง ที่เอ่อล้นท่วมท้นในจิตใจคนไทยทั้งชาติ ปัญหาน้ำท่วมจึงไม่หนักหนาสาหัส เพราะน้ำพระทัยของพ่อหลวง

สำหรับผมรู้สึกประทับใจในสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นพระอัจฉริยภาพของพระองค์ นั่นคือ"กังหันน้ำชัยพัฒนา" เป็นนวตกรรมที่ได้รับสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2536 หลังจากเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่สนองพระราชดำริ ในการพัฒนากังหันน้ำ ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยื่นขอรับสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2535 จึงนับว่าเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย ของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และครั้งแรกของโลก และถือว่าวันที่ 2 ก.พ.ของทุกปีเป็น “วันนักประดิษฐ์” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
นอกจากนี้ “กังหันชัยพัฒนา” ยังได้รับรางวัลเหรียญทองจาก The Belgian Chamber of Inventor องค์กรทางด้านนวัตกรรมที่เก่าแก่ของเบลเยียม ภายในงาน “Brussels Eureka 2000” ซึ่งเป็นงานแสดงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของโลกวิทยาศาสตร์ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
กังหันน้ำชัยพัฒนา เป็นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย (Chaipattana Low Speed Surface Aerator) ซึ่งเป็น Model RX-2 หมายถึง Royal Experiment แบบที่ 2 คุณสมบัติในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงถึง 1.2 กิโลกรัมของออกซิเจน/แรงม้า/ชั่วโมง สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพน้ำได้อย่างอเนกประสงค์ ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับใช้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ สระน้ำ หนองน้ำ คลอง บึง ลำห้วย ฯลฯ ที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมากกว่า 3.00 เมตร
(ข้อมูลจาก http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php/th/2010-01-15-07-20-55/19/18-chaipattana-water-turbine-development)
ในทุกวันนี้ ตามสวนสาธารณะต่างๆ หรือตามหนองน้ำ บึงต่างๆ เราจะเห็นกังหันน้ำชัยพัฒนา ที่ช่วยบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดี กำลังทำงานอยู่ต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด เปรียบดุจดังคุณงามความดีของพระองค์ท่าน ที่ทรงงานไม่มีวันหยุดพัก แม้จะมีน้ำเสียที่เข้ามาในสังคม แต่สายธารน้ำพระทัยแห่งความดีของพระองค์ เป็นน้ำดีที่ไล่น้ำเสียในสังคม ในวันนี้เราช่วยกันทำความดีเพื่อพ่อหลวงของเรา แม้จะมีคนไม่ดีทำให้สังคมเน่าเสีย เราอย่าไปเสียเวลากับสิ่งนั้น ช่วยกันเพิ่มอ็อกซิเจนให้กับสังคม โดยการร่วมกันทำความดีเพื่อพ่อหลวงของเรา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบในปีนี้ด้วยกัน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ




ทำดีกันทั่วทั้ง... แผ่นดิน
ถวายแด่องค์ภูมินทร์...พ่อเจ้า
พระโรคาสิโบยบิน...ไกลห่าง
ทรงยิ่งเกษมสุขเฝ้า...ตราบฟ้าดินสลายฯ


07 ธันวาคม 2554

คนรุ่นใหม่ หัวใจแบบโยสิยาห์

(สรุปคำเทศนา คนรุ่นใหม่ หัวใจแบบโยสิยาห์ โดย อ.เบญจมาส มากสุริวงศ์)
คำเผยพระวจนะสำหรับประเทศไทย โดย ดร.ซินดี้ เจคอปส์ ในงาน สู่พลังอธิษฐานแห่งชาติ เพื่อการปฏิรูปสังคม
จัดเมื่อ 13-15 พฤศจิกายน 2008 ณ คริสตจักรในสมาน (ถนนรามคำแหง 68)
จัดโดย เครือข่ายอธิษฐานอวยพรประเทศไทย
เราจะมาดุจลมที่พัดแรงกล้า เพ็นเทคอสท์กำลังจะมา - พร้อมด้วยลมและไฟ นำมาซึ่งการปฏิรูปครั้งใหญ่ เสมือนว่าเกิดขึ้นได้ภายในวันเดียว เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ
จงมองดูภาคใต้ของประเทศไทย การฟื้นฟูกำลังเริ่มติดไฟที่ภาคใต้ของประเทศไทย พระสิริของพระเจ้าอยู่เหนือภาคใต้ จงส่งคนงานเข้าไปเพราะจะมีการอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้น คนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น คนหูหนวกได้ยิน หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่าจะมาหา พระเจ้า ไฟจากภาคเหนือจะลุกโชน และไฟจากภาคใต้จะลุกโชน จากนั้นไฟจะลุกลามไปยังภาคกลาง
จำนวนผู้เชื่อในประเทศไทยจะเพิ่มแล้วเพิ่มอีกเป็นสองเท่า พระเจ้ากำลังส่งการฟื้นฟูมายังประเทศนี้ นี่คือเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว นี่คือแผ่นดินแห่งน้ำนม และน้ำผึ้ง “การเขย่า” (Shaking) จะเพิ่มมากขึ้น แต่จงอย่ากลัว พระเจ้าจะนำให้มีชนรุ่นใหม่แห่งการปฏิรูปแบบโยสิยาห์เกิดขึ้น เรา (พระเจ้า) มีอะไรหลาย ๆ อย่างให้เจ้าประหลาดใจ เรากำลังทำสิ่งใหม่ – ทางในถิ่นทุรกันดาร การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ และความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึงประเทศไทย วิญญาณแห่งการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ จะอยู่ในคนหนุ่มสาว จงอย่าท้อใจในการเขย่าครั้งใหญ่นี้

คำเผยพระวจนะก็มีช่วงเวลาที่จะเดินทางไปสู่ความสำเร็จตามคำเผยพระวจนะ เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านคำเผยพระวจนะนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกได้รับการเร้าใจอย่างมากให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกษัตริย์โยสิยาห์ คำว่า การปฏิรูปแบบโยสิยาห์ก็อยู่ในใจของข้าพเจ้าเรื่อยมา
กลางคืนนอนก็คิดถึงแต่โยสิยาห์ กษัตริย์โยสิยาห์ เป็นใคร เขาทำอะไร ให้เราได้พิจารณา จากพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเราจะเข้าใจการเคลื่อนของพระองค์ในประเทศนี้ได้ชัดเจนขึ้น ตามคำเผยพระวจนะ ให้เราได้ใคร่ครวญพระวจนะเกี่ยวกับกษัตริย์องค์นี้ด้วยกัน
2 พกษ.22:1-2,
1 โยสิยาห์มีพระชนมายุแปดพรรษาเมื่อเริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสามสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยดีดาห์บุตรีของอาดายาห์ชาวโบสคาท 2 และพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ ...


2 พกษ.23:1-3, 21-25
1 แล้วพระราชาทรงใช้ และบรรดาผู้ใหญ่ของยูดาห์ และเยรูซาเล็มได้มาชุมนุมกับพระองค์ 2 และพระราชาเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า และคนยูดาห์ทั้งสิ้นและบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพระองค์และปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะประชาชนทั้งปวงทั้งเล็กและใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญาซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเจ้าให้เขาฟัง 3 และพระราชาทรงประทับยืนข้างเสา และทรงกระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า จะดำเนินตามพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติ พระโอวาท และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ด้วยสุดพระจิตสุดพระทัยของพระองค์ จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพันธสัญญานี้ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้ และประชาชนทั้งปวงก็เข้าส่วนในพันธสัญญานั้น ...

21 และพระราชาทรงบัญชาประชาชนทั้งปวงว่า “จงถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญา” นี้ 22 เพราะว่าเทศกาลปัสกาอย่างนี้มิได้ถือกันมาตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัย ผู้ที่ครอบครองอิสราเอล หรือระหว่างสมัยบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอล หรือพระราชาแห่งยูดาห์ 23 แต่ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ ได้ถือเทศกาลปัสกานี้ถวายแด่พระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม 24 ยิ่งกว่านั้นอีก โยสิยาห์ได้กำจัดคนทรงและแม่มด และเทราฟิม และรูปเคารพและสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งเห็นกันอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ และในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพระองค์จะทรงสถาปนาถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติ ซึ่งเขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาปุโรหิต ได้พบในพระนิเวศของพระเจ้า 25 ก่อนพระองค์หามีพระราชาองค์ใดเหมือนพระองค์ไม่ ผู้ซึ่งหันหาพระเจ้าด้วยสุดพระจิตสุดพระทัย และด้วยสิ้นสุดพระกำลัง ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส หรือผู้ที่เกิดมาทีหลังพระองค์ ก็ไม่มีใครเหมือนพระองค์


ข้าพเจ้าขอให้ชื่อคำเทศนาในวันนี้ว่า คนรุ่นใหม่หัวใจแบบโยสิยาห์
ฉธบ.32:1-3
1 "โอ ฟ้าสวรรค์ จงเงี่ยหูฟัง ข้าพเจ้าจะพูดขอพิภพโลกจงสดับถ้อยคำจากปากของข้าพเจ้า
2 ขอให้คำสอนของข้าพเจ้าหยดลงอย่างเม็ดฝน และคำปราศรัยของข้าพเจ้ากลั่นตัวลงอย่างน้ำค้าง อย่างฝนตกปรอยๆอยู่เหนือหญ้าอ่อน อย่างห่าฝนตกลงเหนือผักสด
3 เพราะข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระเจ้า จงถวายความยิ่งใหญ่แด่พระเจ้าของเรา

อ.ซินดี้บอกว่า มีคนรุ่นใหม่แห่งการปฏิรูปแบบโยสิยาห์ แล้วคนรุ่นใหม่ คือ ใคร ใครๆในยุคนี้ต่างก็เคยได้ยินคำว่าคนรุ่นใหม่ แล้วใคร คือคนรุ่นใหม่ ทำไมจึงเรียกว่าคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่หมายถึงคนที่อายุน้อยเท่านั้นหรือ คนที่มีอายุมากแล้วหมดสิทธิ์ที่จะเป็นคนรุ่นใหม่ใช่หรือไม่
หลายคนที่อายุมากแล้วคงปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ใช่ “ผมก็คนรุ่นใหม่เหมือนกันแม้ว่าผมอายุมากแล้ว”
ที่จริงแล้วนิยามของคนรุ่นใหม่ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้ มิได้จำกัดอยู่ที่อายุน้อย แต่คนรุ่นใหม่ที่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงนี้ คือ คนที่มีทัศนคติใหม่ มีหัวใจใหม่ หัวใจที่ไม่ธรรมดา เพื่อพระเจ้า คนรุ่นใหม่ ที่มีหัวใจแบบโยสิยาห์นั้นเป็นอย่างไร
1. มีใจเสาะแสวงหาพระเจ้าแบบสุดใจ
เรียกอีกอย่างว่า แสวงหาพระองค์ด้วยใจแบบ Pure heart แสวงหาด้วยใจใส ๆ แสวงหาด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังความคิด นี่คือ หัวใจที่พระเจ้าจะเคลื่อนให้เกิดขึ้นในวาระสุดท้าย
พระเจ้าจะเคลื่อนให้เกิดขึ้นกับท่าน ท่านผู้ใส่ใจ เข้าใจการเคลื่อนของพระวิญญาณ ท่านผู้ถ่อมใจทั้งหลาย
2 พศด.34:1-2
1 เมื่อโยสิยาห์เริ่มครอบครองมีพระชนมายุแปดพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองในเยรูซาเล็มสามสิบเอ็ดปี 2 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า และดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงหันไปทางขวาหรือทางซ้าย

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า กษัตริย์โยสิยาห์ ผู้มีพระชนมายุ เพียงแปดพรรษาเท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ คือ เป็นเพียงเด็กแปดขวบเท่านั้น แต่กลับสนใจในเรื่องฝ่ายวิญญาณ ทรงเทใจรักพระเจ้าแบบหมดใจ ความรักที่พระองค์มีต่อพระเจ้า เป็นความรักแบบใส ๆ Pure Heart
นี่คือ ความรักที่พระเจ้าอยากให้เรารักพระองค์แบบนั้น คือ รักแบบเด็ก ๆ รัก

มธ.18:1-4
1 ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” 2 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมา ให้ยืนท่ามกลางเขา 3 แล้วตรัสว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย 4 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลง เหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

มธ. 19:14
ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น”

ลก. 18:17 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้”
หัวใจแบบเด็กนี้พิเศษจริง ๆ หัวใจแบบนี้เปิดทางให้เข้าถึงพระเจ้า แบบที่พระเจ้าอ้าแขนรับ และวิ่งเข้าไปกอด เป็นหัวใจที่พระเจ้าโปรดปรานจริง ๆ เด็ก ๆ ไม่มีพิษมีภัย จริงใจ ไม่ลวงหรอก เมื่อบอกว่ารัก ก็คือ รัก
ความรักแบบเด็ก ต่างจากความรักแบบผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมื่อบอกว่ารัก นั่นอาจหมายถึง เอารักมอบให้ไปเพียงแค่ครึ่งใจ หรืออาจเป็นสามในสี่ของใจ ไม่เคยมอบให้ทั้งสี่ห้องหัวใจได้เลย อีก 1 เศษเสี้ยวนั้น เก็บไว้รักอย่างอื่น
แต่พระเจ้าเรียกให้เรารักพระองค์แบบเด็ก ๆ รักแบบสุดใจ
หากวันนี้ พระเจ้าจะขอจากท่าน พระองค์ทรงขอหัวใจทั้งหมดของท่านให้พระองค์ ถ้าพระองค์ขอ ให้พระองค์ได้ไหมคะ ให้ทั้งหมดได้ไหม
“เราขอจากเจ้า เจ้าให้เราได้ไหม ให้ทั้งหมดได้ไหม”
ฉธบ. 6:5 พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของท่าน
ฉธบ. 10:12 “ดูก่อน คนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ให้ท่านกระทำอย่างไร คือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านทั้งหลาย
ฉธบ. 30:2 และท่านก็หันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
2 พศด. 15:12 และเขาก็เข้าทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ด้วยสุดจิตสุดใจของเขา
มก. 12:30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน
นี่คือ คำถามที่พระเจ้าต้องการถามท่านในเช้าวันนี้ “ ท่านจะเทใจรักพระองค์ หมดใจ ได้ไหม”
“ท่านจะรักเรา ด้วยหัวใจรักแบบเด็ก ๆ ได้ไหม” เด็ก ๆ รักเป็นแบบใดกันนะ ท่านที่มีลูก คงเข้าใจความหมายนี้ ดี
พระวจนะกล่าวต่อไปบอกว่า ด้วยความรักนี้ พระองค์จึงทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า และดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงหันไปทางขวาหรือทางซ้าย

จริง ๆ แล้ว ความรัก และการแสวงหาพระเจ้าด้วยความรักนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ ความรักที่มีต่อพระเจ้า
ไม่ว่าอายุมาก อายุน้อย ไม่ว่าเชื่อนาน หรือไม่นาน ทุกคนสามารถเทใจรักพระเจ้าได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่า ท่านจะเทใจรักพระองค์หรือไม่
บางคนอายุความเชื่อแค่เพียงวันเดียว แต่รักล้นใจ ยิ่งอายุความเชื่อนานวันเข้า บางคนสิบปี บางคนยี่สิบปี บางคนสามสิบปี เรายิ่งเห็นพระคุณความรักพระเจ้าที่ทำต่อชีวิตเรามาก ก็ขอให้ความรักเพิ่มทวีในชีวิตของเรามาก
อย่าให้ยิ่งนาน ยิ่งห่าง ยิ่งความรักหดหาย
อย่าให้ยิ่งเชื่อ ยิ่งเฉยต่อความรัก เอเมนไหมค่ะ แต่ยิ่งเชื่อยิ่งรัก ยิ่งนานวัน ก็ ยิ่งรัก
ให้เรามองดูกษัตริย์โยสิยาห์ กษัตริย์ผู้เป็นแบบอย่างความรักที่พระองค์มีต่อพระเจ้า รักแบบใส ๆ
นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ กษัตริย์ผู้ครองราชย์ด้วยพระชนม์มายุ แปดพรรษาจะเริ่มต้นการครองราชย์ด้วยใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้าแบบสุด ๆ
หากเราย้อนกลับไปดู ภูมิหลังครอบครัวของกษัตริย์โยสิยาห์ เราจะยิ่งอัศจรรย์ใจ
กษัตริย์โยสิยาห์ เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เห็นแต่ผู้คนทำผิดบาป มีแต่สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีให้เห็น สภาพสังคม ผู้คนล้วนแต่ ไหว้รูปเคารพ ห่างไกลศีลธรรม
พระวจนะบอกว่า พระราชบิดาของพระองค์ซึ่งก็คือ กษัตริย์ อาโมน ก็เป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย ทำชั่วต่าง ๆ นานา
2 พศด.33: 21-25
21 เมื่ออาโมนเริ่มครอบครองมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองในเยรูซาเล็มสองปี



2พกษ. 21:19; 22 พระองค์ทรงกระทำความชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า อย่างมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำนั้น อาโมนถวายสัตวบูชาแก่รูปเคารพทั้งสิ้น ซึ่งมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น และทรงปรนนิบัติรูปเคารพนั้น 23 และพระองค์มิได้ถ่อมพระองค์ลงต่อพระเจ้า อย่างมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ได้ถ่อมพระองค์ลงนั้น แต่อาโมนองค์นี้ได้ก่อกรรมชั่วยิ่งๆ ขึ้น 24 แล้วข้าราชการของพระองค์ก็ร่วมกันคิดกบฏต่อพระองค์ และได้ฆ่าพระองค์เสียในพระราชวังของพระองค์ 25 แต่ราษฎรได้ประหารบรรดาคนเหล่านั้นที่คิดกบฏต่อกษัตริย์อาโมน และราษฎรได้แต่งตั้งให้โยสิยาห์โอรสของพระองค์ครอบครองแทนพระองค์

ไม่ใช่เพียงแต่พระราชบิดา หรือคุณพ่อที่ไม่ได้เป็นแบบอย่างให้เห็น รวมไปถึงคุณปู่ หรือพระอัยกาของพระองค์ ซึ่งก็คือ กษัตริย์มนัสเสห์ ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกว่า ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า ทำสิ่งน่าเกลียดน่าชัง
2 พกษ.21:1-2
1 มนัสเสห์มีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ขึ้นครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบห้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเฮฟซีบาห์ 2 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้าตามการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังแห่งประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าทรงขับไล่ให้ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล


กษัตริย์โยสิยาห์คงได้เห็นสภาพแย่ ๆ สภาพที่ไม่เป็นแบบอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ แต่น่าแปลก ความชั่วร้ายเหล่านั้น ไม่ได้หล่อหลอมสร้างชีวิตของพระองค์แต่อย่างใด
สิ่งนี้กำลังสะท้อนมายังเราทั้งหลายด้วยเช่นกันว่า ไม่ว่าเราเกิดในสภาพครอบครัวอย่างไร ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไร เราเลือกที่จะตัดสินใจเดินได้ จำไว้ว่า เราเลือกที่จะตัดสินใจเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้
หากท่านเป็นผู้นั้นที่กำลังตัดสินใจเลือก เลือกเองได้ เลือกในสิ่งที่ถูกต้อง
อย่าโทษสภาพแวดล้อมว่า เพราะชีวิตฉัน เห็นแต่สิ่งนี้ คนโน้นก็เป็นแบบนั้น คนนี้ก็เป็นแบบนนี้ให้เห็น ฉันก็ขอเป็นแบบนี้ ตาม ๆ เขาก็แล้วกัน ไม่ใช่ แต่ให้มองที่ตัวเรา เราเลือกได้
นี่เป็นสภาพที่น่าประทับใจ และเราอาจจะเรียนแบบอย่างได้ในการสร้างชนรุ่นหลังให้มีหัวใจรักพระเจ้า
พี่น้องที่รัก เด็ก ๆ เป็นอนาคตของประเทศ ลูก ๆ หลาน ๆ ท่านเป็นอนาคตของชาติ เด็ก ๆ เป็นอนาคตของคริสตจักร
และเราสร้างชีวิตเขา ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ในฝ่ายกายภาพได้ สร้างตั้งแต่วันนี้
เด็ก ๆ สามารถร่วมในกองทัพคนรุ่นใหม่ เพื่อขับเคลื่อนคุณธรรมในประเทศ ในคริสตจักรได้
ดังที่อาจารย์ซินดี้ ได้เผยพระวจนะไว้ว่า
ปี 2010 -2020 เราจะบรรจุประเทศนี้ให้เต็ม คริสตจักรจะมีเพิ่มมากขึ้น มากกว่าปีเดือนที่ผ่านมาทั้งสิ้น
เราจะประทานไฟและพระสิริของเรามายังมหาวิทยาลัยทั้งหลาย เป็นการเคลื่อนไหวแบบจีซัส มูฟเมนท์ (Jesus Movement) จะเป็นเหมือนไฟที่เผาผลาญจากเหนือจรดใต้ ตะวันออกสู่ตะวันตก จงเริ่มอธิษฐานเผื่อมหาวิทยาลัยทั้งหลาย
แต่เคล็ดลับแห่งฤทธิ์เดชของเราคือ เด็ก ๆ ... เด็กๆ มีฤทธิ์อำนาจ เด็กวัย 3 ขวบ เด็กวัย 10 ขวบ จะถูกใช้ให้ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง


ลูกของท่านคือ อนาคตของแผ่นดิน และตัวท่านซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ก็เป็นอนาคตของแผ่นดินเช่นกัน สร้างเด็ก ก็คือสร้างชาติ สร้างเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อชาติเราจะมีอนาคต เพื่อคริสตจักรจะมีอนาคตที่สดใส ท่านสามารถสร้างผ่านชีวิตที่รักพระเจ้าของท่าน ผ่านแบบอย่าง และวันอาทิตย์ก็ควรฉวยโอกาส ส่งเด็กไปคริสตจักรเด็กนะคะ ที่นั่นลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านจะได้รับการสอนอย่างดีให้ดำเนินตามทางพระเจ้า
ข้าพเจ้าไปอิสราเอล ข้าพเจ้าเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าประทับใจ
ข้าพเจ้าเห็นเด็กเล็ก ๆ ถือพระคัมภีร์ มีกันคนละเล่ม เด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น ไปยืนอธิษฐาน เปิดพระคัมภีร์อ่าน น่าประทับใจ เขาปลูกฝังให้ลูกหลานรักพระธรรมจริง ๆ
ที่กำแพงร้องไห้ ข้าพเจ้าเห็นคนหลากหลาย generation ตั้งแต่คนแก่เดินใช้ไม้เท้า วัยผู้ใหญ่ วัยรุ่น เด็ก ต่างไปอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า และข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า เขาให้ความสำคัญกับคำว่า ครอบครัวมาก
ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนา เขาจะพาลูก ๆ มากันเป็นครอบครัว อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มากินอาหารร่วมกัน มีตั้งแต่ลูกแบเบาะ ไล่ไป คงเกิดหัวปี ท้ายปี มีลูกหลายคน แต่ค่อนข้างอบอุ่น
ข้างทางก็จะมีจุดที่เขาทำไว้ให้พักผ่อน มากันเป็นครอบครัว ปิ้งย่างบาบีคิวกินกัน บางครอบครัวก็กางเต็นท์ กันแถวนั้นเลย นี่คือสิ่งที่ดีที่เรามองเห็นจากเขา น่าประทับใจ
ข้าพเจ้าก็พยายามมองหารถตำรวจ แต่ไม่ค่อยเห็น ถามคนอื่น ๆ ว่า ใครเห็นตำรวจซุ่มอยู่ตามแยกบ้าง ใครเห็นบ้างไหมเป็นอย่างไร ไปเจ็ดวัน เห็นเอาวันสุดท้ายหนึ่งคัน
ส่วนใหญ่เห็นแต่รถทหาร ทุกคนต้องเป็นทหารไม่ว่าหญิงหรือชาย เขารักชาติมาก ต้องรักกัน เพราะมีศัตรูรอบด้านด้วย เมื่อคนรักพระธรรม ศีลธรรมก็ดี จงโจรก็ไม่มี เราอยากให้ประเทศของเราเป็นแบบนี้ไหมคะ
ถ้าอยากเห็น เราต้องช่วยกัน ปฏิรูปหัวใจของเราให้รักพระเจ้า สอนลูกสอนหลานรุ่นต่อๆ ไปของเราให้รักพระเจ้า

กษัตริย์โยสิยาห์ อายุแปดขวบ ทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า นั่นคือ ทำสิ่งที่ดี แยกแยะได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก
น่าอัศจรรย์ตรงที่ ในยุคที่พระองค์เป็นเด็กนั้น ศีลธรรมเสื่อมทรามอย่างหนัก การสอนศีลธรรม ไม่มี ผู้เผยพระวจนะต่าง ๆก็ยังไม่ถูกเรียกให้ออกมาเตือนสอนผู้คนให้กลับใจ
พระองค์ไม่ได้ดำเนินตามทางของสิ่งผิดตามที่บรรพบุรุษได้ทำ แต่คิดเป็น แยกแยะเป็น
เราซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่หัวใจใส ๆ รักพระเจ้า เราก็ขอพระเจ้าให้เรามีสติปัญญา แยกแยะได้ว่าอะไรผิด อะไรถูก สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ถ้าเรายึดพระธรรมพระเจ้าไว้ให้มั่น
คนรุ่นใหม่ รักพระเจ้า รักพระธรรมของพระองค์ เอเมนไหมคะ วิ่งเข้าหาคำสอน วิ่งเข้าหาจริยธรรม วิ่งเข้าหาสิ่งที่พระเจ้าตรัส ให้กระทำหูของเราให้ผึ่งเพื่อเราจะมีปัญญา และแยกแยะได้
สดด.19:7-8
7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา 8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง
ความรัก ความยำเกรงที่เรามีต่อพระเจ้า จะกระทำให้เรามีปัญญา และปัญญาก็มีค่ามากกว่าสิ่งใด ๆ
สภษ.3:13-15
13 มนุษย์ผู้ประสบปัญญาและผู้ได้ความเข้าใจ เป็นสุขจริงหนอ 14 เพราะผลที่ได้จากปัญญา ย่อมดีกว่าผลที่ได้จากเงิน และกำไรนั้นดีกว่าทองคำ 15 ปัญญาประเสริฐกว่าทับทิม และบรรดาสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะเปรียบกับปัญญาไม่ได้


พระวจนะบอกว่า กษัตริย์โยสิยาห์ ไม่เพียงเป็นที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะหัวใจที่มีความรักต่อพระองค์ แต่ได้ปฏิบัติออกมา คือ ดำเนินตามทางของดาวิด และทรงดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ ...
นั่นคือ ดำเนินด้วยชีวิตอย่างดาวิด คือ ดำเนินชีวิตด้วยความวางใจในพระเจ้า ความวางใจนี้ทำให้พระองค์มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ รับใช้พระองค์ ทุกสิ่งที่ทำมอบถวายพระสิริแด่พระเจ้า
สดด. 9:10 บรรดาผู้ที่รู้จักพระนามของพระองค์ก็วางใจในพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งบรรดาผู้ที่เสาะแสวงหาพระองค์
ความรักที่กษัตริย์โยสิยาห์มีตั้งแต่วัยแปดพรรษานั้น เริ่มมีมากขึ้น และสำแดงออกเป็นการกระทำที่ชัดเจน
เมื่อเติบโตขึ้น เป็นวัยรุ่น สิบหกขวบ กษัตริย์โยสิยาห์ติดสนิทแนบแน่นกับพระเจ้ามากขึ้น พระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงเสาะแสวงหาพระเจ้า แบบสุดใจ
2 พศด.34: 3 เพราะในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ พระองค์ทรงเริ่มแสวงหาพระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์
นั่นหมายถึง ตั้งแต่แปดขวบจนถึงสิบหกขวบ เป็นเวลาที่ท่านเรียนรู้ เข้าใจพระทัยพระเจ้ามาก
ต่อมาเมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา ตอนนี้ เริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พระองค์มีความคิดความอ่าน เต็มที่แล้ว ด้วยหัวใจที่รักพระเจ้านั้น ทำให้พระองค์ลงมือทำ
สิ่งที่หล่อหลอมในหัวใจ ได้แสดงออกมา
และในปีที่สิบสองพระองค์ทรงเริ่มกวาดล้างยูดาห์และเยรูซาเล็มด้วยการกำจัดปูชนียสถานสูง ทั้งบรรดาอาเชราห์และรูปเคารพแกะสลักและรูปเคารพหล่อ
อายุ ยี่สิบหก ทรงทำการปฏิรูปศาสนา ซึ่งเทียบเท่ากับการปฏิรูปประเทศนั่นเอง จะเห็นว่าทุกอย่างมีช่วงจังหวะเวลา เริ่มต้นจากเทใจให้พระเจ้า
เราจะถูกหล่อหลอมชีวิต เพื่อก้าวไปทำสิ่งอื่น ๆ ตามการทรงนำของพระเจ้าที่มากยิ่งขึ้นได้ ตามจังหวะ และเวลา ที่พระองค์วางไว้
กษัตริย์โยสิยาห์ได้พาผู้คน ให้หันกลับเข้ามานมัสการพระเจ้า อย่างแท้จริง ฉะนั้น จงทำให้ทุกที่ที่ท่านอยู่ เป็นที่แห่งการนมัสการที่แท้จริง จงทำให้ผู้คนรอบตัวท่านนมัสการพระเจ้า คือ นมัสการด้วยจิตวิญญาณ และความจริง
ยน.4:23-24
23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

กษัตริย์โยสิยาห์ไม่ได้พึงพอใจที่พระองค์จะนมัสการรับใช้พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่เพียงลำพังพระองค์เอง แต่พระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ ท่ามกลางสภาพสังคมอันเสื่อมทรามในเวลานั้นที่จะพาผู้คนให้หันกลับมารู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้ หันกลับมารื้อฟื้นความเชื่อ
พระองค์ดำเนินแวดล้อมไปด้วยผู้คนในสังคมที่ไม่เชื่อ ไม่สนใจเรื่องพระเจ้า ไม่นมัสการพระองค์ ซึ่งเป็นสภาพสังคมที่ไม่ต่างจากสังคมของเราในเวลานี้ แต่พระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ ที่จะทำเพื่อพระเจ้า วันนี้ให้การนมัสการของเราแน่วแน่ ที่จะถวายเกียรติพระเจ้า
วันนี้ให้หัวใจของเรานมัสการพระเจ้า วันนี้ ไม่เพียงแค่เราที่นมัสการพระเจ้า แต่ใจเราก็ปรารถนาที่จะให้ทุกผู้ ทุกคนได้นมัสการพระเจ้า
พ่อแม่ของเรา เพื่อนรอบข้างเรา ให้เราจุดไฟนมัสการให้ดังขึ้น และส่งมอบความยินดีนี้ไปถึงผู้คนรอบตัวเราเช่นกัน
จากหัวใจรักแบบเด็ก ๆ ใสๆ ด้วยใจบริสุทธิ์ที่ต้องการทำเพื่อพระเจ้านั้น จุดไฟแห่งการฟื้นฟูขึ้นในสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ได้
2. มีใจกล้าที่จะก้าวออกจากวงจรเดิมที่ไม่ถูกต้อง
นี่คือ หัวใจของคนรุ่นใหม่ คือ กล้า กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าที่จะยืนในความถูกต้อง แม้อาจไม่มีใครตามมา
กษัตริย์โยสิยาห์เป็นเด็ก เติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นอายุสิบห้า สิบหก ซึ่งวัยเหล่านี้อาจเป็นวัยที่ถ้าคนทั่วไปก็คือ ต้องเชื่อฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด สิ่งที่ผู้ใหญ่บอก ซึ่งการเชื่อฟังเป็นสิ่งที่ดี ขอเพียงแต่เชื่อฟังในสิ่งที่ดีงาม และถูกต้อง
การขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ขึ้นมาเป็นผู้นำ หรือขึ้นอยู่ในตำแหน่งใดๆ อาจมีทั้งคนแนะนำมากมาย ทั้งแนะนำจากแนวอนุรักษ์นิยม คือ ให้ดำเนินตามสิ่งที่เคยทำ ๆ กันมาตามบรรพบุรุษ หรือแนะนำให้เปลี่ยนไปสู่รูปแบบใหม่ ๆ ในสิ่งที่บกพร่อง ไป
กษัตริย์โยสิยาห์ แม้เป็นเด็ก และเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น แต่ก็สามารถแยกแยะได้ ควรจะเดินไปทางไหน การแยกแยะได้ตรงนี้ มาจากการมีหลักให้ยึดว่าอะไรผิด อะไรถูก กษัตริย์โยสิยาห์เลือกที่จะฟังที่ปรึกษา ซึ่งก็คือ ปุโรหิตของพระเจ้า ที่ปรึกษามากก็ปลอดภัย โดยเฉพาะที่ปรึกษาที่ดี กษัตริย์เลือกที่จะฟังเสียงผู้เผยพระวจนะ
ในช่วงที่กษัตริย์โยสิยาห์ขึ้นครองราชย์ ผู้เผยพระวจนะ เยเรมีห์ก็ได้รับการทรงเรียก เยเริมีห์ได้ให้คำแนะนำแก่กษัตริย์ โยสิยาห์ เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า เยเรเมห์ลุกขึ้น และโดดเด่นในยุคของโยสิยาห์ นี่เป็นการทำงานที่ประสานกัน ทั้งผู้เผยพระวจนะ และกษัตริย์ ที่จะนำให้เกิดการเชื่อฟังพระทัยพระเจ้า
หลักตรงนี้มาจากการที่พระองค์ได้แสวงหาพระเจ้า ได้ค้นพบพระทัยของพระเจ้าว่าอะไรที่พระองค์ชอบ ไม่ชอบ และที่สำคัญ พระองค์ได้อ่านพระธรรมของพระเจ้าที่เพิ่งได้มีการค้นพบในขณะที่ทำการซ่อมแซมรื้อฟื้นพระนิเวศนั้น
ในช่วงเวลานั้น ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็ถูกฆ่าตายไปตั้งแต่กลาง ๆ สมัยของกษัตริย์มนัสเสห์ ผู้เผยพระวจนะมีคาห์ก็ตายไปก่อนหน้านั้น ส่วนเยเรมีย์ก็เพิ่งได้รับการทรงเรียกให้เผยพระวจนะในในช่วงที่กษัตริย์มีพระชนม์มายุ 21 พรรษาแล้ว
ส่วนผู้เผยพระวจนะฮาบากุก และเศฟันยาห์ ซึ่งอยู่ในช่วงกษัตริย์อาโมน พระบิดาของกษัตริย์โยสิยาห์ครองราชย์ ผู้เผยพระวจนะก็ทำหน้าที่ได้ยากเนื่องจากอยู่ภายใต้กษัตริย์ที่ชั่วร้าย ถูกขัดขวาง และมีอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ ที่จะกล่าวพระธรรมของพระเจ้า
ยุคนั้นไม่มีหนังสือพระธรรม ไม่มีถ้อยคำจากผู้เผยพระวจนะมาก แต่ในขณะที่ในยุคของเรามีพระวจนะพระเจ้าอยู่ในมือ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิต
2 พศด.34:14-21
14 ขณะที่เขาทั้งหลายนำเงินที่ได้ถวายในพระนิเวศของพระเจ้าออกมา ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าซึ่งทรงประทานทางโมเสส 15 และฮิลคียาห์พูดกับชาฟานราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าได้พบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศของพระเจ้า” และฮิลคียาห์ก็มอบหนังสือนั้นให้ชาฟาน 16 และชาฟานได้นำหนังสือไปถวายพระราชา ….. 18 แล้วชาฟานราชเลขาทูลพระราชาว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือแก่ข้าพระบาทเล่มหนึ่ง” แล้วชาฟานก็อ่านถวายพระราชา 19 และอยู่มาเมื่อพระราชาทรงสดับถ้อยคำของธรรมบัญญัตินั้น พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ 20 และพระราชาทรงบัญชาแก่ฮิลคียาห์ อาหิคัมบุตรชาฟาน อับโดนบุตรมีคาห์ ชาฟานราชเลขาและอาสายาห์ผู้รับใช้ของพระราชา ตรัสว่า 21 “จงไปทูลถามพระเจ้าให้แก่เรา และให้แก่บรรดาผู้ที่เหลืออยู่ในอิสราเอลและในยูดาห์ เกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือซึ่งได้พบนั้น เพราะว่าพระพิโรธของพระเจ้าซึ่งเทลงเหนือเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้รักษาพระวจนะของพระเจ้า ตามซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้ทุกประการ”


พอได้อ่าน หัวใจแบบใส ๆ นี้ก็ได้รับการกระตุ้นทันที
ตาใจที่สว่างก็รู้ทันทีว่า ชนชาติได้ทำบาปหนักหนากับพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์คร่ำครวญหาพระเจ้า ถ่อมตัวลง และกลับใจเพื่อชนชาติ
2 พกษ.22: 18-20
18 แต่ฝ่ายราชาแห่งยูดาห์ผู้ได้ส่งเจ้ามาถามพระเจ้านั้น เจ้าจงไปบอกเขาว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เกี่ยวกับเรื่องถ้อยคำที่เจ้าได้ยิน 19 เพราะจิตใจของเจ้ากลับใหม่แล้ว เจ้าได้ถ่อมตัวลงต่อพระเจ้าเมื่อเจ้าได้ยินว่า เรากล่าวโทษที่นี้และชาวเมืองนี้อย่างไร คือที่เขาจะต้องกลายเป็นที่ร้างเปล่าและที่ถูกสาป และเจ้าได้ฉีกเสื้อและร้องไห้ต่อเรา เราก็ได้ยินเจ้าแล้วด้วย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 20 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะรวบเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะถูกรวบไปยังอุโมงค์ของเจ้าอย่างสันติ และตาของเจ้าจะไม่เห็นเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราจะนำมาเหนือที่นี้’ ” และเขาทั้งหลายก็ได้นำถ้อยคำเหล่านั้นมาทูลพระราชาอีก


เราเห็นบาปมากมายบนผืนแผ่นดินในเวลานั้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากช่วงเวลาสมัยของเรา ผู้ปกครองไม่ชอบธรรม ผู้คนไม่สนใจศีลธรรม กราบไหว้รูปเคารพ ล่วงประเวณี หากเรามีใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า เราก็จะมีใจเพื่อคนในประเทศของเราเช่นกัน ให้เราได้คร่ำครวญอธิษฐานเพื่อคนในชาติของเราที่อยู่ในบาปเช่นกัน
2พศด. 7:14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย
โยสิยาห์ได้ลุกขึ้นด้วยความกล้าหาญ กล้าที่จะพลิกฟื้นผืนดิน พลิกฟื้นชนชาติ เมื่อรู้ว่าชนชาติได้ทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว พระวจนะบันทึกต่อไป พระองค์ได้ลุกขึ้นตัดวงจรเก่า ๆ เดิม ๆ ที่เป็นบาป ที่ทำกันบนผืนแผ่นดิน กล้าที่จะลุกขึ้นเปลี่ยน
2 พศด.34:3
3 เพราะในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ พระองค์ทรงเริ่มแสวงหาพระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และในปีที่สิบสองพระองค์ทรงเริ่มกวาดล้างยูดาห์และเยรูซาเล็มด้วยการกำจัดปูชนียสถานสูง …

2 พศด.34:29-33
29 แล้วพระราชารับสั่งให้รวบรวมบรรดาผู้ใหญ่ของยูดาห์และเยรูซาเล็ม 30 และพระราชาเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า พร้อมกับคนทั้งปวงของยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มกับปุโรหิตและคนเลวี คนทั้งปวงทั้งเล็กและใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งสิ้นในหนังสือพันธสัญญาซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเจ้าให้เขาฟัง 31 และพระราชาประทับยืนอยู่ในพระที่ของพระองค์ และกระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้า ที่จะทรงดำเนินตามพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติพระโอวาท และกฎเกณฑ์ของพระองค์ด้วยสุดพระจิตสุดพระทัย ที่จะทรงประกอบกิจตามถ้อยคำของพันธสัญญา ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 32 แล้วพระองค์ทรงรับสั่งบรรดาผู้ที่อยู่ในเยรูซาเล็ม และในเบนยามินให้เข้าส่วนในพันธสัญญานั้น และชาวเยรูซาเล็มก็กระทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย 33 และโยสิยาห์ได้เอาสิ่งน่าเกลียดน่าชังทั้งปวงไปเสียจากเขตแดนทั้งสิ้น ซึ่งเป็นของประชาชนอิสราเอล และทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในอิสราเอลปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลายตลอดรัชกาลของพระองค์ เขาทั้งหลายมิได้หันไปจากการติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย

นี่คือ ความกล้าหาญของกษัตริย์โยสิยาห์ ผู้เป็นเพียงแต่คนหนุ่ม ในวัยที่ทรงลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ
เราทุกคนที่นี่เป็นคนรุ่นใหม่ของพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะอายุเท่าไรในวันนี้ ท่านมีหัวใจของคนรุ่นใหม่ ที่รักพระเจ้า รักชาติ รักแผ่นดิน รักสังคม
เราต้องกล้าที่จะลุกขึ้นเปลี่ยน เปลี่ยนวงจรเดิม ๆ ที่แย่ เปลี่ยนของเก่า ๆ ที่ไม่ถูกต้อง วันนี้มีอะไรที่เป็นวงจรเก่า วงจรเดิม ในชีวิตของเรา ฉีกวงจรนั้นทิ้งเสีย ถ้าไม่กล้าก็จะจมอยู่ในวงจรเดิม ๆ ของชีวิต ความกล้านี้เป็นสิ่งสำคัญ คนที่ไม่กล้าก็จะแช่อยู่แต่สิ่งเดิม ๆ และก็จะเฉื่อย และก็พึงใจที่จะแช่ จะเกิดความเคยชินนั้นเอาไว้

อะไรคือ วงจรเก่า มันมีวงจรเก่ารายล้อมชีวิตของเรา อาจเป็นวงจรเดิม ๆ ในชีวิตของตนเอง เช่น ทำผิดบาปบางเรื่องก็ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แล ะเคยชินที่จะอยู่กับมัน
วงจรเก่าในค่านิยมของสังคมที่ผิด เช่น การมองคุณค่าคนจากเม็ดเงิน ตำแหน่ง อำนาจ มากกว่าความเป็นคนที่จิตใจ ช่วยกันส่งเสริมให้เห็นคุณค่า ความดี ความซื่อสัตย์ ช่วยกันส่งเสริม
วงจรเก่าในผืนแผ่นดิน : การไหว้รูปเคารพ การล่วงประเวณี บาปต่าง ๆ เยอะเหลือเกินในแผ่นดินไทย และโดยเฉพาะการคอรัปชั่นตามที่เราเห็นในข่าวที่เริ่มแฉออกมาให้เห็นเรื่อย ๆ
เปลี่ยนได้ ลุกขึ้นมาสร้างชีวิตของเราใหม่ สร้างชาติใหม่ โดยการมีหัวใจแบบคนรุ่นใหม่ สอนลูกสอนหลานใหม่ และออกไปทำ เริ่มต้นจากตัวเรา ครอบครัวของเรา คริสตจักรของเรา
พระวจนะบอกว่า อะไรที่มันถ่วงการก้าวไปข้างหน้า ก็ให้ตัดมันทิ้ง ละมันเสีย เพื่อจะกระโดดไปข้างหน้าได้
ฮบ. 12:1 ...ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา ฟป.3:13-14
13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
ขอให้เราได้โน้มตัวไปข้างหน้า มีอนาคตที่ดี รอเราอยู่ในพระเจ้า โน้มไปข้างหน้า อย่าถอยหลัง อย่าเสียเวลาย่ำกับสิ่งเก่า ๆ เดิม ๆ การกระทำเก่า ๆ เดิม ๆ ที่เคยชิน แต่ไม่ก่อประโยชน์อันใด ได้เวลาเปลี่ยน วันนี้ท่านอยากเปลี่ยนอะไรในตัวท่านหรือไหม
ให้เราเปลี่ยนตัวเอง เพื่อมอบถวายแด่พระเจ้าของเรา