25 ธันวาคม 2556

คริสต์มาส อัศจรรย์แห่งรัก

Merry Christmas! สุขสันต์ในเทศกาลคริสต์มาสสำหรับเพื่อผู้อ่านทุกท่านนะครับ 

ในช่วงวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี คนทั่วโลกมีความชื่นชมยินดีเพราะเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นช่วงวันหยุดยาว  ครอบครัวจะใช้เวลาร่วมกันในการรับประทานอาหารร่วมกัน 
คำว่า "Christmas" ในภาษาอังกฤษ เป็นคำประสมซึ่งหมายถึง "เทศกาลของพระคริสต์" มาจาก คำว่า "Cristes" มาจากภาษากรีก คำว่า "Christos" และ "mæsse" มาจากภาษาละติน  คำว่าMissaหมายถึง มิสซา(เทศกาล)อันศักดิ์สิทธิ์

ประวัติความเป็นมาของวันคริสต์มาส เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งอาณาจักรโรม   กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ   ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์
แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพจึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน  หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

       ดังนั้นวันที่ 25 .. ไม่ได้เป็นวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ เพียงแต่เป็นวันที่ทำให้ระลึกถึงพระเยซูคริสต์ประสูติแทนการไปฉลองวันเกิดของสุริยเทพ  ในความเชื่อเดิมของโรมัน  นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องเทศกาลคริสต์มาสที่ชาวโลกทั่วไปจัดขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ แต่นี่คือเวลาแห่งโอกาส และประตูใจของคนทั่วไปเปิดออกเพื่อจะรับฟังเรื่องข่าวสารในเทศกาลคริสต์มาส เราควรจะปฏิบัติดังนี้
(ผมได้สรุปไว้ใบทความเรื่อง ความเข้าใจและหลักปฏิบัติในเทศกาลคริสต์มาส" สามารถเข้าไปอ่านได้ครับ )

1.  ไม่ควรเสียเวลามาถกเถียงเรื่องของวันประสูติของพระเยซูคริสต์
2.  เราร่วมฉลองทุกเทศกาลด้วยเข้าใจถึงหลักการเบื้องหลัง
3.  ใช้ทุกเทศกาลในการประกาศข่าวประเสริฐ
4.  สิ่งที่สำคัญมากกว่าวันเกิด คือ วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา เตรียมตัวเองให้พร้อม

เราต้องทำความเข้าใจถึงเรื่องของวัฒนธรรมที่ดีที่สืบสานกันมา หากเราไปยกเลิกการจัดงานคริสต์มาส ทำให้ขาดโอกาสที่ดีในการสื่อสารเรื่องข่าวประเสริฐซึ่งเป็นหัวใจและความหมายของเทศกาลคริสต์มาส

ผมขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมความเชื่อที่เราไม่สามารถดูหมิ่นกันได้ ดังเรื่องที่นำมาเล่าต่อไปนี้

ณ สุสานทหารแห่งหนึ่ง มีทหารชาวจีนและกันทหารชาวอเมริกันเดินทางมาเคารพหลุมฝังเพื่อนของตน  ขณะที่ทหารชาวอเมริกันกำลังนำดอกไม้มาไว้ที่หลุมฝังศพเพื่อน เขาเหลือบไปเห็นทหารชาวจีนได้นำอาหารและเครื่องดื่มมาวางไว้ที่หลุมฝังสพเพื่อน และจุดธูปเพื่อเรียกเพื่อนของตนเพื่อมากินอาหารที่นำมา 
ทหารชาวอเมริกันจึงหัวเราะเยาะและพูดเชิงดูหมิ่นทหารชาวจีนว่า "เมื่อไหร่หนอเพื่อนของนายจะลุกขึ้นมาจากหลุมเพื่อรับประทานอาหาร?"

ทหารชาวจีนจึงตอบกลับไปว่า "ก็เวลาเดียวกับเพื่อนของท่านลุกขึ้นมาดมดอกไม้แหละครับ"

เรื่องนี้เป็นข้อคิดทำให้เราตระหนักถึงวัฒนธรรมความเชื่อที่เป็นแต่ละท้องถิ่น เราไม่สามารถดูหมิ่นความเชื่อกันได้ เราควรจะเรียนรู้และปรับให้เหมาะสมกับบริบทเพื่อเป็นโอกาสในการสื่อสารเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า

สำหรับเทศกาลคริสต์มาส ปี 2013 ผมขอใช้ชื่อว่า “คริสต์มาส  อัศจรรย์แห่งรัก”
ช่วงเวลาเทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์ใจในชีวิตของผู้เชื่อ เป็นเทศกาลเตือนใจ เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสทำให้มีความหวังใจ ความหวังใจของเราอยู่ที่การเสด็จกลับมาของพระองค์ที่เรารอคอยอย่างใจจดจ่อและพร้อมเสมอ

1 เปโตร 3:15  แต่ในใจของท่าน  จงเคารพนับถือ  พระคริสต์ว่าเป็น  องค์พระผู้เป็นเจ้า  จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ ...
ความอัศจรรย์ใจ ตื่นตาตื่นใจ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไม่ใช่ความสนุกสนานรื่นเริง การเลี้ยงสังสรรค์  แต่ความอัศจรรย์อยู่ที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักที่อัศจรรย์ของพระองค์ให้กับเราทุกคน  เป็นความรักที่สำแดงออกอย่างประจักษ์ชัด คือ พระเจ้าทรงมาประสูติเป็นมนุษย์เพื่อมานำแผนการไถ่ให้กับเราทั้งนี้

 ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์

ความรักที่อัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์จึงเป็นของขวัญที่มีคุณค่ามากที่สุดที่เราสามารถรับได้ด้วยเงื่อนไขคือ “การเชื่อวางใจ” เมื่อเรารับแล้วเราก็จะประกาศให้โลกได้รับรู้เพื่อสามารถรับของขวัญแห่งความรักอัศจรรย์ในเทศกาลคริสต์มาสนี้ได้
ความรักเป็นสิ่งที่ทุกคนตามหา ท่ามกลางความขัดแย้งในสังคมปัจจุบัน ที่ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นสร้างความเกลียดชังและการแบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย  

แต่ความรักที่อัศจรรย์ของพระเจ้า เป็นความรักที่โลกนี้ไม่สามารถให้ได้ เพราะความรักนั้นมาจากพระเจ้า ผู้ทรงเป็นต้นแบบของ "ความรักแท้"

ในพระธรรม 1 ยอห์น ได้เขียนขึ้นโดยยอห์น อัครทูตผู้ซึ่งใกล้ชิดกับองค์พระเยซูคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจในโลกนี้ ท่านมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อพี่น้องอย่างแท้จริงเพราะท่านได้รับการส่งผ่านความรักจากพระเยซูคริสต์  ท่านเป็นสาวกที่พระองค์ทรงรัก     ยอห์นจึงถูกเรียกว่า อัครทูตแห่งความรัก  (The Apostle of Love)   ท่านเขียนบรรยายไว้ดังนี้

1 ยอห์น 4:7-9 
   7   ท่านที่รักทั้งหลาย  ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน  เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า  และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า  และรู้จักพระเจ้า
   8   ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า  เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
   9   โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย  คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก  เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร

ความรักนั้นเริ่มต้นมาจากพระเจ้า ดังนั้นผู้เชื่อทุกคนที่ดำเนินชีวิตใหม่ในพระเจ้าและได้รับความรักจากพระเจ้าก็ควรจะรักกันและกันด้วย  เพราะสิ่งนี้จะทำให้คนอีกมากมายที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้าจะสามารถสัมผัสความรักของพระเจ้าผ่านชุมชนของพระองค์ได้ ความรักอัศจรรย์เป็นดังนี้

1.รักที่ไม่มีเงื่อนไข

โรม 5:8  แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย  คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น  พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

ความรักที่อัศจรรย์ของพระเจ้าคือเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขให้อภัยอย่างไม่จำกัด
ความรักของพระเจ้าเป็นความรักแบบอากาเป้คือ  ไม่มีเงื่อนไข  ไม่มีเงื่อนเวลา  ไม่มีเงื่อนงำวาระที่ซ้อนเร้น(Hidden Agenda) เพื่อผู้ประโยชน์ของผู้ให้แต่เป็นผลประโยชน์ของผู้รับแม้ว่าผู้รับไม่สมควรที่จะได้ ดังนั้นความรักที่ให้ไปเป็นพระคุณของพระเจ้า

ความรักที่อัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงมอบให้เป็นความรักที่ช่วยให้พ้นจากความผิดและพ้นจากผลของความบาป ให้หลุดพ้นจากความตาย

 วันนี้เราอาจช่วยชีวิตของบางคนไว้ได้ แต่เราไม่สามารถช่วยเขาให้พ้นจากการพิพากษาโทษบาปในวันสุดท้ายได้   นั่นเป็นเพราะเราทุกคนล้วนเป็นคนบาป(รม.3:23)   เมื่อแรกเริ่มพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาอย่างดี สร้างตามพระฉายของพระองค์คือมีความดีงามอย่างพระเจ้า และมีเสรีภาพในการตัดสินใจ เพราะพระเจ้าไม่เคยบังคับจิตใจของเรา แต่แล้วมนุษย์ก็ได้ใช้เสรีภาพนั้น ตัดสินใจทำสิ่งที่ผิด กลายเป็นความบาปเกิดขึ้นในโลก มนุษย์ทุกคนจึงเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า และตกอยู่ในโลกของความบาปผิด



ความบาปทำให้เรา รวมทั้งคนที่รักเราเกิดความทุกข์ และหลายครั้ง
ความบาปของเราทำให้เราไปทำร้ายผู้อื่นทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผล
สุดท้ายเราก็กลับมาเสียใจต่อผลที่เกิดขึ้น 
ความบาปเป็นเหตุให้โลกเกิดปัญหา เกิดความวุ่นวาย และความขัดแย้ง แม้กระทั่งภายในจิตใจของเราเองก็รู้สึกว่า เราไม่สามารถหลีกหนีความบาปผิดหรือยกมันออกไปจากชีวิตของเราได้
ถ้าเช่นนั้น พระเยซูจะทรงลบล้างความบาปผิดของเราได้อย่างไร
ความรักของพระเยซู เป็นความรักที่ลบล้างความผิดได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ทรงมีสิทธิ์ที่จะทำได้  และพระองค์ ทรงเต็มใจที่จะทำ เพื่อเห็นแก่เรา
แต่พระเจ้าทรงรักเรา เมื่อโทษของความบาปนั้นเรารับเองไม่ไหว พระองค์ก็ทรงยินดีที่จะมารับแทนเรา คือพระเยซูคริสต์ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้เพื่อมอบชีวิตของพระองค์เองมาเป็นค่าไถ่ มาจ่ายราคาแห่งความผิดบาปแทนเรา
เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้อภัยยิ่งกว่าสุดซอย คือ ให้อภัยแบบไม่สิ้นสุด โดยพระเยซูคริสต์มาตายไถ่บาปและนิรโทษกรรมความบาปให้เราจนกลายเป็นศูนย์(Set Zero) ราวกับว่าเราไม่เคยทำผิดเลย
 อิสยาห์ 53:5  แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี
โรม 8:3      เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรใน เนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป
พระองค์ทรงแสดงออกความรักนั้น เป็นการวายพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อรับโทษบาปแทนเรา
เพียงแต่เราต้องทำในส่วนของเรา คือ กลับใจใหม่ แค่เสียใจไม่พอ เราต้องรับความรักนั้นจากพระเจ้า เชื่อวางใจในพระองค์ ให้พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา และรับการยกโทษจากพระองค์


เอเฟซัส 2:8  ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่    พระเจ้าทรงประทานให้

ความเชื่อเป็นเหตุให้เราได้รับ  แม้กล่องของขวัญจะสวยงามเพียงไร ของที่อยู่ข้างในจะทรงคุณค่าเพียงใด แต่หากเราไม่เปิดออกและรับไว้ ของมีค่านั้นก็จะหามีประโยชน์อันใดต่อเราไม่ และหากปราศจากความเชื่อว่าสิ่งนั้นดี เราก็คงไม่แม้แต่จะแกะดูด้วยซ้ำ
ความเชื่อในพระเจ้า จึงเป็นการแสดงออกถึงความคาดหวัง และตัดสินใจที่จะดำเนินตามในสิ่งที่เชื่อนั้น และพระเจ้าทรงตรัสว่า ถ้าท่านเชื่อ ท่านจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ถ้าเราเชื่อ เราจะได้มีประสบการณ์ในการรู้จักกับพระองค์ และการลบบาปด้วยชีวิตของพระเยซูจะไม่สูญเปล่าสำหรับเรา



2.รักที่เสียสละยิ่งใหญ่
 
ยอห์น 15:13  ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน
พระเยซูแสดงความรักที่พระองค์มีต่อเรา คือ พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่  จนพระคัมภีร์บอกว่า ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
ความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ทำให้พระองค์เสียสละ ประทานของขวัญที่ดีที่สุดให้กับเรา คือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า นที่มีความรักต่อเพื่อน จะแสดงออกโดยการเสียสละเพื่อเพื่อน
พระเยซูคริสต์คือ เพื่อนแท้ของเรา  เพราะพระองค์ทรงยอมจ่ายราคาที่สูงสุด นั่นคือชีวิตของพระองค์เพื่อเพื่อน นั่นคือเรา ได้รับการยกฐานะในเป็นเพื่อนของพระองค์ เมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์

ยอห์น 15:14-15 

14    ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน  ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา
   15   เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก  เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร  แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย  เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา  เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
คำว่า “เพื่อน” จึงเป็นความอัศจรรย์ในชีวิตที่เราได้รับสิทธิ์พิเศษ พระเยซูคริสต์รักเราแม้ความตาย พระองค์สามารถเสียสละเพื่อทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ได้
ความหมายของคำว่า "เพื่อน" หมายถึง การสนิทสนม ร่วมทุกข์ร่วมสุข ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
เพื่อนแท้จะมีความรักซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ายามสุข หรือยามทุกข์


สุภาษิต 17:17 มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา  และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก

เพื่อนแท้ จะไม่เดินหนีเราไปในยามที่เรามีปัญหา สถานการณ์พิสูจน์เพื่อนแท้
ในท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  หลายครั้งเราจะพบกับเพื่อนแท้ที่รักเรา และเสียสละเพื่อเรา เพื่อนแท้ ต้องร่วมทุกข์ ร่วมสุข  ไม่ใช่ร่วมแต่สุข  เมื่อทุกข์หายตัว
จึงมีคำกล่าวไว้ว่าความมั่งคั่งสุขสบาย อาจจะทำให้เกิดเพื่อน  แต่ความทุกข์ยาก เป็นสิ่งที่พิสูจน์ เพื่อน
 การเสียสละ คือ การที่เราให้มากกว่าการที่จะรับ
  การเสียสละ คือ การไม่เอาเปรียบเพื่อน
  การเสียสละ คือ การเห็นแก่เพื่อน ไม่ใช่เห็นแก่ตัว
  การเสียสละ คือ การยกโทษให้อภัยเพื่อน
   การเสียสละ ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ
  การเสียสละ คือ การให้ด้วยใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน


3.รักที่ให้ออกไปไม่มีสิ้นสุด

กิจการของอัครทูต 20:35  ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว  ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย  ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า  ซึ่งพระองค์ตรัสว่า  "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

ความรักอัศจรรย์ของพระเจ้า เป็นรักที่ให้ออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
คนทั่วไปต้องการความรัก จึงมุ่งไปที่การ “หา” ความรัก แต่ไม่สมหวังจึงมีความทุกข์ แต่ความรักของพระเจ้าให้เรามุ่งไปที่การ “ให้” เพราะ"การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
พระเจ้าทรงสำแดงความรักแก่เราก่อน จึงได้ให้ความรักกับเรา เมื่อเราแสวงหาความรักในพระเจ้า เราจะพบรักแท้


1ยอห์น 4:18-19
18   ในความรักนั้นไม่มีความกลัว  แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย  เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์
 19   เราทั้งหลายรัก  ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน


ความรักแท้ของพระเจ้าได้ขจัดความกลัว นำไปสู่ความสมบูรณ์และความถูกต้องชอบธรรม หมายความว่า ความรักนั้นไม่ใช่เห็นผิดเป็นชอบ ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อคนที่รักทำผิด  ตามแบบอย่างความรักในพระธรรม 
 
1 โครินธ์ 13:4-7 
   4   ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้  ความรักไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว
   5   ไม่หยิ่งผยอง  ไม่หยาบคาย  ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่ช่างจดจำความผิด
   6   ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด  แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
   7   ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น  และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง


ในโลกแห่งความจริง มีสีขาวและสีดำ ไม่มีสีเทา สีเทาๆคือการล่อลวงให้เห็นผิดเป็นชอบ  สำหรับคริสตชนไม่มีความว่าเป็นกลาง เราไม่สามารถเป็นกลางคือประนีประนอมกับความบาปได้ เพราะผู้ที่อยู่ในความรักของพระเจ้าจะมีความรักที่สมบูรณ์ คือ ไม่มีความกลัว
มีคริสเตียนหลายคนอยู่ในโลกปัจจุบัน ชอบความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชอบอยู่แบบสันติ ซึ่งถูกเพียงครึ่งเดียว พระเจ้าให้เราแยกแยะระหว่างความบาปและความชอบธรรม
ผิดหรือถูก ไม่มีคำว่า “เป็นกลาง” มีแต่ความ “เป็นธรรม” แต่บางครั้งไม่ตัดสินใจเลือกความถูกต้อง นั่นคืออยู่ในสภาพ “เป็นกลัว” ไม่ใช่ “เป็นกลาง”
ผู้ที่รับความรักที่สมบูรณ์จะต้องไม่มีความกลัว เพราะความกลัวจะถูกปรับโทษและการพิพากษา แต่เราต้องให้ความชอบธรรมของพระเจ้าประกาศออกไป
 

ในช่วงที่พระเยซูคริสต์ทรงประสูติ โลกเต็มไปด้วยความบาปอยู่ในความมืดมิด แต่พระเยซูคริสต์เป็นดั่งความสว่างที่ฉายส่องมายังโลก

ยอห์น 1:4-5 
   4   พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต  และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์
   5   ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด  และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่


เป็นไปตามเผยพระวจนะล่วงหน้า พระเจ้าทรงประทานการปกครองที่ชอบธรรมลงมาผ่านทางเชื้อสายของดาวิด สิงห์แห่งเผ่ายูดาห์

อิสยาห์ 11:1   จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี(พ่อของดาวิด)  จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลายของเขา

ปฐมกาล 49:10   ธารพระกรจะไม่ขาดไปจากยูดาห์  ทั้งไม้ถือของผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา  จนกว่าชีโลห์จะมา  และชนชาติทั้งหลายจะเชื่อฟังผู้นั้น


คำว่า  "ชิโลห์" หมายถึง "สันติภาพ"(ชาโลม) เล็งถึงพระเมสิยาห์ ผ่านทางเผ่ายูดาห์

ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ 9 นี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยให้อิสยาห์เห็นถึงภาพในอนาคตที่ได้ให้ความหวังใจกับประชากรของพระองค์ว่าในภายหลัง พระองค์จะประทานความสว่างมายังชนชาติของพระองค์และนำการช่วยกู้มาถึงชนชาตินี้ เมื่อเขาทั้งหลายได้ละทิ้งความบาปและกลับมาหาพระเจ้า
พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงช่วยกู้เขา ประทานพระพรแก่เขา และที่สำคัญที่สุด พระองค์จะทรงประทานพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดแก่เขาด้วย     พระผู้ช่วยให้รอดที่จะเสด็จมานั้นจะนำความสว่างมาถึงชีวิตของเขา  และพระผู้ช่วยให้รอดที่มาตามคำพยากรณ์นั้นก็คือพระเยซูคริสต์


พระวจนะได้บอกเราอย่างชัดเจน ในข้อ 6-7 ว่า พระเยซูคริสต์คือ ผู้ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา เพื่อการเสด็จมาประสูติบนโลกของพระองค์จะนำสู่แผนการช่วยมนุษย์และนำทางรอดมาถึงผู้คนอย่างแท้จริง 

พระองค์จะเข้ามาปกครอง เป็นที่ปรึกษา เป็นองค์สันติราช ที่นำพา ความชอบธรรม และความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

อิสยาห์ 9:6-7 
   6  ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา  มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา  และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน  และท่านจะเรียกนามของท่านว่า  "ที่ปรึกษามหัศจรรย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พระบิดานิรันดร์  องค์สันติราช"         

7   เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น  และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด  เหนือพระที่นั่งของดาวิด  และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์  ที่จะสถาปนาไว้  และเชิดชูไว้  ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรม  ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดรกาล  ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้

คือความรักของพระเจ้าที่ประทานพรให้ผ่านทางพระคริสต์ นั่นคือ พรอัศจรรย์คือ  ความรุ่งโรจน์  ความสว่าง และความชื่นชมยินดี ในเทศกาลคริสต์มาส    
 
ของขวัญที่ล้ำค่าในเทศกาลคริสต์มาส นั่นคือ พระเยซูผู้เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์     พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช  

ผู้ที่เข้าใจวาระเวลาของพระเจ้า จะมาเข้าเฝ้าพระเยซูตามคำพยากรณ์ นั่นคือโหราจารย์ 3 คนที่เดินตามดาวประหลาดนำทางมาพบพระเยซูคริสต์ ที่บ้านขนมปัง (เบธเลเฮม) พระเยซูคริสต์จึงเป็น"อาหารแห่งชีวิต"(Daily bread) ที่จะเลี้ยงดูคนทั้งโลก!
โหราจารย์ 3 คนซึ่งเดินทางมาจากดินแดนทางตะวันออกของปาเลสไตน์ตามดวงดาวแห่งเบธเลเฮมมา ด้วยความศรัทธาที่จะเข้าเฝ้าพระกุมาร และร่วมยินดีในการประสูติครั้งนี้ ได้ถวายเครื่องบรรณาการ 3 สิ่ง อันได้แก่ ทองคำ กำยาน และมดยอบ โดยทั้ง 3 สิ่งมีความหมาย ดังนี้

1.  ทองคำ (Gold) เป็นธรรมเนียมของชาวเปอร์เซียที่ไม่อาจเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ถ้าปราศจากของขวัญและทองคำเป็นของขวัญอันทรงคุณค่าคู่ควรต่อกษัตริย์ เท่ากับการยอมรับโดยดุษฎีว่า พระคริสต์กุมารนี้คือผู้บังเกิดมาเป็น “กษัตริย์” หากแต่เป็นกษัตริย์ที่ปกครองจิตใจมนุษย์บนบัลลังก์ไม้กางเขน และทรงพิชิตศัตรูด้วยความรักมิใช่กำลังทหาร
คริสเตียนจึงควรถวายสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่พระเจ้า

2. กำยาน (Frankincense) ได้มาจากต้นบอสเวเลีย
Boswellia โดยการขูดเปลือกต้นไม้และปล่อยให้ยางซึมออกมาและแข็งตัว ยางที่แข็งตัวนี้เรียกว่า "น้ำตา"
การนำกำยาน และเครื่องหอม สำหรับการนมัสการพระเจ้ามาที่พระวิหาร และผู้ที่จะถวายเครื่องหอม และกำยานนี้ คือ “ปุโรหิต” (ซึ่งมาจากคำภาษาลาตินว่า pontifex ที่แปลว่า "สะพาน" หรือ "ผู้สร้างสะพาน" เพราะปุโรหิตเป็นผู้สร้างสะพานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์) เท่ากับเป็นการยอมรับว่าพระกุมารเยซูนี้คือ ผู้ที่มาบังเกิดเป็นปุโรหิต ระหว่างโลกและสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระองค์บังเกิมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า

คริสเตียนจึงควรถวายคำสรรเสริญให้แก่พระเจ้าและนมัสการพระองค์เพียงผู้เดียวให้ชีวิตของเราเป็นเครื่องหอมที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

3.  มดยอบ (Myrrh)  เป็นสมุนไพรที่ชื่อแปลว่า ยางไม้ขม (Bitter gum) มีกลิ่นหอม ใช้ประสมเป็นเครื่องยาและอบกลิ่น ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่จะชโลมศพด้วยมดยอบ เพื่อดับกลิ่นศพ และรักษาสภาพศพให้คงรูป
ดั่งที่นิโคดัสนำมดยอบมาเพื่อจะชโลมพระศพพระเยซู(ยน.19:39) นอกจากนี้มดยอบยังเป็นการรักษาความบาดเจ็บจากบาดแผลได้ด้วย

มาระโก 15:23   แล้วเขาเอาเหล้าองุ่นระคนกับมดยอบให้พระองค์เสวย  แต่พระองค์ไม่รับ

โหราจารย์เห็นพระองค์เป็น"พระเมษโปดก(Lamb of God)” ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลก เท่ากับเป็นการยอมรับว่า พระกุมารผู้มาประสูตินี้ มาเพื่ออยู่และตายไถ่บาปมวลมนุษย์ในฐานะผู้ช่วยให้รอด และเป็นค่าไถ่บาป
คริสเตียน   จึงควรถวายชีวิตให้เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว

ในตอนที่มารีย์และโยเซฟได้พาพระเยซูคริสต์ไปที่พระวิหารเพื่อทำการเข้าสุหนัตและชำระตัวตามแบบธรรมบัญญัติของโมเสส (ลก.2) สิเมโอนปุโรหิตผู้ชอบธรรมกล่าวสรรเสริญพระเจ้า ความรอดมาถึงโลกนี้แล้ว


ลูกา 2:28-32 28 สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร  และสรรเสริญพระเจ้าว่า
29 "ข้าแต่พระเจ้า  บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข  ตามพระดำรัสของพระองค์
30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว
31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย
32 เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ   และเป็นศักดิ์ศรีของพวก    อิสราเอลชนชาติของพระองค์"


คำว่า ไปเป็นสุข ในภาษาเดิมนั้นมาจากคำ 3 คำรวมกัน คือคำว่า อพอลูโอ” (apoluo) + “เอ็น” (en) + “ไอเรเน่” (eirene) ซึ่งหมายถึง การปลดปล่อยเข้าสู่สันติสุขหรือสันติภาพ

การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์นั้นนำการปลดปล่อยจากอำนาจบาปและนำสันติสุขมาสู่ชีวิตของสิเมโอนเขาจึงมีความยินดีปรีดาในพระเจ้าอย่างยิ่ง
ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ก็จะมีสันติสุขได้เช่นเดียวกับสิเมโอน
ไม่มีผู้ใดสามารถพบสันติสุขที่แท้จริงได้  หากปราศจากพระเยซูคริสต์   ดังนั้น คนมากมายที่แสวงหาความสุขจากการเที่ยวเตร่  การจัดงานรื่นเริง  การชมการแสดงมหรสพต่างๆ การช็อปปิ้ง การให้ของขวัญแก่กันและกัน ฯลฯ จึงไม่สามารถพบความสุขที่แท้จริงหรือที่เรียกว่าสันติสุขได้   จนกว่าจะได้เชื่อวางใจในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  เพราะสันติสุขนั้นมีอยู่ในพระเยซูเท่านั้น


ยอห์น 14:27      เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย  สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น  เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้  อย่าให้ใจของท่านวิตก  และอย่ากลัวเลย

มื่อเรารับความรักของพระเจ้า เราต้องมอบความรักสันติสุขของพระองค์ออกไปให้เพิ่มพูนมากขึ้น
เงื่อนไขการทวีคูณความรักคือการให้ออกไป  ดั่งที่การอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสงสารสาวกของพระองค์ที่ต้องกลับไปรับประทานอาหาร ดังนั้นพระองค์ทรงรักเขาและเลี้ยงคน 5,000 คนจากขนมปัง 5 ก้อนและปลาเพียง 2 ตัว กลับกลายเป็นความทวีคูณ จนเลี้ยงคนได้และเหลือถึง 12 กระบุง (มธ.14:1-20)

  ดังนั้นพระเจ้าจึงให้พระมหาบัญญัติที่ยิ่งใหญ่สรุปได้ 2 ข้อคือ

มัทธิว 22:37-40 
   37   พระเยซูทรงตอบเขาว่า  "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า  และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
  38   นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่  และข้อต้น
   39   ข้อที่สองก็เหมือนกัน  คือ  จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
  40   ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น  ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"


ซี เอส ลูอิส (C.S. Lewis) นักเขียนคริสเตียนที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้ที่เขียนหนังสือชุดนาร์เนีย  ได้กล่าวถึงการแสดงออกของความรักว่า

...อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปโดยการคิดว่าเราจะรักเพื่อนบ้านหรือไม่  แต่จงปฏิบัติราวกับว่าเรารักเพื่อนบ้านของเรา   ทันทีที่เราทำเช่นนั้น เราก็จะพบกับความลับที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง     เมื่อเราได้ปฏิบัติราวกับว่าเราได้รักใครคนหนึ่ง   เราก็จะรู้สึกรักคนนั้น   หากเราทำร้ายคนที่เราไม่ชอบ เราก็จะพบว่าเราไม่ชอบเขามากขึ้น   หากเราตอบแทนเขาด้วยการทำดี  เราก็จะพบว่าเราไม่ชอบเขาน้อยลง ...

หากเราตัดสินใจแสดงออกด้วยการกระทำที่เต็มด้วยความรัก แม้ขณะนั้นความรู้สึกของเรายังไม่พร้อมทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่เราตัดสินใจที่จะรักและให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำไม่ดีต่อเรา

การแสดงออกอันมาจากการตัดสินใจที่จะรักโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเราที่ว่า สิ่งที่เขากระทำผิดต่อเราเป็นอย่างไร เป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ จะร้ายแรงมากหรือน้อย จะทำให้เรารักคนที่กระทำผิดต่อเราได้ในที่สุด 
ให้เรารับความรักของพระเจ้าและแบ่งปันความรักอัศจรรย์ของพระเจ้าออกไปสู่เพื่อนบ้านของเราทุกคน
นี่คือ คริสต์มาส อัศจรรย์แห่งรัก ที่เราจะมอบให้เป็นของขวัญในเทศกาลคริสต์มาสนั่นคือ
          
ขออวยพรพี่น้องทุกท่าน ด้วยคำกล่าวนี้ว่า


     Faith makes all things possible,
Hope makes all things work,

Love makes all things beautiful,
May you have all the three for this Christmas.


ความเชื่อทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้
ความหวังทำให้ทุกสิ่งเป็นรูปเป็นร่าง
ความรักทำให้ทุกสิ่งเป็นความงดงาม
ขอให้ทุกท่านได้พบทั้ง 3
สิ่งนี้ในเทศกาลคริสต์มาสนี้ครับ