บทความเรื่อง อัครทูตกับการปฏิรูปสังคม โดย Haiyong Kavilar
การฟื้นฟูเป็นความใฝ่ฝันของคริสเตียนหลายๆคน
บางคนก็จินตนาการภาพของการฟื้นฟูว่า
จะมีการเก็บเกี่ยวเพิ่มทวีขึ้นและผู้คนมากมายจะเข้าสู่คริสตจักร
บางคนก็จินตนาการถึงภาพของการอัศจรรย์และการรักษาโรคที่จะมีขึ้นอย่างแพร่หลาย บางคนก็จินตนาการว่าผู้คนมากมายจะมีประสบการณ์กับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีและผมเองก็อยากให้สิ่งเหล่านี้เพิ่มทวียิ่งขึ้น
การฟื้นฟูเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างชีวิตชีวาให้กับคริสตจักร
และเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อมักจะคาดหวังให้เกิดขึ้น แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญด้วยก็คือความยั่งยืนของการฟื้นฟู
จากประวัติศาสตร์คริสตจักรที่ผ่านมา ก็มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นในบางประเทศ
ซึ่งการฟื้นฟูในแต่ละประเทศก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกัน
บางประเทศก็มีการฟื้นฟูที่ยั่งยืนและยาวนาน
แต่บางประเทศก็มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ การทำให้การฟื้นฟูมีความยั่งยืนจึงนับเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ
ซินดี้ เจคอปส์(Cindy Jacobs) |
ซินดี้
เจคอปส์ (ผู้เผยพระวจนะชื่อดัง) ได้เขียนไว้ในหนังสือปฏิรูปประชาชาติว่า “การฟื้นฟูอย่างเดียวไม่เพียงพอ” เพื่อให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือการปฏิรูปสังคม
ถ้าค่านิยมหรือวัฒนธรรมของสังคมยังขัดกับหลักการของอาณาจักรพระเจ้า
แม้จะมีการฟื้นฟูเกิดขึ้น การฟื้นฟูก็มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน สาเหตุหนึ่งที่ประเทศอเมริกาเคยประสบกับการฟื้นฟูที่ยาวนาน
ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าหลักการของอาณาจักรพระเจ้าได้เข้าไปมีส่วนในกฎหมายและสังคมในระยะแรกของประเทศ
ในหนังสือวิถีชีวิตเหนือธรรมชาติของ
คริส แวลโลตัน ได้กล่าวถึงนิยามของอัครทูตไว้ว่า
“พระเยซูยืมคำว่าอัครทูตมาจากชาวโรมัน
อัครทูตเป็นนายพลแห่งโรมันซึ่งรับผิดชอบเจาะจงในการเปลี่ยนวัฒนธรรมของประเทศที่เขาพิชิต
เขาจะสอนประชาชนที่ถูกยึดครองถึงวิถีชีวิต กฎหมายและธรรมเนียมโรมัน
ชาวโรมันเข้าใจว่าจะไม่สามารถคงการปกครองเหนือผู้คนเว้นแต่จะสามารถใช้วัฒนธรรมโรมันในที่เหล่านี้
ในทำนองเดียวกัน ต้องมีวัฒนธรรมอัครทูตเพื่อคงอาณาจักรพระเจ้าไว้ในกลุ่มคนของพระเจ้า
คล้ายกับนายพลโรมันในสมัยของพระองค์
พระเยซูทรงส่งอัครทูตของพระองค์ออกไปไม่เพียงแต่รักษาคนป่วย
ให้คนรับความรอดและประกาศข่าวประเสริฐ
แต่ยังตั้งวัฒนธรรมแห่งอาณาจักรสวรรค์ท่ามกลางผู้คนที่มีประสบการณ์การอัศจรรย์เหล่านี้”
ปีเตอร์
แวกเนอร์ (นักวิชาการชื่อดังด้านการเพิ่มพูนคริสตจักร) ได้กล่าวถึงอัครทูตไว้ 3
ชนิดคือ
1.อัครทูตแนวตั้ง
(เน้นตั้งคริสตจักร)
2.อัครทูตแนวนอน
(เน้นเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำ)
3.อัครทูตในที่ทำงาน
(เน้นการปฏิรูปสังคม)
(รายละเอียดของอัครทูตชนิดต่างๆดูได้ที่
http://pattamarot.blogspot.com/2016/12/blog-post_19.html)
บนภูเขาทั้ง7
อัครทูตสองชนิดแรกจะมีพันธกิจบนภูเขาศาสนา แต่อัครทูตในที่ทำงานจะมีพันธกิจบนภูเขาอื่นๆ
อัครทูตในที่ทำงานจะเป็นอัครทูตที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสังคม
เพื่อให้วัฒนธรรมและค่านิยมของสังคมสะท้อนถึงอาณาจักรพระเจ้า
พันธกิจของอัครทูตในที่ทำงานจะเป็นพันธกิจนอกกำแพงโบสถ์
อันเป็นพันธกิจที่จะช่วยให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
(รายละเอียดและเทคนิคการจำชื่อภูเขาทั้ง7
ดูได้ที่ http://pattamarot.blogspot.com/2017/01/7.html )
ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างคริสตจักรบนรากฐานของศิษยาภิบาลกับคริสตจักรบนรากฐานของอัครทูต
คือ รากฐานของศิษยาภิบาลจะเน้นที่โบสถ์
การเก็บเกี่ยวและการดึงดูดคนเข้าสู่การนมัสการ
แต่รากฐานของอัครทูตจะเน้นที่อาณาจักรพระเจ้า
การปฏิรูปสังคมและการส่งคนออกไปเปลี่ยนแปลงประชาชาติ
พันธกิจแบบศิษยาภิบาลจะเน้นเพียงภูเขาศาสนา แต่พันธกิจแบบอัครทูตจะมุ่งไปยังภูเขาทั้ง7 อย่างไรก็ตาม แม้มุมมองแบบอัครทูตจะเน้นการปฏิรูปสังคม แต่มุมมองแบบอัครทูตก็ไม่ได้ทอดทิ้งการเก็บเกี่ยว เพราะการเก็บเกี่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปสังคม พันธกิจตามมุมมองแบบอัครทูตจะไม่ได้จำกัดเพียงแต่งานในโบสถ์ แต่ยังครอบคลุมถึงการทำงานอาชีพเพื่อเข้าไปมีส่วนในการพัฒนาสังคม
พันธกิจแบบศิษยาภิบาลจะเน้นเพียงภูเขาศาสนา แต่พันธกิจแบบอัครทูตจะมุ่งไปยังภูเขาทั้ง7 อย่างไรก็ตาม แม้มุมมองแบบอัครทูตจะเน้นการปฏิรูปสังคม แต่มุมมองแบบอัครทูตก็ไม่ได้ทอดทิ้งการเก็บเกี่ยว เพราะการเก็บเกี่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปสังคม พันธกิจตามมุมมองแบบอัครทูตจะไม่ได้จำกัดเพียงแต่งานในโบสถ์ แต่ยังครอบคลุมถึงการทำงานอาชีพเพื่อเข้าไปมีส่วนในการพัฒนาสังคม
ในกรอบความคิดแบบศิษยาภิบาลได้แบ่งผู้เชื่อเป็นผู้รับใช้กับฆราวาส
โดยผู้รับใช้จะเป็นผู้ที่ทำพันธกิจต่างๆในโบสถ์
ส่วนฆราวาสเป็นผู้ที่เข้ามาร่วมนมัสการพระเจ้า แต่ในกรอบความคิดแบบอัครทูต ผู้เชื่อทุกคนนับเป็นผู้รับใช้พระเจ้า
โดยบางคนจะทำพันธกิจในโบสถ์ แต่หลายคนจะถูกส่งออกไปทำพันธกิจในที่ทำงาน และไม่ว่าผู้เชื่อจะทำงานในโบสถ์หรือนอกโบสถ์
ผู้เชื่อทุกคนก็มีส่วนในการนำอาณาจักรพระเจ้าเข้ามายังสังคม โอ
ขอให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนเถิด
หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
ปฏิรูปประชาชาติ
เขียนโดย ซินดี้ เจคอปส์
The
Church in the Workplace เขียนโดย C. Peter Wagner
ที่มาของรูป
รูป
ซินดี้ เจคอปส์ จาก https://www.arsenalbooks.com/Cindy-Jacobs-s/1863.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น