สวัสดีปีใหม่ครับผู้อ่านทุกท่าน ปีเก่า คือ ปี 2016 ผ่านไป ปีใหม่ คือ ปี 2017 กำลังจะมา ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง ที่ทำให้เราสามารถผ่านสถานการณ์ต่างๆมาได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของเรา เรามีสปอนเซอร์หลัก ผู้ให้การสนับสนุนเราอย่างเป็นทางการเสมอมา
สำหรับบทความในครั้งนี้ ผมขอนำถ้อยคำจากพระธรรมสดุดี 121 ดังนี้
สำหรับบทความในครั้งนี้ ผมขอนำถ้อยคำจากพระธรรมสดุดี 121 ดังนี้
สดุดี 121:1-8
1 ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน
2 ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
3 พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป
5 พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
6 ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
7 พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน
8 พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์
พระธรรมสดุดีตอนนี้เป็นบทเพลงแห่ขึ้น(Song of Ascents) เป็นบทเพลงที่คนอิสราเอลใช้ร้องในขณะเดินทางไปพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการพระเจ้าในเทศกาลประจำปี
ผมเชื่อว่าในช่วงเวลานั้นหนทางในการเดินทางคงจะยากลำบาก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นหุบเขา หนทางคงจะขรุขระ เต็มไปด้วยหินแหลมคม สภาพอากาศร้อนแบบทะเลทราย กลางวันร้อนและกลางคืนหนาวเย็น นอกจากนี้ยังอาจจะมีอันตรายจากสัตว์ร้ายในยามค่ำคืน หรืออาจะมีโจรที่คอยดักปล้นทำร้าย จ้องที่จะแย่งชิงทรัพย์สินไป
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงได้ร้องเพลงบทนี้ขึ้นเป็นบทเพลงที่ปลุกใจให้หันกลับจากความกลัว หันกลับมามองดูพระเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ เป็นพระเจ้าผู้ทรงปกป้องคุ้มครอง และเป็นผู้นำทางให้มุ่งตรงไปสู่ความปลอดภัย สู่ความสว่าง และสู่จุดหมายปลายทาง
เมื่อเปรียบเทียบชีวิตของเราเป็น “นักเดินทาง” เราก็จะต้องมาพบกับทางแยกเพื่อเป็นจุดตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านไปปีแล้วปีเล่า อาจมีหลายสิ่งที่เรามองไป แล้วอาจรู้สึกคร้ามกลัว กลัวล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เรากลัวนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ เป็นแต่เพียงความคิด ความรู้สึก และความกระวนกระวายล่วงหน้า
บางคนอาจจะกระวนกระวายใจ ว่าปีหน้าจะไปทิศทางไหนดี เงินจะพอใช้จ่ายไหม?
บางคนอาจจะกระวนกระวายใจ ว่าปีหน้าจะไปทิศทางไหนดี เงินจะพอใช้จ่ายไหม?
บางคนอาจกังวลใจ คิดถึงเรื่อง ธุรกิจ การงาน การเรียน หรือครอบครัว
ชีวิตอาจจะยากลำบากเหมือนเข็นครกขึ้นเขา ยอดเขาอาจเป็นจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปให้ถึง แต่ที่นั่นยาวไกลจนน่าครั่นคร้ามเมื่อมองด้วยสายตามนุษย์
ชีวิตอาจจะยากลำบากเหมือนเข็นครกขึ้นเขา ยอดเขาอาจเป็นจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปให้ถึง แต่ที่นั่นยาวไกลจนน่าครั่นคร้ามเมื่อมองด้วยสายตามนุษย์
หากเราคิดแบบมนุษย์ นั้น ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ทำให้เรากลัว และขาดสันติสุข
แต่พระเจ้าต้องการให้เราสวมความคิดใหม่และจดจ้องอยู่ที่พระองค์
ในช่วงรอยต่อของปี ระหว่างปีเก่าและปีใหม่นี้ พระเจ้าเรียกให้เรามองที่พระองค์
ให้เราเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ด้วยสายตาทอดมองอย่างถูกที่ ถูกทาง คือ สายตาจ้องมองที่พระเจ้า
ผมขอหนุนใจให้เราได้ใช้วันหยุดนี้ จัดเวลา หาสถานที่เงียบสงบ อธิษฐานเพื่อเสาะหาทิศทางจากพระเจ้า มองไปที่พระเจ้าก่อนมองสิ่งใด ๆ เพื่อเส้นทางในปีที่เข้ามานี้ พระเจ้าจะนำทิศนำของเราอย่างแท้จริง วางใจในพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่แสนดีและชีวิตของเราจะอยู่ภายใต้องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์
เมื่อเราอ่านในข้อที่ 1-2 เราจะพบว่า ผู้เขียนซึ่งกำลังเดินทางมุ่งตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในขณะที่เดินทางไปใจก็คร้ามกลัวสิ่งที่จะต้องพบเจอ เมื่อเดินผ่านภูเขาลูกหนึ่งนั้น ก็ได้เงยหน้าขึ้นมองยอดเขาและถามขึ้นว่า “ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน”
เมื่อเราเดินทางมาเจอภูเขา มุมมองของเราเป็นเช่นไร มองว่าภูเขา(ปัญหา) เป็น "อุปสรรค" หรือ "อุปกรณ์" เพื่อใช้ออกกำลังกายให้ข้ามผ่านไป
ผู้เขียนมองว่าภูเขาทำให้เขานึกถึง "พระเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์"
คำว่า “ความอุปถัมภ์” ตรงนี้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “help” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู คือ คำว่า 'ezer (ay'-zer) เอเซอร์ ให้ความหมายถึง การช่วยเหลือ การสนับสนุน และการปกป้องคุ้มภัย
บุคคลคนหนึ่งในพระคัมภีร์ เป็นปุโรหิต ชื่อว่า "เอลีเอเซอร์" แปลว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ช่วยเหลือ (God is a Helper) (1 พงศาวดาร 15:24)
หลังจากตั้งคำถามในข้อที่ 1 ผู้เขียนคิดขึ้นมาได้ทันทีในข้อที่ 2 ว่า ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
คำตอบที่ได้รับคือ ความอุปถัมภ์ไม่ได้มาจากใครที่ไหน ไม่ใช่ขุนเขาสูงใหญ่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่พระบาอัล เหล่ารูปเคารพที่มนุษย์สร้างไว้บนยอดเขาที่พวกเขาสักการะกันบนนั้น แต่ความอุปถัมภ์ของเรามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
พระเจ้าผู้ทรงสร้างยิ่งใหญ่กว่าพระที่มนุษย์สร้าง รูปเคารพที่พวกเค้ารักไม่ใช่คำตอบ และช่วยเหลือเขาไม่ได้จริง รูปเคารพยังมีความเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาต้องมาทำการซ่อมแซมบูรณะ แต่พระเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาล พระองค์ไม่เคยทำผิดพลาด และพระองค์ไม่เคยหลับหรืออ่อนกำลัง
3 พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป
4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา
Christ the Redeemer |
รูปปั้นพระเยซูขนาดยักษ์ ความสูงถึง 38 เมตรประดิษฐ์สถานอยู่บนยอดเขาคอร์โควาโด แลนด์มาร์ค ความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปรอบๆ เมืองสามารถมองเห็นได้ชัดเจน บนยอดเขากอร์โกวาดูที่มองลงไปเห็นเมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล มีรูปปั้นพระเยซูพระผู้ไถ่ ซึ่งเป็นรูปปั้นพระเยซูที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ด้วยความสูง 30 เมตรความกว้างสุดปลายแขนสองข้าง 28 เมตร รูปปั้นนี้มีน้ำหนักถึง 635 ตัน สามารถมองเห็นได้ทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่าจากที่ใดในเมืองเพียงแค่มองไปทางภูเขาก็จะได้เห็นรูปปั้นพระเยซูพระผู้ไถ่
พระคัมภีร์ใหม่บอกเราว่า พระเยซูมิได้ทรงเป็นเพียงพระผู้ไถ่ แต่ทรงเป็นองค์พระผู้สร้างจักรวาล
พระเยซูทรงตรัสว่า เราเป็นหนึงเดียวกับพระบิดา เราเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกนี้ (ยอห์น 10:30-33)
พระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้เดียวก็เพียงพอที่จะเป็นกำลังของเราและนำก้าวย่างของเราในการใช้ชีวิตในโลกที่อันตรายและสับสนนี้ เพราะทรงเป็นพระผู้ทรงอุปถัมภ์
ข้อคิดเรื่อง "ชีวิตที่อยู่ภายใต้องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์" เป็นดังนี้
1.ชีวิตจะได้รับการช่วยเหลือเสมอ (ข้อ 3-4)
3 พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป
4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา
พระวจนะบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าผู้ทรงอารักขาเรานั้น ทรงเป็นพระเจ้าแบบ full time God พระองค์ทรงเฝ้าจับตามเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ทรงเป็นยามที่ไม่เคยหลับยาม
แม้ในยามหลับหรือยามตื่น พระองค์จะดูแลเราตลอดเวลา และนี่คือ คำมั่นสัญญาของพระเจ้าที่บอกกับเรา ว่า พระเจ้าจะไม่เคลิ้มไป พระเจ้าจะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทราไป แต่ทรงเฝ้ามองเรา ทั้งในขวบปีที่ผ่านมา และทรงสัญญาถึงขวบปีที่อยู่ข้างหน้าเราทั้งหลายเช่นกัน
เหตุผลเดียวที่พระองค์กระทำเช่นนั้น ก็คือ เราคือ แก้วตาดวงใจของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ไม่ว่าเราจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ แต่พระเจ้าต้องการย้ำว่า เราคือ “แก้วตาดวงใจของพระองค์”
พระเจ้าทรงเปรียบคนอิสราเอลประชากรของพระองค์ว่าเป็น "แก้วพระเนตรของพระองค์"
เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10 "พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินทุรกันดาร ในที่เปลี่ยวเปล่ามีแต่เสียงเห่าหอน พระองค์ทรงโอบล้อมเขาไว้ และทรงดูแลเขาอยู่ ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์
เศคาริยาห์ 2:8 เมื่อพระสิริใช้เราให้ไปยังประชาชาติที่ปล้นเจ้า (เพราะว่าผู้ใดได้แตะต้องเจ้า ก็ได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์) ….
2. ชีวิตจะได้รับการทรงนำ (ข้อ 3)
3 พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป ….
การเฝ้าจับตามองของพระเจ้า ทำให้เท้าของเราทั้งหลาย ไม่พลาดพลั้งไป แม้ในขวบปีที่ผ่านมา เราอาจเป็นเหมือนลูกเล็ก ๆ เดินล้มลุกคลุกคลาน ดีบ้างร้ายบ้าง เข้มแข็งบ้างอ่อนแอบ้าง แต่การล้มโดยความอ่อนแอนั้น พระเจ้าจะผยุงให้ลุกขึ้นได้เสมอ
สุภาษิต 24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง
แม้ล้ม แต่เมื่อเรากลับใจ หันกลับมาหาพระเจ้า พระเจ้าก็พร้อมให้อภัย และจะทรงจูงมือเราต่อไปเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าวางไว้สำหรับชีวิตของเรา
จำไว้ว่า " ล้ม " แล้ว > อย่ากลัวที่จะ "ลุก" .. "ทุกข์" แล้ว > อย่ากลัวที่จะ "ยิ้ม" ...
ผู้ที่จะพาเราไปคือ พระเจ้า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา ให้ล้มลุกคลุกคลาน
เฉลยธรรมบัญัติ 31:8 ผู้ที่ไปข้างหน้าคือพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย"
ฉะนั้น จงอย่ากลัว นี่คือ คำมั่นสัญญาที่พระเจ้าบอกว่า จงไปต่อ ลุกขึ้น เดินต่อไป เส้นทางยังอีกยาวไกล ไป แล้วเราจะนำหน้าเจ้าไป
สิ่งสำคัญคือ การไปโดยให้พระเจ้านำหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าเดินนำหน้าพระเจ้า และอย่าเดินช้ากว่าการนำของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายก้าวเดินไป เดินตามการทรงนำของพระเจ้าไปอย่างใกล้ชิด
และประการสุดท้ายของชีวิตที่อยู่ภายใต้องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์ นั่นคือ
เศคาริยาห์ 2:8 เมื่อพระสิริใช้เราให้ไปยังประชาชาติที่ปล้นเจ้า (เพราะว่าผู้ใดได้แตะต้องเจ้า ก็ได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์) ….
2. ชีวิตจะได้รับการทรงนำ (ข้อ 3)
3 พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป ….
การเฝ้าจับตามองของพระเจ้า ทำให้เท้าของเราทั้งหลาย ไม่พลาดพลั้งไป แม้ในขวบปีที่ผ่านมา เราอาจเป็นเหมือนลูกเล็ก ๆ เดินล้มลุกคลุกคลาน ดีบ้างร้ายบ้าง เข้มแข็งบ้างอ่อนแอบ้าง แต่การล้มโดยความอ่อนแอนั้น พระเจ้าจะผยุงให้ลุกขึ้นได้เสมอ
สุภาษิต 24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง
แม้ล้ม แต่เมื่อเรากลับใจ หันกลับมาหาพระเจ้า พระเจ้าก็พร้อมให้อภัย และจะทรงจูงมือเราต่อไปเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าวางไว้สำหรับชีวิตของเรา
จำไว้ว่า " ล้ม " แล้ว > อย่ากลัวที่จะ "ลุก" .. "ทุกข์" แล้ว > อย่ากลัวที่จะ "ยิ้ม" ...
ผู้ที่จะพาเราไปคือ พระเจ้า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา ให้ล้มลุกคลุกคลาน
เฉลยธรรมบัญัติ 31:8 ผู้ที่ไปข้างหน้าคือพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย"
ฉะนั้น จงอย่ากลัว นี่คือ คำมั่นสัญญาที่พระเจ้าบอกว่า จงไปต่อ ลุกขึ้น เดินต่อไป เส้นทางยังอีกยาวไกล ไป แล้วเราจะนำหน้าเจ้าไป
สิ่งสำคัญคือ การไปโดยให้พระเจ้านำหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าเดินนำหน้าพระเจ้า และอย่าเดินช้ากว่าการนำของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายก้าวเดินไป เดินตามการทรงนำของพระเจ้าไปอย่างใกล้ชิด
และประการสุดท้ายของชีวิตที่อยู่ภายใต้องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์ นั่นคือ
3. ชีวิตจะได้รับการปกป้อง– (ข้อ 5-8)
5 พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
6 ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
7 พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน
8 พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้ให้ความมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงปกป้องผู้เดินทางไว้ให้ปลอดภัย ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก็ตาม
พระวจนะบอกว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า The keeper
ส่วนในภาษาฮีบรู มาจากคำว่า “ชามาร์” shamar (shaw-mar') ซึ่งให้ภาพของการล้อมรั้วกั้นไว้ด้วยต้นหนาม การป้องกัน และการเอาใจใส่ (shall preserve)
พระนามของพระเจ้า คือ พระยาห์เวห์ ซัมมาร์ ( Yahweh Shammah) หมายถึง พระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นด้วย ทรงประทับอยู่ร่วมกับเรา
นอกจากนี้พระวจนะยังบอกว่า พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือ
คำว่าที่กำบัง ในภาษาฮีบรูมาจากคำว่า “เซลล์” tsel (tsale) ให้ภาพของการดูแลปกป้องให้พ้นจากอันตราย
ส่วนคำว่า ที่ข้างขวามือ ให้ภาพของพระเจ้าผู้อยู่เคียงข้าง ในฐานะของบอดีการ์ด(Body guard) ผู้มีโล่ปกป้องกันเราให้พ้นจากอันตรายทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีสิ่งใดทำร้ายเราได้
กล่าวแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า ต่อไปนี้ เราจะใช้ชีวิตอย่างประมาท ดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้เพราะมี body guard คอยปกป้องระวังให้หมดแล้ว พระเจ้าไม่ได้บอกให้เราใช้ชีวิตโดยประมาท
แต่ให้ใช้ชีวิตโดยมั่นใจในพระเจ้า และดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท ไม่เปิดช่อง เพราะมารก็วนเวียนรอบ ๆ ตัวเราดุจสิงห์คำราม เช่นกัน
ในข้อที่ 6 บอกว่า ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
นั่นคือ อันตรายทั้งในยามกลางวัน และกลางคืน จะไม่อาจมาถึงตัวเราได้ เพราะพระเจ้าเฝ้าปกป้องอยู่
เช่นเดียวกับชนชาติอิสราเอล ที่พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ เมื่อพวกเขาเดินทางในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงนำพวกเขาและปกป้องพวกเขาไว้ด้วยเสาเมฆและเสาเพลิง
อพยพ 13:21-22
21 พระเจ้าเสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
22 เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย
ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตด้วยวัตถุประสงค์เบื้องหลังใด ๆ ก็ตาม จะไม่มีอันตรายใด ๆ มาประชิดตัวเราได้เลย ยกเว้น พระเจ้าอนุญาตให้สถานการณ์ร้ายเกิดขึ้นสำหรับบางคน เพื่อผลดี ที่ซ่อนอยู่สำหรับคนนั้น พระเจ้าจะทรงอารักขาเรา ด้วยความรักของพระองค์ ดังภูเขาที่โอบล้อมเป็นป้อมปราการทางภูมิประเทศที่ปกป้องกรุงเยรูซาเล็ม
สดุดี 125:2 ภูเขาอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด พระเจ้าทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ ตั้งแต่เวลานี้สืบต่อไปเป็นนิตย์ฉันนั้น
คำมั่นสัญญาของพระเจ้าคือ จะทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ กำบัง ป้องกันเรา ให้พ้นจากอันตรายทั้งสิ้น ไม่เพียงทรงกระทำแค่วานนี้ แต่พระวจนะบอกว่าสืบไปเป็นนิตย์
คำว่า "สืบไปเป็นนิตย์" หมายถึง ตั้งแต่แรกที่เราเชื่อ ขณะนี้ที่เราเชื่อ และจะคงอยู่ตลอดไปในอนาคต
แม้ว่าความมั่นคงและปลอดภัยในฝ่ายภายภาพ ยังมีวันที่จะเสื่อมไปแต่พันธสัญญาของพระองค์ไม่เคยเสื่อมสลาย
อิสยาห์ 54:10 เพราะภูเขาอาจจะพรากจากไป และเนินอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสันติภาพของเราจะไม่คลอนแคลนไป ….
ความรักของพระองค์จะไม่ขาดไปจากเราเลย
โรม.8:35-39
35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ
36 ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า
37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย
38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
ความรักของพระเจ้าจึงเป็นความมั่นใจและเป็นป้อมปราการที่เราจะเข้าไปพักสงบได้อย่างอบอุ่นและผ่อนคลาย
เมื่อเรานำชีวิตของเราให้ตรงกับวาระเวลาของพระเจ้า (Align your timeline with the Lord’s Timeline!) พระเจ้าจะนำเราไปสู่วาระและฤดูกาลใหม่ของพระองค์
นี่เป็นเวลาที่เราจะเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกับพระเจ้า เพื่อจะฟังเสียงและเคลื่อนตามเป้าประสงค์ของพระองค์ในปีข้างหน้า
กิจการฯ 3:19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ชีวิตที่อยู่ภายใต้องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์นะครับ
5 พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
6 ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
7 พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน
8 พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้ให้ความมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงปกป้องผู้เดินทางไว้ให้ปลอดภัย ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก็ตาม
พระวจนะบอกว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า The keeper
ส่วนในภาษาฮีบรู มาจากคำว่า “ชามาร์” shamar (shaw-mar') ซึ่งให้ภาพของการล้อมรั้วกั้นไว้ด้วยต้นหนาม การป้องกัน และการเอาใจใส่ (shall preserve)
พระนามของพระเจ้า คือ พระยาห์เวห์ ซัมมาร์ ( Yahweh Shammah) หมายถึง พระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นด้วย ทรงประทับอยู่ร่วมกับเรา
นอกจากนี้พระวจนะยังบอกว่า พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือ
คำว่าที่กำบัง ในภาษาฮีบรูมาจากคำว่า “เซลล์” tsel (tsale) ให้ภาพของการดูแลปกป้องให้พ้นจากอันตราย
ส่วนคำว่า ที่ข้างขวามือ ให้ภาพของพระเจ้าผู้อยู่เคียงข้าง ในฐานะของบอดีการ์ด(Body guard) ผู้มีโล่ปกป้องกันเราให้พ้นจากอันตรายทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีสิ่งใดทำร้ายเราได้
กล่าวแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า ต่อไปนี้ เราจะใช้ชีวิตอย่างประมาท ดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้เพราะมี body guard คอยปกป้องระวังให้หมดแล้ว พระเจ้าไม่ได้บอกให้เราใช้ชีวิตโดยประมาท
แต่ให้ใช้ชีวิตโดยมั่นใจในพระเจ้า และดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท ไม่เปิดช่อง เพราะมารก็วนเวียนรอบ ๆ ตัวเราดุจสิงห์คำราม เช่นกัน
ในข้อที่ 6 บอกว่า ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
นั่นคือ อันตรายทั้งในยามกลางวัน และกลางคืน จะไม่อาจมาถึงตัวเราได้ เพราะพระเจ้าเฝ้าปกป้องอยู่
เช่นเดียวกับชนชาติอิสราเอล ที่พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ เมื่อพวกเขาเดินทางในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงนำพวกเขาและปกป้องพวกเขาไว้ด้วยเสาเมฆและเสาเพลิง
อพยพ 13:21-22
21 พระเจ้าเสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
22 เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย
ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตด้วยวัตถุประสงค์เบื้องหลังใด ๆ ก็ตาม จะไม่มีอันตรายใด ๆ มาประชิดตัวเราได้เลย ยกเว้น พระเจ้าอนุญาตให้สถานการณ์ร้ายเกิดขึ้นสำหรับบางคน เพื่อผลดี ที่ซ่อนอยู่สำหรับคนนั้น พระเจ้าจะทรงอารักขาเรา ด้วยความรักของพระองค์ ดังภูเขาที่โอบล้อมเป็นป้อมปราการทางภูมิประเทศที่ปกป้องกรุงเยรูซาเล็ม
สดุดี 125:2 ภูเขาอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด พระเจ้าทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ ตั้งแต่เวลานี้สืบต่อไปเป็นนิตย์ฉันนั้น
คำมั่นสัญญาของพระเจ้าคือ จะทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ กำบัง ป้องกันเรา ให้พ้นจากอันตรายทั้งสิ้น ไม่เพียงทรงกระทำแค่วานนี้ แต่พระวจนะบอกว่าสืบไปเป็นนิตย์
คำว่า "สืบไปเป็นนิตย์" หมายถึง ตั้งแต่แรกที่เราเชื่อ ขณะนี้ที่เราเชื่อ และจะคงอยู่ตลอดไปในอนาคต
แม้ว่าความมั่นคงและปลอดภัยในฝ่ายภายภาพ ยังมีวันที่จะเสื่อมไปแต่พันธสัญญาของพระองค์ไม่เคยเสื่อมสลาย
อิสยาห์ 54:10 เพราะภูเขาอาจจะพรากจากไป และเนินอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสันติภาพของเราจะไม่คลอนแคลนไป ….
ความรักของพระองค์จะไม่ขาดไปจากเราเลย
โรม.8:35-39
35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ
36 ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า
37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย
38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
ความรักของพระเจ้าจึงเป็นความมั่นใจและเป็นป้อมปราการที่เราจะเข้าไปพักสงบได้อย่างอบอุ่นและผ่อนคลาย
เมื่อเรานำชีวิตของเราให้ตรงกับวาระเวลาของพระเจ้า (Align your timeline with the Lord’s Timeline!) พระเจ้าจะนำเราไปสู่วาระและฤดูกาลใหม่ของพระองค์
นี่เป็นเวลาที่เราจะเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกับพระเจ้า เพื่อจะฟังเสียงและเคลื่อนตามเป้าประสงค์ของพระองค์ในปีข้างหน้า
กิจการฯ 3:19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ชีวิตที่อยู่ภายใต้องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์นะครับ
เป็นที่หนุนจิตชูใจชี้นำทิศทางใหม่นำชีวิตก้าวเข้าสู่ปี2017จะกลับเข้ามาอ่านอีก ตลอดปี 2017
ตอบลบขอบคุณ อาจารย์ปัทมโรจน์ ขอพระเจ้าอวยพระพรตามพระสัญญา ตามความสัตย์ซื่อของพระเจ้า เอเมนคะ