13 กุมภาพันธ์ 2557

รักสุดจิต ฟินสุดใจ

สวัสดีครับเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน  ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเดือนแห่งความรัก  วันที่14 ..เป็น "วันวาเลนไทน์"(Valentine's day) หรือ "วันแห่งความรัก" เป็นวันที่ระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ผู้ที่เป็นที่มาของวันแห่งความรัก เพราะท่านเป็นผู้อุทิศชีวิตของท่านในการสำแดงความรักโดยจัดการประกอบพิธีให้กีบคู่สมรสต่างๆท่านยอมฝ่าฝืนกฎหมายอันไม่ชอบธรรมในการห้ามจัดงานแต่งงานให้กับชายผู้เป็นทหารของโรมัน


(อ่านประวัติที่มาของวันวาเลไทน์ได้ที่http://pattamarot.blogspot.com/2011/02/valentine.html)

ความรักเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับผู้เชื่อทุกคน
มัทธิว 22:37-38 

37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
38นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น
39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"
ดังนั้นศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาแห่งความรัก พระเจ้าทรงเป็นความรักและสอนผู้เชื่อให้สำแดงความรักออกไป

พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ทำให้เกิดความรักขึ้นมาเป็นสิ่งที่ความสวยงามและทำให้โลกน่าอยู่แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ถูกล่อลวงจากวิญญาณชั่วร้ายให้ใช้ความรักในทางที่ไม่ถูกต้องทำผิดบาปทางเพศโดยเฉพาะในช่วงวันที่14..วันวาเลนไทน์วันแห่งความรักแต่หนุ่มสาวในวัยเรียนหลายคู่ได้ไปทำผิดบาปทางเพศทำให้เกิดปัญหาสังคมวันนี้จึงถูกขนานนามให้ใหม่ว่าเป็น วันเสียความบริสุทธิ์แห่งชาติ
 
ผมหวังว่าหนุ่มสาวในสมัยปัจจุบันจะเห็นความสำคัญของชีวิตที่ชอบธรรมรักษาความบริสุทธิ์ทางเพศจนกว่าจะถึงวันสมรสในชีวิต ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและปกป้องให้ดำเนินในความชอบธรรมตามแบบพระองค์
ในบทความวันนี้ผมขอแบ่งปันข้อคิดเรื่องความรักจากพระบัญญัติของพระเจ้า คือ "รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" หากเรารักษาบัญญัติ 2 ข้อนี้ได้เท่านี้ก็ถือว่า "สมบูรณ์แบบแล้ว" หรือที่วัยรุ่นเรียกว่า "ฟินสุดๆเลย"  คำว่า "ฟิน" เป็นคำฮิตคำฮอตที่ติดปากวัยรุ่นในปัจจุบัน คำว่า "ฟิน" มาจากคำว่า "ฟินาเล่"(Finale)  ที่แปลว่า "จบแบบสมบูรณ์แบบ" โดยส่วนมากมักจะใช้ตอนที่รู้สึกว่า... "สุดยอด"
 
เราจะต้องรักพระเจ้าแบบสุดจิต ไม่ใช่สุดฤทธิ์เหมือนหนังเรื่อง รักสุดฤทธิ์ของน้องเจมส์ จิรายุนะครับ แบบนั้นเป็นความรักที่ใช้อารมณ์เป็นหลักแบบ "รักสุดฤทธิ์ บิดสุดไมล์(มอเตอร์ไซด์)กันเลย" แต่ความรักของพระเจ้าใช้หลักการความถูกต้องในความบริสุทธิ์ใจตามหลักการของเจมส์ ยากอบนะครับ ไม่ใช่ของเจมส์ จิ  พระธรรมยากอบบทที่ 2:8 กล่าวไว้ว่า "...จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แล้วท่านทั้งหลายก็ประพฤติดีอยู่..."

นี่คือสิ่งที่เราควรจะยึดถือตามพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างมั่นคง ในสังคมทุกวันนี้เอาอารมณ์ความรู้สึกเป็นที่ตั้ง  บางอย่างมันหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไ
 มีคำกล่าวว่า "อย่าหาเหตุผลในความรัก  อย่าหาหลักการในความเกลียดชัง" หากในสถานการณ์ปัจจุบันคงต้องเพิ่มไปว่า "อย่าหาโกดังในโครงการจำนำข้าว เพราะมันไหม้หมดแล้ว"  :)

 
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ต้องก่อร่างสร้างเสริมมาจากความสัมพันธ์ที่เข้าใจกัน และตัดสินใจอย่างเหมาะสมว่า จะรักอย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่รักแม้ทำผิด เห็นดีเห็นชอบ แต่เป็นความรักที่่แสดงออกเป็นการกระทำ 

ผมขอเปรียบเทียบความรักเป็นเหมือนฟัน นอกจากฟินแล้ว ฟันในที่นี่เป็นคำพ้องเสียงใช้ได้ทั้งคำว่า Fun ที่แปลว่าสนุกสนาน และฟันที่เป็นอวัยวะในปากที่ทำหน้าที่ขบเคี้ยว ฟันแข็งแรงสุขภาพก็จะดี ความรักเปรียบดังฟันเพราะฟันเป็นสิ่งที่คงทนอยู่แม้คนที่ตายไปแล้วกระดูกฟันก็ไม่คงอยู่ แต่หากไม่รักษาให้ดีฟันก็จะบอกว่า "เหงือกจ๋า ฟันลาก่อน" ดังบทกลอน Love is Fun ดังนี้ครับ

รักมั่นคง คือ ฟันแท้         รักร่อแร่ คือ ฟันโยก  
รักโสโครก คือ ฟันดำ       รักถลำ  คือ ฟันเหยิน  
รักหมางเมิน คือ ฟันห่าง   รักร้าง คือ ฟันหลอ
รักหงิกงอ คือ ฟันกุด        รักบริสุทธิ์ คือ ฟันขาว 
รักชั่วคราว คือ ฟันปลอม   รักต้องถนอม คือ ฟันอุด
รักชำรุด  คือ   ฟันแตก       รักแรก  คือ  ฟันน้ำนม
รักระบม คือ ฟันผุ     รักคิกขุ คือ ฟันกระตาย   รักสลาย คือ ฟันหลุด
รักสะดุด คือ ฟันสึก   รักเจ็บลึก คือ ฟันคุด ...
นอกจากนี้หากความรักเป็น "รักสนุก" บางทีเป็น "ทุกข์สงัด" เพราะเป็นความรักที่ไม่อยู่ในทางความบริสุทธิ์ ความรักจึงกลายเป็นความใคร่  คำว่ารัก กลายเป็นคำแสลง มาจากการเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อจะลงเอยด้วยความสัมพันธ์ทางเพศ ที่เรียกว่า "ฟัน" ไม่ว่าจะฟันแล้วท้อง หรือ ฟันแล้วทิ้ง ก่อให้เกิดปัญหาสังคมดังนี้


รักตุ๊ด คือ ฟันหนุ่ม        รักทั้งกลุ่ม คือ ฟันหมด    รักสลด คือ ฟันพลาด
รักต่างชาติ คือ ฟันฝรั่ง  รักบิดบัง คือ ฟันชู้      รักอุดอู้ คือ ฟันช้า
รักกะฮา คือ ฟันเล่น      รักไม่เป็น คือ ฟันดะ   รักนะจ๊ะ คือ ฟันเธอ :)

หวังว่าคงจะไม่เป็นความรักแบบนี้  ขอให้เราคนไทยรักกัน เปลี่ยนคำว่า เธอตอนท้าย กลายเป็น  "รักเธอประเทศไทย ร่วมใจปฎิรูปนะ ฟันธง"


ในความคิดของผมจากหลักการพระคัมภีร์ คำว่า "รักสุดจิต ฟินสุดใจ" นั่นคือ  การที่เราต้องให้ความรักของพระเจ้าควบคุมชีวิตเราอย่าง สุดจิต สุดใจ และสุดความคิด มีค่านิยมความรักที่ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ อย่าให้ค่านิยมที่ผิดของโลกเข้ามามีอิทธิพลต่อเรา ส่งผลให้ทำผิดต่อหลักการ เราสามารถแยกแยะได้จากหลักการพระคัมภีร์
ค่านิยมของโลก : “ให้ความสนใจเฉพาะเปลือกนอก” VS  ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : “สนใจท่าทีภายในจิตใจ”(1 ซมอ.16:7)  
"อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
 ค่านิยมของโลก : "อยู่กันก่อนแต่ง อยู่กันได้ค่อยแต่ง" VS ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : “รักษาชีวิตที่บริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า”

1 เธสะโลนิกา 4:4   ให้ท่านทุกคนรู้จักมีภรรยาในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ


ค่านิยมของโลก :อยากให้โลกนี้มีเราเพียงสองคน”  VS  ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์  : "ความรักคือการไม่เห็นแก่ตนเอง"
 
1โครินธ์ 13:4-5 ความรักนั้น...ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว...    

ค่านิยมของโลก : ฉันต้องการบางอย่างจากเธอVS ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : "ความรักคือการให้" (กจ.20:35) 


ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"   

ค่านิยมของโลก :“รักชั่วคราว ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน”
เป็นความประทับใจครั้งแรกที่ได้พบกัน และรู้สึกว่า เกิดเป็นความรักระหว่างกัน ความรักแบบนี้มักจะไปจบด้วยการมีความสัมพันธ์ทางเพศ เพียงแค่เป็นกิจกรรมให้เกิดความสุขทางกาย แต่เกิดความทุกข์ใจตามมาภายหลัง
ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : “รักชั่วนิรันดร์ เวลานั้นคือเครื่องพิสูจน์”

มีคำกล่าวว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน หมายถึง เวลาจะช่วยทำให้เราเห็นลักษณะที่แท้จริงของคน
การที่เราจะรักใครสักคน ควรเกิดจากการเรียนรู้จักกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ใช้เวลาอยู่ร่วมกันระยะหนึ่งจนเกิดเป็นความรัก ไม่ใช่เห็นปุ๊บก็รักปั๊บ ความรักแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ แต่โดยส่วนมากมักเป็นความรักที่ฉาบฉวยและไม่มีเหตุผล และอาจนำไปสู่การเลิกร้างกันในที่สุด เราจึงไม่ควรรักด้วยอารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก แต่ควรให้เหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ

เยเรมีย์17:9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า 


สุดท้ายผมขอให้ข้อคิดไว้สำหรับ หนุ่มสาวที่อยู่ในวัยฮอร์โมนว้าวุ่น ที่ว้าวุ่นเพราะอยากจะไขว่ขว้าหาความรัก เพราะความเหงา ความรักที่มาจากความ"เหงา" เหมือนหา"เหา"ใส่หัว เพราะจะทำให้ปวดหัวและเกิดความเศร้าและเหงากว่าเดิม ในวัยเรียนควรจะตั้งใจเรียนและทำหน้าที่ให้ดีสุด รับความรักจากคนในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ เพื่อนๆ ครูอาจารย์ และที่สำคัญรับความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต อย่างสุดจิตสุดใจ รับรองจะฟินแน่ๆเลย

ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ สุขสันต์วันแห่งความรัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น