(ติดตามรายงานข่าวซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ของคุณพ่อกับผู้สื่อข่าว อันนี้มาจากการเรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
(http://hilight.kapook.com/view/76509)
จากการวิเคราะห์ข่าว ผมมีความคิดเห็นดังต่อไปนี้
กรณีนี้มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเยียวรักษาจากพระเจ้า ดังนี้
1.การเยียวยารักษาจากพระเจ้าต้องไม่เป็นวิธีการที่ตายตัว
ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูทรงรักษาชายตาบอดแต่ละคน พระองค์รักษาเขาด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
พระเยซูทรงถ่มน้ำลายบนตาของชายตาบอดและสัมผัสตาเขา(มก.8:22-25)
พระเยซูทรงป้ายโคลนที่ตาของชายตาบอดและให้เขาไปล้างที่สระสิโลอัม(ยน.9:6-11)
เมื่อพระเยซูทรงรักษาประชาชน พระองค์ทรงกระทำในวิธีการที่หลากหลายและไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรจำกัดวิธีการของพระเจ้าในการรับการเยียวยารักษาของพระองค์
ในกรณี้ใช้การเยียวยารักษาโรคแบบการนวดแผนโบราณโดยวิธีการจากกัมพูชา มีท่าที่ใช้ในการนวดหลายท่าที่เป็นอันตราย เช่น การเหยียบทิ้งน้ำหนักไปที่ร่างกายโดยตรง
2.ฤทธิ์อำนาจในการรักษาของพระเจ้าถูกส่งผ่านวัตถุที่จับต้องได้ แต่ไม่ใช่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์
ผู้รักษาโรคด้วยความเชื่อจำนวนมากใช้วัตถุสิ่งของทำการอัศจรรย์ในการรักษา
หินหรือคริสตัลเป็นสิ่งที่ผู้รักษาโรคในความเชื่อแบบนิวเอจ (New Age) นำมาใช้อยู่บ่อยครั้ง บางคนที่กล่าวว่าตนมีความเชื่อแบบคริสเตียนก็ใช้ผ้าหรือแก้วน้ำที่ผ่านการอธิษฐานมาแล้ว ในการเยียวยารักษา พวกเขาใช้ข้อพระคัมภีร์บางข้อสนับสนุนการใช้วัตถุสิ่งของเป็นอุปกรณ์ในการรักษาโรค เช่น
โมเสสใช้งูทองแดงเพื่อรักษาประชาชนที่ถูกงูกัด(กดว.21:8-9)
ครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงใช้โคลนในการรักษาคนตาบอด(ยน.9:6-7)
บางคนได้รับการรักษาเพราะสัมผัสชายเสื้อคลุมของพระเยซู เช่นผู้หญิงโลหิตตก(มธ.9:20-22)
ประชาชนได้รับการรักษาผ่านผ้าเช็ดหน้าที่อัครทูตส่งไปให้(กจ.19:11-12)
11 พระเจ้าได้ทรงกระทำอิทธิฤทธิ์อันพิสดารด้วยมือของเปาโล
12 จนเขานำเอาผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนจากตัวเปาโลไปวางที่ตัวคนป่วยไข้ โรคนั้นก็หายและผีร้ายก็ออกจากคน
หากเราสำรวจตลอดพระคัมภีร์ เราสามารถสรุปได้ว่า เมื่อคนของพระเจ้ากระทำพันธกิจแห่งการเยียวยารักษา จะไม่มีรูปแบบที่ตายตัวหรือพฤติกรรมลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นประจำ
แม้แต่การอธิษฐานวางมือเผื่อคนเป็นการกระทำที่มักจะทำมากกว่าวิธีอื่น แต่ยังคงมีข้อยกเว้นอีกมากมาย (แปลว่าแม้ไม่วางมือ ก็สามารถหายโรคได้)
วัตถุที่จับต้องได้ไม่มีฤทธิ์อำนาจพิเศษภายในตัวมันเอง ยิ่งไปกว่านั้น พระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวเลยว่ามีวัตถุใดที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อประกอบการอัศจรรย์มีฤทธิ์อำนาจพิเศษในตัวของมันเอง
ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไหลผ่านสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่ได้เข้าไปอาศัยหรืออยู่ในสิ่งเหล่านั้น
วัตถุสิ่งของที่ถูกใช้ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจในตัวเอง ต่างก็เป็นเครื่องมือธรรมดาๆ ที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเป็นช่องทางส่งผ่านฤทธิ์เดชของพระองค์
ความเชื่อว่ามีฤทธิ์อำนาจพิเศษอยู่ในวัตถุสิ่งของนั้นมีที่มาจากความเชื่อในอำนาจมืด ไม่ใช่ความเชื่อคริสเตียน เป็นเรื่องความเชื่อในอำนาจลึกลับไม่ใช่ความเชื่อในสิ่งที่เกินธรรมชาติ
วัตถุที่จับต้องได้ถูกใช้ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า
เหตุการณ์ต่างๆที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ วัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ใช้ในการอัศจรรย์ต่างก็อยู่ในการควบคุมของพระเจ้า
พระเจ้าไม่เพียงแต่กำหนดการใช้วัตถุสิ่งของต่างๆ สำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ แต่พระองค์ยังเป็นผู้ตัดสินว่าจะใช้สิ่งเหล่านั้นเมื่อใด
พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าการอัศจรรย์ต่างๆ เกิดขึ้นตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น
1คร.12:9-11
9 และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน
10 และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆและให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆและให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆและให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้
11 สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์
ฮบ.2:4 ทั้งนี้พระเจ้าก็ทรงเป็นพยานด้วย โดยทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และโดยการอิทธิฤทธิ์ต่างๆและโดยของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งทรงประทานตามน้ำพระทัยของพระองค์
ดังนั้น ฤทธิ์อำนาจในการเยียวยารักษาจะถูกมอบไว้หรือนำออกไปก็โดยพระหัตถ์พระเจ้า พระองค์เป็นผู้เดียวที่ทรงควบคุม
ไม่มีฤทธิ์เดชใดๆ อยู่ในวัตถุสิ่งของหรือคนใดคนหนึ่งอย่างเจาะจง แต่ฤทธิ์เดชนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามพระประสงค์ของพระองค์
ดังนั้นคริสเตียนจึงไม่ควรนับว่าสิ่งที่ใช้เป็นวัสดุการรักษาโรคเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์นำมาใช้ในการรักษาโรค
การเยียวยารักษาจะเกิดขึ้นได้ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสัมผัสของบุคคล
การรักษาไม่ได้มาผ่านการสัมผัสเสมอไป เราเห็นในพระคัมภีร์ว่าแม้คนหนึ่งอธิษฐานวางมือและมักจะมีการหายโรคเสมอๆ แต่ไม่ใช่ไม่ได้สัมผัสเลยก็จะไม่หาย
เราเห็นจากตัวอย่างว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เขาก็หาย หรือตัวอย่างบ่าวของนายร้อย เขาก็หาย
ในพระคัมภีร์ เราเห็นว่าการเยียวยารักษาในหลายๆ กรณีเกิดขึ้นเมื่อคนของพระเจ้ารวมทั้งพระเยซูคริสต์สัมผัสแตะต้องผู้ป่วย(มก.16:17-18)
พวกอัครทูตในคริสตจักรสมัยแรกวางมือบนผู้ที่พระเจ้าทรงรักษาโดยการอัศจรรย์(กจ.28:8)
ผู้เชื่อบางคนเชื่อว่า การรักษาโรคโดยความเชื่อขึ้นอยู่กับการวางมือหรือการสัมผัสแตะต้องหรือการมีอิทธิพลส่วนบุคคล
ในพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่ามีหลายคนที่แม้พระเยซูไม่ได้สัมผัสเขาเลย แต่เขาก็ได้รับการรักษาให้หายโรค
การเยียวยารักษาจากพระเจ้าไม่ได้โดยวิธีการที่เหนือธรรมชาติเท่านั้น
พระเจ้าสามารถรักษาเราด้วยวิธีการที่ไม่จำเป็นต้องเกินธรรมชาติเสมอไป
พระคัมภีร์ได้บอกเราหลายตอนเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ
อัครทูตเปาโลเองได้เตือนทิโมธีว่าไม่ควรดื่มแต่น้ำ ควรดื่มเหล่าองุ่นบ้างในที่นี้ คือ “บ้าง” ไม่ใช่ดื่มอย่างมากมายจนเมาเสียสติหรือเป็นผลเสียต่อสุขภาพ
คนบางกลุ่มสอนว่า การแสวงหาการรักษาทางการแพทย์เป็นการแสดงออกถึงการขาดความเชื่อในพระเจ้า พระองค์ปรารถนาที่จะรักษาเราโดยวิธีการที่เหนือธรรมชาติหรือโดยการอัศจรรย์เท่านั้น
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเพื่อจะรับการเยียวยารักษาจากพระเจ้า นอกจากรอคอยและคาดหวังการรักษาอย่างอัศจรรย์จากพระองค์
ความพยายามในฝ่ายธรรมชาติใดๆ ก็ตามเพื่อจะได้รับการเยียวยารักษา ตัวอย่างเช่น การไปพบแพทย์เป็นสัญญาณของความไม่เชื่อและการมีความเชื่อน้อยของเรา
การแสวงหาการรักษาทางการแพทย์เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งถึงความเชื่อที่ตั้งอยู่บนน้ำพระทัยพระเจ้าในการเยียวยารักษา
1ทธ.5:23 อย่าดื่มแต่น้ำอีกต่อไป แต่จงใช้เหล้าองุ่นบ้างเล็กน้อย เพื่อประโยชน์แก่กระเพาะอาหารของท่าน และโรคที่บังเกิดแก่ท่านเนืองๆ
คำสอนที่ไม่ถูกต้องทำให้ชีวิตของคนจำนวนมากพลาดสิ่งที่จำเป็นหรือควรจะได้รับ
เพราะฉะนั้น เราต้องรับผิดชอบต่อคำสอนทุกๆ อย่างและมีความสมดุลในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ความคิดที่สมดุลเกี่ยวกับการเยียวยาการรักษาจากพระเจ้า
คนมากมายรวมทั้งผู้เชื่อมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเยียวยารักษาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าการรักษาจะเกิดขึ้นกับโรคภัยไข้เจ็บทุกๆ กรณี หรือต้องเกิดขึ้นในรูปแบบที่เกินธรรมชาติเท่านั้น
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเยียวยารักษาจากพระเจ้าส่งผลให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตอย่างมาก เนื่องจากความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายเป็นความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจริงและสามารถนำไปสู่ความตายได้หากคนไม่ได้รับการรักษา
ความสมดุลในการเยียวยารักษาโรค
1.การเยียวยารักษาจากพระเจ้ากับการรักษาทางการแพทย์
น้ำพระทัยอันดีเลิศของพระเจ้านั้นคือให้สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมีความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้นพระองค์จึงปรารถนาให้เรามีความยินดีในสุขภาพที่ดี
ความเจ็บป่วยเข้ามาในโลกนี้ผ่านความบาป แต่ขณะที่มนุษย์ได้รับการไถ่แล้วโดยทางนิตินัยให้หลุดพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งสิ้นทันทีที่ได้มารู้จักพระเจ้า เราก็ยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยความเชื่อในทางพฤตินัย
อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับเราคือการให้เรามีสุขภาพที่ดีและมีความสมบูรณ์ เราจึงควรคาดหวังการเยียวยารักษาจากพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ในการเยียวยารักษาคนได้สำแดงออกผ่านหลายวิธี
โดยเหตุที่พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์จึงสามารถใช้สิ่งใดหรือวิธีการใดก็ได้ในการรักษาคนของพระองค์
วิธีทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงรักษามนุษย์ คือโดยผ่านการค้นพบในธรรมชาติซึ่งมนุษย์มีความรู้ในเรื่องเหล่านั้น
การเยียวยารักษาที่เป็นผลของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ การแพทย์จึงเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการเยียวยารักษาโรค
เราควรตระหนักว่า ความรู้และเทคโนโลยีด้านการแพทย์มาจากการทรงสร้าง การค้นพบตัวยาที่ใช้ทางการแพทย์หลายอย่าง เป็นการค้นพบในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้แล้วเท่านั้น โดยเหตุที่พระเจ้าได้ทรงสร้างธรรมชาติ เมื่อมนุษย์ค้นพบรายละเอียดของการทรงสร้างของพระองค์ และค้นความรู้ที่ถูกต้อง พระเจ้าก็สามารถรักษาคนผ่านความรู้นั้นได้
แพทย์สามารถค้นพบหรือคิดวิธีการรักษา แต่การตอบสนองของร่างกายต่อการรักษานั้นๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเรารับการรักษาโดยทางการแพทย์ เราควรอธิษฐานพึ่งพาพระเจ้าถึงผลของการรักษาทุกครั้งด้วย
เปิดใจรับการรักษาโดยวิธีทางการแพทย์
พระเจ้าสามารถใช้ทุกสิ่งเป็นเครื่องมือเพื่อจะรักษาคนของพระองค์
เราไม่ควรเข้าใจผิดว่าการพึ่งพาการช่วยเหลือจากแพทย์เป็นเรื่องที่ขัดกับน้ำพระทัยพระเจ้า
แพทย์สามารถเป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าใช้เพื่อจะรักษาคนได้
ยรม.8:22 ไม่มีพิมเสนในกิเลอาดหรือ ไม่มีแพทย์ที่นั่นหรือ ทำไมอนามัยแห่งบุตรีประชากรของข้าพเจ้า จึงไม่กลับสู่สภาพเดิมได้
มธ.9:12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
หนึ่งในบรรดาสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่รับใช้พระเจ้าและเขียนพระกิตติคุณเล่มหนึ่งขึ้นมาคือ นายแพทย์ลูกา
คส.4:14 ลูกาแพทย์ที่รัก กับเดมาส ฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน
ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ขัดกับน้ำพระทัยพระเจ้าหากเราจะแสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษา การควบคุมของพระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่ง ดังนั้นพระองค์จึงสามารถนำทิศทางหรือให้สติปัญญาแก่แพทย์เพื่อที่จะรักษาโรคของเราได้ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะให้แพทย์มาตรวจดูร่างกายเพื่อจะวินิจฉัยว่าเราได้รับการรักษาแล้วหรือยัง
การดูแลสุขภาพเป็นความรับผิดชอบเบื้องตนของแต่ละคน
บางคนคิดว่าเมื่อเขาเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลเอาใจใส่ทุกสิ่งในชีวิตของตนอย่างเกินธรรมชาติ รวมถึงเรื่องสุขภาพด้วย พวกเขาอาจคิดว่าการดูแลเอาใจใส่เรื่องของตนเองเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเพราะพระเจ้าจะรับผิดชอบหน้าที่นี้
ความเข้าใจผิดนี้ทำให้คนละทิ้งหน้าที่ไว้ให้พระเจ้าเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตน
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าต้องการให้เราเป็นผู้อารักขาที่ดีในการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของเราเอง เพื่อที่เราจะสามารถมีกำลังในการทำสิ่งดีเพื่อแผ่นดินของพระองค์
ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงควรดูแลเอาใจใส่ตัวเองอย่างดี
1คร.3:16-17
16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น
การดูแลสุขภาพส่วนตัวตามพระประสงค์ของพระเจ้า
การมีสุขภาพที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรพระเจ้ามากกว่าการมีสุขภาพที่ไม่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลเอาใจใส่สุขภาพของเรา เพื่อที่เราจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างดี
หากเป็นน้ำพระทัยและแผนการของพระเจ้าที่ให้เราต้องทนทุกข์ผ่านความเจ็บป่วย เราควรยอมรับมันโดยปราศจากความขมขื่น
โดยสรุปกรณีนี้ปฏิเสธการรักษาโรคจากแผนปัจจุบัน โดยไม่ให้รับการรักษา รับประทานยาจากแพทย์ โดยใช้วิธีการรักษาแบบเดียวคือ การนวดโดยอ้างว่าพระเจ้าบอกให้ทำ
การเสียชีวิตมาจากผลของการไม่รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์และสภาพร่างกายที่อ่อนแอ
เป้าประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรคือ ให้เราเชื่อในเรื่องของการดูแลสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ และเรามีความเชื่อเรื่องการทรงนำและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการเยียวยาและรักษาโรค
ในวันนี้เราต้องออกไปทำพันธกิจแห่งการเยียวยา รักษาโรคและการปลดปล่อยผู้คนจากพันธนาการ แต่เราต้องรักษาความสมดุลให้ถูกต้อง
มก.16:15-18
15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
16 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ
17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
18 เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"
เป็นบทความที่ดีมากๆ ครับ อาจารย์
ตอบลบขอบคุณมากครับ สรรเสริญพระเจ้า
ตอบลบ