ผมขออนุญาตเปรียบเทียบความรักเหมือนไข่ ที่มีคุณประโยชน์แต่บางครั้งความรักก็มีความเปราะบาง เหมือนเปลือกไข่ ต้องรักษาความรักเหมือนดูไข่ในหิน ที่ต้องรักษาความรักให้คงอยู่ได้นานเท่านาน
ไม่เป็นรักลวงหลอก เหมือนไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แต่เป็นความรักแบบไข่เจียว คือ คนที่ถูกเจียว คือ คนเดียวที่ถูกใจ
กด Like ให้ใน facebook ความรักที่มาถึงจุดบรรจบคือการแต่งงาน คู่บ่าวสาวต้องคัดเลือกสรรมาอย่างดี เหมือนดังเลือกคัดเกรดไข่ ไม่ใช่ชั่งขายรวมกันเป็นกิโล ในงานแต่งงานคู่บ่าวสาวเข้ามาเกี่ยวดองกันเหมือนไข่เค็มที่ต้องใช้เวลาในการซึมซาบความรักที่ออสโมซิส (osmosis)เข้ามาในเนื้อไข่
งานแต่งงานทำให้ทั้งสองจึงเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังไข่ลูกเขย และไข่ดาว เจ้าสาวและเจ้าบ่าว
ในครั้งนี้ขอนำหลักการจากพระคัมภีร์พระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 ข้อ 22-33 มาหนุนใจ
พระธรรมตอนนี้ เปาโลสอนชาวเอเฟซัสให้ดำเนินชีวิตอย่างถวายเกียรติพระเจ้า เมื่อกลับใจมาเป็นคริสเตียนแล้ว พวกเขาต้องดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งไม่เพียงกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า แต่พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกันด้วย พระวจนะตอนนี้บอกเราถึงสัมพันธภาพใหม่ในพระคริสต์ที่ ในภาพของครอบครัวคือสามีและภรรยา ดังนั้นสามีและภรรยาควรปฏิบัติต่อกันตามหลักการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ดังนี้
“เชื่อฟังด้วยใจภักดิ์ รักด้วยสุดใจ”
ในหลักการนี้ให้บทบาทในครอบครัวที่ทั้งภรรยาและสามีควรจะต้องทำคือ
1.ภรรยา:เชื่อฟัง(สามี)ด้วยใจภักดิ์(Wife:Submit your husband with loyalty)(22-24)
พระวจนะบอกกับภรรยาว่า “จงยอมฟังสามีของตน” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Submit
yourselves unto your own husbands” ซึ่งให้ความหมายถึง การยอมจำนน หรือนบนอบ
เป็นรูปประโยคเป็นประโยคคำสั่ง อันแสดงว่า เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับภรรยาที่ควรทำตาม หากไม่ทำตามย่อมก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา· พี่น้องที่รัก จากสถิติพบว่า หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดการหย่าร้าง หรือการล้มเหลวในชีวิตคู่ คือ การไม่ยอมฟังกันและกัน
บางครอบครัว เมื่อสามีพูด ภรรยาเถียง บางคู่ภรรยาบ่นต่อว่าสามีเป็นชั่วโมง ๆ บางทีด่าไปถึงบุพการี หรือแม้กระทั่งเมื่อภรรยาพูด สามีเถียง สลับกันเถียงไปมา โดยไม่มีใครยอมฟังใคร
และท้ายที่สุด ก็มาถึงคำว่า “สุดที่จะทน” จึงแยกทางกันไป ทิ้งไว้แต่ปัญหาให้ลูกที่ต้องรับผลจากการกระทำของบิดามารดามากที่สุด นี่คือผลจากการไม่ยอมฟังกันและกัน
การที่พระเจ้าบอกให้ภรรยายอมฟังสามีนั้น ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้ามองคุณค่าของภรรยาด้อยกว่าสามี หรือมองว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย แท้จริงพระเจ้าให้คุณค่ากับทุกคนเท่าเทียมกัน
แต่ในความเท่าเทียมไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องลุกขึ้นมานำ
เรื่องสามีภรรยา ไม่ได้เป็นเรื่องว่าใครเหนือกว่าใคร แต่เป็นเรื่องของการทำตามบทบาทที่พระเจ้าให้ไว้ในชีวิตแต่ละคน
สำหรับในครอบครัว พระเจ้าให้บทบาทผู้ชายเป็นผู้นำ และให้บทบาทผู้หญิงเป็นผู้อุปถัมภ์
ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"
คำว่า “อุปถัมภ์” คือ ผู้ช่วยเหลือ เพื่อก้าวกันไปในทางที่สูงขึ้น เจริญขึ้น
การพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายถึง ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่ควรเป็นเท้าที่ก้าวไปเพื่อส่งเสริมให้เท้าทั้งหมดเดินไปได้อย่างดี ภรรยาจึงควรที่จะเชื่อฟังสามี
พระวจนะบอกว่า “ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะว่า “สามี เป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร” การยอมฟังมิได้หมายถึงพระเจ้าสร้างผู้หญิงให้ด้อยกว่าผู้ชาย แต่เป็นเรื่องของบทบาทที่แต่ละฝ่ายต้องตระหนักและกระทำตามบทบาทอย่างถูกต้องเพื่อทำให้ครอบครัวเกิดสันติสุข
1.2 ยอมฟังในสิ่งชอบธรรมทุกประการ (ข้อ 24) Submit to your husband in everything
พระวจนะบอกว่า “คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น” คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์เพราะพระคริสต์นำด้วยความรัก ความชอบธรรมทุกประการ
ดังนั้นเมื่อสามีมีความรัก ความชอบธรรม ภรรยาก็ควรเชื่อฟังทุกประการเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นคนบาปย่อมมีความบกพร่อง ภรรยาจึงต้องพิจารณาว่า สามีนำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการพระวจนะหรือไม่ หากไม่ขัดกับหลักการในพระวจนะก็ควรเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข
พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า ภรรยาควรยอมฟังสามีทุกประการ เหมือนกับที่คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์
คำว่า “ยอมฟัง” ในข้อนี้ ภาษากรีกใช้คำว่า “hupotasso” (ฮูโพทาสโซ) หมายถึง นอบน้อม เชื่อฟัง อยู่ใต้บังคับบัญชา
สิ่งหนึ่งที่เราต้องพิจารณาคือ คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ เพราะ พระคริสต์นำคริสตจักรไปในทางชอบธรรม
คริสตจักรมีหน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาควรยอมเชื่อฟังสามีทุกประการฉันนั้น นั่นคือ ตราบใดที่สามีดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม ไม่ได้บอกให้ภรรยาทำผิดหลักการของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ ภรรยาต้องเชื่อฟังและทำตาม เป็นผู้สนับสนุนที่ดีของสามีเสมอ
ในกรณีที่ภรรยามีสามีที่มิได้เชื่อพระเจ้า ภรรยาก็ต้องยอมเชื่อฟังในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่ไม่ขัดกับหลักการของพระเจ้าทุกประการ ภรรยาควรประพฤติในสิ่งที่ดีงาม เพราะการกระทำเช่นนี้อาจมีส่วนช่วยสามีให้มารู้จักพระคุณความรักของพระเจ้าได้
1 ปต.3:1-2
1 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน เพื่อว่าแม้สามีบางคนจะไม่เชื่อฟัง
พระวจนะของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจเขาได้ โดยไม่ต้องพูดเลยสักคำเดียว
2 คือเมื่อเขาได้เห็นการประพฤติที่นอบน้อมและดีงามของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นภรรยา
นั่นเป็นบทบาทของผู้ที่เป็นภรรยา ส่วนบทบาทของสามี คือ รักภรรยาด้วยสุดใจ
พระวจนะบอกในข้อ 25 ว่า “ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน”
คำว่า “รัก” ในที่นี้เปาโลใช้คำในภาษากรีกว่า agapao “อากาเป้โอ” ซึ่งชี้ไปถึงความรักอันสูงส่งของพระเจ้า เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และเป็นความรักแบบที่แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเสมอให้แก่คนที่เรารักนั้น
ดังนั้น เราอาจจะกล่าวคำว่า"รัก"ได้ในเวลาไม่กี่วินาที แต่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการพิสูจน์คำว่า"รัก" จากชีวิต
คำกล่าวในพันธสัญญาในงานแต่งงานที่ว่า "จะรักกันไปจนถึงซึ่งความตายที่มาแยกจากกัน" (Love Till death do us part) เป็นคำที่มีตวามหมายกล่าวมาจากใจคู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน
Loving You Too Much So Much Very Much Right Now ...
ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนี้ แต่ตลอดไป Now and forever
สามีต้องรักภรรยา อย่าทำให้เสียใจ ไม่ให้น้ำตาออกจาก her eyes
แม้ในการแต่งงานจะมีความรักทั้งสองแบบนี้รวมอยู่ด้วย แต่เปาโลได้ยกความรักของสามีที่มีต่อภรรยาขึ้นไปถึงระดับของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์
พระคัมภีร์ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัยให้สามีรักภรรยาในแบบของพระเจ้า คือ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ความรักที่ปรารถนาจะมอบสิ่งดีที่สุดให้กับภรรยาของตนเสมอ
ไม่ว่าภรรยาจะเป็นอย่างไร ก็ยังรักภรรยา ไม่ว่าภรรยาจะรูปร่างเปลี่ยนไปหรือไม่หลังแต่งงาน ก็ยังรักภรรยา พระเจ้าทรงสอนสามีให้รักภรรรยาอย่างไรบ้าง ดังต่อไปนี้
2.1 รักเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร (ข้อ 25-27) As Christ loves His church
พระวจนะกล่าวว่า “ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร” พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรมากจนสามารถ “ประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใดๆ” สามีก็ควรรักภรรยาเช่นนี้ คือมีใจเสียสละเพื่อภรรยา และสนับสนุนภรรยาให้มีชีวิตที่จำเริญขึ้นในพระคริสต์
2.2 รักเหมือนเป็นกายเดียวกัน (ข้อ 28-31) As one flesh
พระวจนะกล่าวว่า “สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง” โดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีผู้ใดจะเกลียดชังเนื้อหนังตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม สามีก็ควรทำสิ่งนี้แก่ภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร สามีควรเลียนแบบการเลี้ยงดูของพระเจ้า โดยเลี้ยงดูภรรยาไม่ให้ขัดสนทั้งในฝ่ายร่างกาย ฝ่ายจิตใจ และฝ่ายวิญญาณ
คำว่า “ไปผูกพันอยู่กับภรรยา” มาจากภาษากรีกคำว่า “proskollao” (โปร-สโกลลาโอ) หมายถึง “ผูกพันด้วยการสมรส” เป็นภาพของการติดกันอย่างกับกาว เกาะกันติดสนิท นั่นคือ สามีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับภรรยาจนแยกไม่ออกเป็นเสมือนกายเดียวกัน
ปฐก.2:24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
พระคัมภีร์บอกว่าสามีและภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น เมื่อสามีรักร่างกายของตนเองอย่างไร ก็ควรจะรักกายของภรรยาอย่างนั้นด้วย การรักภรรยาเหมือนอย่างรักกายของตนนั้น แสดงออกอย่างไร พระคัมภีร์ตอนนี้บอกไว้ 2 ประการ คือ
ประการแรก เลี้ยงดู
คำว่า “เลี้ยงดู” มาจากภาษากรีกคำว่า “ektrepho” (เอ็กเทรโฟ) หมายถึง บำรุงเลี้ยง ให้เติบโตขึ้น สามีต้องบำรุงเลี้ยงภรรยาของตน เหมือนอย่างที่ตนบำรุงเลี้ยงร่างกายของตนเอง
สามีต้องเลี้ยงดูภรรยา สามีต้องเป็นคนหลักในการจัดสรรสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว
แม้ว่าในสังคมปัจจุบัน สามีภรรยาจำเป็นต้องช่วยกันทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่ไม่ได้หมายความว่า สามีจะผลักภาระของการดูแลจัดสรรสำหรับครอบครัวให้กับภรรยา
สามีควรเลี้ยงดูภรรยาอย่างไร
ในข้อ 29 ตอนท้ายบอกว่า “มีแต่เลี้ยงดู... เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร”
สามีควรเลียนแบบพระคริสต์ในการเลี้ยงดูคริสตจักรของพระองค์
มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่บอกว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ เช่น
ฉธบ.8:16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งปู่ย่าตายายของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย
สดด.23:1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
สามีควรเลียนแบบการเลี้ยงดูของพระเจ้า โดยเลี้ยงดูภรรยาไม่ให้ขัดสนทั้งในฝ่ายร่างกาย ฝ่ายจิตใจ และฝ่ายวิญญาณ
สามีไม่เพียงเลี้ยงดูภรรยาด้านร่างกายเท่านั้น แต่สามีควรจะเลี้ยงดูจิตใจของภรรยาด้วย
สามีจะเลี้ยงดูจิตใจของภรรยาได้อย่างไร ก็โดยการทำให้ภรรยามีความมั่นใจในความรักที่สามีมีต่อภรรยาอยู่เสมอ ทั้งโดยคำพูดและการกระทำ เช่น หมั่นพูดคำว่า “รัก” ต่อภรรยาบ่อย ๆ และแสดงออกถึงความรักเป็นการกระทำ เช่น รับฟังภาระปัญหาของภรรยา หรือการแสดงการเห็นคุณค่าวันสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เป็นต้น
นอกจากสามีจะเลี้ยงดูภรรยาด้านร่างกาย จิตใจแล้ว สามีก็ควรจะเลี้ยงดูภรรยาด้านจิตวิญญาณด้วย
สามีต้องนำภรรยาให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเรียนรู้หลักการของพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น สามีจึงต้องสร้างบรรยากาศในบ้านให้เป็นบรรยากาศฝ่ายวิญญาณในบ้านให้มีการอธิษฐาน การนมัสการ การอ่านพระคัมภีร์ร่วมกันทุก ๆ วัน
สามีมีหน้าที่ทะนุถนอมภรรยาของตน เหมือนอย่างที่ตนทะนุถนอมร่างกายของตนเอง
คำว่า “ทะนุถนอม” มาจากภาษากรีกคำว่า “thalpo” (thal'-po) ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำว่า “เลี้ยงดูลูกของตน” ใน 1 ธส.2:7
ให้ความรู้สึกถึงการเอาใจใส่ดูแลทะนุถนอม ให้ความอบอุ่น เป็นภาพของนกที่ กางปีกออกกกลูกด้วยขนของมัน ในที่นี้หมายถึงการทะนุถนอมด้วยความรักที่อ่อนโยน
สามีควรทะนุถนอมภรรยาอย่างไร
ในข้อ 29 ตอนท้ายบอกว่า “ทะนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร”
สามีควรเลียนแบบพระคริสต์ในการทะนุถนอมคริสตจักรของพระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงทะนุถนอมคริสตจักรของพระองค์ ด้วยการให้ความรักความอบอุ่น การปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย
สามีก็ควรจะทะนุถนอมภรรยาด้วยการปกป้องดูแลทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณด้วยเหมือนกัน
สามีต้องให้ความอบอุ่นใจแก่ภรรยา ไม่ทำให้ภรรยาอยู่ในสภาพที่วิตกกังวล หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
พระเจ้าทรงตั้งสถาบันครอบครัวมาให้กับมนุษย์โดยการจัดสรรของพระองค์
ปฐมกาล 2:21-23
21 แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม
22 ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น
23 ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง { ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย" เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย")
21 แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม
22 ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น
23 ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง { ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย" เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย")
พระจ้าไม่ได้หักกระดูกจากศรีษะผู้ชาย เพื่อให้ผู้หญิงเป็นผู้นำ แต่ให้เป็นคู่คิดคู๋อุปถัมภ์สนับสนุน
พระเจ้าไม่ได้หักกระดูกจากเท้าของผู้ชาย เพื่อให้ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย แต่ให้เป็นคู่เคียงเดินเคียงข้างด้วยกัน
แต่พระเจ้าหักกระดูกจากซี่โครงผู้ชาย เพื่อให้ผู้หญิงจะอยู่ในร่มปีกรับการปกป้องจากผู้ชาย ขอให้คู่รักทั้งสองโอบกอดไปด้วยกันในทุกสถานการณ์
ขอพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในครอบครัวเสมอ ความรักของพระองค์จะนำมาซึ่งความสมบูรณ์
..................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น