28 พฤษภาคม 2558

จดหมายขอบคุณแฟนบอลจากกัปตันเจอร์ราร์ด

สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษเขียน  จดหมายเปิดผนึกผ่านเว็บไซต์สโมสร  ขอบคุณแฟนๆที่ให้กำลังใจตลอดมา

ดาวเตะวัย 34 ปีเตรียมปิดฉากชีวิต 25 ปีกับ"หงส์แดง"รับใช้ทีมชุดใหญ่ทั้งสิ้ง 710 นัดเพื่อย้ายไปค้าแข้งในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกากับแอลเอ กาแล็กซี่ฤดูร้อนนี้

"ถึงแฟนๆทุกคน"

"การบอกลาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย"

"สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลคือส่วนสำคัญยิ่งยวดของชีวิตผมตั้งแต่ 8 ขวบและผมรู้ว่าจะคิดถึงเพียงใด"

"เกมสุดท้ายที่แอนฟิลด์กับคริสตัล พาเลซแล้วก็การลงสนามครั้งสุดท้ายของผมในเกมเยือนสโต๊ค ซฺตี้เป็นช่วงเวลาอันตื้นตันสำหรับครอบครัวและตัวผม"

"แต่ผมประทับใจเหลือเกินกับการเลี้ยงส่งที่ได้รับจากแฟนๆและผมอยากขอบคุณพวกคุณทุกคน เป็นอะไรที่เรียบง่ายเอามากๆและเป็นสิ่งที่ผมจะทะนุถนอมไปตลอดชีวิต"

"การได้รับใช้สโมสรแห่งนี้อย่างยาวนานคือสิทธิพิเศษอันหาที่สุดมิได้"

"ตอนผมเป็นเด็กน้อยเตะบอลไปเรื่อยเปื่อยบนถนนไอร่อนไซด์ย่านฮุยตั้นสิ่งเดียวที่ผมต้องการมาตลอดคือการเล่นให้ลิเวอร์พูล ผมฝันถึงการสวมเสื้อตัวนั้นแค่เพียงสักครั้ง"

"ผมไม่เคยนึกฝันว่าจะเข้าใกล้การบรรลุเป้าหมายที่ว่านั้นผมจึงภาคภูมิใจอย่างที่สุดเมื่อได้มองย้อนกลับไปยังอาชีพค้าแข้งในทีมชุดใหญ่ทั้ง 710 นัดตลอด 17 ปี"

"ผมรักทุกนาทีที่ได้ลงเล่นเพื่อเหล่ากองเชียร์ที่ดีที่สุดในโลก"

"เป็นการผจญภัยอันน่าอัศจรรย์มีทั้งช่วงเวลาอันรุ่งเรืองเสียดฟ้าและตกต่ำแทบจมดินกระนั้นตั้งแต่ต้นจนจบพวกคุณให้การสนับสนุนผมอย่างสุดวิเศษซึ่งผมจะไม่มีวันลืม"

"ช่วงรุ่งเรืองนั้นหอมหวานยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีกเพราะพวกเขาบรรลุเป้าหมายร่วมกับสโมสรแห่งวัยเด็กของผม เราแบ่งปันช่วงเวลาอันแสนพิเศษเหล่านั้นด้วยกัน"

"แน่นอนหมุดหมายแห่งชีวิตค้าแข้งของผมคือ 10 ปีก่อนในอิสตันบูล นั่นแหละคืนที่ดีที่สุดแห่งชีวิตผม ตอนผมชูถ้วยแชมป์ยุโรปไม่มีใครบนโลกใบนี้ภาคภูมิใจไปกว่าผมอีกแล้ว"

"การนำถ้วยใบนั้นมามอบให้พวกคุณช่างเปี่ยมความหมายเหลือเกิน เหล่ากองเชียร์มีส่วนใหญ่หลวงที่ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการคัมแบ็คอันลือลั่นกับเอซี มิลาน ผมจะไม่มีวันลืมว่าพวกเขาช่วยให้เราลุกขึ้นมาจากฝันร้ายในครึ่งแรกได้อย่างไร"

"ผู้คนมักถามถึงความกดดันบนสองบ่าของผมจากการรับใช้ลิเวอร์พูลแต่ผมไม่เคยมองเป็นภาระเลย มีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงแต่ผมรักและโอบกอดมันไว้เสมอมา"

"เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นกัปตันของสโมสรแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ผมทุ่มเทอย่างที่สุดและพยายามแสดงให้เห็นอยู่เสมอ"

"ผมโชคดีมากที่ได้ลงเล่นเคียงข้างนักเตะและผู้จัดการทีมเจ๋งๆหลายคนซึ่งต่างช่วยให้ผมยกระดับและพัฒนา ผมภูมิใจกับสิ่งที่ได้ตอบแทนให้ไม่ว่าจะเป็นความเสียสละ, การอุทิศตน และความภักดีตลอดหลายปีมานี้"

"แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมรู้สึกโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่ได้มีโอกาสลงเล่นต่อหน้าแฟนๆกลุ่มนี้มายาวนานเหลือเกิน"

"ลิเวอร์พูลคือบ้านของผมและผมรักเมืองนี้แต่ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มบทใหม่ของผมกับการเตรียมย้ายไปอเมริกา"

"ผมอยากลงเล่นทุกสัปดาห์ในอีกไม่กี่ปีสุดท้ายของอาชีพค้าแข้งและผมกำลังตั้งตาคอยเริ่มความท้าทายครั้งใหม่กับลอส แองเจลิส กาแล็กซี่ในศึกเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์"

"2-3 ปีข้างหน้าผมจะไม่อยู่แล้วแต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดความสัมพันธ์อันยาวนานของผมกับลิเวอร์พูล ผมก็เป็นกองเชียร์คนหนึ่งมาตลอดชีวิตและจะเป็นเช่นนั้นต่อไป"

"ผมหวังว่าจะได้โอกาสกลับมารับใช้สโมสรอีกครั้งสักวันหนึ่ง ผมรู้สึกนะว่ายังทำประโยชน์ได้กับบทบาทอื่นในอนาคต"

"แต่วันนี้เป็นเรื่องของการมองย้อนกลับไปและกล่าวคำว่าขอบคุณต่อแฟนๆสำหรับกำลังใจอันสุดยอดที่พวกคุณมอบให้ผมตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา พวกคุณช่วยให้ผมเติมเต็มความฝันครั้งแล้วครั้งเล่าและมอบความทรงจำที่ผมจะไม่ขอแลกกับอะไรทั้งนั้น"

"ขอบคุณครับ"

"สตีเว่น เจอร์ราร์ด"

ข้อมูลจาก http://www.soccersuck.in.th/boards/topic/1231984 


Steven Gerrard has published a heartfelt letter of thanks to Kopites in today's Liverpool Echo ahead of his departure this summer – here is the text from the Reds captain in full…
To all my fans,
Saying goodbye hasn't been easy.
Liverpool Football Club has been such a massive part of my life since I was eight years old and I know how much I'm going to miss it.
It's been an emotional time for my family and I with my final game at Anfield against Crystal Palace and then my last appearance away to Stoke City.
But I've been blown away by the send-off I've been given by the supporters and I'd like to thank every one of you. It's been very humbling and it's something I'll cherish for the rest of my life.
It's been an absolute privilege to represent this football club for so long.
When I was a kid, kicking a ball around in Ironside Road in Huyton, all I ever wanted to do was play for Liverpool. I dreamed of pulling that shirt on just once.
I never thought I'd get close to achieving that so to be able to look back on a first-team career of 710 appearances spanning 17 years I'm immensely proud.
I've loved every minute of playing for the best supporters in the world.
It's been an amazing journey. There have been some glorious highs and some crushing lows, but throughout you have given me fantastic support and I'll never forget that.
The highs have been all the sweeter because they have been achieved with my boyhood club. We have shared those special moments together.
Of course the pinnacle of my career arrived in Istanbul 10 years ago. That was the best night of my life. When I lifted the European Cup, there was no prouder man on the planet.
It meant so much to me to deliver that trophy for you. The supporters played such a big part in helping to inspire that famous comeback against AC Milan. I'll never forget how they helped to lift our chins off the floor after that nightmare first half.
People have often asked me about the pressure on my shoulders to deliver for Liverpool but I've never seen that as a burden. There's been huge responsibility on me but I've always loved and embraced that.
It's been a massive honour to be captain of this club for so long. I've always given my best and tried to lead by example.
I've been very fortunate to play alongside some incredible players and for managers who have all helped me to improve and develop. I'm proud of what I've given back - the sacrifices, the dedication and the loyalty over the years.
But more than anything I feel incredibly lucky to have had the opportunity to play in front of these fans for so long.
Liverpool is my home and I love this city. But I believe the time is right to open a new chapter as I prepare to move to America.
I want to keep playing every week in the final few years of my career and I'm looking forward to embarking on a new challenge with Los Angeles Galaxy in the MLS.
I'll be away for the next couple of years but this isn't the end of my long association with Liverpool FC. I've been a supporter all my life and that will continue.
I hope to get the opportunity to come back and serve the club again one day. I feel that I can make a contribution in some role in the future.
But today is all about looking back and saying thank-you to the fans for the magnificent support you have given me over the past two decades. You have helped me to fulfil my dreams over and over again and given me memories I wouldn't swap for anything.
Thank you.
Steven Gerrard
http://www.liverpoolfc.com/

20 พฤษภาคม 2558

มุ่งมั่นเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (Strive for Unity)


มุ่งมั่นเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (Strive for Unity)
โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์( Asher Intrater)


ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมีลำดับความสำคัญเป็นสิ่งแรกเสมอสำหรับอาณาจักรของพระเจ้า (เศคาริยาห์ 14:9) การทำงานที่มุ่งไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นไม่เคยง่าย มันเกี่ยวข้องกับการเอาชนะอุปสรรค เหมือนว่ายทวนกระแสน้ำ และการเชื่อมโยงกันเพื่อแก้ไข ความแตกต่างระหว่างกัน การต่อสู้กับมารซาตาน (ลูกา 11:16-17)มันคือความเจ็บปวดเพราะมันเกี่ยวข้องกับการกลับไปให้ความใกล้ชิดกับผู้ซึ่งเคยทำเราเจ็บ แต่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันคือสิ่งที่จำเป็นและเป็นผลดีต่อทุกคนพวกเราต้องมุ่งมั่นเพื่อความเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน

ในหลายๆฉบับพระคำภีร์แปลภาษาอังกฤษของเอเฟซัส 4:3 นั้นให้ความหมายเกี่ยวกับว่าทำอย่างไรถึงจะรักษา ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ 


ใช้ความตั้งใจเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ (KJ); ให้ความขยัน....(AS); ตั้งใจกระทำเปอย่าง แข็งขันเพื่อสงวนมันไว้ ...(CE); กระตือรือร้นที่จะรักษา..(ES); ทำงานอย่างตั้งใจเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่ง...(NL); มุ่งมั่นตั้งใจจริงเพื่อปกป้องความเป็นหนึ่งเดียวกัน...(Amp).

ส่วหนึ่งของความพยายามเพื่อไปถึง ความเป็นหนึ่งเดียวกันคือ“การสื่อสาร” ต้องมีการสื่อสาร มากมายเพื่อสมานความแตกต่างทางความคิดเห็น การสื่อสารอาจน่าเหนื่อยหน่าย แต่การสนทนาบนพื้นฐาน พันธสัญญาเป็นการงานเพื่อมุ่งมั่นไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความบาปนั้นเป็นสาเหตุก่อให้เกิดความเข้าใจผิด กันและกันและความสับสนวุ่นวาย เสมือนพวกเรากำลัง มุ่งมั่นที่จะลบล้างคำสาปแช่งที่เกิดจากการสร้าง หอคอยบาเบล

อีกเหตุผลหนึ่งคือ มนุษย์มีความทะเยอทะยาน คนหลายคนต้องการที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าแต่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ดังนั้น พวกเขาทั้งหลายจึงตีตัว แยกจากคนอื่นๆ ความทะเยอทะยานอย่างมุ่งมั่นนี้ขัดขวาง ความมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเอกภาพ เมื่อมีความเหย่อหยิ่ง อวดตัวและความทะเยอทะยาน การแยกจากและ การแบ่งแยกกันคือผลลัพท์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง (สุภาษิต 18:1)

ความจำเป็นของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  (
Demand for Unity)

เมื่อเร็วๆนี้ เราได้เห็นว่ามันยากขนาดไหนกว่าที่นายก เนทันยาฮู จะสามารถรวบรวมพันธมิตรเพื่อก่อตั้ง รัฐบาลผสม ถ้าไม่มีความสามัคคีกันก็ไม่สามารถ เกิดรัฐบาลผสมได้ ถ้าไม่มีรัฐบาลผสม การจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่เกิดขึ้น เท่ากับว่ารัฐบาลของเนทันยาฮู ขึ้นอยู่กับความสามัคคีกันระหว่างพรรคการเมือง เช่นกัน อาณาจักรของเยชูวาห์ (พระเยซูคริสต์ในภาษาฮีบรู) ก็จำเป็นต้องพึ่งพาความความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระกายของพระเมสสิยาห์เป็นภาพคู่ขนานกันระหว่างชนชาติอิสราเอลและพระกายของพระเมสสิยาห์ เฉกเช่น รัฐบาลผสมต้องการความสามัคคีท่ามกลางผู้นำทางการเมืองทั้งหลาย เช่นกัน อาณาจักรของเยชูวาห์ก็ต้องการ ความสามัคคีท่ามกลางผู้นำฝ่ายวิญญาณ (นี่เป็นเหตุว่า ทำไมการเรียกให้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในเอเฟซัส4:3 นั้นต่อเนื่องมาด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับผู้นำในรูปแบบ พัธกรทั้งห้าเพื่อนำความเป็นเอกภาพและการเติบโตใน เอเฟซัส 4:11-15)

มาร่วมกัน  (
Come Together)
หลายคำในภาษาฮีบรูสำหรับ“การประชุม”เช่นคำว่า “Kenes เคเนส” คำว่ารัฐสภา “Knesset เคเนสเซท” คำว่าคริสตจักร “Kn'ssiah” และคำสำหรับเรียก สุเหร่ายิว “Bet Knesset” ทุกคำมาจากรากศัพท์ เดียวกันในภาษาฮีบรู כנס ซึ่งหมายถึง "การนำเข้าสู่ ข้างในและรวมเข้าด้วยกัน"ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันสำหรับอาณาจักรพระเจ้าถูกพบในคริสตจักร (ยอห์น 17:23) ถูกพบในอิสราเอล (เอเสเคียล37:22) และก็พบได้ระหว่างคริสตจักรและอิสราเอล (เราจึงพบว่า ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของ เอเฟซัส 4:3 ถูกนำหน้าด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างคนยิวและชาวต่างชาติใน เอเฟซัส 12:14-16; 3:3-6) เช่นเดียวกันที่พันธสัญญาระหว่างชายกับหญิงทำให้กำเนิดบุตรพันธสัญญาความเป็นเอกภาพระหว่างอิสราเอลและคริสตจักรก็ทำให้กำเนิดอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกนี้ (โรม 11:12-26)ขอให้เรามีความกระตือรือร้นและ แข็งขันเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณในทุกๆขอบข่ายของความสัมพันธ์: จากส่วนที่มีความเป็น ส่วนตัวมากที่สุด (การแต่งงาน) ไปสู่ส่วนที่มี ความเป็นสากลที่สุด (อิสราเอลและคริสตจักร) ไม่ว่าจะต้องพยายามขนาดไหนหรือต้องพบกับความทุกข์ยากขนาดไหนขอให้พวกเรามุ่งมั่นเพื่อสิ่งดีที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับอาณาจักรของพระเจ้า

http://reviveisrael.org/strive-for-unity/

Strive for Unity

Unity is always a priority for the kingdom of God (Zechariah 14:9). Working for unity is never easy. It involves overcoming opposition, going against the stream, bridging differences between people, fighting against the devil (Luke 11:16-17). It is painful, because it involves getting close to people who have hurt us. Yet unity is necessary for the good of everyone.
We must strive for unity. Here are a few translations of Ephesians 4:3 about how to keep the unity of the Spirit:
Endeavoring to keep the unity of the Spirit (KJ); Giving diligence… (AS); Make an effort to preserve… (CE);Eager to maintain… (ES); Work hard to live together as one… (NL); Strive earnestly to guard the oneness… (Amp).
Part of the effort of reaching unity is communication. It takes much communication to work out differences of opinion. Communication can be exhausting. Yet covenantal dialogue and discussion is the work of coming to unity. Sin causes misunderstanding and confusion. We are striving to reverse the “curse” of the tower of Babel.
Another reason is men’s ambition. Many people want to get ahead for their own benefit, so they separate from others. Striving for ambition prevents one from striving for unity. Where there is pride and ambition, separation and division are often the result (Proverbs 18:1).

Demand for Unity

Recently, we have seen how difficult it is for PM Netanyahu to gain unity to establish a coalition for his government. If there is no unity, there will be no coalition; if there is no coalition, there will be no government. As Netanyahu’s government depends on unity of the parties, so does Yeshua’s kingdom depend on unity in the Body of Messiah.
There is a parallel between the nation of Israel and the Body of Messiah. As the government coalition demands unity among the political leaders, so does Yeshua’s kingdom demand unity among spiritual leaders. (This is why the call to unity of Ephesians 4:3 is followed by the “five-fold” leadership and its role in bringing the Body to unity and maturity in Ephesians 4:11-15.)

Come Together

The Hebrew words for conference Kenes, parliament Knesset, church Kn’ssiah and synagogue Bet Knesset all come from the same root כנס – meaning “to bring inside, to gather together.”
Unity for God’s Kingdom is found within the Church (John 17:23), within Israel (Ezekiel 37:22), and also between the Church and Israel (this is why the unity of Ephesians 4:3 is preceded by the unity of Jew and Gentile in Ephesians 2:14-16; 3:3-6). As the covenant unity between man and woman gives birth to a child, so does the covenant unity between Israel and the Church give birth to the kingdom of God on earth (Romans 11:12-26).
Let us be eager and diligent for unity of the Spirit in all spheres of relationships: from the most individual (marriage) to the most international (Israel and the Church). No matter how much effort or pain it involves, let us strive for the greater good of the kingdom of God.

16 พฤษภาคม 2558

จดหมายหัวข้ออธิษฐานจากสถานทูตคริสเตียนนานาชาติกรุงเยรูซาเล็ม ประจำประเทศไทย

สถานทูตคริสเตียนนานาชาติกรุงเยรูซาเล็ม ประจำประเทศไทย
จดหมายหัวข้ออธิษฐาน  อิสยาห์ 62- ประจำเดือน พฤษภาคม2015

เรียนหุ้นส่วนอธิษฐานทุกท่าน

เรากำลังอยู่ในระหว่างสองช่วงเทศกาลพิเศษคือปัสกาและเพนเทคอส เมื่อเราย้อนระลึกช่วงเวลาในหลายครั้งที่พระเยซูปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสาวกของ พระองค์หลังการฟื้นคืนพระชนม์ พระคัมภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์นี้อย่างน้อยสิบครั้ง เริ่มจากนางมารี มักดาลา (ยน. 20:11-18) และจบลงที่อาจารย์เปาโล ( กจ. 9; 1 คร. 15:3-8) ผ่านทางเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อนี้เองที่พวกเขาได้เป็นพยานถึงการฟื้นคืน พระชนม์ของพระองค์ และได้ป่าวประกาศเป็นจริงว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
(รม.1:4) ทั้ง ชีวิตและพันธกิจของพระเยซูเต็มไปด้วยสง่าราศี แต่ถึงกระนั้นก็จบลงด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนกางเขน พระองค์ถูกทำให้เสียโฉมจนแทบจะจำไม่ได้ สาวกของพระองค์สิ้นหวังและหวาดกลัว หลบซ่อนอยู่หลังประตู แต่เมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์พร้อมกับพระวรกายใหม่- เต็มไปด้วยสง่าราศีและนิรันดรกาล สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจและเสริมกำลังผู้ติดตามของพระองค์ จนพวกเขากล้าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเป็นพยานต่อไป เพราะพวกเขาเองก็ได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้รับร่างกายอมตะเช่นพระองค์ในวัน ข้างหน้าเหล่าอัครทูตได้ป่าวประกาศว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นขึ้นมา อย่างที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ล่วงหน้า ( กจ. 2:29-32; กจ. 13:34) พวกเขาอ้างอิงสดุดี 16:10 ที่กล่าวว่า เพราะพระ‍องค์มิ‍ได้ทรงมอบข้า‍พระ‍องค์ไว้กับแดนคน‍ตายหรือให้ ผู้จง‍รัก‍ภักดีของพระ‍องค์ต้องเห็นหลุม‍มรณะนั้น
มีพระคำจากพระ คัมภีร์เดิมหลายข้อที่กล่าวถึงการทนทุกข์ของพระเมสสิยาห์ (อสย. 53, สดด. 22) และ ธรรมชาตินิรันดร์ ของพระองค์ และการครองราชนิรันดร์ (ดนย. 2, 7; อสย. 9:6-7; มคา. 5:2) แต่จริงๆแล้วมีไม่กี่ข้อของแนวทางคำพยากรณ์ ที่พูดอย่างชัดเจนว่าพระองค์จะฟื้นจากความตาย (ดนย. 9:2 สดด. 16:10)
แม้ แต่พระเยซูเองก็ได้พูดถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ด้วยการบอกเป็นนัยสามครั้งในปริศนาเกี่ยวกับสามวันของโยนาห์ในท้องปลาวาฬ แต่ยิ่งกว่านั้นการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์สำคัญอย่างมาก เพราะนั้นคือหัวใจหลักของความเชื่อคริสเตียน พลังอันยิ่งใหญ่และคำสัญญาแห่งการฟื้นคืนของพระองค์นั้นคือการที่พระองค์มี ชัยชนะเหนือพลังแห่งความตายเพื่อพวกเรา และเมื่อเราได้พบพระองค์ เราก็จะเป็นเหมือนพระองค์ (1 ยน. 3:2) อาเมน!
ที่น่าสนใจคือ มีเส้นขนานระหว่างความตายกับการเป็นขึ้นมาของพระเยซู และการเนรเทศกับการรื้อฟื้นของอิสราเอลที่เราได้เห็น อย่างเช่นที่พระเยซูอยู่ในอุโมงค์สามวัน โฮเชยาได้พยากรณ์ว่าอิสราเอลจะถูก “ ฉีก และ “ โบยตี แต่ “ อีกสองวันพระ‍องค์จะทรงให้เราฟื้น พอ‍ถึงวัน‍ที่สามจะทรงยกเราขึ้น เพื่อเราจะดำรงอยู่เฉพาะ‍พระ‍พักตร์พระ‍องค์” (ฮชย 6:1-2) ในนิมิตกระดูกแห้งของเอเสเคียล เขาได้พูดถึงอิสราเอลอย่างชัดเจนว่าเป็นชนชาติที่ขึ้นมาจากหลุมศพและกลับมีชิวิตขึ้นมาใหม่ (อสค. 37)
จริงๆ แล้ว มีข้อพระคำที่พยากรณ์ถึงการรื้อฟื้นของอิสราเอลในวันสุดท้ายนั้นไว้มากมาย ยิ่งกว่านั้นอีกคือการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเมสสิยาห์ และโดยการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์เดิม อาจารย์เปาโลสามารถที่จะกล่าวอย่างมั่นคงว่าการรื้อฟื้นของอิสราเอลนั้นจะ เป็นเหมือน “ชีวิตหลังความตาย (รม. 11:15) ช่างเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ ธรรมดาจริงๆ! การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูถูกพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแต่มันคือความจริงที่ถูก ซ่อนไว้ ในภายหลังกลายเป็นความประหลาดใจที่ใหญ่ยิ่งแก่เหล่าสาวก และได้ขจัดความสงสัยและความกลัวไปจากพวกเขา เป็นเหตุให้พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าและครอบครองโลกนี้
ในขณะเดียวกัน การรื้อฟื้นของอิสราเอลได้ถูกสัญญาไว้ทุกที่ในพระคัมภีร์ และไม่ได้มีการซ่อนเร้นใดๆ พระเจ้าได้เขียนไว้อย่างชัดเจน นี่หมายความว่าเราทุกคนต้องรับรู้ และจะไม่มีใครบอกได้ว่าเขาไม่รู้ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เบื่องหลังสิ่ง นี้
และนั่นหมายความว่าเมื่อเรายืนเคียงข้างอิสราเอล เรากำลังทำงานร่วมกับพระเจ้าในการทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในวันของ เรา เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถทุ่มทั้งหัวใจ ของประทาน และทรัพยากรของเราเพื่อสิ่งนี้ เรายังสามารถอธิษฐานด้วยความมั่นใจอย่าง เต็มเปี่ยมและคาดหวังที่พระเจ้าจะกระทำให้สำเร็จในทุกสิ่งที่พระองค์เตรียม ไว้เพื่อรื้อฟื้นอิสราเอล ทั้งในชนชาติอิสราเอลและประชากรยิว และในคริสตจักรเช่นกัน ฤทธิ์อำนาจเดียวกันที่นำชีวิตมาสู่อิสราเอลนั้นอยู่กับเรา และทุกๆคนที่หวังใจในพระคริสต์
ขออวยพรจากเยรูซาเล็ม

เดวิท พาร์สันส์ (David Parsons) 

ICEJ Media Director 
ผู้อำนวยการแผนกมิเดีย ของสถานฑูตคริสเตียนนานาชาติ ประจำกรุงเยรูซาเล็ม

ขอบคุณน้องมิ้น(นาดารา)แปล และอ.กอล์ฟ(วรณี) ตรวจสอบ

Dear Prayer Partners,

We are currently in that special season between Passover and Pentecost, when we reflect on the repeated times that Jesus appeared to his disciples in his resurrected body. There are at least ten such occasions recorded in Scripture, beginning with Mary Magdalene (John 20:11-18) and concluding with Paul (Acts 9; 1 Corinthians 15:3-8). Through these incredible experiences they became witnesses of his resurrection, which they declared to be proof that he was the Son of God (Romans 1:4).
The life and ministry of Jesus was glorious, yet it ended with him nailed to a cross, so marred and disfigured one hardly dared to look upon him. His disciples were left discouraged and afraid, hiding behind locked doors. But then he arose from the dead clothed with a new body – glorious and eternal. This inspired and energized his followers so much they risked their lives to tell of it far and wide, since they too were promised this same immortal body one day.
The apostles also proclaimed that Jesus had died and rose again just as the prophets foretold (Acts 2:29-32; Acts 13:34). In making this claim they primarily cited Psalm 16:10, which states: “For You will not leave my soul in Sheol, nor will You allow Your Holy One to see corruption.”
Now there are many Old Testament references to the suffering Messiah (Isaiah 53, Psalm 22, etc.), and also to His eternal nature and everlasting reign (for example, Daniel 2 and 7; Isaiah 9:6-7; Micah 5:2). But there are actually very few prophetic passages which state outright or imply that he would arise from the dead (Daniel 9:26 and Psalm 16:10 are two).
Even Jesus offered mostly veiled references to his coming resurrection, hiding it on three separate occasions inside a riddle about Jonah being three days in the belly of a whale. Yet his resurrection is so important, it lies at the heart of our Christian faith. The great power and promise of his resurrection is that he triumphed for our sake over the power of death. And when we see him, we shall be like him (1 John 3:2). Amen!
Interestingly, there are a number of parallels between the death and resurrection of Jesus, and the exile and restoration of Israel now playing out in our day. Just as Jesus was in the grave three days, Hosea prophesied that Israel would be “torn” and “stricken”, but “after two days He will revive us; on the third day He will raise us up that we may live in His sight” (Hosea 6:1-2).
In his vision of the valley of dry bones, Ezekiel also explicitly speaks of Israel as a nation rising up out of its “graves” and coming to life again (Ezekiel 37).
In fact, there are numerous prophetic passages dealing with the last-days resurrection of Israel – many more than about the resurrection of the Messiah. And based on these Old Testament passages, Paul was able to firmly declare that Israel’s restoration will be nothing less than “life from the dead” (Romans 11:15).
So what a remarkable contrast! The resurrection of Jesus was foretold but it was a hidden truth that in the end came as a great surprise to his followers, yet it so lifted them from their doubts and fears they were propelled to go forth and conquer the world.
On the other hand, the restoration of Israel is promised everywhere in Scripture, and there is nothing hidden about it. God spells it out with precision and clarity. This means we are all accountable for it, and no one can say they did not know His hand was behind it.
This also means that when we stand with Israel, we are working alongside God to accomplish an amazing divine purpose in our day. So we can throw all our heart, talents and resources into it.
It also means that we can pray with great confidence and expectancy for God to accomplish all that He intends in Israel’s restoration – in the Jewish nation and people as well as in the Church. The same resurrection power is at work in our day to bring life to Israel, and to all whose hope is in Christ!
Blessings from Jerusalem!
David Parsons
David Parsons
ICEJ Media Director

08 พฤษภาคม 2558

ความหมาย 2 ด้านของคำว่า ความรอด (Double Meaning of Salvation)

ความหมาย 2 ด้านของคำว่า ความรอด (Double Meaning of Salvation)
โดย  อาเชอร์ อินเทรเตอร์   


เยชูวาห์ (Yeshua ישוע = นามพระเยซูคริสต์ ในภาษาฮีบรู) แสดงความหมายของคำว่า Y'shuah ישועה 
ซึ่งแปลว่า ความรอด
แนวความคิดเรื่องความรอดในพระคัมภีร์ มีความหมายถึงสองด้านด้วยกัน คือ ด้านหนึ่งเป็นเรื่องการสู้รบ
และอีกด้านหนึ่งเป็นฝ่ายวิญญาณ ซึ่งความหมายทั้งสองนั้นต่างก็เป็นความจริงด้วยกันทั้งคู่ ผู้เผยพระวจนะ
ชาวฮีบรูมักจะเน้นว่า ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น พระเจ้าก็ยังคงแทรกแซงทั้งทางด้านการทหารและแทรกแซง
ชาติต่างๆ เพื่อช่วยชนชาติอิสราเอลจากหายนะทั้งปวง อัครฑูตเมสเสียยานิคผู้เป็นสาวกติดตามพระเยซู
ในยุคแรกๆ กลับเน้นในเรื่องนิรันดร์กาลฝ่ายวิญญาณ และการให้อภัยของพระเจ้าเพื่อช่วยเราทั้งหลาย
จากความบาปและความตาย 
แนวความคิดที่แบ่งเป็นสองขั้วเช่นนี้สามารถก่อให้เกิดความสับสนเมื่อพยายามถกเถียงหาข้อสรุปเกี่ยวกับ
เรื่องความรอด คำถามที่ว่า “คุณได้รับความรอดแล้วหรือยัง” แทบจะไม่มีความหมายในภาษาฮีบรูสมัยใหม่เลย    เมื่อชนชาติอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์  พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรอดทางการสู้รบ
อันสุดอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาพวกเขา โดยการกวาดล้างศัตรูของพวกเขาลงทะเลแดงไป แต่พวกเขา
กลับเริ่มต้นทำบาปหลังจากนั้นอีกทันที จึงจำต้องจาริกไปในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี จนคนทั้งชั่วอายุ
นั้นได้ตายจากไป (โครินธ์ 10:1-13)
ส่วนความรอดในแง่มุมของการสู้รบระดับชาตินั้นได้มีความเกี่ยวโยงมากขึ้นในยุคปัจจุบัน 
ด้วยอิสราเอลได้ กลับมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของตน แต่กลับถูกท้าทายด้วย
การถูกไล่ล่าตามทำลายจากกลุ่มมุสลิมญิฮาดในทุกทิศทุกด้าน

ปัสกาและความรอด

มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องปัสกาตั้งแต่อิสราเอลได้กลับมารวมเป็น
ชาติอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงเวลาหลายปีของการเร่ร่อนพลัดถิ่น  ปัสกาเป็นเพียงพิธีทางศาสนาในช่วงแรก เป็นสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต แต่ในปัจจุบันเทศกาลปัสกาเป็นวันหยุดประจำชาติ 
ที่ทั้งผู้ที่เคร่งศาสนาและไม่เคร่งศาสนาต่างเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ในเวลาเดียวกัน  บางคนมองวันหยุด
นี้เป็นวันหยุดประจำชาติ  บางคนก็มองว่าเป็นเรื่องของศาสนา บางคนก็มองว่าเป็นทั้งสองอย่าง 
สังคมอิสราเอลในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน คนหนุ่มคนสาวชาวยิวกล้าที่จะตั้งคำถาม
ที่ค่อนข้างรุนแรงถึงความหมายของสัญญาลักษณ์ต่างๆของชาวยิว ที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รุนแรงทางด้านการเมืองมากมาย ทั้งในกลุ่มซ้ายหรือกลุ่มขวา  ชุมชนด้านศาสนาในอิสราเอลได้เห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นศาสนานิยม การปฏิวัติการปกครอง 
(the Shas revolution) กลุ่มขบวนการเมสเสียยานิคยิวชาบัด (the Chabad messianism) 
และสังคมรุ่นใหม่ที่นิยมนับถือศาสนาหลากหลาย 
ถึงแม้กลุ่มเมสเสียยานิคยิวจะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่สังคมอิสราเอลในภาพรวมก็เริ่มให้ความสนใจและพยายามที่จะเข้าใจกลุ่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ 
พระเจ้าได้ตั้งปัสกาขึ้นเพื่อเป็น “เวลาแห่งการนัดหมาย” เพื่อรำลึกถึงการปลดปล่อยจากอียิปต์ และเพื่อ
ระลึกถึงการตายและการเป็นขึ้นมาของเยชูวาห์(พระเยซูคริสต์ในภาษาฮีบรู) ที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันกับ
เทศกาลปัสกา  ปีแล้วปีเล่าที่ผ่านไป ผู้คนก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสัญลักษณ์นิยม ชาตินิยม และการเป็น
ยิวที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปัสกาอย่างไร และในมุมมองทางด้านประวัติศาสตร์ของเหล่าสาวกของพระเยซูก็เป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงเช่นเดียวกัน

ความรอด – เหรียญสองด้าน

มุมมองที่แตกต่างกันสองด้านในเรื่อง  "ความรอด" จะมารวมกันในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะเสด็จ
กลับมา ความรู้เกี่ยวกับพระเยซูจะเพิ่มมากขึ้น และความเร่งด่วนของการแทรกแซงด้วยกองทัพแห่งพระเจ้า
เพื่อชนชาติอิสราเอลก็จะปรากฏเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน คำพยากรณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับการ
เสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูจะเล็งไปยังทั้งการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณและการแทรกแซงทางกองกำลังทหาร
  "พวกอิสราเอลทั้งปวงก็จะได้รับความรอด" (โรม 11:26) ก็จะเกิดขึ้นตามความหมายทุกตัวอักษร
การฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณบนแผ่นดินอิสราเอลนี้จะดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับเสียงร้องทูลต่อพระเจ้า เพื่อ
ปลดปล่อยจากการทำลายล้างด้วยกองทัพแห่งพระเจ้า พระเยซูและเหล่าฑูตสวรรค์ในสวรรค์สถานจะลง
มาเพื่อช่วยกู้อิสราเอลจากการถูกโจมตีทางทหาร และในเวลาเดียวกันพระองค์ก็จะนำความรอดนิรันดร์มา
ด้วย การโจมตีจากบรรดาประชาชาติ การฟื้นฟูในอิสราเอล และการแทรกแซงด้วย “กองทัพ” แห่งพระเจ้า

 ล้วนแล้วแต่จะมาถึงจุดสำคัญสูงสุดในเวลาเดียวกันทั้งสิ้น 
 ขอบคุณข้อมูลจาก http://reviveisrael.org/revive-israel-blog/ 
                      Double Meaning of Salvation  By Asher Intrater 
The name of Yeshua – Jesus ישוע – bears the meaning of the word Y’shuah – salvation ישועה.
The concept of salvation in Scriptures has a two-fold meaning: one military, the other spiritual. Both are true. The Hebrew prophets tended to emphasize the military, national, intervention of God to save the nation from destruction. The early Messianic apostles of Yeshua tended to emphasize the eternal, spiritual, forgiveness of God to save us from sin and death.
This dichotomy can cause confusion when trying to dialogue about salvation. The question “Are you saved?” has virtually no meaning in modern Hebrew.
When the children of Israel came out of Egypt, God performed a miraculous military salvation for them by destroying their enemies at the Red Sea. But then they immediately started to sin again, and had to wander in the wilderness for forty years until the entire generation died (I Corinthians 10:1-13).
The national military aspects of salvation have become more relevant in recent 
generations as Israel finds itself back in the Land and threatened with destruction by Jihadist groups on all sides.

Passover and Salvation

In addition, there has been a gradual change in the understanding of Pesach-Passover since Israel has become a nation. During the many years of exile, it was primarily a 
religious ceremony, with symbolic remembrance of the past. Now Passover is a national holiday, celebrated by religious and non-religious at the same time. Some see the holiday as national, some as religious and some as both.
Israeli society is in transition. Young Israelis are willing to ask rather radical questions 
as to the meaning of Jewish symbols. There have been many upheavals in the political reality, both on the left and on the right. The religious community in Israel has seen 
several historic developments, including religious nationalism, the Shas revolution, 
the Chabad messianism, and a new modern pluralism.
Although still minute in size, there is little by little more interest in trying to understand Messianic Jews by Israeli society as a whole.
God established the holiday of Passover as an “appointed time.” It is to remember the deliverance from Egypt, and to remember the death and resurrection of Yeshua that 
also occurred during Passover. As the years go on, people will ask more and more questions about the symbolism, nationalism and messianism connected with the 
Passover. The historic viewpoint of Yeshua’s disciples is likely to become part of that discussion.
As worldwide Islamic Jihad and anti-Israel sentiments grow, the meaning of the Passover
 as God’s military intervention to save the people of Israel will also take on greater significance.

Salvation – The Two Sided Coin

The two different aspects of “salvation” may very well come together in the last months before the coming of Yeshua. The knowledge of Yeshua will grow, and the urgency of 
a divine military intervention for Israel will grow. All of the prophecies concerning
the second coming of Yeshua point to both a spiritual revival and a military intervention.
 “All Israel will be saved” (Romans 11:26) in both meanings of the word.
A spiritual revival in the Land will go hand in hand with crying out to the Lord for 
deliverance from military destruction. Yeshua and the angels in heaven will descend
 to save Israel from military attack at the same time that He will bring eternal spiritual salvation. The attack of the nations, the revival in Israel and the divine “military”
 intervention will all come to a climax at the same time.

หนทางเดินของผู้ชอบธรรม

หนทางเดินของผู้ชอบธรรม คำเผยพระวจนะจากดร.ชัค เพียร์ซ(DrChuck Pierce)


อิสยาห์ 35:8-10  
8 และ​จะ​มี​ทาง​หลวง​ที่​นั่น และ​เขา​จะ​เรียก​ทาง​นั้น​ว่า วิสุทธิ​มรรค คน​ไม่​สะอาด​จะ​ไม่​เดินทาง​นั้น​ แม้​คน​โง่​ก็​จะ​ไม่​หลง​ใน​นั้น 
9 จะ​ไม่​มี​สิงห์​ที่​นั่น หรือ​จะ​ไม่​มี​สัตว์​ร้าย​มา​บน​ทาง​นั้น จะ​หา​มัน​ที่​นั่น​ไม่​พบ แต่​ผู้​ที่​ไถ่​ไว้​แล้ว​จะ​เดิน​บน​นั้น 
10 ผู้​ที่​รับ​การ​ไถ่​แล้ว​ของ​พระ​เจ้า​จะ​กลับ และ​จะ​มายังศิ​โยน​ด้วย​ร้อง​เพลง มี​ความ​ชื่น​บาน​เป็น​นิตย์​บน​ศีรษะ​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย เขา​จะ​ได้รับ​ความ​ชื่น​บาน​และ​ความ​ยินดี ความ​โศก​เศร้า​และ​การ​ถอน​หายใจ​จะ​ปลาต​ไป​เสีย​

"เท้าของคุณจะเดินไปในทิศทางที่แตกต่างไปในปีนี้  แม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าพื้นดินสั่นไหวในฤดูกาลที่ผ่านมาตอนนี้คุณจะเดินบนพื้นดินที่มีความมั่นคง  แม้จะมีเส้นทางหลายเส้นทางที่คุณที่จะหนีไปจากการเจิมที่ตอนนี้เพิ่มขึ้นในตัวคุณจากเท้าของคุณ ผมจะหุ้มเท้าของคุณด้วยความสงบสุขในรูปแบบใหม่ จากนั้นศัตรูที่มีความพยายามที่จะได้รับบนทางหลวงของคุณจะย้ายออกจากทาง สำหรับศัตรูจำนวนมากได้ก้าวเข้าสู่ทางหลวงที่คุณกำลังเดิน แต่เพราะคุณยืนอยู่ในสั่นตอนนี้ลมของพระวิญญาณของเราจะล้างเส้นทางของคุณไปข้างหน้า (อิสยาห์ 35) "

Prophetic Word: 
“Your feet will walk in a different direction this year. For even though you felt shaking ground last season, now you will walk on ground that is being solidified. There will be many on your path that will flee from the anointing that is now rising up in you, from your feet. I will shod your feet with peace, in a new way. Then the enemies that have tried to get on your highway will move out of the way. For many enemies have stepped onto the highway that you’re walking, but because you stood in the shaking, now the wind of My Spirit will clear your path ahead. (Isaiah 35)”