15 มกราคม 2557

ลมปราณ พระวิญญาณของพระเจ้า

เมื่อกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระวจนะของพระเจ้าได้บรรยายภาพสัญลักษณ์เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไว้หลายสิ่งด้วยกัน เช่น ไฟ น้ำมัน ตราประทับ หรือแม้กระทั่งลมที่พัดไปมา เพื่อให้เราได้เข้าใจถึงคุณลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ไม่ใช่พลังงานหรือเป็นสิ่งของ พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยตามพระสัญญา พระองค์ทรงเป็นบุคคล ทรงเป็นพระภคหนึ่งของพระเจ้าในตรีเอกนุภาพ  พระองค์ทรงสำแดงและเคลื่อนไหวได้อย่างมีเสรีภาพ ดังผู้ที่เคลื่อนไหวตามผู้นั้นมีเสรีภาพ
 
2โครินธ์ 3:17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
 
บทความสำหรับครั้งนี้ เราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องของ "ลมปราณ พระวิญญาณของพระเจ้า" เพื่อเราเข้าใจวาระเวลาจะเคลื่อนตามการทรงนำของพระองค์
 
นิยามและความหมาย
คำว่า "ลม"(wind) ในภาษากรีก คือคำว่า   (Άνεμος) -เอนมอส หมายถึง  ลม  นอกจากนี้คำว่า  ลม มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า πνεῦμα เรียกว่า นิวมา-(pneuma (pnyoo`-mah)  ศัพท์ทางศาสนศาสตร์ใช้คำว่า "นิวมาติก"  (pneumatic) ซึ่งให้ความหมายที่หลากหลาย  ในทางกายภาพหมายถึง ลม หรือ  ลมหายใจ(breath)  เมื่อใช้ในทางภาพพจน์เปรียบเทียบหมายถึง วิญญาณ

นอกจากนี้ยังให้ความหมายถึงความเป็นพระเจ้า พระเจ้า วิญญาณของพระคริสต์  (Christ’s spirit) พระวิญญาณบริสุทธิ์

คนในสมัยพระคัมภีร์เดิมเขาเห็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและใช้คำภาษาฮีบรูว่า רוּחַ, “รูอัค” (Ruach) แทนคำว่า “ฤทธิ์”  ซึ่งคำทั่วไปหมายความว่า  ลม,ลมปราณ, จิตวิญญาณ(spirit)หรือจิตใจ(soul)   หมายถึงความรู้สึกหรือชีวิตของมนุษย์

ในภาษาฮีบรูและภาษาเซมิติค (Semitic)อื่น เช่น ภาษาซีเรียโบราณคำว่า רוּחַ, “รูอัค”(Ruach) เป็นศัพท์ที่มีเพศหญิง(feminine) (โดยทั่วไปคำที่เป็นพระนามพระเจ้าจะเป็นสรรพนามเป็นเพศชาย(masculine)  ผู้พูดภาษาเหล่านี้ก็รู้สึกว่าพระวิญญาณทรงมีลักษณะเหมือนกับแม่ คือมีบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน

ในสมัยก่อนสตรีไม่มีสิทธิในสังคมเท่าเทียมผู้ชาย ไม่ว่าจะในด้านการเมือง การศึกษา ศิลปะ ปรัชญา ฯลฯ นอกจากภายในครอบครัว แต่ในทุกสมัยทั้งชายและหญิงมีสิทธิเท่ากันที่จะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เพราะพระวิญญาณประทานความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ที่อ่อนน้อมต่อพระองค์ โดยเคารพต่อบุคลิกภาพของแต่ละคน พระวิญญาณ มักจะแสดงธรรมล้ำลึกแห่งความรัก อ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่

อีกทั้งในภาษาฮีบรูแปล 2 แง่คือ  การหายใจหรือลมปราณ(breath)  แต่เมื่อใช้คำว่า (Ruach) รูอัค  ในความหมายเกี่ยวข้องกับพระเจ้า อาจหมายถึง ลมซึ่งพระเจ้าทรงใช้ทางธรรมชาติ หรือเป็นภาพพจน์ถึงลมที่พ่นจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าที่ทรงทำราชกิจยิ่งใหญ่ 
ในการทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงหยิบดินมาปั้นและระบายลมปราณมาให้มีชีวิต
 
ปฐมกาล 2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต 
 
คริส วอลลันตัน ( Kris Vallotton) ได้อธิบายไว้ใน หนังสือ Fashioned to Reign ดังนี้
 
พระคัมภีร์กล่าวว่า อดัมและสัตว์ ถูกก่อร่าง(formed)ขึ้นจากดิน (ซึ่งนั่นอธิบายว่า ทำไม DNA จึงใกล้เคียงกัน) ในภาษาฮิบรู คำว่าก่อร่างคือ ยาท์ซาร์ (yatsar) แต่พระเจ้าทรง ออกแบบ(fashioned) (คำฮิบรูคือ บานาห์ banah) ผู้หญิงมาจากวัตถุดิบที่ซับซ้อนยิ่งกว่า ผู้หญิงเป็นการทรงสร้างรุ่นที่ 2
 
การระบายลมปราณของพระเจ้าเข้าไปในมนุษย์เป็นลมปราณทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์คือมีจิตวิญญาณ(spirit) และเมื่อลมปราณของพระเจ้าเข้าไปทำให้มนุษย์มีชีวิตจิตใจ(Soul)
 
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงอำนาจ และความรู้สึกต่าง  เช่นในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่  
 
กิจการฯ 2:2 “ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนในบ้านได้ยิน

เมื่อพูดถึงคำว่า "รูอัค" (พระวิญญาณของพระเจ้า) เป็นสิทธิอำนาจที่นำการปลดปล่อยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่มีอะไรสามารถสามารถเอาชนะได้ และมีชีวิตในตัวเอง 

ปฐมกาล 6:3   พระเจ้าจึงตรัสว่า  "วิญญาณของเราจะไม่สถิตอยู่ในมนุษย์ตลอดกาล  เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง  อายุของเขาจะไม่เกินร้อยยี่สิบปี"

ปฐมกาล 1:2  แผ่นดินก็ว่างเปล่า  ความมืดอยู่เหนือน้ำ  และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น

อพยพ 10:19 พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับมาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง  จนไม่เหลือเลยสักตัวเดียว  ตลอดเขตแดนอียิปต์

สดุดี 18:15  แล้วก็เห็นก้นทะเล  ตลอดจนรากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง  เมื่อพระองค์ทรงขนาบทะเล  ด้วยลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์

สดุดี 33:6  โดยพระวจนะของพระเจ้า  ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา  กับบริวารทั้งปวง  ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์

สดุดี 104:30    เมื่อพระองค์ทรงส่งวิญญาณของพระองค์ออกไป  มันก็ถูกสร้างขึ้นมา  และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่

โยบ 33:4  พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า  และลมปราณขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า

นิยามทั่วไปของคำว่า "ลม"

"ลม" คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในบรรยากาศ ที่อาจอธิบายได้ว่าเป็น การเคลื่อนที่ของอากาศอย่างมีพลัง จากพื้นที่ที่มีความกดอากาศสูง ไปยังพื้นที่ที่มีความกดอากาศต่ำ
นอกจากนี้ ลมธรรมชาติพระเจ้าทรงใช้เพื่อทำการอัศจรรย์ เช่น การแหวกทะเลแดง

อพยพ 14:21 โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน

ลมจึงเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังฝ่ายธรรมชาติ(มาหะนาอิม)ของพระเจ้าในการที่พระองค์จะใช้ในการทำสงคราม นอกจากกองทัพทูตสวรรค์   ดังที่ยาโคบได้รับการสำแดงให้เห็น

ปฐมกาล 32:2 เมื่อยาโคบเห็นทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงว่า "นี่แหละกองทัพของพระเจ้า" จึงเรียกสถานที่นั้นว่า "มาหะนาอิม" {ในที่นี้หมายว่า กองทัพสองกองทัพ}
 
คำว่า "ลม" ถูกใช้ในพระคัมภีร์เพื่อเป็นสำนวนอุปมาในบทประพันธ์

สดุดี 1:4  คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป

เปรียบเทียบ ลมเหมือนการทดสอบ คนที่เป็นคนอธรรมไม่สามารถยืนอยู่ได้เมื่อพระเจ้าจัดการ

คุณสมบัติของลมในบางประการที่นำมาเปรียบกับพระวิญญาณฯ

ลม คือ อากาศที่เคลื่อนที่ไปมา และอากาศที่สดชื่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต เมล็ดพืชต่าง ต่างการลมเพื่อลมจะพัดพาเมล็ดนั้นกระจายไปตกในที่ต่าง และเมล็ดที่ตกในที่ใหม่นั้นจะเปื่อยเน่าพร้อมจะเติบโตต่อไป เช่นเดียวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เป็นแหล่งแห่งชีวิต
 
ลมไม่มีรูปร่าง  เรามองไม่เห็นว่า ลมพัดมาจากแหล่งใด และจะไปยังที่ใด ลมเป็นพลังที่ลึกลับ  อย่างไรก็ตาม เรารู้จากผลกระทบของมันว่ามีลมอยู่  เช่นเดียวกัน  พระวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่เราสามารถมีประสบการณ์ในการสัมผัสกับความสดใหม่  การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต  และมีกำลังสดใหม่

ลมเป็นพลังที่มีอำนาจ ไม่มีใครสามารถหยุดลมหรือควบคุมมันได้  เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่หยุดยั้งโดยการควบคุมของมนุษย์   หากพระวิญญาณฯ ประสงค์จะเคลื่อน  พระองค์ก็จะเคลื่อน  การเคลื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เอง

ลมพัดในหลายลักษณะ บางครั้งแผ่วเบา แค่ใบไม้ไหว บางครั้งรุนแรงเป็นพายุที่ถอนรากถอนโคนต้นไม้ได้   เช่นเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจนำบางคนมาถึงพระคริสต์ด้วยการทรงนำอย่างอ่อนโยน ด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบา หรือบางคนอาจมาถึงพระคริสต์ ด้วยเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่ธรรมดา จนพระเจ้าค่อย นำให้กลับใจ จนมาถึงพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ได้กล่าวเกี่ยวกับลมทั้ง 4
ลมที่พัดตามธรรมชาติ  ลม 4 ทิศ

 

 

ลมที่พัดมาจากทิศเหนือ : ส่วนใหญ่เป็นลมไล่ฝน และลมหมุน

สุภาษิต 25:23 ลมเหนือไล่ฝนไปเสียฉันใด สีหน้าที่โกรธแค้นก็ไล่ลิ้นที่ส่อเสียดไปเสียฉันนั้น

เอเสเคียล 1:4  ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมหมุนก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประดุจสีเหลืองอำพัน ซึ่งออกมาจากท่ามกลางไฟนั้น

ลมที่พัดจากทิศใต้ : เป็นลมร้อน, ลมพัดโชยเบาๆ

ลูกา 12:55  เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า `จะร้อนจัด' และก็เป็นจริง

กิจการฯ 27:13  เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาก็คิดว่าสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต

ลมเหนือและลมใต้ : พัดขึ้นลง วนเวียนไปมา, ลมที่พัดพาความหอมหวนเข้ามา

ปัญญาจารย์ 1:6  ลมพัดไปทางใต้ แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ ลมพัดเวียนไปเวียนมา แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน

เพลงซาโลมอน 4:16  โอ ลมเหนือเอ๋ย จงตื่นขึ้นเถิด ลมใต้เอ๋ย จงพัดมาเถิด จงพัดโชยสวนของดิฉัน เพื่อของหอมในสวนนั้นจะหอมฟุ้งออกไป ขอให้ที่รักของดิฉันเข้ามาในสวนของเขา และรับประทานผลไม้อันโอชาเถิด

ลมทิศตะวันตก :เป็นลมจากทิศตะวันตกในดินแดนแถบปาเลสไตน์ เป็นลมที่เกิดขึ้นเป็นปกติพบบ่อยที่สุด มาจากทะเลและจะนำความชื้นและการควบแน่นทำให้เกิดฝนตก

1 พงศ์กษัตริย์ 18:44  และอยู่มาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ดเขาบอกว่า  "ดูเถิด  มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล  และท่านก็บอกว่า  "จงไปทูลอาหับว่า  "ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไปเพื่อพระองค์จะไม่ติดฝน"

 ลูกา 12:54 พระองค์ตรัสกับประชาชนอีกว่า  "เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆเกิดขึ้นในทิศตะวันตก  ท่านก็กล่าวทันทีว่า  "ฝนจะตก"  และก็เป็นอย่างนั้นจริง

 ลมทิศตะวันออก เป็นลมพายุทะเลทรายหรือซิร็อคโก้(sirocco) เรียกว่า "ฉลามจากอาหรับ"(Arabic shark = "east")  มาจากทะเลทราย พัดความร้อนมาจะมาช่วงเดือนพ..และตุลาคมเป็นพายุที่รุนแรงมาก

ปฐมกาล 41:6  แล้วมีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง  เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก

โยบ 1:19  และดูเถิด  มีพายุใหญ่ข้ามถิ่นทุรกันดารมากระทบเรือนทั้งสี่มุม  และเรือนนั้นพังทับคนหนุ่มสาว  และเขาก็ตาย  และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน"
 
ยเรมีย์ 4:11   ในครั้งนั้น  เขาจะกล่าวแก่ชนชาตินี้  และแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า  ลมร้อนจากที่สูงโล้นในถิ่นทุรกันดารพัดมาสู่บุตรีประชากรของเรา  ไม่ใช่จะมาฝัดหรือมาชำระ

สดุดี 48:7   พระองค์ทรงฟาดทำลายกำปั่นแห่งทารชิชด้วยลมตะวันออก

โยนาห์ 1:4   แต่พระเจ้าทรงขับกระแสลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเล  จึงเกิดพายุใหญ่ในทะเลนั้น  จนน่ากลัวกำปั่นจะอับปาง

 โยนาห์ 4:8   เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว  พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา  และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่า  ให้ท่านตายเสียเถิด  ท่านว่า  "ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่"

 ลมนี้เป็นลมที่ทำให้เรือของโยนาห์โคลงเคลง  เกือบที่จะอับปาง

กิจการฯ 27:14  แต่แล่นไปไม่ช้าเรือกำปั่นก็ถูกลมพายุกล้า  ที่เขาเรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดกวาดจากแผ่นดิน

 ลมนี้เป็นลมพายุนี้ทำให้เรือของอัครเปาโลต้องอับปาง

 คำว่า "ลม" ในเชิงการเผยพระวจนะ : ลมทั้ง 4

เอเสเคียล 37:9   แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า  "จงเผยพระวจนะแก่ลมหายใจ  บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย  จงเผยเถิด  จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า  พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า  ลมหายใจเอ๋ย  จงมาจากลมทั้งสี่  มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต"

เอเสเคียล 37:10   ข้าพเจ้าก็เผยพระวจนะดังที่ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้า  และลมหายใจก็เข้ามาในกระดูก  และกระดูกก็มีชีวิต  แล้วก็ยืนขึ้น  เป็นกองทัพใหญ่โตจริงๆ

ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลเผยพระวจนะให้กองกระดูกแห้งกลับมีชีวิต จากกองกระดูกแห้ง กลายเป็นกองทัพของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์กล่าวถึง ลมทั้ง4”  หรือ “ลมทั้ง4 แห่งฟ้าสวรรค์” “ลมทั้ง4ทิศในแผ่นดินโลกซึ่งใช้ในลักษณะที่หลากหลายแตกต่างกันไป 
ลมทั้ง4 ถูกกล่าวถึงในบริบทเหตุการณ์ต่าง     โดยผู้เผยพระวจนะเป็นผู้มองเห็นนิมิตเกี่ยวกับลมทั้ง 4  และพระเยซูคริสต์เองก็บอกถึงเรื่องนี้ให้แก่สาวกได้ทราบ
ลมทั้ง 4  เชื่อมโยงกับโลกทั้ง 4 มุม หรือสี่ส่วนของฟ้าสวรรค์ ซึ่งให้ความหมายถึง ลมที่พัดในทุกทิศทุกทาง ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพลังอำนาจยิ่งใหญ่ของลมทั้ง 4
ลมทั้ง4 สามารถปลุกปั่นทำให้คลื่นในทะเลคะนองได้

ดาเนียล  7:2 ดาเนียกล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตเวลากลางคืน และดูเถิด ลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ได้ปลุกปั่นทะเลใหญ่นั้น

ลมทั้ง4 มีพลังโค่นราชอาณาจักรและทำให้ผู้คนกระจัดกระจายไป

เยเรมีย์ 49:36 และเราจะนำลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าทั้งสี่ส่วนมาสู้เอลาม และเราจะกระจายเขาไปตามลมเหล่านั้นทั้งหมด จะไม่มีประชาชาติใดซึ่งผู้ถูกขับไล่ออกไปจากเอลามจะมาไม่ถึง

ในทางตรงข้าม ลมทั้งสี่ถูกเรียกเข้ามา และให้ชีวิต แก่ผู้ที่ถูกฆ่าเพื่อว่าพวกเขาจะมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง

เอเสเคียล  37:9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่าจงเผยพระวจนะแก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยเถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต

มทั้ง4 เป็นหมายสำคัญที่เล็งถึงเหตุการณ์ที่บุตรมนุษย์(พระเยซูคริสต์) รับพระสิริ
มัทธิว 24:31 พระองค์ทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์  มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก  ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว  ทั้งสี่ทิศนั้น  ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น

มาระโก 13:27  เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์  ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วทั้งสี่ทิศนั้น  ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดขอบฟ้า

ในวาระสุดท้าย ยอห์นได้เห็นในนิมิต เห็นทูตสวรรค์ 4 องค์ยืนอยู่ที่มุมทั้ง 4ของแผ่นดินโลก

วิวรณ์ 7:1 ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่มุมทั้งสี่ของแผ่นดินโลก ห้ามลมในแผ่นดินโลกทั้งสี่ทิศไว้ เพื่อไม่ให้ลมพัดบนบก ในทะเลหรือที่ต้นไม้ใดๆ

พระวิญญาณบริสุทธิ์ เคลื่อนไหวแบบลม

ยอห์น 3:8  ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"

พระเยซูทรงเปรียบพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเหมือนลม เมื่อพระองค์ทรงสนทนากับนิโคเดมัสเกี่ยวกับประสบการณ์การบังเกิดใหม่

ลมเป็นสัญลักษณ์ของพระราชกิจแห่งการทำให้บังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้คนกลับมีชีวิตในพระเจ้า

ยอห์น 3:5 - 8
5 พระเยซูตรัสว่า  "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ  ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้
6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง  และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ
7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า  ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่
8 ลม  {ภาษากรีกเป็นคำเดียวกัน  แปลได้ทั้งลมและวิญญาณ}  ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น  และท่านได้ยินเสียงลมนั้น  แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน  คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ  ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"

ลมเป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจในการมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ  ชีวิตที่ฟื้นขึ้นใหม่ในพระเจ้า

เอเสเคียล 37:5 - 6
5 พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า  ดูเถิด  เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้า  และเจ้าจะมีชีวิต
6 เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้าและจะกระทำให้เนื้อมีมาบนเจ้า  และเอาหนังคลุมเจ้า  และบรรจุลมหายใจในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต  และเจ้าจะทราบว่า  เราคือพระเจ้า"

เอเสเคียล 37:14    และเราจะบรรจุวิญญาณของเราไว้ในเจ้า  และเจ้าจะมีชีวิต  และเราจะวางเจ้าไว้ในแผ่นดินของเจ้า  แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว  และเราได้กระทำ  พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"

ดังนั้น เมื่อเราเคลื่อนไหวในพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะสามารถมีประสบการณ์แห่งชีวิตที่บริบูรณ์ในพระคริสต์

ลมพระวิญญาณที่เป็นการดลใจในการเขียนพระคัมภีร์
 
พระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจดลใจผู้เขียนพระคัมภีร์ซึ่งเป็นมนุษย์ ให้เขียนในสิ่งที่เป็นพระวจนะของพระองค์ล้วน คำว่าดลใจในความหมายของพระคัมภีร์หมายความว่า ลมปราณของพระเจ้า คำว่าการดลใจสื่อความหมายให้เห็นถึงความจริงที่ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง จึงทำให้พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ไม่เหมือนหนังสืออื่นใดทั้งสิ้น  ทุกส่วนในนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัย

1โครินธ์ 2:12-13
12   เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก  แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า  เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
13   เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้  ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้  แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน  คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ  ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง

2ทิโมธี 3:16-17
16   พระคัมภีร์  ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า  และ  {หรือ  ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  ก็}  เป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี  และการอบรมในทางธรรม
17   เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

เป็นการดลใจที่ครอบคลุมไปถึงทุกถ้อยคำ (การดลใจโดยคำพูด) ไม่ใช่แค่แนวความคิดหรือความคิดเท่านั้น และเป็นการดลใจที่ครอบคลุมไปถึงทุกส่วนและทุกเรื่องในพระคัมภีร์ด้วย  
 
2 เปโตร 1:21  เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น  ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์  แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า  ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา
ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าถึงแม้ว่ามนุษย์จะเป็นผู้บันทึกข้อพระคัมภีร์ แต่ถ้อยคำที่พวกเขาบันทึกเป็นถ้อยคำของพระเจ้าโดยตรง แม้ว่าพระเจ้าจะทรงใช้มนุษย์ผู้มีบุคลิกและวิธีการเขียนที่แตกต่างกันออกไป แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจทุกถ้อยคำที่พวกเขาเขียน


พระเยซูก็ได้ทรงยืนยันด้วยพระองค์เองถึงเรื่องการดลใจด้วยคำพูดที่มีสิทธิอำนาจเต็มบริบูรณ์ในพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ตรัสว่า
อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” (มัทธิว 5:17-18)

ในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซูทรงย้ำถึงความถูกต้องของข้อพระคัมภีร์ลงไปจนถึงรายละเอียดที่ย่อยที่สุดและแม้กระทั่งจุด หนึ่งเพราะมันคือพระวจนะของพระเจ้าทุกตัว
เพราะพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า เราจึงสามารถสรุปได้ว่ามันไม่มีอะไรปลอมปนและมีสิทธิอำนาจ การมีมุมมองที่ถูกต้องกับพระเจ้าจะทำให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องกับพระวจนะของพระองค์ด้วย เพราะพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด, สัพพัญญู และสมบูรณ์ไร้ที่ติ  พระคัมภีร์มาจากการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสำแดงพระลักษณะของพระองค์

ข้อสรุปเพื่อความเข้าใจเรื่องลมพระวิญญาณ
เมื่อเราเข้าใจเราจะเห็นความสำคัญและการเคลื่อนไหวไปตามพระวิญญาณฯ เปรียบเสมือนลมที่เคลื่อนสิ่งต่างๆ ชีวิตของเราควรจะเคลื่อนไหวตามพระวิญญาณ
กาลาเทีย 5:25   ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย
เราต้องเข้าใจเรื่องประสบการณ์ในพระวิญญาณ
บางครั้งเราจะมีอาการเมื่อเราสัมผัสลมพระวิญญาณบริสุทธ์ เช่น อาการลมพัดมาปะทะร่างกาย  มีอาการตัวสั่น หรือลมอยู่ในท้อง บางคนเรียกอาการนี้ว่า "หมัดไร้เงา" เข้ามาต่อยท้อง
อย่างไรก็ตามเราไม่ได้เอาประสบกาณ์มาเป็นหลักการ สิ่งที่สำคัญมากกว่าลมคือการทรงสถิตของพระเจ้า ลมเป็นเพียงหมายวำคัญที่สำแดงการทรงสถิตของพระวิญญาณของพระเจ้า

ในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ ในพระธรรมกิจการฯ บทที่ 2 ลมพายุกล้าพัดมาแต่สิ่งที่สาวก 120 คน จดจ่อคือการเทลงมาของพระวิญญาณตามพระสัญญา
 
กิจการฯ 2:2-4
2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น
3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน
4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด

ลมพายุแรงกล้ามา เสียงสัญญาณแห่งการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณฯมาแล้ว ให้เราเคลื่อนตามการสำแดงของพระวิญญาณฯร่วมกัน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น