2โครินธ์ 3:17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
บทความสำหรับครั้งนี้ เราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องของ "ลมปราณ พระวิญญาณของพระเจ้า" เพื่อเราเข้าใจวาระเวลาจะเคลื่อนตามการทรงนำของพระองค์
นิยามและความหมาย
คำว่า "ลม"(wind) ในภาษากรีก คือคำว่า (Άνεμος) -เอนมอส หมายถึง ลม นอกจากนี้คำว่า ลม มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า πνεῦμα เรียกว่า นิวมา-(pneuma (pnyoo`-mah) ศัพท์ทางศาสนศาสตร์ใช้คำว่า "นิวมาติก" (pneumatic) ซึ่งให้ความหมายที่หลากหลาย ในทางกายภาพหมายถึง ลม หรือ ลมหายใจ(breath) เมื่อใช้ในทางภาพพจน์เปรียบเทียบหมายถึง วิญญาณ
นอกจากนี้ยังให้ความหมายถึงความเป็นพระเจ้า พระเจ้า วิญญาณของพระคริสต์ (Christ’s spirit) พระวิญญาณบริสุทธิ์
คนในสมัยพระคัมภีร์เดิมเขาเห็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและใช้คำภาษาฮีบรูว่า רוּחַ, “รูอัค” (Ruach) แทนคำว่า “ฤทธิ์” ซึ่งคำทั่วไปหมายความว่า ลม,ลมปราณ, จิตวิญญาณ(spirit)หรือจิตใจ(soul) หมายถึงความรู้สึกหรือชีวิตของมนุษย์
ในภาษาฮีบรูและภาษาเซมิติค (Semitic)อื่น ๆ เช่น ภาษาซีเรียโบราณคำว่า רוּחַ, “รูอัค”(Ruach) เป็นศัพท์ที่มีเพศหญิง(feminine) (โดยทั่วไปคำที่เป็นพระนามพระเจ้าจะเป็นสรรพนามเป็นเพศชาย(masculine) ผู้พูดภาษาเหล่านี้ก็รู้สึกว่าพระวิญญาณทรงมีลักษณะเหมือนกับแม่ คือมีบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน
ในสมัยก่อนสตรีไม่มีสิทธิในสังคมเท่าเทียมผู้ชาย ไม่ว่าจะในด้านการเมือง การศึกษา ศิลปะ ปรัชญา ฯลฯ นอกจากภายในครอบครัว แต่ในทุกสมัยทั้งชายและหญิงมีสิทธิเท่ากันที่จะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เพราะพระวิญญาณประทานความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ที่อ่อนน้อมต่อพระองค์ โดยเคารพต่อบุคลิกภาพของแต่ละคน พระวิญญาณ มักจะแสดงธรรมล้ำลึกแห่งความรัก อ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่
อีกทั้งในภาษาฮีบรูแปล 2 แง่คือ การหายใจหรือลมปราณ(breath) แต่เมื่อใช้คำว่า (Ruach) “รูอัค” ในความหมายเกี่ยวข้องกับพระเจ้า อาจหมายถึง ลมซึ่งพระเจ้าทรงใช้ทางธรรมชาติ หรือเป็นภาพพจน์ถึงลมที่พ่นจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าที่ทรงทำราชกิจยิ่งใหญ่
ในการทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงหยิบดินมาปั้นและระบายลมปราณมาให้มีชีวิต
ปฐมกาล 2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
คริส วอลลันตัน ( Kris Vallotton) ได้อธิบายไว้ใน หนังสือ Fashioned to Reign ดังนี้
พระคัมภีร์กล่าวว่า อดัมและสัตว์ ถูกก่อร่าง(formed)ขึ้นจากดิน (ซึ่งนั่นอธิบายว่า ทำไม DNA จึงใกล้เคียงกัน) ในภาษาฮิบรู คำว่าก่อร่างคือ ยาท์ซาร์ (yatsar) แต่พระเจ้าทรง ออกแบบ(fashioned) (คำฮิบรูคือ บานาห์ banah) ผู้หญิงมาจากวัตถุดิบที่ซับซ้อนยิ่งกว่า ผู้หญิงเป็นการทรงสร้างรุ่นที่ 2
การระบายลมปราณของพระเจ้าเข้าไปในมนุษย์เป็นลมปราณทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์คือมีจิตวิญญาณ(spirit) และเมื่อลมปราณของพระเจ้าเข้าไปทำให้มนุษย์มีชีวิตจิตใจ(Soul)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงอำนาจ และความรู้สึกต่าง ๆ เช่นในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
กิจการฯ 2:2 “ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนในบ้านได้ยิน”
เมื่อพูดถึงคำว่า "รูอัค" (พระวิญญาณของพระเจ้า) เป็นสิทธิอำนาจที่นำการปลดปล่อยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่มีอะไรสามารถสามารถเอาชนะได้ และมีชีวิตในตัวเอง
ปฐมกาล 6:3 พระเจ้าจึงตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่สถิตอยู่ในมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะไม่เกินร้อยยี่สิบปี"
ปฐมกาล 1:2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
อพยพ 10:19 พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับมาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง จนไม่เหลือเลยสักตัวเดียว ตลอดเขตแดนอียิปต์
สดุดี 18:15 แล้วก็เห็นก้นทะเล ตลอดจนรากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง เมื่อพระองค์ทรงขนาบทะเล ด้วยลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
สดุดี 33:6 โดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวง ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์
สดุดี 104:30 เมื่อพระองค์ทรงส่งวิญญาณของพระองค์ออกไป มันก็ถูกสร้างขึ้นมา และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่
โยบ 33:4 พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และลมปราณขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า
นิยามทั่วไปของคำว่า "ลม"
"ลม" คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในบรรยากาศ ที่อาจอธิบายได้ว่าเป็น การเคลื่อนที่ของอากาศอย่างมีพลัง จากพื้นที่ที่มีความกดอากาศสูง ไปยังพื้นที่ที่มีความกดอากาศต่ำ
นอกจากนี้ ลมธรรมชาติพระเจ้าทรงใช้เพื่อทำการอัศจรรย์ เช่น การแหวกทะเลแดง
อพยพ 14:21 โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน
ปฐมกาล 32:2 เมื่อยาโคบเห็นทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงว่า "นี่แหละกองทัพของพระเจ้า" จึงเรียกสถานที่นั้นว่า "มาหะนาอิม" {ในที่นี้หมายว่า กองทัพสองกองทัพ}
คำว่า "ลม" ถูกใช้ในพระคัมภีร์เพื่อเป็นสำนวนอุปมาในบทประพันธ์
สดุดี 1:4 คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป
เปรียบเทียบ ลมเหมือนการทดสอบ คนที่เป็นคนอธรรมไม่สามารถยืนอยู่ได้เมื่อพระเจ้าจัดการ
คุณสมบัติของลมในบางประการที่นำมาเปรียบกับพระวิญญาณฯ
ลม คือ อากาศที่เคลื่อนที่ไปมา และอากาศที่สดชื่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต เมล็ดพืชต่าง ๆ ต่างการลมเพื่อลมจะพัดพาเมล็ดนั้นกระจายไปตกในที่ต่าง ๆ และเมล็ดที่ตกในที่ใหม่นั้นจะเปื่อยเน่าพร้อมจะเติบโตต่อไป เช่นเดียวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เป็นแหล่งแห่งชีวิต
ลมไม่มีรูปร่าง เรามองไม่เห็นว่า ลมพัดมาจากแหล่งใด และจะไปยังที่ใด ลมเป็นพลังที่ลึกลับ อย่างไรก็ตาม เรารู้จากผลกระทบของมันว่ามีลมอยู่ เช่นเดียวกัน พระวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่เราสามารถมีประสบการณ์ในการสัมผัสกับความสดใหม่ การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต และมีกำลังสดใหม่
ลมเป็นพลังที่มีอำนาจ
ไม่มีใครสามารถหยุดลมหรือควบคุมมันได้ เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์
จะไม่หยุดยั้งโดยการควบคุมของมนุษย์ หากพระวิญญาณฯ ประสงค์จะเคลื่อน พระองค์ก็จะเคลื่อน การเคลื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เอง
ลมพัดในหลายลักษณะ
บางครั้งแผ่วเบา
แค่ใบไม้ไหว
บางครั้งรุนแรงเป็นพายุที่ถอนรากถอนโคนต้นไม้ได้ เช่นเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจนำบางคนมาถึงพระคริสต์ด้วยการทรงนำอย่างอ่อนโยน
ด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบา
หรือบางคนอาจมาถึงพระคริสต์
ด้วยเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่ธรรมดา
จนพระเจ้าค่อย
ๆ นำให้กลับใจ
จนมาถึงพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวเกี่ยวกับลมทั้ง 4
ลมที่พัดตามธรรมชาติ ลม 4 ทิศ
ลมที่พัดมาจากทิศเหนือ : ส่วนใหญ่เป็นลมไล่ฝน และลมหมุน
สุภาษิต 25:23 ลมเหนือไล่ฝนไปเสียฉันใด สีหน้าที่โกรธแค้นก็ไล่ลิ้นที่ส่อเสียดไปเสียฉันนั้น
เอเสเคียล 1:4 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมหมุนก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประดุจสีเหลืองอำพัน ซึ่งออกมาจากท่ามกลางไฟนั้น
ลมที่พัดจากทิศใต้ : เป็นลมร้อน, ลมพัดโชยเบาๆ
ลูกา 12:55 เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า `จะร้อนจัด' และก็เป็นจริง
กิจการฯ 27:13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาก็คิดว่าสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต
ลมเหนือและลมใต้ : พัดขึ้นลง วนเวียนไปมา, ลมที่พัดพาความหอมหวนเข้ามา
ปัญญาจารย์ 1:6 ลมพัดไปทางใต้ แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ ลมพัดเวียนไปเวียนมา แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน
เพลงซาโลมอน 4:16 โอ ลมเหนือเอ๋ย จงตื่นขึ้นเถิด ลมใต้เอ๋ย จงพัดมาเถิด จงพัดโชยสวนของดิฉัน เพื่อของหอมในสวนนั้นจะหอมฟุ้งออกไป ขอให้ที่รักของดิฉันเข้ามาในสวนของเขา และรับประทานผลไม้อันโอชาเถิด
ลมทิศตะวันตก :เป็นลมจากทิศตะวันตกในดินแดนแถบปาเลสไตน์ เป็นลมที่เกิดขึ้นเป็นปกติพบบ่อยที่สุด มาจากทะเลและจะนำความชื้นและการควบแน่นทำให้เกิดฝนตก
1 พงศ์กษัตริย์ 18:44 และอยู่มาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ดเขาบอกว่า "ดูเถิด มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล และท่านก็บอกว่า "จงไปทูลอาหับว่า "ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไปเพื่อพระองค์จะไม่ติดฝน"
ปฐมกาล 41:6 แล้วมีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก
โยบ 1:19 และดูเถิด มีพายุใหญ่ข้ามถิ่นทุรกันดารมากระทบเรือนทั้งสี่มุม และเรือนนั้นพังทับคนหนุ่มสาว และเขาก็ตาย และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน"
เยเรมีย์ 4:11 ในครั้งนั้น เขาจะกล่าวแก่ชนชาตินี้ และแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า ลมร้อนจากที่สูงโล้นในถิ่นทุรกันดารพัดมาสู่บุตรีประชากรของเรา ไม่ใช่จะมาฝัดหรือมาชำระ
สดุดี 48:7 พระองค์ทรงฟาดทำลายกำปั่นแห่งทารชิชด้วยลมตะวันออก
โยนาห์ 1:4 แต่พระเจ้าทรงขับกระแสลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเล จึงเกิดพายุใหญ่ในทะเลนั้น จนน่ากลัวกำปั่นจะอับปาง
กิจการฯ 27:14 แต่แล่นไปไม่ช้าเรือกำปั่นก็ถูกลมพายุกล้า ที่เขาเรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดกวาดจากแผ่นดิน
เอเสเคียล 37:9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงเผยพระวจนะแก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยเถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต"
เอเสเคียล 37:10 ข้าพเจ้าก็เผยพระวจนะดังที่ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้า และลมหายใจก็เข้ามาในกระดูก และกระดูกก็มีชีวิต แล้วก็ยืนขึ้น เป็นกองทัพใหญ่โตจริงๆ
ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลเผยพระวจนะให้กองกระดูกแห้งกลับมีชีวิต
จากกองกระดูกแห้ง
กลายเป็นกองทัพของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์กล่าวถึง “ลมทั้ง4” หรือ “ลมทั้ง4 แห่งฟ้าสวรรค์” “ลมทั้ง4ทิศในแผ่นดินโลก” ซึ่งใช้ในลักษณะที่หลากหลายแตกต่างกันไป ลมทั้ง4 ถูกกล่าวถึงในบริบทเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยผู้เผยพระวจนะเป็นผู้มองเห็นนิมิตเกี่ยวกับลมทั้ง 4 และพระเยซูคริสต์เองก็บอกถึงเรื่องนี้ให้แก่สาวกได้ทราบ
ลมทั้ง 4 เชื่อมโยงกับโลกทั้ง 4 มุม หรือสี่ส่วนของฟ้าสวรรค์ ซึ่งให้ความหมายถึง ลมที่พัดในทุกทิศทุกทาง ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพลังอำนาจยิ่งใหญ่ของลมทั้ง 4
ลมทั้ง4 สามารถปลุกปั่นทำให้คลื่นในทะเลคะนองได้
ดาเนียล 7:2 ดาเนียลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตเวลากลางคืน และดูเถิด ลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ได้ปลุกปั่นทะเลใหญ่นั้น
ลมทั้ง4 มีพลังโค่นราชอาณาจักรและทำให้ผู้คนกระจัดกระจายไป
เยเรมีย์ 49:36 และเราจะนำลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าทั้งสี่ส่วนมาสู้เอลาม และเราจะกระจายเขาไปตามลมเหล่านั้นทั้งหมด จะไม่มีประชาชาติใดซึ่งผู้ถูกขับไล่ออกไปจากเอลามจะมาไม่ถึง
ในทางตรงข้าม ลมทั้งสี่ถูกเรียกเข้ามา และให้ชีวิต แก่ผู้ที่ถูกฆ่าเพื่อว่าพวกเขาจะมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
เอเสเคียล 37:9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเผยพระวจนะแก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยเถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต”
มัทธิว 24:31 พระองค์ทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น
มาระโก 13:27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดขอบฟ้า
ในวาระสุดท้าย ยอห์นได้เห็นในนิมิต เห็นทูตสวรรค์ 4 องค์ยืนอยู่ที่มุมทั้ง 4ของแผ่นดินโลก
พระวิญญาณบริสุทธิ์ เคลื่อนไหวแบบลม
ยอห์น 3:8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"
พระเยซูทรงเปรียบพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเหมือนลม เมื่อพระองค์ทรงสนทนากับนิโคเดมัสเกี่ยวกับประสบการณ์การบังเกิดใหม่
ลมเป็นสัญลักษณ์ของพระราชกิจแห่งการทำให้บังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้คนกลับมีชีวิตในพระเจ้า
ยอห์น 3:5 - 8
5 พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้
6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ
7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่
8 ลม {ภาษากรีกเป็นคำเดียวกัน แปลได้ทั้งลมและวิญญาณ} ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"
ลมเป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจในการมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ชีวิตที่ฟื้นขึ้นใหม่ในพระเจ้า
เอเสเคียล 37:5 - 6
5 พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต
6 เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้าและจะกระทำให้เนื้อมีมาบนเจ้า และเอาหนังคลุมเจ้า และบรรจุลมหายใจในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต และเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 37:14 และเราจะบรรจุวิญญาณของเราไว้ในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต และเราจะวางเจ้าไว้ในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว และเราได้กระทำ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
ดังนั้น เมื่อเราเคลื่อนไหวในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะสามารถมีประสบการณ์แห่งชีวิตที่บริบูรณ์ในพระคริสต์
ลมพระวิญญาณที่เป็นการดลใจในการเขียนพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจดลใจผู้เขียนพระคัมภีร์ซึ่งเป็นมนุษย์
ให้เขียนในสิ่งที่เป็นพระวจนะของพระองค์ล้วน
ๆ คำว่าดลใจในความหมายของพระคัมภีร์หมายความว่า
“ลมปราณของพระเจ้า” คำว่าการดลใจสื่อความหมายให้เห็นถึงความจริงที่ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง
จึงทำให้พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ไม่เหมือนหนังสืออื่นใดทั้งสิ้น ทุกส่วนในนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัย
1โครินธ์ 2:12-13
12 เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
13 เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง
2ทิโมธี 3:16-17
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ {หรือ ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็} เป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ {หรือ ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็} เป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
เป็นการดลใจที่ครอบคลุมไปถึงทุกถ้อยคำ (การดลใจโดยคำพูด) ไม่ใช่แค่แนวความคิดหรือความคิดเท่านั้น และเป็นการดลใจที่ครอบคลุมไปถึงทุกส่วนและทุกเรื่องในพระคัมภีร์ด้วย
2 เปโตร 1:21 เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา
ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าถึงแม้ว่ามนุษย์จะเป็นผู้บันทึกข้อพระคัมภีร์ แต่ถ้อยคำที่พวกเขาบันทึกเป็นถ้อยคำของพระเจ้าโดยตรง แม้ว่าพระเจ้าจะทรงใช้มนุษย์ผู้มีบุคลิกและวิธีการเขียนที่แตกต่างกันออกไป แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจทุกถ้อยคำที่พวกเขาเขียน
พระเยซูก็ได้ทรงยืนยันด้วยพระองค์เองถึงเรื่องการดลใจด้วยคำพูดที่มีสิทธิอำนาจเต็มบริบูรณ์ในพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ตรัสว่า
“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” (มัทธิว 5:17-18)
ในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซูทรงย้ำถึงความถูกต้องของข้อพระคัมภีร์ลงไปจนถึงรายละเอียดที่ย่อยที่สุดและแม้กระทั่งจุด ๆ หนึ่ง – เพราะมันคือพระวจนะของพระเจ้าทุกตัว
เพราะพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า เราจึงสามารถสรุปได้ว่ามันไม่มีอะไรปลอมปนและมีสิทธิอำนาจ การมีมุมมองที่ถูกต้องกับพระเจ้าจะทำให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องกับพระวจนะของพระองค์ด้วย เพราะพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด, สัพพัญญู และสมบูรณ์ไร้ที่ติ พระคัมภีร์มาจากการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสำแดงพระลักษณะของพระองค์
ข้อสรุปเพื่อความเข้าใจเรื่องลมพระวิญญาณ
เมื่อเราเข้าใจเราจะเห็นความสำคัญและการเคลื่อนไหวไปตามพระวิญญาณฯ เปรียบเสมือนลมที่เคลื่อนสิ่งต่างๆ ชีวิตของเราควรจะเคลื่อนไหวตามพระวิญญาณ
กาลาเทีย 5:25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย
เราต้องเข้าใจเรื่องประสบการณ์ในพระวิญญาณ
บางครั้งเราจะมีอาการเมื่อเราสัมผัสลมพระวิญญาณบริสุทธ์ เช่น อาการลมพัดมาปะทะร่างกาย มีอาการตัวสั่น หรือลมอยู่ในท้อง บางคนเรียกอาการนี้ว่า "หมัดไร้เงา" เข้ามาต่อยท้อง
อย่างไรก็ตามเราไม่ได้เอาประสบกาณ์มาเป็นหลักการ สิ่งที่สำคัญมากกว่าลมคือการทรงสถิตของพระเจ้า ลมเป็นเพียงหมายวำคัญที่สำแดงการทรงสถิตของพระวิญญาณของพระเจ้า
ในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ ในพระธรรมกิจการฯ บทที่ 2 ลมพายุกล้าพัดมาแต่สิ่งที่สาวก 120 คน จดจ่อคือการเทลงมาของพระวิญญาณตามพระสัญญา
กิจการฯ 2:2-4
2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น
3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน
4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด
ลมพายุแรงกล้ามา เสียงสัญญาณแห่งการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณฯมาแล้ว ให้เราเคลื่อนตามการสำแดงของพระวิญญาณฯร่วมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น