จากพระธรรม ฮีบรู 1:7 กล่าวว่า …พระองค์จะทรงบันดาลพวกทูตของพระองค์ให้เป็นดุจลมและทรงบันดาลผู้รับใช้ของพระองค์ให้เป็นดุจเปลวเพลิง
พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์เป็นเหมือนลมหรือไฟซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นในธรรมชาติ ทูตสวรรค์เป็นวิญญาณผู้รับใช้ ผู้ทำการปรนนิบัติพระองค์
ในพระธรรมกิจการฯ บทที่ 2 คริสตจักรสมัยแรกเมื่อรับไฟแห่งพระวิญญาณฯ พระเจ้าทรงส่งบรรดาอัครทูต(ผู้ที่ทรงใช้ไป)
เริ่มจากเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย สะมาเรียและจนสุดปลายแผ่นดิน เราทั้งหลายก็จะเป็นดังผู้ที่พระเจ้าทรงส่งออกไปเพื่อนำไฟแห่งการฟื้นฟูไปสู่โลกนี้เช่นกัน
เราจึงจำเป็นต้องรับไฟเพื่อการฟื้นใจ(Restoration) รักษาไฟในเพื่อการฟื้นฟู(Revival)และส่งไฟการฟื้นฟูเพื่อนำการพลิกฟื้นไปสู่ชุมชน(Transformation) พระเจ้าต้องการที่จะ“ฟื้นใจด้วยไฟแห่งการฟื้นฟู”
เราจะได้รับสิ่งต่างๆจากพระเจ้าดังต่อไปนี้
1.
รับไฟเพื่อการฟื้นใจ
ผู้รับใช้พระเจ้า เอลียาห์(อสย.6:1-4) ได้มีประสบการณ์แห่งการรับไฟเพื่อการฟื้นใจด้วยการพบกับทูตของพระเจ้านั่นคือ
“เสราฟิม” เหล่าทูตสวรรค์แห่งไฟ! ด้วยว่าชื่อของพวกเขา
เสราฟิม นั้น หมายถึง “บรรดาผู้ที่ลุกเป็นไฟ”
ในสภาพของประเทศอิสราเอลในเวลานั้น
เป็นช่วงตกต่ำที่สุด นั่นคือการตกเป็นเชลยของบาบิโลน พระธรรมอิสยาห์ได้กล่าวถึงการพิพากษาและเผยพระวจนะถึงการปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล
สิ่งที่สำคัญของพระธรรมอิสยาห์คือ
การเผยพระวจนะถึงการพิพากษาโลกและการครอบครองของพระเมสิยาห์ในวาระสิ้นยุค พระเจ้าทรงเลือกท่าน
และเจิมท่านให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ท่านตระหนักว่าท่านเป็นคนบาปและไม่สมควรคู่ควรต่องานพันธกิจนี้
พระเจ้าจึงใช้ถ่านเพลิงจากแท่นบูชา
แตะที่ริมฝีปากของท่าน ความหมายของ “ถ่านเพลิง” นี้ คือถ่านเพลิงที่หยิบออกมาจากแท่นบูชา
เล็งถึง การถวายบูชาของพระคริสต์ซึ่งได้เอาความผิดบาปอันมากมายของพวกเราทั้งหลายไป!
ถ่านนั้นมีไฟที่มีชีวิตอยู่ข้างใน
ซึ่งเล็งถึงชีวิตแห่งการเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์ ก่อนที่พระเจ้าจะใช้เราในการรับใช้ พระเจ้าต้องฉวยเราออกมาจากปากแดนของมารซาตาน
ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงฉวยโยชูวาบุตรเยโฮซาดัก
มหาปุโรหิต(ศคย.3:1-2
)จากมารที่มาปรักปรำท่าน มารพยายามปรักปรำในความบาปและประจานเรา
ต้องการให้เราต้องตายไปในไฟแห่งการพิพากษาเช่นเดียวกับมัน แต่พระเจ้าทรงฉวยเรา
เหมือนเอาดุ้นฟื้นออกจากกองไฟ
วันนี้ พระเจ้าทรงไถ่เราแล้ว
เราจึงต้องเรากลับใจจากบาป กลับมาหาพระเจ้า และพระองค์จะให้ไฟแห่งการชำระเพื่อทำให้เราบริสุทธิ์ดุจดังทองคำที่ถูกชำระด้วยไฟ
มารซาตานมักจะพูดถึงอดีตของเรา
ต้องการปรักปรำปรับโทษเรา ทั้งนี้เนื่องจากมันชอบพูดถึงอดีตเพราะมันเป็นพวก “ไม่มีอนาคต
อนาคตของมันคือ “บึงไฟนรก”
หากในวันนี้
มารมาปรักปรำเราในเรื่องอดีต เราก็บอกมันกลับไปว่า “อนาคตของมันถูกปรับโทษแล้วโดยพระเจ้า” เราจะต้องรับไฟจากพระเจ้าเพื่อการฟื้นฟูใจ
2.
รักษาไฟการทรงสถิต
ไฟแห่งการทรงสถิต
หมายถึง ไฟที่อยู่ภายในชีวิตของเรา
ในสมัยพระคัมภีร์เดิมปุโรหิตจะเข้าไปในพลับพลา
เพื่อรักษาไฟที่แท่นบูชาให้ติดอยู่เสมอไม่ให้มอดดับไป (ลนต. 6:13)
สิ่งเหล่านี้สัญลักษณ์ที่เล็งถึงชีวิตของเรา
เมื่อเราตัดสินใจเชื่อวางใจในพระคริสต์แล้ว พระวิญญาณทรงประทับในชีวิตของเรา
เป็นภาพของการจุดไฟที่คันประทีป(Menorah)และมีการเติมน้ำมันอยู่เสมอ
เราจะต้องรักษาไฟพระวิญญาณนี้ไม่ให้มอดดับลงไป
ปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของโลกในเทศกาลเพ็นเทคอสต์
ที่บันทึกไว้ในพระธรรมกิจการฯ บทที่ 2:1-20 ไฟของพระวิญญาณเทลงมา
บรรดาสาวกก็เต็มล้นด้วยพระวิญญาณมีอาการควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนการเมาเหล้าองุ่น
มีการพูดภาษาแปลกๆ และมีการฟื้นฟูใหญ่ ข่าวประเสริฐแพร่ออกไปทั่วโลก
ไฟแห่งฤทธิ์เดชในวันเพ็นเทคอสต์
เป็นกิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงปรากฏ 2 ลักษณะตามการงานของพระองค์
ลักษณะแรก
คือ
การเคลื่อนไหวเหนือบรรยากาศโลกทรงควบคุมทุกเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของมนุษย์ทางภายนอก ในภาษากรีกใช้คำว่า
“เพลโท (Pletho)” เป็นไฟแห่งการฟื้นฟู เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์เป็นครั้งเป็นคราว
สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ (Phenomenal) ไม่ใช่เหตุการณ์ (Event)
เราจะเห็นได้ว่ามีอาการแปลกๆ เช่นการเมาเหมือนเมาหล้าองุ่น การพูดภาษาแปลกๆ
สิ่งเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นเมื่อพระเจ้าต้องการให้มีการฟื้นฟู
ลักษณะที่ 2 คือ เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าสู่ภายใน
ภาษากรีกใช้คำว่า “เพลรู (Pleroo)” หมายถึง การทรงสถิตเข้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเข้าไปแล้วจะสถิตอยู่อย่างถาวร โดยจะค่อยๆ
เพิ่มพูนขึ้น
หากเรามีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า
การทรงสถิตจะเพิ่มพูนขึ้นมีสภาวะที่ปรากฏคือ อุปนิสัยจิตใจจะเปลี่ยนไป
โดยที่สำแดงออกซึ่งพระฉายของพระองค์
สำแดงออกมาเป็นผลพระวิญญาณ 9 ประการ (กท.5:22-23)และนำการปลดปล่อยออกมาเป็นของประทานพระวิญญาณเพื่อการรับใช้ (1คร.12:28-30,รม.12:6-10)
ดังนั้นเราจึงต้องรักษาไฟแห่งการทรงสถิต(Pleroo)ให้เต็มล้นเพื่อจะส่งต่อไฟแห่งการฟื้นฟูใหญ่ (Pletho) เพื่อพระเจ้าจะทำมาซึ่งการพลิกฟื้นชุมชนของเรา(Transformation)
เราไม่ต้องรอคอยการฟื้นฟูเพราะการฟื้นฟูมาแล้ว
ตั้งแต่ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณฯที่เทลงมาเหนือผู้เชื่อและผู้เชื่อออกไปส่งต่อไฟแห่งการฟื้นฟูไปทั่วโลก
จนมาถึงเราทั้งหลาย เราจึงต้องรักษาไฟแห่งการทรงสถิต(Pleroo)ให้เต็มล้นเพื่อจะส่งต่อไฟแห่งการฟื้นฟูใหญ่ (Pletho) เพื่อพระเจ้าจะนำมาซึ่งการพลิกฟื้นชุมชนของเรา(Transformation)
การฟื้นฟูยิ่งใหญ่จึงเริ่มต้นจากหัวใจที่ใหญ่ยิ่งที่ถ่อมใจยอมให้พระเจ้าทรงใช้หัวใจที่ยิ่งใหญ่มาจากหัวเข่าที่ถ่อมลงร่วมกันอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูใหญ่จะมาสู่พื้นที่ที่เราอยู่
ผู้รับใช้พระเจ้า เอ็ดวิน
ออร์ (Edwin Orr)
กล่าวว่า “เมื่อพระเจ้าจะทำการฟื้นฟูใหญ่
พระองค์จะเตรียมคนของพระองค์สำหรับการอธิษฐานเสมอ”
ตัวอย่างเช่น ชุมชนโมราเวียน( Moravians) จัดเวรยามเพื่ออธิษฐานร่วมกัน 24ชม.จำนวน 7 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกันถึง 127 ปี ชุมชนนี้จึงกลายเป็นฐานการส่งออกมิชชันนารี มีมิชชันนารีถูกส่งออกไป
226 คน ส่งผลกระทบออกไปทั่วโลก แม้กระทั่งจอห์น เวสเลย์ (John
Wesley) นักเทศนาฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ก็ได้รับการฟื้นฟูจากชุมชนนี้เช่นกัน
ในปัจจุบันนี้การอธิษฐานแบบ 24/7 มีปรากฏที่ประเทศเกาหลีใต้ ในปี ค.ศ.1973 เดวิด ยอง กี โช ได้เริ่มก่อตั้งภูเขาอธิษฐานที่มีการอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน มีคนเป็นล้านได้ไปที่ภูเขาอธิษฐานคริสตจักรท่านได้เติบโตมีสมาชิกกว่า1 คนเป็นคริสตจักรที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันนี้ นี่คือการรักษาไฟแห่งการฟื้นฟูที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องแต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น นั่นคือ
ในปัจจุบันนี้การอธิษฐานแบบ 24/7 มีปรากฏที่ประเทศเกาหลีใต้ ในปี ค.ศ.1973 เดวิด ยอง กี โช ได้เริ่มก่อตั้งภูเขาอธิษฐานที่มีการอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน มีคนเป็นล้านได้ไปที่ภูเขาอธิษฐานคริสตจักรท่านได้เติบโตมีสมาชิกกว่า1 คนเป็นคริสตจักรที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันนี้ นี่คือการรักษาไฟแห่งการฟื้นฟูที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องแต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น นั่นคือ
3.
ส่งไฟแห่งการฟื้นฟู (กจ.1:8 ,กจ.2)
จากพระธรรมกิจการฯ บทที่ 2 เกิดการฟื้นฟูใหญ่ไปทั่วโลก ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงจุดไฟด้วยพระวิญญาณซึ่งเป็นไฟภายในใจของเรา
(pleroo) เราจะต้องส่งไฟแห่งการฟื้นฟูซึ่งเป็นไฟภายนอก(pletho) ออกไป การฟื้นฟูต้องเริ่มต้นจากคุณภาพชีวิตภายในก่อน ไม่ใช่เน้นปริมาณภายนอก เราอาจจะมีปริมาณแต่อาจจะไม่มีคุณภาพ แต่ถ้าเรามีคุณภาพสิ่งที่จะตามมาคือปริมาณ
คริสตจักรส่วนใหญ่สนใจในสถิติ
แต่คริสตจักที่เป็นถุงหนังน้ำองุ่นใหม่จะเราสนใจใน “การทรงสถิตมากกว่าสถิติ”ตัวเลข
เมื่อคริสตจักรมีคุณภาพจะมีการฟื้นฟูที่เป็นปริมาณที่เป็นผลแสดงออกมา
การฟื้นฟูที่แท้จริงต้องส่งต่อไปสู่คนรุ่นที่สาม ไม่ใช่การฟื้นฟูหมดที่คนรุ่นแรก ดังนั้นคริสตจักรจึงต้องเตรียมคนรุ่นต่อไปที่จะส่งต่อการฟื้นฟูครั้งต่อไป
เราเห็นได้ตัวอย่างจากอาโรน
มหาปุโรหิต ที่ผิดพลาดในการเลี้ยงลูกของท่าน 2 คนและบุตรของท่านได้นำไฟต้องห้ามไปบูชาพระเจ้าทำให้เกิดการพิพากษาจากพระเจ้า(ลนต.10:1-2) มันเป็นวิกฤตร้ายแรงมาก หากรุ่นหนึ่งได้รับไฟแห่งการฟื้นฟูแต่ไฟแห่งการฟื้นฟูมอดดับไปในรุ่นถัดไป
เราจะต้องเชื่อว่านี่จะเป็นเวลาที่สำคัญของประเทศไทย
หลังจากค่ายไฟแห่งการฟื้นฟู 2013 (Revival Fire camp)
ขอหนุนใจให้เราได้รักษาชีวิตในการรักษาไฟแห่งการทรงสถิตและส่งต่อการฟื้นฟูไปสู่ผู้อื่น
ไม่ใช่แค่จบลงในค่ายเท่านั้น
แต่คาดหวังและเคลื่อนไปสู่วาระเวลาแห่งปีการอัศจรรย์ของพระเจ้าร่วมกันในปีนี้
เราจะเป็นผู้ที่รับไฟแห่งการฟื้นใจ
รักษาไฟแห่งการทรงสถิตและส่งไฟแห่งการฟื้นฟูของพระเจ้าออกไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น