17 พฤศจิกายน 2555

บันทึกการเดินทางอิสราเอล(7)

สวัสดีครับเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน  บทความในครั้งนี้ผมขอแบ่งปันถึงเรื่องบันทึกการเดินทางอิสราเอลซึ่งได้เล่าให้ฟังต่อเนื่องมาเป็นตอนที่ 7 แล้วนะครับ  ครั้งนี้คณะของเราอยู่ในช่วงวันอังคารที่ 4 ก.ย. 2012 ซึ่งเป็นวันรองสุดท้ายก่อนที่คณะของเราก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย

บรรดาประชาชาติมาอธิษฐานที่กำแพงเยรูซาเล็ม
คณะของเราเดินทางจากโรงแรมที่พัก เดินทางไปที่กำแพงกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปอธิษฐาน กำแพงกรุงเยรูซาเล็มหรือที่เรียกันว่า "กำแพงร้องไห้ (Wailling Wall)"นี้คือส่วนที่หลงเหลือของพระวิหารจากการทำลายโดยทหารโรมัน ในสมัยก่อนนั้นภูเขาพระวิหาร (Temple Mount)ตั้งอยู่ยอดเขาโมริยาห์ ที่อับราฮัมถวายอิสอัค(ปฐก22.2) และเป็นที่ที่กษัตริย์ดาวิดได้ซื้อลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุสเพื่อสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า (2ซมอ 24.16-25) ต่อมากษัตริย์โซโลมอนได้สร้างพระวิหารหลังแรกบนยอดเขาโมริยาห์ ต่อมาถูกทำลายโดยบาบิโลนและสร้างขึ้นใหม่สมัยของจักรพรรดิ์เฮโรด แต่ก็ไม่สวยงามและยิ่งใหญ่เท่าสมัยกษัตริย์โซโลมอน จนถูกทำลายโดยทหารโรมันในปีค.ศ 70  ปัจจุบันมีแนวคิดของชาวยิวที่ได้เตรียมการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ขึ้นนับจากเมื่อมีการรวมตัวขึ้นเป็นประเทศอิสราเอล ค.ศ.1948 ผมคิดว่าหากมีการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 นั่นเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการนับถอยหลังสู่วาระสุดท้ายของโลก สิ่งที่สำคัญมากกว่าการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 คือการสร้างพระวิหารที่ประทับของพระวิญญาณฯ เราทุกคนเป็นดังศิลาที่กำลังถูกสร้าง เพื่อรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์
ถ่ายภาพกับรูปปั้นกษัตริย์ดาวิด

คณะของเราได้มาอธิษฐานร่วมกันที่กำแพง เราได้เห็นบรรดาประชาชาติต่างๆ มาอธิษฐานที่นี่กันอย่างเนืองแน่น เพื่อขอสันติภาพจงมีแต่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
หลังจากที่แต่ละท่านแยกย้ายกันไปอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวแล้ว
เราก็กลับมารวมตัวกันเพื่อจะเดินทางไปที่นำท่านเดินทางที่ภูเขาซีโยน(Zion) สุสานของกษัตริย์ดาวิด (King David”s Tomb) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่นอน แต่เป็นการระลึกถึงลักษณะของสุสานของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ทุกเทศกาลเพ็นเทคอสต์หรือ ชาวูโอต(คือ 50 วันหลังจากเทศกาลปัสกา)ชาวยิวจะมาจุดเทียน 150 เล่มเพื่อระลึกถึงกษัติรย์ดาวิดผู้ประพันธ์พระธรรมสดุดี 150 บทที่ชาวยิวใช้ในการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในทุกวันสะบาโต
Upper room
หลังจากนั้นคณะของเราเดินทางที่ห้องชั้นบน(Upper room)ซึ่งเป็นห้องอาหารมื้อสุดท้าย (Last Supper)สถานที่ที่พระเยซูทรงร่วมรับประทานอาหารกับเหล่าสาวก และเป็นสถานที่ที่เหล่าสาวกจำนวน 120 คน (กจ.2)ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์ ณ ที่นี้คณะของเราได้ใช้เวลาอธิษฐานและฟังเสียงการเคลื่อนไหวของพระวิญยาณฯ สถานที่นี้เต็มไปด้วยบรรยากาศการทรงสถิตจริงๆ

เมื่อเราอธิษฐานกันเสด็จแล้ว เราเดินทางสู่บ้านของปุโรหิตคายาฟาส (มธ.26:57)สถานที่ที่พระเยซูถูกจับมาไต่สวน และพระองค์ถูกขังไว้ให้โดดเดี่ยว ณ ที่นี้ มองโดยบรรยากาศรอบๆแล้ว ช่างน่าเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง พวกเขาได้จับพระเยซูคริสต์หย่อนลงไปในห้องมืดด้านล่าง ที่จริงแล้วห้องนั้นเป็นห้องที่ใช้เพื่อทิ้งขยะ พระเยซูคริสต์ต้องถูกทิ้งโดยไม่มีผู้ใดเห็นคุณค่า ทั้งที่พระองค์ทรงเห็นคุณค่าเราทั้งหลาย พระองค์ยอมมาตายไถ่บาปเพื่อเราทั้งหลาย  บทเพลงสดุดีถูกอ่านโดยอ.นิมิต และเราได้อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระเยซูคริสต์ที่ยอมรับความผิดบาปแทนเราทั้งหลาย พระองค์ยอมทนทุกข์ อับอายและอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อทำให้เราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า
สดด.22:1-31
1 พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์
2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลในเวลากลางวัน แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบ ถึงกลางคืนข้าพระองค์ยังร่ำทูลต่อไปไม่หยุด
3 ถึงอย่างไรพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ พระองค์ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล
4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์เขาทั้งหลายวางใจ และพระองค์ทรงช่วยกู้เขา
5 เขาร้องทูล พระองค์ก็ทรงช่วยเขาให้รอด เขาวางใจในพระองค์ เขาจึงมิได้รับความอับอาย ...
27 ที่สุดปลายทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกจะจดจำ และหันกลับมายังพระเจ้า และตระกูลทั้งสิ้นของบรรดาประชาชาติ จะนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์...
31 และประกาศการช่วยกู้ของพระองค์ แก่ชนชาติหนึ่งที่ยังมิได้เกิดมา ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการนั้น
บ้านของปุโรหิตคายาฟาส
เราได้เดินทางต่อไปสถานที่ซึ่งเป็นลานที่อัครสาวกเปโตรปฏิเสธพระเยซูก่อนไก่ขัน 3 ครั้ง ปัจจุบันเป็นโบสถ์ St. Peter in Gallicantu 
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจเราทั้งหลายที่เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ แม้แต่ผู้ที่เป็นอัครสาวกผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซูคริสต์ เห็นการอัศจรรย์มากมายผ่านพระหัตถ์ของพระเยซู แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่่ยากลำบาก ทหารโรมันจะมาจับตัวไปขัง แม้แต่ท่านเปโตรยังปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซูเพื่อเอาตัวรอดจากการจับกุม
โบสถ์ St.Peter in Gallicantu
ดังนั้นชีวิตของเราของเช่นเดียวกันอย่าคิดว่าเรามั่นคงดีแล้ว เกรงว่าวันหนึ่งเมื่อมีการทดสอบมาถึงเราจะปฎิเสธพระเยซูคริสต์
1โครินธ์ 10:12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
เราได้พักรับประทานอาหารกลางวันและไปตลาดสดย่านเมืองเก่า Old Jaffa เพื่อซื้อของฝาก 

ตลาดสดย่านเมืองเก่า Old Jaffa
 เราใช้เวลาเดินจับจ่ายซื้อของที่นี่สักพักใหญ่ สินค้าส่วนใหญ่ที่เราซื้อคือของที่ระลึก เพราะที่นี่มีให้เลือกหลากหลายมาก แต่เราต้องเจรจาต่อรองสินค้าดีๆ บางร้านก็ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะร้านค้าของพี่น้องนอกความเชื่อแบบยิว ดังนั้นต้องเดินทางไปเป็นกลุ่มย่อยๆ อย่าไปคนเดียวเพราะอาจเป็นอันตรายได้

ทุ่งหญ้าคนเลี้ยงแกะ&ทุ่งนาโบอาส

หลังจากนั้นคณะของเราเดินทางสู่เมืองเบธเลเฮ็ม(Bethlehem)สถานที่ประสูติของพระเยซูคริสต์ ดินแดนที่ครอบครองโดยปาเลสไตน์  เราได้เดินทางไปชมทุ่งหญ้าคนเลี้ยงแกะ(Shepherd’s Field ) สถานที่ที่ทูตสวรรค์มาบอกข่าวการประสูติของพระเยซูแก่คนเลี้ยงแกะ(ลก.2) บริเวณนั้นจะมีถ้ำเป็นที่หลบความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว  ดังนั้นบรรยากาศที่เบธเลเฮ็มจะหนาวเย็นมากในฤดูหนาว จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าพระเยซูคริสต์จะประสูติในช่วงฤดูหนาว
เพราะไม่มีใครจะนำแกะออกมาเลี้ยงในฤดูหนาว 
สำหรับผมเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ประสูติในช่วงฤดูหนาว ในวันที่25 ธันวาคม เพราะเทศกาลคริสต์มาสนั้นจักรพรรดิ์โรมันได้ตั้งเทศกาลนี้ขึ้นเพื่อให้ชาวโรมันได้ฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์แทนการบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ตามความเชื่อของโรมัน เพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพระเยซูคริสต์ประสูติในช่วงใด

(สามารถบทความเรื่อง ความเข้าใจและหลักปฏิบัติในเทศกาลคริสต์มาส ได้เพื่อความเข้าในเรื่องการประสูติที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์)

The Church of Nativity
บริเวณนั้นมีทุ่งนาของโบอาส ดินแดนโมอับ ปัจจุบันคือจอร์แดน เราได้ชมทุ่งนาที่เชื่อว่าสมัยก่อนเคยเป็นทุ่งนาของโบอาส สถานที่นางรูธไปเก็บข้าวตกเพื่อนำมาเลี้ยงคุณแม่สามี จนได้พบรักกับโบอาสและรูธนี่เองแม้เธอเป็นคนชาวโมอับแต่เธอได้เป็นย่าทวดของกษัตริย์ดาวิด  เพราะเหตุที่เธอถ่อมใจเชื่อฟังเธอจึงอยู่ในแผนการไถ่ของพระเจ้า
บริเวณใกล้เคียงจะเป็น The Church of Nativity ซึ่งสร้างครอบสถานที่ประสูติของพระเยซู เป็นสถานที่ที่ถูกเก็บรักษาให้รอดพ้นจากการถูกทำลายจากผู้ครอบครองดินแดนนี้อย่างน่าอัศจรรย์  เราได้เข้าไปชมความสวยงามในการก่อสร้าง ภายในจะมีข้อความเขียนว่า "Gloria in excelsis Deo" เป็นภาษา Latin หมายถึง พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด"Glory to God in the highest")
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับโลกนี้ คือพระเยซูคริสต์
ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
  
แม้ว่าพระเยซูคริสต์จะไม่ได้ประสูติในช่วงเทศกาลคริสตมาส แต่พระองค์เป็นดั่งของขวัญสำหรับเทศกาลคริสตมาส ที่เราควรจะมอบให้กันและกัน
ในเทศกาสคริสต์มาสถือว่าเป็นโอกาสของการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะเป็นเวลาที่คนเปิดใจใน เรื่องของพระเยซูคริสต์ 
สำหรับคริสตชนแล้ว เราไม่ควรจะมาถกเถียงกันในเรื่องวันประสูติของพระเยซูคริสต์ วันที่สำคัญมากกว่าวันเกิด คือ วันที่พระเยซูจะกลับมาต่างหากที่เราควรจะเตรียมชีวิตของเราให้พร้อมเสมอ เพื่อรอรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ 
เบธเลเฮ็มเป็นเพียงบ้านเกิดที่เป็นบ้านชั่วคราว  แต่พระเยซูคริสต์จะมาเพื่อรับเราทั้งหลายไปสู่บ้านที่แท้จริงชั่วนิรันดร์บนสวรรค์
เมืองเบธเลเฮ็ม มีสินค้าพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อคือ ผลิตภัณฑ์จากไม้มะกอกเทศ   เราได้ไปอุดหนุนซื้อสินค้าที่ทำโดยฝีมือของพี่น้องชาวยิวผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์(Messianic Jew) พวกเขาน่ารักมาก มีอัธยาศัยดีแม้อยู่ท่ามกลางผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ต้องเผชิญการข่มเหง พวกเขาพาไปที่ห้องทำงานและสาธิตการทำผลิตภัณฑ์จากไม้มะกอกเทศ  และคณะของเราก็เดินทางกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักที่ Leonardo Inn 
ผลิตภัณฑ์จากไม้มะกอกเทศเมืองเบธเลเฮ็ม
เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจตลอดทั้งวันนี้
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอีกวันหนึ่งที่ได้อยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา

บทความครั้งหน้า เป็นการบันทึกการเดินทางอิสราเอลในตอนสุดท้ายแล้วนะครับ คณะของเราจะเดินทางไปอนุสรณ์สถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์(The Holocaust) สถานที่ที่จะทำให้เราต้องรักและยืนเคียงข้างกับประเทศอิสราเอล โปรดติตามครั้งหน้านะครับ
ชาโลม ขอพระเจ้าอวยพระพร

(สามารถกลับไปอ่านในครั้งที่ผ่านมาได้ตาม link นี้นะครับ ครั้งที่ 1,2,3,4,5 และ 6)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น