02 ตุลาคม 2555

บันทึกการเดินทางอิสราเอล(2)

ทหารอิสราเอลมารายงานตัวเพื่อกล่าวปฏิญาณ
สวัสดีครับสำหรับเพื่อนๆผู้อ่านทุกท่าน ครั้งนี้ผมขอแบ่งปันในเรื่องบันทึกการเดินทางอิสราเอล เป็นตอนที่ 2 ครับ
(สามารถอ่านตอนที่ 1ได้นะครับที่ บันทึกการเดินทางอิสราเอล(1))
ครั้งที่ผ่านมา เป็นการเดินทางตามการทรงสถิตของพระเจ้า (Divine presence) จากชิโลห์ ไปเบธเอล มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เราได้เดินทางมาถึงเยรูซาเล็มในวันที่ 29ส.ค.โดยมาพักที่โรงแรม  Leonardo Inn Hotel คำว่า Leonardo ในที่นี้คือ Leonardo da Vinci จิตกรชื่อดังชาวอิตาลี ไม่ใช่ Leonardo Dicaprio พระเอกชื่อดังจากเรื่อง "ชู้รักเรือล่ม"(Titanic) แค่สัญลักษณ์โรงแรมก็เป็นภาพกายวิภาค Vitruvian man นอนแผ่สองสลึงเป็นเครื่องหมายการค้าของ Leonardo da Vinci
เราได้พักที่นี่ 2 คืน ก่อนที่จะย้ายไปพักที่ Hukuk Kibbutz(คิบบุท ชุมชนที่อยู่ของคนยิว)เมืองทิเบเรียส ในคืนวันที่ 31ส.ค.ร่วมกับคณะที่เดินทางตามมาสมทบ
รถรางในกรุงเยรูซาเล็ม
ดังนั้นในช่วง 2 วันที่กรุงเยรูซาเล็ม เราจึงได้เดินทางไปชมรอบๆ เมือง เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถรางชมเมือง ไปตลาดนัดซื้อของ  ได้เห็นวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนยิว 
กรุงเยรูซาเล็ม(Jerusalem)יְרוּשָׁלַיִם‎‎ ในภาษาฮีบรู อ่านว่า "ยะรูซาลาอิม" หมายถึง "นครแห่งสันติภาพ" ดังคำอธิษฐานที่เราต้องอธิษฐานให้เกิดสันติภาพ ความสงบสุขในกรุงเยรูซาเล็ม
สดุดี 122:6 จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็ม ว่า "ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ"
ภารกิจของเราในกรุงเยรูซาเล็ม คือการไปเพื่อรายงานตัวต่อพระเจ้าในฐานะคนเลวี ผู้รับใช้ของพระเจ้า
นครของดาวิด
ก่อนที่เราจะไปที่นั่น เราได้ไปที่นครของดาวิด (City of David)  นครดาวิด (City of David) เดิมเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ที่กษัตริย์ดาวิดได้ตั้งเป็นเมืองหลวงโดย ยึดครองมาได้จากชาวเยบุสเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว โดยส่งทหารกล้าคือ โยอาบ เข้าไปทางอุโมงค์ซึ่งเป็นทางน้ำพุกิโฮน เพื่อโจมตีคนเยบุสและยึดตั้งเป็นนครของดาวิด
1พศด.11:5-6
5ชาวเมืองเยบุสทูลดาวิดว่า "พระองค์จะเสด็จเข้ามาที่นี่ไม่ได้" อย่างไรก็ดี ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งคือศิโยนไว้ คือนครของดาวิด
6 ดาวิดรับสั่งว่า "ผู้ที่โจมตีคนเยบุสได้ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าและผู้บังคับบัญชา" และโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ได้ยกขึ้นไปก่อน ท่านจึงได้เป็นหัวหน้า 
หากศึกษาทางประวัติศาสตร์ตามพระคัมภีร์สถานี่ที่กษัตริย์โซโลมอนได้รับการเจิม(1พกษ.1:38–39)นอกจากนี้อุโมงค์นี้เป็นอุโมค์ส่งน้ำที่สร้างในสมัยกษัตริย์เฮเซคียาห์ที่นำน้ำจากนอกกำแพงมาไว้ที่สระสิโลอัม(2พศ​ด.32:30)
ความอัศจรรย์คือ ผู้ที่ขุดอุโมงค์จากปลายทางและต้นทางสามารถขุดมาบรรจบกันโดยการทรงนำของพระเจ้า เพราะในช่วงเวลานั้นไม่มีการสื่อสารเหมือนดังยุคปัจจุบัน ในการไปวันแรกที่อุโมงค์นี้ เรายังไม่ได้เข้าไปเพราะเราจะร่วมสมทบกับคณะที่เดินทางตามมาและจะเข้าในอุโมงค์นี้ด้วยกัน เราจึงได้แต่เดินชมบริเวณรอบนอก
นครของดาวิดนี้เป็นเมืองที่มีความสวยงาม มองจากมุมสูงจะมองเห็นทิวทัศน์รอบๆกรุงเยรูซาเล็ม แต่มีมุมหนึ่งที่ในสมัยโบราณเป็นวังของเหล่ามเหสีของกษัตริย์ซาโลมอน

ร่วมนมัสการที่นิเวศอธิษฐาน

สิ่งที่เป็นข้อคิดเตือนใจคือ ในสมัยกษัตริย์ซาโลมอน ซาโลมอนได้สร้างที่พักให้กับเหล่าๆมเหสีทั้งเจ็ดร้อย และนางห้ามสามร้อยของท่าน(1พกษ.11)และสถานที่นี้เอง พวกนางได้ทำการนมัสการพระเทียมเท็จของเธอ ลองจินตนาการว่าในสมัยนั้นบนเนินเขาเป็นที่ตั้งของพระวิหารที่นมัสการพระเจ้า แต่ที่ราบเชิงเขามีการนมัสการพระเทียมเท็จ และพวกนางเหล่านี้เองที่ทำให้กษัตริย์ซาโลมอนหันเสียจากทางของพระเจ้า

เมื่อเราเดินทางจากนครดาวิด เราได้มีโอกาสไปที่นิเวศอธิษฐาน (House of prayer)ของอ.John และ Una Gere แต่ท่านทั้งสองไม่อยู่เพราะเดินทางไปต่างประเทศ เราจึงได้พบกับอ.Winny และอ.KIm จึงได้ร่วมนมัสการและท่านได้อธิษฐานปลดปล่อยถ้อยคำการเผยพระวจนะให้กับพวกเราทุกคนที่ไป และนี่เองที่ทำให้เรารู้ว่า นิเวศอธิษฐานเป็นสิ่งที่สำคัญในช่วงยุคสุดท้ายที่เราจะต้องมีการอธิษฐานเผื่ออิสราเอลและประชาชาติ
อสย.56:7 คนเหล่านี้เราจะนำมายังภูเขาบริสุทธิ์ของเราและกระทำให้เขาชื่นบานอยู่ในนิเวศอธิษฐานของเราเครื่องเผาบูชาของเขาและเครื่องสักการบูชาของเขาจะเป็นที่โปรดปรานบนแท่นบูชาของเรา เพราะนิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน สำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย

หลังจากเสร็จภารกิจที่นิเวศอธิษฐาน เราได้เดินทางไปที่จุดศูนย์กลางของเยรูซาเล็ม นั่นคือ ที่ภูเขาพระวิหาร (Temple Mount)หรือยอดเขาโมริยาห์ ที่อับราฮัมถวายอิสอัค. (ปฐก22.2)ซึ่งต่อมากษัตริย์โซโลมอนได้สร้างพระวิหารหลังแรกบนยอดเขาโมริยาห์

แต่หลังจากนั้นพระวิหารถูกทำลายโดยพวกบาบิโลนในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต่อมาเมื่อกษัตริย์ไซปรัสอนุญาตให้เอสราและเนหะมีย์ นำคนยิวกลับมาสร้างพระวิหารและซ่อมแซมกำแพงเยรูซาเล็ม โดยมีเศรุบาเบลเป็นผู้มอบถวายพระวิหารหลังที่สองใน ปี 515 ก่อนคริสตกาล  ต่อมาในปี ค.ศ 37 เฮโรดได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ยูดาห์ได้ทำการ
ซ่อมแซมและขยายบริเวณพระวิหารอย่างอลังการใช้เวลาสร้างถึง 46 ปี ) แต่ต่อมาในปี ค.ศ 70 ก็ถูกทหารโรมันทำลายพระวิหารทั้งสิ้น ตามคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์(ยน2.20) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสุเหร่าทองคำ(Dome of the Rock)สร้างโดยสุลตาน คาลิโอมาร์ ในปี ค.ศ.624 ดังนั้นสถานที่นี้มีความสำคัญเป็นศูนย์รวมของ 3 ศาสนาคือ ยูดาย,อิสลามและคริสต์
ซากกำแพงที่เหลือนี้เองจึงเป็นเหตุที่ทำไมชาวยิวจึงเรียกกำแพงกรุงเยรูซาเล็มด้านฝั่งตะวันตกนี้ว่า "กำแพงร้องไห้ (wailing wall)" เพราะนี่คือกำแพงด้านตะวันตกของพระวิหารหลังที่สองที่เหลืออยู่ มันเป็นเพียงแค่ 1ส่วนใน 8 ส่วนของพระวิหารที่พวกเขารัก

ชาวยิวทั่วโลกถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและโดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาจะมีชาวยิวมากมายเดินทางมาอธิษฐานร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าอย่างเนืองแน่น เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้พระวิหารเดิมที่สุด
ในวันที่เราไปนั้นเป็นวันที่เหล่าทหารกองกำลังพิทักษ์อิสราเอล(IDF- Israel Defense Forces)เดินทางมารายงานตัวเพื่อกล่าวปฏิญาณตนต่อหน้ากำแพงร้องไห้ เพื่อแสดงถึงการเป็นทหารที่อยู่ภายใต้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาที่พระองค์ทรงเป็น "พระยาห์เวห์ สะบาโอธ"(Yahweh Sabaoth)จอมพลโยธาที่ปกป้องดินแดนของพวกเขา
ในวินาทีนั้นผมสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า และท่านอาจารย์นิมิตได้ให้เราได้อธิษฐานและรายงานตัวต่อพระองค์ที่นี่  ในใจผมกล่าวว่า "พระเจ้าครับ ผมขอเป็นทหารของพระองค์ที่มายืนอยู่ในกองประจำการของพระองค์ ผมพร้อมแล้วที่จะอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณและมีชัยชนะร่วมกับพระองค์"
ในเย็นวันนี้เราได้เข้าไปในอุโมค์ใต้กำแพง (Western Wall Tunnel)ซึ่งทางรัฐบาลอิสราเอลได้ขุดเพื่อที่จะเข้าไปยังจุดที่ใกล้กับห้องอภิสุทธิ์สถานซึ่งเป็นที่เก็บหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่นั่น

สัมผัสการทรงสถิตในอุโมค์กำแพง
(Western Wall Tunnel)


วันนี้การเดินทางตามการทรงสถิตของพระเจ้า (Divine presence)นั่นคือหีบพันธสัญญา จากชิโลห์ ไปเบธเอล มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เรากำลังจะเข้าไปในอุโมค์ใต้กำแพงเพื่อสัมผัสการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด สรรเสริญพระเจ้า!
ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้า เราได้ผู้ที่บรรยายท่านเป็นรับบี(ผู้สอนศาสนายิว)ชื่อว่า "ดาวิด"
(กษัตริย์ดาวิดคือผู้ที่นำหีบพันธสัญญากลับมาสู่กรุงเยรูซาเล็ม) ท่านรับบีได้อธิบายความหมายต่างๆภายในอุโมงค์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เราทุกคนมีความเข้าใจกระจ่างชัด 
จุดสำคัญที่สุดของอุโมงค์ คือ จุดที่ใกล้ชิดกับห้องอภิสุทธิ์สถานซึ่งเป็นที่เก็บหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ตรงนั้นเราได้วางมือบนก้อนหินซึ่งมีขนาดใหญ่โตมากต้องใช้คนประมาณ 13 คนกางแขนโอบ เราจึงสัมผัสที่จุดนั้นและอธิษฐาน ไม่ต้องแปลกใจเลยน้ำตาจากตาของเราทุกคนไหลออกมาอย่างพรั่งพรูด้วยความตื้นตันใจในพระทัยของพระบิดาที่เราได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ในวันนี้
แม้ว่าเวลาจะนานผ่านไปกว่า 2,000 ปีแต่การทรงสถิตของพระเจ้ายังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย เหมือนเมื่อเราฉีดสเปรย์น้ำหอมในห้อง กลิ่นหอมยังคงติดจมูกของเรา แม้เวลาจะผ่านไปเป็นชั่วโมง แต่นี่คือกลิ่นหอมแห่งพระคุณและความโปรดปรานที่ลูกของพระองค์ได้รับจากหัวใจความเป็นพระบิดาของพระองค์ที่มอบความรอดให้กับเราทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะเราดีเพียงพอและสมควร แต่พระคุณที่มีอย่างพอเพียงของพระองค์
2คร.2:14-15
14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดยพระคริสต์ด้วยความมีชัย และทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
15 เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวาน ที่พระคริสต์ถวายพระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด และคนที่กำลังประสบความพินาศ

เราได้เดินทางต่อภายในอุโมงค์กำแพง ได้ชมวีดีทัศน์การสร้างพระวิหาร เราสัมผัสถึงหัวใจของกษัตริย์ของดาวิดที่มีใจปรารถนาที่จะสร้างที่ประทับให้กับพระเจ้า แม้ว่าท่านจะไม่สามารถสร้างได้ด้วยตัวของท่านเองเพราะท่านเป็นนักรบที่มือเปื้อนเลือด( 1พศด.28:3)ท่านได้จัดเตรียมทุกสิ่งที่จะทำได้ และส่งต่อให้กับพระโอรสของท่านคือซาโลมอนในการสานงานต่อ
งานการก่อสร้างพระวิหารเป็นงานที่ปราณีตและละเอียดละออมาก พวกคนอิสราเอลต้องใช้ความพยายามมากในการเคลื่อนก้อนหินที่ใหญ่มากๆ นำมาสกัด ตกแต่งลายและนำมาสร้างพระวิหาร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสมัยก่อนที่ไม่มีเครื่องมือก่อสร้างที่ทันสมัยเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน


ปัจจุบันนี้ชาวอิสราเอลมีความตั้งใจที่จะสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ขึ้น เพื่อรอรับการเสด็จมาของพระมาซีฮาในวาระสุดท้ายของโลก ในทุกวันนี้พวกเขาได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆในฝ่ายกายภาพอย่างเต็มที่ การสร้างพระวิหารจึงเป็นหมายสำคัญของโลก นั่นหมายถึงการเตรียมเข้าสู่สงครามยุคสุดท้ายและการพิพากษาโลกนี้

แต่สิ่งที่สำคัญคือการสร้างพระวิหารในฝ่ายวิญญาณ นั่นคือเราทั้งหลายเป็นศิลาแต่ละก้อนที่ถูกจัดเตรียมไว้ และพระเจ้ากำลังสร้างชีวิตของเรา เพื่อเป็นพระวิหารของพระองค์ที่มีสง่าราศีเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์

1 ปต. 2:5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
พวกเรายังอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในเมืองนี้ ที่ผมจะเล่าให้ฟังครั้งนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ติดตามอ่านในครั้งต่อไปครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น