10 ตุลาคม 2555

บันทึกการเดินทางอิสราเอล(3)

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งในบันทึกการเดินทางอิสราเอลซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3แล้ว สำหรับการเล่าสู่กันฟังถึงประสบการณ์การเดินทางไปประเทศอิสราเอล
(สามารถอ่านบันทึกการเดินทางอิสราเอล ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ได้ตามที่ link ไว้นะครับ)

สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังคือการเดินทางไปอิสราเอลครั้งนี้ คืออยู่ในช่วงวันศุกร์ที่ 31 ส.ค.12 คณะของผมได้ไปต้อนรับคณะจากกรุงเทพฯที่เดินทางมาถึงสนามบิน ถึงสนามบินเบนกูเรียล(Ben Gurion)กรุงเทลอาวีฟ (Tel Aviv) เราได้ต้อนรับผู้ที่จะบรรยายพิเศษเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ของคณะเรา คือ Dr.Susan Watson(ดร.ซูซาน วัตสัน) หลังจากรวมตัวกันเสร็จแล้ว เราได้เดินทางโดยรถทัวร์ของบริษัท Sar-el ไปสถานที่เรียกว่า "โบราณสถานของเผ่าดาน" (Tel Dan-เทลดาน) ที่ซึ่งเราได้เห็นซากเมืองเก่า และซากแท่นบูชา สถานที่นี้มีความสำคัญที่พระคัมภีร์บันทึกไว้คือ เป็นพื้นที่ของเผ่าดานที่ครอบครองโดยยึดเมืองเลเชม(ยชว.19:47)เมื่อดินแดนคนเผ่าดานหลุดมือเขาไป คนเผ่าดานก็ขึ้นไปสู้รบกับเมืองเลเชม เมื่อยึดได้ก็ประหารเสียด้วยดาบ จึงยึดครองที่ดินและตั้งอยู่ที่นั่น เรียกเมืองเลเชมว่า ดาน ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของตน

คำว่า "ดาน"ในภาษาฮีบรูหมายถึง การพิพากษา ผูัวินิจฉัย("judgement" หรือ "he judged") เป็นชื่อเผ่าหนึ่งของคนอิสราเอล ดานเป็นบุตรของยาโคบกับสาวใช้ของนางราเชล คือ บิลฮาห์
ปฐก. 30:4-6 
4 นางจึงยกบิลฮาห์สาวใช้ของตนให้เป็นภรรยาของยาโคบ ยาโคบก็เข้าไปหานาง
5 บิลฮาห์ก็ตั้งครรภ์กับยาโคบและมีบุตรชาย
6 นางราเชลว่า "พระเจ้าผู้ทรงตัดสินเรื่องข้าพเจ้า ได้ทรงสดับฟังเสียงข้าพเจ้าทูลจึงประทานบุตรชายแก่ข้าพเจ้า" เหตุฉะนี้นางจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าดาน {แปลว่า เขาพิพากษาแล้ว}

แท่นบูชาที่เทลดาน
เผ่าดานเป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงในการช่างเพราะเป็นผู้ที่มีส่วนสร้างพลับพลาในสมัยโมเสส คือ "โอโฮลีอับ"(อพย.31:6)งานช่างที่ใช้ฝีมือละเอียดปราณีต เผ่าดานมีความสามารถทำได้ เรียกว่า "เผ่า Dan Can do"
การไปชม"โบราณสถานของเผ่าดาน" ครั้งนี้ เราได้รับฟังข้อคิดเตือนใจเรา ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ 1พกษ.12 เป็นเหตุการณ์ที่อิสราเอลแตกเป็น 2 อาณาจักรคืออิสราเอล(สะมาเรีย)และยูดาห์ ในสมัยของกษัตริย์เรโหโบอัม โอรสของกษัตริย์ซาโลมอน กษัตริย์เยโรโบอัมนำคนอิสราเอลให้ไหว้รูปเคารพเพราะต้องการที่จะเอาใจประชาชนไม่ต้องการให้เดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะเกรงว่าประชาชนจะหันใจไปหาราชวงศ์ยูดาห์ของกษัตริย์ดาวิด(1พกษ.12:27-30) 27ถ้าชนชาติเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจิตใจของชนชาติเหล่านี้จะหันกลับไปยังเจ้านายของเขาทั้งหลาย คือหันไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ และเขาทั้งหลายจะฆ่าเราเสีย และกลับไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์”  28 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวสองตัวด้วยทองคำ และพระองค์ตรัสแก่ประชาชนว่า “ที่ท่านทั้งหลายขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มนานพออยู่แล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย จงดูพระของท่าน ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์” 29 และพระองค์ก็ประดิษฐานไว้ที่เบธเอลรูปหนึ่ง และอีกรูปหนึ่งทรงประดิษฐานไว้ในเมืองดาน  30 และสิ่งนี้กลายเป็นความบาป เพราะว่าประชาชนได้ไปนมัสการรูปหนึ่ง คือที่เมืองดาน

และสิ่งนี้เอง ทำให้เผ่าดานจึงไม่ถูกกล่าวถึงในพระธรรมวิวรณ์และถูกนับรวมกับเผ่าอิสราเอล 12 เผ่า เพราะพวกเขาได้ทำบาปต่อพระเจ้า

ข้อคิดเตือนใจ คือ เมื่อผู้นำทำผิด คิดที่จะเอาใจคน แทนที่จะเลือกทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะนำคนเดินทางผิด หลงทางจากพระเจ้า  ผลเสียจึงตกมาสู่แผ่นดินและชนชาติ
มาถึงที่ดาน มีบทกลอนท่องจำดังนี้ "มาถึง Dan(ดาน) ให้ทิ้ง Dan หากเลือก Dan ก็จะอยู่ดัก Dan"

สถานที่เทลดานนั้นไม่ได้มีแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่ยังมีสิ่งที่ดีให้จดจำ นั่นคือ ที่ดานนี้เป็นแหล่งแห่งต้นสายของแม่น้ำจอร์แดน(Jordan)เป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงคนอิสราเอล ทั้งประเทศ สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ อุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ 14'C ตลอดทั้งปี

ผมประทับใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอิสราเอล แม้ว่าพวกเขามีความจำกัดในเรื่องน้ำ แต่พวกเขาต้องบริหารจัดการอย่างดี เพื่อจะให้มีน้ำดื่ม น้ำใช้อย่างเพียงพอ หรือไม่ท่วมล้นจนเกินไป เรียกว่า "เอาอยู่" 
ทรัพยากรน้ำ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนอิสราเอลจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะสุดเหยียดของมนุษย์ คือ ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่อวยพร  ดังนั้นคนยิวจึงมีความถ่อมใจเพราะการช่วยเหลือของพระเจ้า

ที่ราบสูงโกลาน (Golan Height)
หลังจากเสร็จภารกิจที่เทลดาน เราเดินทางต่อไปที่ราบสูงโกลาน (Golan Height)เป็นที่ตั้งของฐานทัพที่อิสราเอลใช้ในการต่อสู้กับประเทศอาหรับ เช่น เลบานอน ซีเรีย และจอร์แดน  เป็นจุดเหนือสุดของประเทศอิสราเอล ณ จุดนี้เราจะสามารถเห็นภูเขาเฮอร์โมน(Hermon)ที่กล่าวถึงในสดด.133และเห็นเขตแดนติดต่อประเทศเลบานอนและประเทศซีเรีย
เป็นที่ตั้งของหุบเขาบาคา(สดด.84:6) หุบเขาแห่งน้ำตา (Valley of Tear) ทำไมถึงมีชื่อว่า "หุบเขาแห่งน้ำตา (Valley of Tear)" ทั้งนี้เพราะว่าในเดือน ต.ค.ปีค.ศ.1973 เกิดสงครามที่เรียกว่า "สงครามยมคิปปูร์"(Yom Kippur -เทศกาลลบมลทินบาป -เป็นช่วงเวลาอดอาหารอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า)กับประเทศซีเรีย ในเหตุการณ์นั้นกองทัพซีเรียบุกมาด้วยรถถัง 500 คัน ขณะที่อิสราเอลมีรถถังเพียง 50 คันและน้ำมันเกิดหมดต้องกลับไปเติมน้ำมัน ระหว่างนั้นเมื่อกองทัพซีเรียมาประชิดชายแดน ทหารอิสราเอลที่มีกำลังน้อยกว่าหลายเท่า จึงตัดสินใจบุกเข้าไปโจมตีทั้งที่ไม่มีรถถังต่อสู้ กองทัพซีเรียก็ไม่สามารถยิงปืนใหญ่จากรถถังได้เพราะระยะใกล้มาก จนวิถีของกระสุนเลยกองทัพอิสราเอลไป ผลสุดท้ายพระเจ้าจอมพลโยธา(Yaweh Sabaoth)เป็นผู้ประทานชัยชนะให้กับชนชาติอิสราเอลของพระองค์

นมัสการและอธิษฐานที่โกลาน
ที่ราบสูงโกลาน อาจารย์ซูซานได้นำพวกเราอธิษฐานอวยพรชนชาติซีเรียและนมัสการพระเจ้าที่นี่
แม้ว่าพวกเขาจะมาต่อสู้กับชนชาติของพระเจ้า แต่น้ำพระทัยของพระเจ้าก็รักคนซีเรีย และปรารถนาให้คนซีเรียกลับใจมาหาพระเจ้า

Month of Beatitudes
หลังจากนั้นเราได้เดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยง และเดินทางต่อไปที่เมืองทิเบเรียส(Tiberias)เพื่อไปชมภูเขา(Month of Beatitudes) สถานที่ที่พระเยซูคริสต์เทศนาครั้งแรกเรื่องผู้เป็นสุข(มธ.5:1-12)สถานที่นี้มีโบสถ์รูปทรง 8 เหลี่ยม ซึ่งสร้างเพื่อระลึกถึงคำเทศนาเรื่องผู้เป็นสุขทั้ง 8 ผมชอบสถานที่นี่เพราะได้เดินไปตามริมทะเลสาปกาลิลี สถานที่ที่พระเยซูคริสต์เคยสั่งสอนสาวกที่นี่ และการอัศจรรย์มากมายเกิด ณ สถานที่นี้  คณะของเราได้ใช้เวลาพักสงบและอธิษฐานส่วนตัวตามจุดต่างๆ ผมสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า และคำสอนของพระองค์ที่อยู่ในพระคัมภีร์ดังก้องเข้ามาในห้วงความคิดของผม สิ่งนี้เองที่ทำให้สาวกได้ทิ้งอาชีพของตนเองคือ ชาวประมงและติดตามพระเยซูคริสต์ วันนั้นพระองค์ได้ย้ำให้ผมนึกถึงสิ่งที่พระองค์พูดเชิญสาวกของพระองค์ว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"(มธ.4:19)
ผมพร้อมจะวางทุกสิ่งที่เป็นอาชีพของผมและติดตามพระองค์ตลอดไปครับ

แม้ว่าอยากจะใช้เวลานานๆ ณ สถานที่นี้ แต่ก็หมดเวลาเพราะสวนสาธารณะจะปิด ทำให้เราต้องออกเดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งชื่อว่า "ฮักกุก คิบบุตซ์"(Hukuk Kibbutz-คิบบุตซ์ คือ ชุมชนที่พักของคนยิว)
 
สำหรับ คิบบุตซ์ ผมนึกถึงชุมชนอยู่พอเพียงบ้านเราเลย เพราะในคิบบุตซ์ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ปลูกพืชผักเพื่อรับประทานเอง
ขอบอกตามตรงว่า "ชอบมากกว่าพักที่โรงแรมเสียอีก เพราะได้ชมวัฒนธรรมของคนยิวอย่างใกล้ชิด พวกเขาจะใช้เวลากับครอบครัวในการอ่านพระคัมภีร์โทราห์ และรับประทานอาหารร่วมกันในวันสะบาโต"(ตามธรรมเนียมยิวจะเริ่มต้นเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินในวันศุกร์จนถึงดวงอาทิตย์ตกดินในวันเสาร์)
Hukuk Kibbutz
ในเย็นวันนั้นเป็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นเวลาแห่งการพักสงบหรือที่เรียกว่า "สะบาโต" (Sabbath)หรือบางคนเรียกว่า วัน "สบายตัว" พวกคนยิวจะให้ความสำคัญในวันสะบาโตอย่างมาก เป็นวันหยุดพัก โดยมีการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แม้แต่เครื่องใช้บางอย่างที่ใช้ไฟฟ้าเช่น ลิฟท์ก็ไม่ใช้ ต้องเดินขึ้นลงบันได หรือแม้แต่เครื่องชงกาแฟสดที่เราไปพัก เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ใช้ เป็นต้น
แต่พวกเขาต้อนรับคณะของเราด้วยไวน์องุ่นอย่างดี และมีการอธิษฐานก่อนรับประทานอาหารแบบธรรมเนียมยิว
ดื่มไวน์องุ่นฉลองวันสะบาโต
ในค่ำวันนั้นจึงเป็นค่ำคืนแห่งการพักสงบและฉลองวันสะบาโต จะมีการอวยพรกันและกันว่า "ชาบัท ชาโลม(Shabbat shalom (שַׁבָּת שָׁלוֹם))"หมายถึง "สันติสุขอยู่ท่ามกลางเราในวันสะบาโต" 
ในช่วงเวลาที่เราไปพักที่นี่ มีกิจกรรมสำหรับนักศึกษาจาก USA ที่มีเชื้อสายยิวได้เดินทางมาเข้าค่าย เพื่อได้มาเยี่ยมญาติพี่น้อง นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทั้งหลายจะต้องอธิษฐานนั่นคือ การให้คนยิวกลับสู่บ้าน สู่อ้อมอกของพระบิดาในดินแดนพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับอับราฮัม
ค่าคืนวันนั้น เราแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะเนื่องจากพี่น้องหลายท่านเพิ่งเดินทางมาถึงประเทศอิสราเอลในช่วงเช้า ในวันรุ่งขึ้น เรายังมีภารกิจที่จะต้องเดินทางกันต่อไป
สถานที่เราจะไปในวันเสาร์ที่ 1 ก.ย.12 คือ ไปร่วมนมัสการพระเจ้าในวันสะบาโตที่ O Ha Carmel Congregation –ภูเขาคาร์เมล - เมืองนาซาเร็ธ(บ้านเมืองที่พระเยซูคริสต์อาศัยในวัยเยาว์)

ครั้งต่อไปจะนำเรื่องราวในสถานที่ต่างๆเหล่านี้มา เล่าสู่กันฟัง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น