04 ตุลาคม 2553

เคลื่อนไปพร้อมกับพระเจ้าที่ทรงนำ (Move with the Mover)




การทำสิ่งต่างๆ ในเวลาของพระเจ้า เป็นการตัดสินที่ดีที่สุด เพราะเราเมื่อเราทำสิ่งใดเร็วเกินไปอาจจะผิดพลาดได้หรือทำสิ่งใดช้าเกินไปก็เคลื่อนไปไม่ทันเวลา เนื่องจากไม่ใช่เวลาของพระองค์ แต่คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานี้เป็นเวลาของพระเจ้า?

เราต้องทำความเข้าใจวาระเวลาของพระเจ้าและปรับตารางเวลาของเราให้ตรงกับพระเจ้า พระเจ้าทรงกำหนดช่วงเวลาไว้สำหรับคนของพระองค์ในฤดูกาลต่างๆ หากเราสังเกตและเรียนรู้ เราจะเคลื่อนไปตามเวลาที่เหมาสม

ในเมื่อพระเจ้าทรงจะนำเราไป ทำไมพระองค์จะไม่สำแดงแก่เรา เพียงแต่ตาของเราเห็นไหม และใจของเราเปิดไหม หรือหูของเราฟังไหม และสมองของเราเข้าใจไหม

ในช่วงประวัติศาสตร์ 400 ปี หรือที่เราเรียกว่า “ยุคเงียบ” (ช่วงระหว่างพระธรรมมาลาคี – พระธรรมมัทธิว) เวลานั้นพระเจ้าไม่ได้พูดหรือตรัสกับคนของพระองค์ เราไม่เห็นการทำงานของผู้เผยพระวจนะ การเผยพระวจนะในเวลานั้น

การที่พระเจ้าม่ได้ตรัสสิ่งใด ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าไม่อยู่ด้วย พระองค์อยู่ด้วยในทุกเวลาและทุกสถานที่(omnipresence) แต่การสำแดงของพระเจ้าในช่วงก่อนหน้านั้นก็ครบถ้วนและเพียงพอแล้ว


พระเจ้าทรงมีแผนการแห่งการไถ่ของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ส่ง The Best Body guard คือ ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา เป็นผู้เตรียมทาง และให้ผู้ที่เชื่อรับบัพติพมาที่แสดงถึงการกลับใจใหม่อย่างมากมาย ในท่ามกลางคนอิสราเอล

เห็นว่านั่น คือ ช่วงเวลาของพระเจ้า คนอิสราเอลในเวลานั้นได้ใกล้ชิดกับพระผู้ช่วยให้รอดที่มาบังเกิดและอยู่ท่ามกลางเขา

มีหลายคนที่เชื่อ แต่ก็มีบางคนไม่เชื่อ ไม่คิดว่าเป็นช่วงเวลาของพระเจ้าที่พระมาซีฮาห์จะมาในเวลานั้น เพราะไม่ได้สังเกต สิ่งที่เกิดขึ้น ที่สำเร็จตามคำพยากรณ์

ฟาริสี ธรรมมาจารย์ สะดูสี หรือผู้นำด้านศาสนาในเวลานั้น ไม่เข้าใจหรือตระหนักว่าเป็นเวลาของพระเจ้า จึงพลาดโอกาสครั้งใหญ่

เวลา ไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้อีก ประวัติศาสตร์ไม่ย้อนกลับอีก และไม่สามารถแก้ไขได้

ฉะนั้น ในฐานะผู้เชื่อ เราต้องเข้าใจการเคลื่อนของพระเจ้า เคลื่อนในเวลาของพระเจ้าจะเกิดผลมาก และส่งผลดีต่อพระกายในภาพรวม

ทำความเข้าใจเรื่องการเคลื่อนในเวลาของพระเจ้า

1.พระเจ้ามีตารางเวลาสำหรับทุกสิ่ง

ปัญญาจารย์ 3:1 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์

พระเจ้ามีวาระเวลาสำหรับทุกๆสิ่ง เราต้องตระหนักและไว้ใจในพระเจ้า ฝากไว้กับพระองค์ ในความเป็นมนุษย์ความไว้ใจเราไม่สมบูรณ์ เราจะไว้ใจได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตฝ่ายวิญญาณและประสบการณ์ที่ดีในพระเจ้า แต่เราต้องตั้งใจและไว้วางใจในพระเจ้า และเดินไปในตารางเวลาและแผนการของพระเจ้า อย่าดำเนินชีวิตแบบไร้เป้าหมาย เสียเวลาไปกับสิ่งไร้สาระ ที่อาจจะทำให้เสียคนจนเสียแผนของพระเจ้าในชีวิตของเรา


อิสยาห์ 55:9 "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น"

1โครินธ์ 1:25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์


2.พระเจ้าทรงอยู่เหนือกาลเวลาและทรงมีเอกสิทธิ์


2เปโตร 3:8 แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว

พระเจ้าไม่จำกัดด้วยกาลเวลาและมีเอกสิทธิ์ในการที่จะทำสิ่งใดสิ่งต่างๆ ตามการเห็นชอบพระทัย
พระเจ้าทรงปรารถนากระทำในสิ่งที่ไม่ขัดกับพระลักษณะของพระองค์ที่ทรงบริสุทธิ์ ยุติธรรม ทรงความชอบธรรมและเป็นที่น่ายำเกรง

อิสยาห์ 40:13-14
13 ผู้ใดได้ให้กำหนดแก่พระวิญญาณของพระเจ้า หรือเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ให้คำแนะนำแก่พระองค์
14 พระองค์ทรงปรึกษาผู้ใดเพื่อพระองค์จะทรงรู้แจ้งและผู้ใดสอนทางแห่งความยุติธรรมให้พระองค์ และสอนความรู้แก่พระองค์ และสำแดงให้พระองค์เห็นทางแห่งความเข้าใจ


พระเจ้าไม่จำกัดด้วยเวลาเหมือนกับมนุษย์ ความไม่จำกัดของพระเจ้าจึงเกินความเข้าใจและยากที่จะหยั่งรู้ได้ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ได้พยายามที่จะอธิบายความไม่จำกัดของพระองค์เพื่อให้มนุษย์เข้าใจ โดยทรงถือกำเนินเป็นมนุษย์ที่อยู่ในสภาพจำกัด

แม้เวลาของพระเจ้าไม่จำกัด และไม่เหมือนกับเวลาของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ต้องรู้ได้เลย ฝากไว้กับพระเจ้าในการทรงนำ เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า

ในเมื่อพระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับเราและมีเวลานัดกับเรา ทำไมจะไม่บอกกับเรา ให้เราไปตามนัด

พระเจ้าเปิดเผยสิ่งต่างๆ ให้มนุษย์สามารถรับรู้ได้ เช่น พระเยซูอธิบายถึงเรื่องเวลาของพระเจ้า เป็นคำอุปมาอุปมัยเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และการกลับมาครั้งที่ 2 ของพระองค์

พระเยซูทรงสอนให้เราสังเกตสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้เข้าใจเวลาของพระเจ้าสำหรับโลกนี้

3. เคลื่อนไปพร้อมกับพระเจ้าที่ทรงนำ (Move with the Mover)


1.รู้วาระและเวลาของพระเจ้า


มาระโก 13:28-31
28 "จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูฝนใกล้จะถึงแล้ว
29 เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว
30 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้ จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น
31 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย



พระเยซูคริสต์ได้ยกตัวอย่างใกล้ตัวให้สาวกได้สังเกตดูต้นมะเดื่อที่ปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล

เราจะต้องเป็นคนที่ช่างสังเกตและเรียนรู้วาระและเวลาของพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น มดมันจะมีการสะสมของไว้ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวและเคลื่อนย้ายในช่วงฤดูหนาว เมื่อเราเห็นมดเคลื่อนไป เราก็จะรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลง ฤดูกาลใหม่กำลังจะมา

สุภาษิต 6:6 คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊ พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงฉลาด

สงสัยเราต้องไปดูมดแล้ว เพื่อเราจะไม่เกียจคร้าน เดินเล่นเรื่อยเปื่อยแต่เราต้องเคลื่อนตามเวลาของพระเจ้า


2.ไวต่อการขับเคลื่อนของพระเจ้า

โรม 8:14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า

ยอห์น 3:8 ลม {ภาษากรีกเป็นคำเดียวกัน แปลได้ทั้งลมและวิญญาณ} ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"


การสังเกตทิศทางการเคลื่อนของพระเจ้า แล้วไวต่อการทรงนำของพระเจ้า ช่วยให้เราทำงานได้อย่างรวดเร็ว

ยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งกระแสโลกาภิวัฒน์ มีการเชื่อมโลกเป็นโลกเดียวมากขึ้น มีแหล่งข้อมูลใหญ่ที่เราสามารถหาความรู้ได้จากแหล่งเดียวกัน คือ Internet คนปัจจุบันจึงมีแนวโน้มที่จะคิดเหมือนกัน เพราะรับข้อมูลจากแหล่งเดียวกัน

เราต้อง online ต่อติดกับ โลกฝ่ายวิญญาณเสมอ (Spiritual Connection) ต้องยกระดับ Up grade ในการเคลื่อนไปสู่ระบบ 3G (God the father,Son of God,Spirit of God)เพื่อเราจะได้ไปสู่แผนการของพระเจ้า

พระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราไปสู่แผนการอันดีที่พระองค์ทรงมีต่อเราทุกคน ฉะนั้นพระเจ้าจะทรงเรียกทุกคนตามชอบพระทัย
เราจึงต้องรู้และไวต่อการเคลื่อนของพระเจ้า

พระเจ้าปรารถนาให้เราทำสิ่งต่างๆ อย่างดีเลิศต้องให้ผลสูงสุดในอาณาจักรของพระเจ้า ทางแยกมีหลายทาง แต่ปลายทางอันไหนที่เกิดประโยชน์สูงสุด เราเลือกอันนั้น เพื่อเราจะไม่เสียเวลา ทุกคนมีเวลาที่จำกัด เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้หมด แม้เราอยากจะทำทั้งหมดก็ตาม เราจึงควรเลือกทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่ออาณาจักรพระเจ้า

" ไว้ในการฟัง ช้าในการพูด กล้าในการตอบสนอง"

ตัวอย่าง เปโตรกับเรื่องนิมิตของโครเนลิอัส พระเจ้าปรารถนาเคลื่อนงานของพระองค์ไปที่คนต่างชาติ เพื่อให้เขารับความรอด ตอนแรกเปโตรไม่เข้าใจ พระเจ้าจึงให้เห็นนิมิตนั้นถึง 3 ครั้ง (กิจการฯ 10:9-17) นิมิตที่พระเจ้าให้กับเปโตร เพื่อนำคนต่างชาติรับความรอด


3.เคลื่อนไปพร้อมกัน

เมื่อเราได้ยินเสียงพระเจ้าและเคลื่อนไปกับพระเจ้า เราต้องทำให้คนอื่นมีนิมิตและภาระใจร่วมด้วย

ภาพเปรียบเทียบเหมือนเราวิ่งในลู่วิ่งของเรา โดยที่มีคนอื่นวิ่งในลู่วิ่งของเขาเช่นกัน วิ่งไปพร้อมๆ กัน คือ การทำในส่วนของเราอย่างดี เราไม่แข่งขันกับใคร แต่เราก็ไม่ทอดทิ้งใครให้ไปคนเดียว

การทำในส่วนของเราอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นแบบอย่างในการรับใช้ มิใช่การอวดตัว แต่เป็นการทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อหนุนใจคนอื่นให้เขารับใช้พระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

“ หากจะไปให้เร็ว ไปคนเดียว หากจะไปให้ได้ไกล ไปพร้อมกัน”

ตัวอย่าง พระเยซูคริสต์ พระองค์มิเพียงแต่ทำแผนการของพระเจ้าสำเร็จเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้สร้างสาวกที่มีนิมิตให้เขาสามารถรับใช้พระเจ้าต่อไปได้อีกด้วย

พระเยซูคริสต์ : แบบอย่างของของผู้ที่เคลื่อนในเวลาของพระเจ้า แผนการของพระเจ้าสำเร็จ

พระเยซูคริสต์มาตามเวลาของพระเจ้า และพระองค์พาตนเองให้อยู่ในแผนการและเวลาของพระเจ้าเสมอ

พระเยซูจะมาไม่ได้ในสมัยธรรมบัญญัติจนกว่าจะครบกำหนดที่พระเจ้าบอก และพระเยซูก็มาตามเวลา เมื่อพระเยซูคริสต์ทำตามแผนการ เวลาของพระเจ้า เกิดผลดี เป็นพรต่อทุกคนในโลก ทำให้ความรอดมาถึงทุกคนในโลก

หนุนใจสุดท้ายว่า คนที่พร้อม คือ คนที่จะได้ไปก่อนเสมอ คนที่พร้อม คือ คนที่จะไม่ได้รับความเสียใจในภายหลัง
การเตรียมตัวที่ดี ส่งผลให้เราประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหมือนการไปสอบ หากเตรียมตัวอย่างดี จะไม่กลัวการทำข้อสอบไม่ได้ แต่คนที่ไม่เตรียมตัวต่างหากที่กลัว เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา คนที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว ไม่กลัว แต่มีความปิติยินดี คนที่ไม่เตรียมตัว มีความกลัว


ให้เราเคลื่อนไปพร้อมกับพระเจ้าที่ทรงนำด้วยกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น