สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน หากเราเดินทางไปไหนมาไหนช่วงนี้ ตามร้านค้าขายอาหาร เราจะเห็นธงสีเหลืองเต็มไปหมด ธงสีเหลืองนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจ เปรียบเหมือนกับอาหารของชาวมุสลิมจะมีเครื่องหมาย "ฮาลาล(Halal)" สำหรับชาวอิสราเอลที่เคร่งครัดจะมีเครื่องหมาย"โคเชอร์ (Kosher)"รับรองว่าอาหารนั้นถูกต้องตามหลักการโทราห์ของยิว
เทศกาลกินเจเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน
การนับวันของเทศกาลกินเจ เขานับกันดังนี้คือ เทศกาลกินเจจะตรงกับเดือน 9 ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำถึง 9 ค่ำ ตามปฏิทินจันทรคติแบบจีน หรือในราวปลายเดือนตุลาคมของทุกปี นาน 9 วัน (ปี 2012 จะตรงกับวันที่ 15 ต.ค.-23 ต.ค.)
คำว่า “เจ” เป็นภาษาจีนมาจากคำว่า “ไจ” ซึ่งมีอักษรจีนตัวสีแดงบนพื้นสีเหลืองและแปลว่า “ไม่มีการทำลายชีวิต ไม่มีของคาว” ความหมายค่อนข้างไปในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
คำดั้งเดิมของ “เจ” หมายถึง “อุโบสถ หรือ การรักษาศีล 8” คือคนกินเจมักจะถือศีลร่วมด้วย การไม่กินอาหารพวกเนื้อสัตว์ จึงมักเรียกติดปากว่า “ถือศีลกินเจ” ผู้ปฏิบัติธรรมที่รักษาศีลความเป็นมนุษย์ จะต้องเจริญเมตตาและกรุณา จึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์
คำว่า "กินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว
กลุ่มชาวจีนมีประเพณีเทศกาลกินเจซึ่งเรียกว่า “เก้าอ๊วงเจ” เป็นการประกอบพิธีกรรมสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรวมทั้งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะเจ้าแม่กวนอิม จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
(ข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/view/76601)
1.กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ
2.กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้
3.กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น
เมื่อเราในฐานะคริสตชน เราต้องทำเข้าใจในหลักการเบื้องหลังของเทศกาลต่างๆ จุดยืนที่สำคัญคือท่าทีในใจมากกว่าการกระทำ ท่าทีที่ถูกต้องก็จะนำมาซึ่งการกระทำที่ถูกต้อง ดังนั้น "การกินเจ อยู่ที่ใจ ไม่ใช่ตามกระแส" เพราะการกินอาหารที่ถูกหลักอนามัยก็ทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย
บางครั้งการกินเจ แม้จะเป็นอาหารที่ทำจากพืชผัก แต่บางครั้งทำเลียนแบบเนื้อสัว์เหมือนของจริงมาก แม้กินไม่ได้แต่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าได้กินสิ่งนั้น เรียกว่า "ไม่ได้กินจริง ขอกินทางใจแล้วกัน"
สำหรับผมแล้ว ผมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ได้งดเว้นสิ่งใด และการทำแบบนี้ทุกเทศกาล ไม่ได้ทำเป็นเทศกาล เพียงแต่เลือกรับประทานให้เหมาะสมและออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ
บางท่านถามว่าเรากินเจได้ไหม ผมคิดว่ากินได้แต่ต้องพิจารณาจากจุดประสงค์กินเพื่ออะไร บางสิ่งที่เป็นอาหารเจ ยกตัวอย่างเช่น จับฉ่าย ในสมัยก่อนจุดประสงค์แรกคือเป็นการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย เพราะมีผักออกมามาก รับประทานไม่หมด เลยเอาผักต่างๆที่ใกล้จะเสีย มาทำเป็นจับฉ่าย คือ รวมมิตรผักทุกชนิด หลังจากนั้นมีสูตรการทำจับฉ่ายเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่ใส่ผักอะไรก็ได้ สำหรับผมคงไม่ต้องกินจับฉ่าย เพราะรับประทานผักหมด ไม่มีเหลือ เรียกว่า "จับเจี๊ยะ" แทน "จับฉ่าย"
เรื่องแบบนี้เป็นประเด็นร่วมสมัยที่คริสเตียนต้องมีการแสดงจุดยืน แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่เป็นเหตุให้ผู้ใดสะดุดและเป็นอุปสรรคในการได้รับความรอด
ในกิจการฯบทที่ 15:1-29 มีบทเรียนสอนใจคริสตชน กล่าวคือ เมื่อมีคนต่างชาติเชื่อมากขึ้น คนยิวก็เกิดคำถามว่าคนต่างชาติจะต้องทำตามคนยิวหรือไม่ เขาจะเป็นคริสเตียนโดยไม่ต้องทำสุหนัตได้หรือไม่ เขาจะเป็นคริสเตียนแท้ไหมถ้าเขาไม่ทำแบบยิว เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าแม้เราไม่เข้าสุหนัตเราก็เป็นคริสเตียนแท้ได้ แต่สมัยเริ่มต้นคริสตจักรไม่ใช่คิดได้ง่ายๆ เขาเกิดความสับสนอย่างมาก จนต้องมีการประชุมคณะอัครทูตเป็นครั้งแรก ที่ประชุมซึ่งมีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และอัครทูตสรุปว่า คนต่างชาติไม่ต้องเข้าสุหนัต แต่อัครทูตขอร้องอย่าทำตามคนต่างชาติ 4 ข้อ คือ
(1)งดรับประทานสิ่งของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพ
(2)งดการรับประทานเลือด
(3)งดรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย
(4)งดการล่วงประเวณี
ประเด็นการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องพิจารณา นั่นคือการไม่รับประทานอาหารที่บูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือดและเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมลทินและไม่เกิดอนามัยต่อร่างกาย เช่นเลือดเป็นสิ่งที่คริสเตียนควรจะหลีกเลียงการรับประทาน เพราะเลือดเป็นแหล่งแห่งชีวิต บางทีมีเชื้อโรคบางชนิดอยู่ในเลือดแม้ว่าจะมีการใช้ความร้อนสูงในการปรุง บางทีก็ยังไม่สะอาดรับประทานเข้าไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย
หากเราศึกษาพระคัมภีร์จะเห็นในสมัยปฐมกาล พระเจ้าให้มนุษย์รับประทานพืชผักและผลไม้(ปฐก.2:15-16)พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด" แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก(ปฐก.9)ต้นไม้ต่างๆถูกน้ำท่วมตายไป พระเจ้าจึงอนุญาตให้มนุษย์รับประทานสัตว์ได้แต่กำหนดข้อยกเว้นไว้บางประการเช่น "อย่ากินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมันคือเลือดของมัน"
ปฐก.9:3-6
3"ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมา จะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว"
4"แต่อย่ากินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมันคือเลือดของมัน"
5 "โลหิตที่เป็นชีวิตของเจ้านั้นเราจะทวง เราจะทวงจากสัตว์ทั้งปวง และเราจะทวงจากมนุษย์ด้วย เราจะทวงชีวิตมนุษย์จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
6 "ผู้ใดฆ่ามนุษย์ให้โลหิตไหล มนุษย์จะฆ่าผู้นั้นให้โลหิตไหลเหมือนกัน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายาของพระองค์"
ดังนั้นการรับประทานอาหารจึงเป็นสิ่งที่เราควรเอาใจใส่ เรารับประทานอาหารอะไรจะส่งผลต่อร่างกายของเรา เรียกว่า "You are what you eat" บางครั้งเรารับประทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่งผลต่อเราทำให้เจ็บป่วยและไม่สบาย เช่น กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ทำให้เป็นโรคอ้วน หรือโรคอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ พระเยซูคริสต์สอนเราให้เราเข้าใจ สิ่งที่สำคัญคือ การรับประทานอาหารเข้าไปไม่ได้เป็นมลทินแต่สิ่งที่ออกมาจากเราเป็นสิ่งมลทิน
มธ.15:10-20 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านทั้งหลาย ยังไม่เข้าใจด้วยหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใด ๆ ซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน"
พระเยซูคริสต์ได้สอนให้เกิดความสมดุลในการดำเนินชีวิต บางครั้งพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ทำตัวเป็นนักการศาสนา มาคอยจับผิดผู้อื่น ว่ารับประทานสิ่งนั้นเป็นมลทิน หรือ การไม่ทำตามธรรมเนียมยิวโบราณคือการล้างมือก่อนรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่เป็นมลทิน
สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่ออกมาจากภายในต่างหากสำคัญมากกว่าสิ่งใดเข้าไปข้างใน
ฉะนั้นการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หลักการคือ
1.พระเจ้าดูท่าทีในใจ เราจะกินเจหรือไม่อยู่ที่ใจ หากเรากินเพื่อสุขภาพอนามัย เราก็สามารถรับประทานได้ แต่ไม่ได้มาจากการถือศีลตามเทศกาล
2.อย่าทำแล้วเป็นเหตุให้ผู้ใดสะดุด ทำให้เกิดความสับสนในความเชื่อคริสตชน มีจุดยืนที่ชัดเจนคือการไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นการไหว้รูปเคารพ แม้ว่าทุกสิ่งที่เป็นอาหารนั้นพระเจ้าทรงสร้างให้เรารับประทาน เพียงแต่มีคนนำไปเพื่อไหว้รูปเคารพ เราสามารถรับประทานได้ แต่หากหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดี
การรับประทานผักและผลไม้เป็นประโยชน์ต่อเรา หากเรารับประทานได้จะเป็นการดีสำหรับสุขภาพของเรา ตัวอย่างในพระคัมภีร์เช่น ดาเนียลและเพื่อนของท่าน งดรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารสูงจากพระราชา ท่านรับประทานแต่ผักผลไม้ หน้าตาผิวพรรณของท่านดูดีมากกว่าผู้อื่นด้วยซ้ำไป
(ดนล.1:8-16แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน... เมื่อครบสิบวันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา)
การกินผักผลไม้เป็นการทำดีท็กซ์ Detox ย่อมาจาก คำว่า Detoxification หมายถึง กระบวนการในการล้างสารพิษ (Toxin)ออกจากร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การสะสมพิษ เช่น อุจจาระตกค้าง ที่ลำไส้ใหญ่ หรือ อาการท้องผูก เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเราอ่อนแอและเกิดโรคต่าง ๆ การรับประทานอาหารจากพืชผักก็เป็นการช่วยในการขับถ่าย
ในช่วงเทศกาลกินเจ เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เรากลับมาสนใจในเรื่องการรับประทานอาหารมากขึ้น แม้แต่เทศกาลต่างๆในโลกนี้ยังมีจุดประสงค์ที่ดี ทำให้เป็นช่วงเวลากลับมาสนใจเรื่องต่างๆในชีวิต ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เทศกาลในฝ่ายวิญญาณที่เป็นช่วงนัดพบกับพระเจ้า เราต้องกลับมาสนใจในเรื่องต่างๆที่พระเจ้าทรงกำหนดช่วงเวลาไว้ เทศกาลกินเจ ก่อนจะกินสิ่งใด สนใจในพระวจนะที่เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่กินใจและหนุนใจ ทำให้เรามีกำลังในการเผชิญสถานการณ์ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น