1โครินธ์ 1:10 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนท่านในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ขอให้ท่านปรองดองกัน อย่าถือพวกถือคณะ แต่ขอให้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะให้คนจากต่างพื้นภูมิมาอยู่ร่วมกัน อ.เปาโลยังต้องวิงวอนขอเพื่อให้เกิดความปรองดอง และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คริสตจักรจึงไม่ใช่ที่ที่คนมากองรวมกัน แต่ต้องมีการจัดวางคนในตำแหน่งให้เหมาะสม เหมือนกับภาพของพระวิหารที่อิฐแต่ละก้อนเรียงกัน
แม้เราจะมีความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ความแตกต่างนำมาซึ่งการเสริมสร้าง ภาพของพระกายของพระคริสต์คือ เราทุกคนเป็นอวัยวะที่ทำงานตามบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรหรือระหว่างคริสตจักร คือ ความขัดแย้งอันเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน การทำงานภาพรวมจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะแทนที่จะได้รับการตอบสนอง แต่บางครั้งถูกตอบโต้ ทำตัวเป็นฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กลุ่มตอบโต้มีประเภทอะไรบ้าง มีดังนี้
1.NATO ย่อมาจาก No Action Talk Only กลุ่มนี้คือชอบพูดไม่ค่อยชอบทำ เพราะจะชอบจับกลุ่ม Comment ผู้นำ หรือโครงการต่างๆในคริสตจักร กลุ่มนี้ช่วงแรกจะเป็นกลุ่มไม่ใหญ่ แต่จะเริ่มขยายวงไปเรื่อยๆ
2.Veto คือ กลุ่มที่ใช้อำนาจในการยับยั้ง เป็นการพัฒนาจากกลุ่มเล็กๆ ขยายมาเป็นกลุ่มใหญ่และมีแกนนำในการมานำเสนอเพื่อยับยั้งโครงการต่างในคริสตจักรที่ไม่เห็นด้วย กลุ่มนี้ถือว่าเป็นสีสันของคริสตจักร หากเปิดเวทีอภิปรายให้ได้นำเสนอก็จะเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรต่อไป
3.กลุ่ม นปช.(หน่วยปรักปรำชาวบ้าน) กลุ่มนี้จะทำตัวเป็นพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ ชอบจับผิด ทำตัวเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หาช่องที่จะชี้แจงข้อบกพร่องของผู้นำหรือโครงการของคริสตจักรในที่สาธารณะ
ดังน้ันต้องลองสำรวจคนในคริสตจักรของเรามีกลุ่มแบบนี้หรือไม่ หากมีก็ต้องไปเจรจาเพื่อหาแนวทางปรองดอง แต่ไม่ประนีประนอมต่อหลักการของพระเจ้า
แนวทางปรองดองที่นำเสนอ ก็คือ การฟังกันและกันด้วยความเข้าใจ อย่าถือพวกถือคณะ กระชับวงล้อมในความสัมพันธ์ รักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในหลักการพระคัมภีร์คือต้องมีการตกลงคุยกัน และเดินไปสู่เป้าหมายด้วยกัน
อาโมส 3:3 "สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ นอกจากทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน"
Roadmap แนวทางการปรองดอง คือ
1.การอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อให้พระเจ้าเคลื่อนไหวในคริสตจักรรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกัน
มีการตั้งศอฉ.(ศูนย์อธิษฐานเฉพาะกิจ)เพื่อให้สมาชิกได้รับการอธิษฐานปลดปล่อยในเรื่องต่างๆอย่างเจาะจง ในปัจจุบันหลายคริสตจักรมีการทำนิเวศอธิษฐานก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้สมาชิกมีส่วนร่วมในคริสตจักร (เปลี่ยนเสียงบ่น เป็นการคร่ำครวญอธิษฐานต่อพระเจ้า)
2.การเยียวยารักษาภายใน (Inner Healing) ในคริสตจักรมีบุคคลหลากหลาย บางคนมีภูมิหลังที่เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำที่เจ็บปวด ทำให้การตอบสนองต่อบุคคลอื่นในลักษณะตอบโต้ การมีเยียวยารักษาภายในจะเป็นการเปิดประตูในให้พระเจ้าเข้าไปผ่าตัดรอยบาดแผลในจิตใจ เมื่อรับการรักษาใจ ความสัมพันธ์กับผู้อื่นจะดีมากขึ้น
3.การรับใช้ตามของประทานพระวิญญาณ คริสตจักรควรจะจัดวางคนให้เหมาะสมในบทบาทและรับใช้ตามของประทาน ในปัจจุบันหลายคริสตจักรพัฒนาคริสตจักรไปในรูปแบบของประทานพระคริสต์ (Fivefold ministry)ตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 4:11-12
11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
คริสตจักรแบบนี้เป็นคริสตจักรที่ส่งเสริมให้สมาชิกมีส่วนรับใช้ ไม่ใช่แบบศิษยาภิบาลที่รับใช้เฉพาะทีมผู้นำเท่านั้น เมื่อสมาชิกได้มีส่วนรับใช้คริสตจักรก็จะมีความเจริญขึ้น
4.การเชื่อมพระกาย คือการร่วมสามัคคีธรรมกับคริสตจักรต่างๆ เพื่อแบ่งปันของประทานและเสริมสร้างกันและกัน
แต่ในบางครั้งระหว่างคริสตจักรก็มีความขัดแย้งในบางประเด็น ทำให้เป็นอุปสรรคในการเชื่อมความสัมพันธ์ เช่นเรื่องประสบการณ์พระวิญญาณฯ เป็นต้น
หนุนใจว่า หากจะมีการเชื่อมความสัมพันธ์กับต้องแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เป้าหมายหลักคือรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อพระเจ้าจะได้เทพระพรลงมา (สดด.133)
โดยทั่วไปเราจะมีหลักการพิจารณา เพื่อวางตัวในความสัมพันธ์กับกลุ่มคนต่างๆ ดังนี้
1.หลักความเชื่อ (Dogma) เป็นสิ่งที่แบ่งระหว่างคริสเตียนกับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า(Antitheism) การวางตัวของคริสเตียนคือการเป็นเกลือแสงสว่างเพื่อนำพระคุณความรักของพระเจ้าไปสู่ผู้ที่ไม่เชื่อ
2.หลักข้อเชื่อ (Doctrine) เป็นสิ่งที่แบ่งระหว่างคริสเตียนกับลัทธิสอนผิด(false Teaching)
โดยส่วนใหญ่จะสอนผิดเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ และเรื่องอื่นๆ การวางตัวของคริสเตียนคล้ายกับกลุ่มคนที่ไม่เชื่อ สร้างความสัมพันธ์ต่อกันแต่ไม่ประนีประนอมต่อหลักการพระคัมภีร์
3.ข้อคิดเห็น (Opinion)นี่คือสิ่งที่เป็นความแตกต่างในความคิดที่นำมาซึ่งความแตกแยก เช่นความคิดเห็นเรื่องการกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์,ประสบการณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์ บางกลุ่มเชื่อเรื่องการล้ม บางกลุ่มไม่เชื่อ เป็นต้น
แท้จริงแล้วหากมีหลักความเชื่อและหลักข้อเชื่อที่ยอมรับเหมือนกันก็ถือว่าเป็นพี่น้องในพระกาย เรื่องอื่นๆถือเป็นความคิดเห็นที่ต้องยอมรับฟังกันและกัน หากไม่เชื่อก็ไม่ต่อต้าน แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เป้าหมายคือการร่วมกันรับใช้ตั้งอาณาจักรพระเจ้าบนแผ่นดินโลกร่วมกัน (มัทธิว 6.10)
ฉะนั้นเราในฐานะพี่น้องในพระกาย ในวันนี้เราอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ความแตกต่างเพื่อเสริมสร้าง พี่น้องแต่ละท่านเป็นเหมือนอวัยวะที่ต่างกันแต่ทำงานร่วมกัน
เอเฟซัส 4:16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อ ที่ทรงประทานได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
สรุป Roadmap หนทางปรองดองพี่น้องในพระกาย เป็นสิ่งที่เราต้องร่วมกัน ไม่แบ่งพวก แต่แบ่งปันสิ่งดี คิดต่างกันเพื่อเสริมสร้าง ยอมรับและรับฟังกัน วางคนให้เหมาะสมกับงาน ทำงานร่วมกันเป็นทีม
ผู้รับใช้พระเจ้าท่านหนึ่งคือ John C. Maxwell กล่าวว่า "พร้อมหน้ากัน คือ จุดเริ่มต้น อยู่ร่วมกัน คือ ความก้าวหน้า ทำงานร่วมกัน คือ ความสำเร็จ"
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น