การแปลภาษาแปลกๆนอกจากจะช่วยทำให้ผู้ฟังได้รู้ถึงความหมายของภาษาแปลกๆแล้ว
การแปลภาษาแปลกๆยังมีส่วนช่วยในการปลดปล่อยฤทธิ์เดชของพระเจ้ามายังที่ประชุมอีกด้วย
การแปลภาษาแปลกๆจึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างกลุ่มแคร์เป็นอย่างยิ่ง ในภาคที่นี้ผมจึงขอเสนอภาคปฏิบัติในการแปลภาษาแปลกๆสำหรับกลุ่มแคร์
โดยผมขอกล่าวถึงเคล็ดลับสำคัญสองประการในการแปลภาษาแปลกๆ นั่นก็คือ “อย่าพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน”
และ “ฝึกฝนในการตื่นตัวรับคำแปล”
เคล็ดลับ#1 อย่าพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน
การพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน
มักจะทำให้การรับคำแปลมีความสับสนและขาดทิศทาง
แม้แต่เปาโลเองก็ไม่ได้สนับสนุนการพูดภาษาแปลกๆอย่างพร้อมกัน (ดู 1 โครินธ์ 14)
ดังนั้นหากมีผู้ใดในกลุ่มแคร์เริ่มพูดภาษาแปลกๆ
คนอื่นในกลุ่มแคร์ก็ควรเงียบโดยไม่พูดภาษาแปลกๆแทรก
และปล่อยให้ผู้ที่พูดคนแรกได้พูดภาษาแปลกๆออกมาเต็มที่
(1 โครินธ์
14:27) ถ้าใครจะพูดภาษาแปลกๆ
จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุดก็สามคน และให้พูดทีละคน
แล้วให้อีกคนหนึ่งแปล
เคล็ดลับ#2 ฝึกฝนในการตื่นตัวรับคำแปล
ในระหว่างที่ผู้หนึ่งในแคร์กำลังพูดภาษาแปลกๆ
คนอื่นๆในแคร์ก็ควรเงียบและควรตื่นตัวในการรับคำแปล
และเมื่อผู้ที่พูดได้พูดภาษาแปลกๆจบแล้ว
คนอื่นในแคร์หรือตัวผู้พูดเองก็สามารถปลดปล่อยคำแปลออกมาได้
รายละเอียดของการตื่นตัวรับคำแปลดูได้จาก
แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น
แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น
(ตอนที่ 2)
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ของประทานการแปลได้รับการพัฒนาก็คือ
เมื่อผู้หนึ่งในแคร์เริ่มพูดภาษาแปลกๆ เราก็ควรจะเงียบและตื่นตัวในการรับคำแปล
และเมื่อผู้พูดได้พูดภาษาแปลกๆจบ เราก็สามารถปลดปล่อยคำแปลออกมาได้
การฝึกฝนให้ตัวเองเงียบและตื่นตัวรับคำแปลในระหว่างที่ผู้หนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆ
นับเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ของประทานการแปลภาษาแปลกๆได้รับการพัฒนา
สรุป
เมื่อผู้หนึ่งในแคร์เริ่มพูดภาษาแปลกๆ
คนอื่นในแคร์ควรคาดหวังการแปล โดยการอยู่นิ่งๆและตื่นตัวรับคำแปล และเมื่อผู้พูดได้พูดภาษาแปลกๆจบ
ก็ควรมีคนในแคร์สักคนหนึ่ง(อาจเป็นตัวผู้พูดเอง)ได้ปลดปล่อยคำแปลออกมา
ทุกครั้งที่มีการพูดภาษาแปลกๆ คนในแคร์ควรจะคาดหวังคำแปลเสมอ
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ
ไม่ควรพูดนานเกินไป การพูดภาษาแปลกๆอาจจะพูดสักประมาณ 3 -10 วินาที แล้วจึงหยุด
(หากจะคาดหวังการแปล การพูดภาษาแปลกๆ 10 วินาที ก็ถือว่านานมากแล้ว)
หากผู้ที่พูดยังคงรู้สึกอยากพูดภาษาแปลกๆต่ออีก
ผู้พูดก็ควรหยุดพูดและให้ผู้อื่นในแคร์ได้ปลดปล่อยคำแปลให้เรียบร้อยก่อน
จากนั้นผู้พูดค่อยพูดภาษาแปลกๆต่อแล้วให้ผู้อื่นปลดปล่อยคำแปลอีกรอบหนึ่ง
ภาษาแปลกๆกับคำแปล ไม่จำเป็นต้องมีความยาวเท่ากัน
บางครั้งความยาวของภาษาแปลกๆกับความยาวของคำแปลไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกัน
บางครั้งภาษาแปลกๆอาจจะยาว แต่คำแปลกลับสั้น บางครั้งภาษาแปลกๆสั้น
แต่คำแปลกลับยาว ทั้งนี้เพราะการแปลภาษาแปลกๆเป็นการแปลแบบตีความ(Interpret) ไม่ใช่การแปลแบบคำต่อคำ(Translate)
(ความแตกต่างระหว่างการแปลแบบตีความกับการแปลแบบคำต่อคำ
เพื่อนๆสามารถอ่านได้จาก http://pattamarot.blogspot.com/2018/06/blog-post_32.html )
บางครั้งภาษาแปลกๆที่พูดอาจยืดยาวมาก
แต่เนื้อหาและใจความสำคัญอาจมีอยู่ไม่มาก ทำให้คำแปลไม่ยาวนัก
บางครั้งภาษาแปลกๆที่พูดอาจสั้นนิดเดียว แต่เนื้อหาและใจความอาจมีรายละเอียดมาก
ทำให้คำแปลอาจมีความยาวมากกว่าภาษาแปลกๆที่พูดออกมา
บางครั้งสิ่งที่ได้รับไม่ใช่คำแปลแต่เป็นคำเผยพระวจนะ
ขณะที่ผู้ฟังภาษาแปลกๆกำลังตื่นตัวรับคำแปลอยู่นั้น
สิ่งที่ผู้ฟังได้รับอาจไม่ใช่คำแปลของภาษาแปลกๆ
แต่เป็นคำเผยพระวจนะหรือถ้อยคำที่พระเจ้าต้องการสื่อสาร เนื่องจากบางครั้ง การพูดภาษาแปลกๆสามารถปลดปล่อยฤทธิ์เดชมายังที่ประชุมและยังทำให้ของประทานอื่นๆได้รับการกระตุ้นออกมา
ด้วยเหตุนี้ระหว่างที่คนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ
สิ่งที่ผู้ฟังได้รับอาจจะไม่ใช่คำแปลแต่เป็นคำเผยพระวจนะที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อความของภาษาแปลกๆ
ด้วยเหตุนี้บางครั้งเมื่อมีการปลดปล่อยคำแปล
อาจจะมีบางคนปลดปล่อยคำแปลที่แตกต่างไปจากคำแปลที่คนอื่นได้รับ
ทั้งนี้เป็นเพราะสิ่งที่บางคนปลดปล่อยอาจจะไม่ใช่คำแปลของภาษาแปลกๆ
แต่เป็นคำเผยพระวจนะในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อความของภาษาแปลกๆ
พระคุณจงมีแด่ทุกท่าน
Philip Kavilar
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ
ฟังเสียงพระเจ้า เขียนโดย ซินดี้ เจคอปส์
หนังสือ
Tongues
Interpretation & Prophecy เขียนโดย
Don Basham
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น