29 มิถุนายน 2561

แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น (ตอนที่ 2)

 ในบทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด และในบทความนี้ ผมจะขอกล่าวถึงการแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด หวังว่าเมื่อเพื่อนๆอ่านบทความนี้ ของประทานการแปลภาษาแปลกๆที่อยู่ภายในเพื่อนๆจะเติบโตมากยิ่งขึ้น ถ้าเพื่อนๆยังไม่เคยอ่านบทความตอนที่แล้ว ผมขอหนุนใจเพื่อนๆให้อ่านบทความตอนที่แล้วก่อน เพื่อว่าเมื่อเพื่อนๆอ่านบทความตอนนี้ เพื่อนๆจะเข้าใจการแปลภาษาแปลกๆได้อย่างครบถ้วน

บทความตอนที่แล้ว http://pattamarot.blogspot.com/2018/06/blog-post_21.html

การแปลภาษาแปลกๆของผู้อื่น
            การแปลภาษาแปลกๆสามารถทำได้ ทั้งภาษาแปลกๆที่ตนเองพูดและภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด ทั้งนี้จากประสบการณ์ของผมแล้ว การแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดนั้นทำได้ง่ายกว่าการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด เพราะถ้าเราแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด ตัวเราจะต้องใช้ของประทาน 2 อย่างในเวลาเดียวกัน เวลาที่เราแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด ตัวเราก็ใช้ทั้งของประทานการพูดภาษาแปลกๆและของประทานการแปลภาษาแปลกๆไปพร้อมกัน ทำให้ต้องใช้ความจดจ่อที่สูง แต่เวลาที่เราแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด ตัวเราก็ใช้เพียงของประทานการแปลอย่างเดียว ส่วนอีกคนก็ใช้ของประทานการพูดภาษาแปลกๆเพียงอย่างเดียว การแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดจึงสบายและง่ายกว่าการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด เพราะต่างคนต่างก็ใช้ของประทานเพียงอย่างเดียว คนที่แปลก็จะจดจ่อกับการแปลเท่านั้น ส่วนคนพูดภาษาแปลกๆก็จะจดจ่อกับการพูดภาษาแปลกๆเท่านั้น การที่อีกคนหนึ่งพูดและอีกคนหนึ่งแปลจึงทำให้เกิดความคล่องตัวมากกว่า



            แนวทางของการแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดก็เป็นแนวทางที่คล้ายกับการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด ซึ่งผมได้จัดแจงไว้สามขั้นตอนง่ายๆดังต่อไปนี้

 สามขั้นตอนของการแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด
1.พูดภาษาแปลกๆ (ไม่พูดพร้อมกัน) 
2.ตื่นตัวรับคำแปล
3.ปลดปล่อยคำแปล

ข้อพระคัมภีร์สำคัญ
(1 โครินธ์ 14:27) ถ้า​ใคร​จะ​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ จง​ให้​พูด​เพียง​สอง​คน​หรือ​อย่าง​มาก​ที่​สุด​ก็​สาม​คน และ​ให้​พูด​ที​ละ​คน แล้ว​ให้​อีก​คน​หนึ่ง​แปล

1. พูดภาษาแปลกๆ  (ไม่พูดพร้อมกัน)
            ก่อนที่จะแปลภาษาแปลกๆได้ ก็ต้องมีการพูดภาษาแปลกๆเสียก่อน การแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดมีเคล็ดลับสำคัญก็คือ การไม่พูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน เพราะการพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน จะทำให้การแปลมีความสับสนและไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นขณะที่คนหนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆอยู่ คนอื่นก็ควรเงียบโดยไม่อธิษฐานหรือพูดภาษาแปลกๆแทรก

อนึ่ง การพูดภาษาแปลกๆที่คาดหวังการแปล อาจจะพูดสักประมาณ 3 -10 วินาทีแล้วจึงหยุด เพราะหากจะคาดหวังการแปล การพูดภาษาแปลกๆ 10 วินาที ก็ถือว่านานมากแล้ว แต่หากต้องการพูดภาษาแปลกๆโดยไม่คิดที่จะแปล ผู้พูดภาษาแปลกๆก็สามารถพูดนานเท่าไรก็ได้

2. ตื่นตัวรับคำแปล
            ในขณะที่คนหนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆ คนอื่นก็ควรเงียบและตื่นตัวในการรับคำแปล ซึ่งการตื่นตัวรับคำแปลสามารถทำได้โดยใช้หูฟังภาษาแปลกๆและใช้ใจจดจ่อกับภาษาแปลกๆ

การตื่นตัวรับคำแปล = หูฟังภาษาแปลกๆ + ใจจดจ่อกับภาษาแปลกๆ

ระหว่างที่เราจดจ่อกับภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด คำแปลก็จะค่อยๆก่อตัวขึ้นในความคิดของเรา คำแปลที่ก่อตัวขึ้นนี้ อาจจะเป็นอารมณ์หรือเป็นนิมิตหรือเป็นถ้อยคำก็ได้ หลายครั้งผู้แปลภาษาแปลกๆก็ไม่ได้เข้าใจในทุกๆพยางค์ของภาษาแปลกๆ แต่ผู้แปลมักจะเข้าใจความหมายโดยรวมของภาษาแปลกๆที่พูดและอาจจะเข้าใจอย่างเจาะจงว่าภาษาแปลกๆที่พูดนั้นมีเนื้อหาในทิศทางใด

3. ปลดปล่อยคำแปล
เมื่อพูดภาษาแปลกๆจบแล้ว ก็เป็นช่วงของการปลดปล่อยคำแปล ซึ่งเทคนิคของการปลดปล่อยคำแปลในภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด ก็เป็นเทคนิคเดียวกันกับการปลดปล่อยคำแปลในภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด โดยเทคนิคสำคัญก็คือ เราไม่จำเป็นต้องรู้เนื้อความภาษาแปลกๆอย่างครบถ้วนก่อน แต่เราสามารถปลดปล่อยคำแปลที่เรามีเพียงบางส่วนได้ทันที และหลายครั้งเมื่อเราเริ่มปลดปล่อยคำแปลที่เรามีเพียงบางส่วน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงประทานรายละเอียดเจาะจงของคำแปลให้เพิ่มเติม

การแปลภาษาแปลกๆสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในชีวิตอธิษฐานส่วนตัวหรือในกลุ่มแคร์ แต่หลักสำคัญที่ทำให้แปลได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การพูดภาษาแปลกๆควรพูดเพียงคนเดียว (ไม่ควรพูดพร้อมๆกัน) และระหว่างที่คนหนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆอยู่ ผู้อื่นที่อยู่ในกลุ่มก็ควรนิ่งและตื่นตัวในการรับคำแปล

ต้อง เสี่ยงในการพัฒนาการแปล
          เมื่อเพื่อนๆได้รู้ขั้นตอนเบื้องต้นของการแปลภาษาแปลกๆ เพื่อนๆบางคนอาจยังรู้สึกไม่กล้าที่จะลองปลดปล่อยคำแปล เพราะกลัวว่าตัวเองจะแปลผิดหรืออาจจะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

            คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ที่พระเยซูสอนไว้ใน (มัทธิว 25:14-30) ได้อธิบายไว้ถึงทาสที่ซื่อสัตย์ ซึ่งทาสที่ซื่อสัตย์นี้ยอม เสี่ยง โดยนำเงินของนายที่มอบให้ไปลงทุน (ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง) และก็ได้ผลกำไรกลับมา แต่ทาสที่ชั่วร้ายคือทาสที่เอาเงินของนายไปฝังดิน โดยไม่ยอมนำเงินของนายไป เสี่ยง ลงทุน ดูเหมือนว่านายในคำอุปมาของพระเยซู จะชอบให้ทาสของเขานำทรัพย์ที่ตนมอบให้ไป เสี่ยง ลงทุน
           ในสายตานักธุรกิจ หากผู้ใดไม่ยอมนำเงินไปเสี่ยงลงทุน นอกจากที่ปริมาณเงินจะไม่เพิ่มแล้ว วันเวลาผ่านไป ค่าของเงินก็จะลดลงเพราะผลของเงินเฟ้อ ในทำนองเดียวกัน ถ้าผู้เชื่อไม่ยอมนำของประทานหรือเมล็ดพันธุ์ที่ตนมีไป เสี่ยง ลงทุน ของประทานหรือเมล็ดพันธุ์ที่เขามีก็สามารถฝืดและเสื่อมลงได้ และดูเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่ชอบให้ของประทานหรือเมล็ดพันธุ์เสื่อมลงเสียด้วย พระองค์ปรารถนาให้ของประทานของผู้คนได้ลุกโชน และทรงปรารถนาให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโต
 หนทางหนึ่งที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์ของการแปลภาษาแปลกๆได้เจริญเติบโตขึ้น ก็คือการที่เพื่อนๆลองเสี่ยงปลดปล่อยคำแปลที่ได้รับออกมา ซึ่งถ้าเพื่อนๆแปลถูก ทั้งเพื่อนๆและคนอื่นๆก็ได้รับการเสริมสร้าง แต่ถ้าเพื่อนๆแปลผิด เพื่อนๆก็ได้มีประสบการณ์และรู้ว่าจะต้องลงทุนอย่างไรไม่ให้พลาด แต่ถ้าเพื่อนๆไม่กล้าและไม่ลองเริ่มปลดปล่อยคำแปล ทั้งเพื่อนๆและผู้อื่นก็ไม่ได้รับการเสริมสร้าง อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ของเพื่อนๆก็ไม่ได้รับการพัฒนา
  นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต่างก็มีประสบการณ์ที่ลงทุนผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น แต่เขานำประสบการณ์ที่พลาดนี้มาเป็นบทเรียนที่ทำให้เขาเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน หากเพื่อนๆอยากจะให้เมล็ดพันธุ์ของการแปลภาษาแปลกๆได้เจริญเติบโต เพื่อนๆก็อาจต้องผ่านประสบการณ์ของการแปลพลาดบ้าง(ลงทุนพลาด) แต่โดยประสบการณ์เหล่านี้ ก็จะสามารถเป็นพื้นฐานให้เพื่อนๆสามารถแยกแยะและพัฒนาของประทานของเพื่อนๆให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้

พระคุณจงมีแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ ตื่นตะลึงเสียงพระเจ้า เขียนโดย แจ๊ค เดียร์
หนังสือ ฟังเสียงพระเจ้า เขียนโดย ซินดี้ เจคอปส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น