หากย้อนไปสัก
30 ปีก่อน ในยุคที่คนเรายังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน
มีเพียงแต่โทรศัพท์บ้านหรือตู้โทรศัพท์ทั่วๆไป
ตอนนั้นหากคุณได้นัดเพื่อนคนหนึ่งว่า พรุ่งนี้เจอกันที่สวนสาธารณะตอน 12:00 น. แล้ววันต่อมา คุณก็มาที่สวนสาธารณะตอน 11:50 น. ปรากฏว่าพอคุณรอถึง 12:00
น. เพื่อนของคุณก็ยังมาไม่ถึง ตอนนั้นคุณก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้อย่างแพร่หลาย คุณไม่สามารถโทรตามหรือพิมพ์ LINE ไปสอบถามได้ พอเวลาผ่านไปถึง 12:15 น. คุณก็ได้แต่รออย่างเดียว โดยอาจมีความขัดเคืองบ้าง และแล้วเมื่อถึง 12:30 น. เพื่อนของคุณก็มาถึง
คุณก็อาจต่อว่าเพื่อนบ้างที่มาสาย แต่สุดท้ายพอเวลาผ่านไป ความขัดเคืองก็เจือจางลง
คราวนี้ให้พวกเรามาคิดถึงยุคปัจจุบันที่มีการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างแพร่หลาย
สมมติว่าคุณนัดเพื่อนคนหนึ่งไว้ว่า พรุ่งเจอกันที่สวนสาธารณะตอน 12:00
น. แล้ววันต่อมา คุณก็มาถึงสวนสาธารณะตอน 11:50 น. แล้วพอถึง 12:00 น. คุณก็ยังไม่เจอเพื่อนของคุณ ต่อมาคุณก็รอถึง 12:15 น. เพื่อนของคุณก็ยังไม่มาสักที
แต่ในยุคนี้พวกเรามีโทรศัพท์มือถือและแอพ LINE คุณจึงโทรมือถือไปถามเพื่อนว่า
“อยู่ถึงไหนแล้ว? ” ปรากฏว่าเมื่อคุณโทรไป
เพื่อนคุณกลับไม่รับสาย คุณจึงโทรตามอีก 2 รอบ แต่เพื่อนของคุณก็ไม่รับสายสักที
มาถึงตอนนี้ความขัดเคืองของคุณก็คงพุ่งขึ้น ซึ่งคงจะพุ่งขึ้นมากยิ่งกว่าเมื่อ 30
ปีก่อน เพราะสมัยก่อน คุณได้แต่เฝ้ารอเฉยๆ ความขัดเคืองก็มี แต่คงไม่รุนแรงเหมือนตอนนี้
และเนื่องจากเพื่อนของคุณไม่รับโทรศัพท์ คุณจึงพิมพ์ LINE
ไปถามเพื่อนว่า “อยู่ถึงไหนแล้ว?” ปรากฏว่าในแอพ LINE ก็ขึ้นมาว่า เพื่อนของคุณ “อ่านแล้ว” แต่เพื่อนของคุณก็ไม่พิมพ์อะไรตอบมาสักที
มาถึงตอนนี้คุณก็คงขัดเคืองขึ้นไปอีก และแล้ว พอถึง 12:30 น. เพื่อนของคุณก็มาถึง คราวนี้คุณก็คงต่อว่าเพื่อนบ้าง แต่วันเวลาผ่านไป
ความขัดเคืองก็เจือจางลงไป
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากถามก็คือ
หากเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน ที่ยังไม่มีเทคโนโลยี คุณก็ได้แต่รอเพื่อน
โดยอาจมีความขัดเคืองบ้าง แต่หากเป็นปัจจุบันนี้ที่เทคโนโลยีก้าวไกล ถ้าเพื่อนของคุณไม่รับสายหรือไม่ตอบ
LINE ความเครียดและความขัดเคืองของคุณก็อาจพุ่งแรงมากกว่าเดิม
อาการดังกล่าวนี้ ผมเรียกว่า “เครียดเพราะเทคโนโลยี”
อาการ
“เครียดเพราะเทคโนโลยี” เป็นอาการหนึ่งที่มีกันในยุคปัจจุบัน
ซึ่งที่ไปที่มาของอาการนี้ ที่จริงก็ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี
แต่เกิดจากท่าทีที่คุณมีมากกว่า ตามหลักการแล้ว
เทคโนโลยีควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกสะดวกสบายและมีความสุขขึ้น
หากเทคโนโลยีทำให้คุณเครียดหรือมีความทุกข์มากขึ้น แสดงว่า คุณอาจมีท่าทีที่ผิดไป
เมื่อพวกเราพิจารณาเทคโนโลยี พวกเราควรจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับความก้าวหน้านี้
และใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการแผ่ขยายอาณาจักรพระเจ้าและสร้างสันติสุขแก่ผู้คน
ดังนั้นหากคุณรู้สึกเกิดอาการ “เครียดเพราะเทคโนโลยี”
ก็อยากให้คุณลองพิจารณาโลกสัก 30 ปีก่อน แล้วนั่งถามตัวเองว่า “หากเป็นเมื่อ 30
ปีก่อน เราจะเครียดกับเรื่องนี้ไหม? และปัจจุบันนี้
เรามีเทคโนโลยีที่ควรสร้างความสุขให้กับเรา แล้วเราควรเครียดกับเรื่องนี้ไหม?”
การเผยพระวจนะก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
ในช่วงทศวรรษ 1980 ก็เป็นทศวรรษสำคัญของการรื้อฟื้นตำแหน่ง “ผู้เผยพระวจนะ”
ปัจจุบันนี้
คริสตจักรเริ่มเปิดรับและมีการสอนเรื่องการเผยพระวจนะที่ลึกกว่าสมัยก่อนมาก
หากย้อนไปสัก 100 ปีที่แล้ว
การเผยพระวจนะก็ยังคงไม่เป็นที่แพร่หลายเหมือนในยุคปัจจุบัน หากจะเปรียบเปรยแล้ว
การเผยพระวจนะก็เป็นเหมือนเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
เทคโนโลยี
ไม่ควรจะทำให้คนเราเครียด แต่ควรจะทำให้คนเรามีความสุขขึ้น การเผยพระวจนะก็เช่นกัน
คำเผยพระวจนะควรเป็นสิ่งที่เสริมสร้างและทำให้คนเรามีความสุขขึ้น ใน (1
โครินธ์ 14:13) ก็ได้กล่าวว่า
การเผยพระวจนะมีไว้เพื่อให้เจริญขึ้น เพื่อให้ชูใจ และเพื่อให้ปลอบใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง
การเผยพระวจนะควรจะทำให้พวกเรามีความสุขขึ้นและมีความก้าวหน้าขึ้น
ไม่ใช่ทำให้พวกเราเครียดหรือทุกข์ลง
หากคุณรู้สึกเกิดอาการ
“เครียดเพราะคำเผยพระวจนะ” แสดงว่าอาจมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งผิดปกตินี้
อาจจะเป็นที่ “ถ้อยคำเผยพระวจนะ” หรืออาจจะเป็นที่ “ตัวคนที่เผยพระวจนะ”
หรืออาจจะเป็นที่ “ท่าทีของคุณเอง”
อาการ
“เครียดเพราะคำเผยพระวจนะ” มีลักษณะหลายรูปแบบ
บางครั้งหากคุณได้รับคำเผยพระวจนะที่เป็นการกล่าวโทษหรือป่าวประกาศการลงโทษเหมือนแบบคำเผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม
แล้วคุณก็เกิดความหวาดผวาขึ้นมา ผมอยากจะหนุนใจคุณว่า
มีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว เพราะในพันธสัญญาใหม่
การเผยพระวจนะควรทำให้เจริญขึ้นหรือชูใจหรือปลอบใจ (1
โครินธ์ 14:3)
หากคุณได้รับคำเผยพระวจนะที่ทำให้คุณหวาดหวาหรือเครียดขึ้น แสดงว่าคำเผยพระวจนะนั้น
อาจมีสิ่งผิดปกติอยู่ ถ้าคำเผยพระวจนะนั้น
ไม่ได้ทำให้คุณเจริญขึ้นหรือชูใจหรือปลอบใจ
คุณสามารถทิ้งคำเผยพระวจนะนั้นไปจากชีวิตคุณได้เลยครับ บางทีคนที่เผยพระวจนะให้คุณ
เขาอาจมีความผิดพลาดบางอย่าง ก็เลยเผยพระวจนะในลักษณะที่ผิดออกมา
อาการ
“เครียดเพราะคำเผยพระวจนะ” ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ “เครียดกับการตีความ”
บางครั้งถ้าคุณได้รับคำเผยพระวจนะที่เป็นนิมิตหรือภาพ
แล้วคุณไม่สามารถตีความหรือรู้ความหมายของนิมิตนั้น
คุณก็ควรเก็บคำเผยพระวจนะนั้นไว้ในหัวใจ แล้วทำหัวใจให้สบาย ไม่ต้องไปเครียดว่า
สิ่งโน้นสิ่งนั้นเล็งถึงอะไร ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คงทำให้คุณรู้เองอย่างมั่นใจว่า
นิมิตนั้นเล็งถึงอะไร แต่ถ้าวันเวลาผ่านไปนานมากแล้ว แล้วคุณก็ยังไม่รู้ว่า
นิมิตนั้นเล็งถึงอะไร คุณก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจหรือเครียดไปกับมัน
ทำหัวใจให้สบายๆ ถ้าถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำพาให้คุณรู้อย่างมั่นใจในความหมายของนิมิตนั้นๆเอง
แต่สมมติถ้าเวลาผ่านไปนานมากๆ แล้วก็ยังตีความไม่ออก
บางทีคุณก็ทิ้งคำเผยพระวจนะนั้นไปได้เลยครับ บางครั้งนิมิตที่คุณได้รับ
ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นของคุณเองหรือมีคนมาเผยพระวจนะให้ ก็อาจไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้
หลักสำคัญคือ คำเผยพระวจนะหรือนิมิตที่เห็น ไม่ควรทำให้คุณเครียด
แต่ควรทำให้คุณก้าวหน้าและมีความสุขขึ้น
อาการ
“เครียดเพราะคำเผยพระวจนะ” อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ “ความสับสน” บางครั้งเมื่อคุณอยากจะรู้ทิศทางในชีวิตว่าคุณควรจะทำอะไรต่อไปดี
แล้วพอคุณได้รับคำเผยพระวจนะมาหลายอัน
แต่ปรากฏว่าคำเผยพระวจนะบางอันมีความขัดแย้งกัน ทำให้คุณเกิดความสับสน
หากคำเผยพระวจนะทำให้คุณสับสนหรือทำอะไรไม่ถูก แสดงว่ามีบางสิ่งผิดปกติแล้ว
การเผยพระวจนะควรจะทำให้คุณสะดวกสบายขึ้นและทำให้คุณเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่ทำให้คุณสับสน
หากคุณกำลังสับสนเพราะคำเผยพระวจนะ
หรือถ้าคุณไม่แน่ใจว่าคุณควรจะทำอะไรต่อไปดี ผมอยากหนุนใจว่า
ให้คุณทำในสิ่งที่หัวใจของคุณปรารถนาและเรียกร้องเลยครับ
ในพันธสัญญาใหม่มีหลักสำคัญอย่างหนึ่งคือ “พระเจ้าได้จารึกธรรมบัญญัติของพระองค์ไว้ในหัวใจของผู้เชื่อ”
(ฮีบรู 8:10) หลายครั้งสิ่งที่คุณมีภาระใจมากที่สุด
หลายครั้งสิ่งที่หัวใจของคุณปรารถนาที่จะทำมากที่สุด
ก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจารึกไว้ในหัวใจของคุณ บางครั้งคุณอาจจะต้องลืมคำเผยพระวจนะไปก่อน
แล้วนั่งถามหัวใจของตัวเองว่า “คุณอยากทำอะไรมากที่สุด?” จากนั้นคุณก็ทำตามภาระใจนั้นได้เลยครับ
ถ้าคำเผยพระวจนะนั้นถูกต้อง
หลายครั้งคำเผยพระวจนะนั้นจะสอดคล้องกับภาระใจที่อยู่ในหัวใจของคุณอย่างอัตโนมัติ
ถ้าคำเผยพระวจนะนั้นทำให้คุณสับสนหรือทำอะไรไม่ถูก ก็ให้ลืมคำเผยพระวจนะนั้นไปได้เลยครับ
แล้วทำตามสิ่งที่หัวใจของคุณเรียกร้อง บางทีคำเผยพระวจนะนั้นอาจจะมีข้อผิดพลาดและไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นได้
การดำเนินชีวิตของคนเรา ไม่ควรดำเนินตามคำเผยพระวจนะเพียงอย่างเดียว
อย่าให้คำเผยพระวจนะเป็นโรดแมปเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต
เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงนำชีวิตคุณผ่านคำเผยพระวจนะเพียงอย่างเดียว
พระองค์ทรงนำชีวิตคุณผ่านภาระใจในหัวใจของคุณด้วย โรดแมปของคุณควรจะประกอบด้วยภาระใจในหัวใจของคุณโดยมีคำเผยพระวจนะเป็นตัวช่วยให้ทิศทางชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่ทำให้สับสน
รายละเอียดเกี่ยวกับการทรงนำผ่านความปรารถนาในหัวใจ
เพื่อนๆสามารถอ่านได้ในบทความ
พระเจ้าทรงนำผ่านสิ่งที่อยู่ในหัวใจของคุณ!
รู้น้ำพระทัยพระเจ้าผ่านหัวใจ
บางครั้ง
ผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับนักธุรกิจคริสเตียนหรืออาจารย์ในโบสถ์อื่นๆที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเผยพระวจนะ
ผมเห็นว่า
พวกเขาบางคนดูมีความสุขกับชีวิตและมีทิศทางในชีวิตที่ชัดเจนกว่าคริสเตียนที่รับคำเผยพระวจนะเสียอีก
ทั้งๆที่ตามหลักการแล้ว
คนแห่งการเผยพระวจนะควรจะได้เปรียบกว่าคนที่ไม่มีการเผยพระวจนะ
คนแห่งการเผยพระวจนะควรจะมีความสุขกับชีวิตและมีทิศทางที่ชัดเจนมากกว่าคนที่ไม่มีการเผยพระวจนะ
ถ้าหากคุณมีความเครียดหรือความกังวลในแบบที่คนอื่น(คนที่ไม่มีการเผยพระวจนะ)ไม่มี
ก็แสดงว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว
พระคุณจงมีแด่ทุกท่าน
Philip Kavilar
คำขอบคุณ
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับ
พีน้อง O.คำแนะนำของคุณเป็นส่วนหนึ่งของบทความนี้
และเป็นประโยชน์สำหรับผมมาก
หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
หนังสือ
วิถีชีวิตเหนือธรรมชาติ เขียนโดย คริส แวลโลตัน
หนังสือ Prophets and
Personal Prophecy เขียนโดย Bill Hamon
หนังสือ
Jesus
Came Out of the Tomb So Can You เขียนโดย Harold Eberle
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น