21 มีนาคม 2561

หลุมพราง 4 ประการ เกี่ยวกับของประทาน(ตอนที่1)


นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 คำสอนเรื่องของประทานก็เป็นคำสอนที่แพร่หลายมากขึ้นท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย ถ้าเพื่อนๆตรวจสอบรายชื่อหนังสือที่สอนถึงเรื่องของประทาน เพื่อนๆจะพบว่า หนังสือมากมายที่สอนถึงของประทาน ส่วนใหญ่แล้วจะผลิตหลังจากปี 1970 ขึ้นไป นับได้ว่าทศวรรษ 1970 เป็นทศวรรษสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยกระดับความเข้าใจในเรื่องของประทานให้กับคริสตจักร

            นักวิชาการคริสเตียนบางท่าน แม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญด้านศาสนศาสตร์ในแขนงต่างๆ แต่ถ้าเขาไม่ได้อ่านหนังสือที่เขียนหลังปี 1970 โอกาสที่เขาจะมีความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องของประทานก็เป็นไปได้ยาก แม้แต่ มาร์ติน ลูเธอร์ (ผู้นำการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ในศตวรรษที่ 16) หรือ จอห์น เวสลีย์ (ผู้นำการฟื้นฟูเรื่องความบริสุทธิ์ในศตวรรษที่ 18) ก็ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะศึกษาหรือมีความเข้าใจในเรื่องของประทานได้เท่ากับคริสเตียนในยุคปัจจุบัน กระทั่ง วอท์ชแมน นี (ผู้นำการฟื้นฟูที่ประเทศจีนช่วงต้นศตวรรษที่ 20) ก็ไม่อาจที่จะสอนหรืออธิบายเรื่องของประทานได้อย่างละเอียด ทั้งนี้ เพราะหนังสือและแหล่งความรู้เรื่องของประทาน ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นส่วนใหญ่

            จากการค้นคว้าของผม ผมเห็นว่ามีหลุมพรางสำคัญ 4 ประการเกี่ยวกับของประทาน ที่พวกเราควรหลีกเลี่ยง เป็นหลุมพรางที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดและทำให้เกิดความติดขัดหลายอย่าง หลุมพรางทั้ง 4 นี้คือ

1. คิดว่าของประทานมีแค่ 9 อย่างเท่านั้น
2. คิดว่าของประทานที่เหนือธรรมชาติ บริสุทธิ์กว่าและสำคัญกว่า ของประทานที่เป็นธรรมชาติ
3. สถานการณ์นิยม
4. การยัดเยียดของประทาน 
ในบทความตอนนี้ ผมจะมาอธิบายหลุมพราง 2 ประการแรกก่อน 
(หลุมพรางที่ 1)  คิดว่าของประทานมีแค่ 9 อย่างเท่านั้น
            ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ได้กล่าวถึงของประทานไว้หลายอย่าง โดยข้อพระคัมภีร์หลักที่แจกแจงถึงของประทานต่างๆก็คือ (โรม 12) (เอเฟซัส 4) และ (1 โครินธ์ 12) และเมื่อพิจารณาถึงข้อพระคัมภีร์ทั้ง 3 บทนี้แล้ว รายการของประทานทั้งหมดจะมีดังนี้ 
(โรม 12)
1. การเผยพระวจนะ 2. การปรนนิบัติ 3. การสอน 4. การหนุนใจ/การตักเตือน 5. การให้/การถวาย
6. การครอบครอง/ความเป็นผู้นำ 7. ความเมตตา

(1 โครินธ์ 12) *ไม่นับอันที่ซ้ำกับ (โรม12)
8. ถ้อยคำของปัญญา 9. ถ้อยคำของความรู้ 10. ความเชื่อ 11. การรักษา 12. ฤทธิ์เดช/การอัศจรรย์
13. สังเกตวิญญาณ 14. ภาษาแปลกๆ 15. การแปลภาษาแปลกๆ 16. อัครทูต 17. การช่วยเหลือ
18. การบริหาร

(เอเฟซัส 4) *ไม่นับอันที่ซ้ำกับรายการข้างบน
19. ผู้ประกาศ 20. ศิษยาภิบาล
         รายการของประทานทั้ง 20 อย่างนี้เป็นรายการของประทานที่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างชัดเจน ทว่า ในพระคัมภีร์บทอื่นๆก็ยังได้พูดถึงของประทานอันอื่นๆอีกแต่ไม่ได้ชัดเจนเท่านี้ เช่น ของประทานการต้อนรับแขก (1 เปโตร 4:9) ของประทานการเป็นมิชชันนารี (เอเฟซัส 3:6-8) เป็นต้น 
หลุมพรางประการแรกเกี่ยวกับของประทานก็คือ ความคิดที่เข้าใจว่า ของประทานมีเพียง 9 อย่างเท่านั้น ทั้งๆที่ตามพระคัมภีร์แล้ว ของประทานทั้งหมดมีอย่างน้อย 20 อย่าง อนึ่ง ความคิดที่เข้าใจว่าของประทานมีเพียงแค่ 9 อย่างนั้นมักจะยกข้อพระคัมภีร์เฉพาะ (1 โครินธ์ 12) ในช่วงต้นเท่านั้น
 (1 โครินธ์ 12) ช่วงต้นได้กล่าวถึงของประทาน 9 อย่าง นั่นก็คือ 1. ถ้อยคำของปัญญา 2. ถ้อยคำของความรู้ 3. ความเชื่อ 4. การรักษา 5. ฤทธิ์เดช/การอัศจรรย์  6. การเผยพระวจนะ 7. สังเกตวิญญาณ 8. ภาษาแปลกๆ 9. การแปลภาษาแปลกๆ
 ดูเผินๆแล้ว ของประทานทั้ง 9 อย่างที่ปรากฏใน (1 โครินธ์ 12) ช่วงต้น ดูเหมือนจะมีความเหนือธรรมชาติมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ บางสัมมนาที่สอนเรื่องการดำเนินชีวิตที่เหนือธรรมชาติ ก็อาจจะเน้นเพียงแต่ของประทานทั้ง 9 อย่างนี้ บางคนจึงเกิดความเข้าใจที่ผิดและคิดไปว่าของประทานมีแค่ 9 อย่างเท่านั้น ถ้าเพื่อนๆยังไม่รู้ว่าตัวเองมีของประทานอะไร ก็อาจเป็นเพราะว่าเพื่อนๆเน้นแต่ของประทานเฉพาะ 9 อย่างนี้เท่านั้น ทั้งๆที่ความจริงแล้ว พระเจ้าอาจให้ของประทานอื่นๆแก่เพื่อนๆ ซึ่งไม่ใช่ของประทาน 9 อย่างนี้ 
(หลุมพรางที่ 2) คิดว่าของประทานที่เหนือธรรมชาติ บริสุทธิ์กว่าและสำคัญกว่า ของประทานที่เป็นธรรมชาติ
             ในกรอบความคิดแบบกรีก ผู้คนมักจะมองว่า โลกในฝ่ายวิญญาณที่เหนือธรรมชาติ (การอธิษฐาน/การนมัสการ/การไปโบสถ์) เป็นสิ่งบริสุทธิ์และดีงาม ส่วนโลกในฝ่ายกายภาพที่เป็นเรื่องธรรมชาติ (การมีเพศสัมพันธ์/การรับสิ่งบันเทิง/การกินเลี้ยง) เป็นสิ่งที่ไม่สะอาดและมลทิน ทว่า ในกรอบความคิดแบบฮีบรู(ซึ่งเป็นกรอบความคิดตามพระคัมภีร์)กลับมีมุมมองความคิดที่ไม่เหมือนกับกรอบความคิดแบบกรีก ในกรอบความคิดแบบฮีบรูมองว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกฝ่ายวิญญาณที่เหนือธรรมชาติ และพระองค์ก็ทรงสร้างโลกฝ่ายกายภาพที่เป็นธรรมชาติด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องธรรมชาติ ต่างก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้กรอบความคิดแบบฮีบรูจึงมองว่า เรื่องฝ่ายวิญญาณที่เหนือธรรมชาติ กับเรื่องฝ่ายกายภาพที่เป็นธรรมชาติ ต่างก็มีความบริสุทธิ์และมีความสำคัญด้วยกันทั้งคู่ เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้เนรมิตสร้างทั้งเรื่องฝ่ายวิญญาณและเรื่องฝ่ายกายภาพ

           
ในเรื่องเกี่ยวกับของประทาน บางคนก็อาจคิดไปว่า ของประทานที่เหนือธรรมชาติ (เช่น การเผยพระวจนะ ภาษาแปลกๆ) มีความบริสุทธิ์และสำคัญกว่า ของประทานที่ดูเป็นเรื่องธรรมชาติ (เช่น การปรนนิบัติ ความเป็นเมตตา) ทว่า ในกรอบความคิดแบบฮีบรู พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลที่มีทั้ง ของประทานที่เหนือธรรมชาติ และของประทานที่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นของประทานแบบเหนือธรรมชาติที่หวือหวา หรือของประทานที่ดูเป็นเรื่องธรรมชาติที่ปกติ ต่างก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาทั้งคู่ ทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็เป็นสิ่งที่มาจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ในกรอบความคิดแบบฮีบรู ของประทานที่เหนือธรรมชาติกับของประทานที่ดูเป็นเรื่องธรรมชาติ ต่างก็เป็นของประทานที่มีความบริสุทธิ์และสำคัญพอๆกัน นอกจากนี้ ในบางวาระ ของประทานที่ดูเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็อาจมีความสำคัญกว่าของประทานที่เหนือธรรมชาติด้วยซ้ำ 
            ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตามหลักความคิดแบบฮีบรู ของประทานที่ดูปกติทั่วๆไป (เช่น ความเมตตา การปรนนิบัติ) ก็มีความบริสุทธิ์และสำคัญพอๆกับของประทานที่เหนือธรรมชาติ (เช่น ภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ) ดังนั้น พวกเราจึงควรให้เกียรติพี่น้องทุกคน พวกเราควรให้เกียรติทั้งพี่น้องที่มีของประทานที่เหนือธรรมชาติ และให้เกียรติกับพี่น้องที่มีของประทานที่ดูไม่เหนือธรรมชาติด้วย หลายครั้ง คนเราก็สามารถสัมผัสถึงความรักของพระคริสต์ผ่านของประทานที่ดูเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งบางที คนที่ไม่ได้มีของประทานที่เหนือธรรมชาติอาจจะสำแดงความรักของพระคริสต์ได้ยิ่งกว่าคนที่มีของประทานที่เหนือธรรมชาติเสียอีก 
            ในบทความนี้ ผมขอไว้เท่านี้ก่อน ถ้าไม่ติดอะไร สัปดาห์หน้าผมอาจจะเขียนบทความนี้ต่อในตอนที่สองนะครับ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่มกำลังเพื่อนๆครับ 
พระคุณจงมีแด่ทุกท่าน
Philip Kavilar

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ Discover Your Spiritual Gifts เขียนโดย C. Peter Wagner

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น