29 มีนาคม 2561

หลุมพราง 4 ประการ เกี่ยวกับของประทาน (ตอนที่ 2)


ในบทความตอนที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงหลุมพราง 2 ประการแรกที่เกี่ยวกับของประทาน นั่นก็คือ การคิดว่าของประทานมีแค่ 9 อย่างเท่านั้น กับความคิดที่ว่าของประทานที่เหนือธรรมชาติ บริสุทธิ์กว่าและสำคัญกว่า ของประทานที่เป็นธรรมชาติ 


ก่อนที่ผมจะกล่าวถึงหลุมพรางอีก 2 ประการ ผมขออธิบายหลักการสำคัญอย่างหนึ่งเกี่ยวกับของประทานก่อน หลักการนั่นก็คือ “ของประทานที่เรามีจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติที่เราเป็น”

ของประทานกับธรรมชาติ
            ปกติแล้ว เมื่อพระเจ้าให้ของประทานแก่เพื่อนๆ พระเจ้าไม่เพียงแต่ให้เพื่อนๆมีความเก่งกาจเฉพาะทางเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานให้เพื่อนๆมีธรรมชาติในความเฉพาะทางนั้นๆด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าให้ผู้หนึ่งมีของประทานด้านการเผยพระวจนะ พระเจ้าไม่เพียงแต่ให้ผู้นั้นเผยพระวจนะได้เก่งเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานให้ผู้นั้นมีธรรมชาติที่เกี่ยวกับการเผยพระวจนะด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วคนที่มีของประทานด้านการเผยพระวจนะมักจะมีธรรมชาติอย่างหนึ่ง และธรรมชาตินั้นก็คือ “ชอบอธิษฐานมากเป็นพิเศษ” สำหรับผู้เชื่อทั่วๆไป การอธิษฐานอย่างต่อเนื่องถึง 2 ชั่วโมง ก็อาจทำให้เหนื่อยล้า แต่สำหรับคนที่ของประทานด้านการเผยพระวจนะ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะอธิษฐานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงนับว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อยๆสำหรับพวกเขา บางครั้งในวันหยุดหรือวันว่าง พวกเขามักจะปิดประตูห้องและแขวนป้ายไว้นอกห้องว่า “อย่ารบกวน” แล้วพวกเขาก็จะอธิษฐานอยู่อย่างนั้นทั้งวัน สำหรับเหล่าผู้เผยพระวจนะแล้ว การอธิษฐานทั้งวันนับเป็นความสุขยิ่งสำหรับพวกเขา ทั้งนี้เหตุที่ผู้เผยพระวจนะมักจะมีธรรมชาติที่ชอบอธิษฐานมากเป็นพิเศษ ก็เพราะพระเจ้าไม่เพียงแต่ให้พวกเขาเผยพระวจนะได้เก่งเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานธรรมชาติที่ชอบติดต่อสื่อสารกับพระองค์ด้วย

สำหรับคนที่มีของประทานด้านการสอนหรือความรู้ พระเจ้าไม่เพียงแต่ประทานให้พวกเขาเก่งกาจด้านการสอนหรือเรียนรู้ได้ดีเท่านั้น แต่พระองค์มักจะให้พวกเขามีธรรมชาติที่ชอบเรียนรู้และชอบค้นคว้าด้วย ผู้เชื่อบางคนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจหรือใส่ใจว่า ข้อพระคัมภีร์ที่อ่านนี้ในภาษาฮีบรูหรือภาษากรีกจะใช้คำว่าอะไร ทว่า สำหรับคนที่มีของประทานด้านการสอนหรือความรู้ พวกเขาจะค้นคว้ารากศัพท์ภาษาฮีบรูและภาษากรีกอย่างละเอียด นอกจากนี้พวกเขายังมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้บริบททางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ในแต่ละส่วน พวกเขาสามารถอ่านหนังสืออธิบายพระคัมภีร์หรือหนังสือในแวดวงคริสเตียนในจำนวนที่มากๆได้ ทั้งนี้ เนื่องจากว่าของประทานที่พระเจ้าทรงมอบให้ ไม่เพียงทำให้พวกเขาสอนเก่งหรือเรียนรู้ได้ดีเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขามีธรรมชาติของอาจารย์ที่เป็นนักค้นคว้าด้วย 
            สำหรับคนที่มีของประทานด้านการสังเกตวิญญาณ พระเจ้าไม่เพียงแต่ประทานให้พวกเขาสังเกตวิญญาณได้เฉียบคมเท่านั้น แต่พระองค์ประทานให้พวกเขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งอันเป็นธรรมชาติเฉพาะสำหรับคนที่มีของประทานด้านนี้ ซึ่งปกติแล้ว คนที่มีของประทานสังเกตวิญญาณ มักจะมีธรรมชาติที่เป็นคนโผงผาง พูดอะไรออกมาตรงๆ และไม่ค่อยมองอะไรเป็นสีเทาๆ แต่มักจะแยกขาวแยกดำอย่างชัดเจน 
            ถ้าเพื่อนๆกำลังค้นหาว่าตัวเองมีของประทานอะไร ผมก็อยากจะแนะนำหลักการอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าพระเจ้าให้เพื่อนๆมีของประทานอันใดแล้ว พระองค์ก็มักจะให้เพื่อนๆมีธรรมชาติในของประทานอันนั้นด้วย การค้นหาของประทานของตัวเองจะเกิดได้ง่ายขึ้น เมื่อเพื่อนๆได้สืบค้นเกี่ยวกับธรรมชาติของตนเอง เพราะธรรมชาติที่เราเป็นจะสอดคล้องกับของประทานที่เรามีเสมอ

ผู้เชื่อแต่ละคนเปรียบเปรยดั่งอวัยวะที่แตกต่างกัน

            ใน (1 โครินธ์ 12) ได้เปรียบเปรยผู้เชื่อแต่ละคนว่าเป็นดั่งอวัยวะในร่างกาย บางคนเป็นตา บางคนเป็นหู บางคนเป็นมือ เหตุที่เปาโลได้เปรียบเปรยเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะแต่ละคนมีของประทานที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน บางคนพระเจ้าก็ประทานให้เขามีของประทานการสอนและมีการทรงเรียกให้เป็นอาจารย์ บางคนพระเจ้าก็ประทานให้เขามีของประทานด้านการเผยพระวจนะและมีการทรงเรียกสู่การเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนพระเจ้าก็ประทานให้เขามีของประทานด้านศิษยาภิบาลที่มีธรรมชาติในการเป็นห่วงเป็นใยผู้คน แต่ละคนจึงมีหน้าที่และการทรงเรียกที่แตกต่างกันไป

(หลุมพรางประการที่ 3) การยัดเยียดของประทาน
          การยัดเยียดของประทานก็คือการคาดหวังให้คนอื่นมีลักษณะแบบเราหรือมีธรรมชาติแบบเรา บางคนที่มีของประทานด้านการเผยพระวจนะที่ชอบอธิษฐานอย่างต่อเนื่องนานๆ หากเขาไม่เข้าใจในเรื่องธรรมชาติและของประทาน เขาก็อาจจะเรียกร้องให้ผู้เชื่อคนอื่นๆทำตามเขา โดยเรียกร้องให้ผู้อื่นอธิษฐานมากๆแบบเขา บางคนที่มีของประทานด้านการสอนที่ชอบค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างลึกๆ หากเขาไม่เข้าใจในเรื่องธรรมชาติและของประทาน เขาก็อาจจะเรียกร้องให้คนอื่นๆศึกษาพระคัมภีร์ลึกๆแบบเขา บางทีเขาก็อาจอารมณ์เสียที่เห็นผู้เชื่อคนอื่นๆไม่สนใจการศึกษาพระคัมภีร์แบบลึก

            ทั้งนี้ การยัดเยียดของประทานอาจเป็นผลมาจาก การไม่เข้าใจในเรื่องของประทานและธรรมชาติ แต่การยัดเยียดของประทานสามารถแก้ไขได้โดยการตระหนักรู้ว่า แต่ละคนมีของประทานที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละคนมีธรรมชาติกับลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละคนมีการทรงเรียกที่แตกต่างกัน ดังนั้น การก่อสร้างผู้คน จึงไม่ใช่การบีบบังคับให้ทุกคนเป็นเหมือนผู้นำ แต่เป็นการให้แต่ละคนได้ตระหนักรู้ถึงของประทานกับการทรงเรียกของตน และนำพาแต่ละคนให้มุ่งสู่เส้นทางแห่งการทรงเรียกตามของประทานของเขา และเมื่อทุกคนต่างทำตามหน้าที่ที่สอดคล้องกับของประทานของตน อาณาจักรพระเจ้าก็สามารถแผ่ขยายออกไปได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องบีบบังคับให้ใครทำตามอย่างเรา

(หลุมพรางประการที่ 4) สถานการณ์นิยม
          สถานการณ์นิยมเป็นคำสอนที่อธิบายว่า เมื่อผู้เชื่อบังเกิดใหม่ พระคริสต์ก็สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อ ทำให้ผู้เชื่อสามารถสำแดงของประทานได้ทุกอย่างเมื่อสถานการณ์มาถึง เช่น หากตอนนี้มีผู้ป่วยอยู่ต่อหน้าเรา และพระเจ้าปรารถนาที่จะรักษาโรค เราก็สามารถสำแดงของประทานรักษาโรคได้ แต่พอสถานการณ์จบลง ของประทานการรักษาโรคก็หยุดทำงาน หรือถ้าเกิดสถานการณ์จำเป็นที่ต้องมีการเผยพระวจนะ พระเจ้าก็สามารถใช้ใครก็ได้ในการเผยพระวจนะ และเมื่อสถานการณ์จบลง ของประทานการเผยพระวจนะก็หยุดทำงาน

            คำสอนแบบสถานการณ์นิยมอธิบายว่า ผู้เชื่อแต่ละคนสามารถสำแดงของประทานได้ทุกอย่างถ้าสถานการณ์มาถึง เพราะพระเจ้าสามารถใช้ใครก็ได้ แต่ถ้าสถานการณ์จบลง ของประทานก็หยุดทำงาน ทั้งนี้ สถานการณ์นิยมอธิบายเพิ่มเติมว่า การสำแดงของประทานไม่ได้เกิดขึ้นโดยความตั้งใจของมนุษย์ แต่การสำแดงแห่งของประทานเกิดขึ้นตามพระทัยของพระวิญญาณ มนุษย์จึงไม่ได้เป็นผู้กำหนดว่าจะใช้ของประทานเมื่อไร แต่พระวิญญาณจะทรงเคลื่อนไหวในของประทานต่างๆเองเมื่อสถานการณ์มาถึง คำสอนเรื่องสถานการณ์นิยมอาจดูเหมือนให้การหนุนใจว่า ผู้เชื่อสามารถสำแดงของประทานทุกอย่างได้ กระนั้นคำสอนนี้ก็มีจุดบอดทั้งในแง่ของหลักการพระคัมภีร์และในแง่ประสบการณ์

            ในพระคัมภีร์ (1 โครินธ์ 12) ได้เปรียบเปรยผู้เชื่อแต่ละคนว่าเป็นอวัยวะที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละคนต่างมีของประทานและการทรงเรียกที่แตกต่างกันไป บางคนพระเจ้าแต่งตั้งให้เขาเป็นหู เขาก็มีของประทานและการทรงเรียกแบบหู บางคนพระเจ้าแต่งตั้งให้เขาเป็นเท้า เขาก็มีของประทานและการทรงเรียกแบบเท้า บางคนพระเจ้าแต่งตั้งให้เขาเป็นแขน เขาก็มีของประทานและการทรงเรียกในแบบที่แขนมี ไม่ใช่ว่า เมื่อวานเขาเป็นแขน และวันพรุ่งนี้เขาจะเป็นหู ทั้งนี้เพราะพระวิญญาณได้กำหนดของประทานให้กับแต่ละคนอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเจาะจงเป็นคนๆไป มุมมองที่ได้จาก (1 โครินธ์ 12) นี้ จึงไม่ใช่มุมมองแบบ “สถานการณ์นิยม” แต่เป็น “การแต่งตั้งนิยม” ซึ่งหมายความว่า พระวิญญาณได้ทรงแต่งตั้งแต่ละคนให้มีของประทานและพันธกิจที่แตกต่างกันไป

            ในแง่ของประสบการณ์ คำสอนเรื่องสถานการณ์นิยมก็สร้างปัญหาบางประการ ปัญหาประการแรกก็คือ คนที่ฝักใฝ่ในคำสอนแบบสถานการณ์นิยมมีแนวโน้มที่จะไม่สนใจว่าตนเองมีของประทานอะไร และไม่สืบค้นถึงธรรมชาติกับการทรงเรียกที่พระวิญญาณทรงกำหนดให้เขาอย่างเจาะจง ทั้งนี้เพราะ สถานการณ์นิยมมองว่า โดยพระวิญญาณ ผู้เชื่อแต่ละคนมีของประทานทุกอย่างอยู่แล้วและสามารถสำแดงของประทานได้ทุกชนิด ผู้เชื่อจึงไม่จำเป็นต้องไปสืบค้นว่าตนเองมีของประทานอะไร ขอแค่ผู้เชื่อมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นพอ และถ้าสถานการณ์มาถึง ของประทานต่างๆก็สำแดงออกมาเอง

            การไม่ตระหนักรู้ถึงของประทานของตนเอง ด้านหนึ่งก็จะส่งผลให้ไม่รู้ถึงการทรงเรียกของตนเองด้วย ใน (โรม 11:29) ได้บอกเป็นนัยว่า ของประทานกับการทรงเรียก เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันและควบคู่กันไป ดังนั้น ถ้าผู้หนึ่งไม่รู้ว่าตนเองมีของประทานอะไร โอกาสที่ผู้นั้นจะรับรู้ถึงการทรงเรียกที่เฉพาะเจาะจงของตนก็เป็นไปได้ยาก

ปัญหาอีกประการหนึ่งของสถานการณ์นิยมก็คือ การไม่ร่วมประสานกับส่วนอื่นของพระกาย ทั้งนี้ ด้วยมุมมองของสถานการณ์นิยมที่คิดว่า ผู้เชื่อแต่ละคนสามารถสำแดงของประทานได้ทุกอย่างอยู่แล้ว จึงทำให้ผู้เชื่อแต่ละคนไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการพึ่งพาและการร่วมประสานกันในพระกาย ทว่า ในมุมมองแบบการแต่งตั้งนิยม(อันเป็นมุมมองตามพระคัมภีร์) มองว่า พระวิญญาณทรงมอบของประทานให้แต่ละคนอย่างแตกต่างกันไป และพระองค์ก็ทรงแต่งตั้งให้แต่ละคนมีการทรงเรียกเฉพาะตามของประทานนั้นๆ ทำให้แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ การร่วมประสานกับอวัยวะอื่นๆในพระกายจึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะปกติ คนที่เป็นหู ก็เชี่ยวชาญในความเป็นหู แต่ถ้าเขาปรารถนาที่จะมองเห็นได้ชัดขึ้น เขาก็ต้องพึ่งพาคนที่เป็นตา ในทำนองเดียวกัน คนที่เป็นตา ก็จะเชี่ยวชาญในการเป็นตา แต่ถ้าเขาปรารถนาจะฟังได้ดีขึ้น เขาก็ต้องพึ่งพาและร่วมประสานกับคนที่เป็นหู

            ความเข้าใจในเรื่องของประทานจะมีส่วนช่วยให้ ผู้เชื่อแต่ละคนเข้าใจและให้เกียรติในอัตลักษณ์และการทรงเรียกของกันและกัน เพราะความเข้าใจในเรื่องของประทานทำให้เกิดความตระหนักรู้ว่า แต่ละคนมีของประทานและธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนจึงมีพันธกิจและการทรงเรียกที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเราจะไม่ยัดเยียดให้ใครเป็นเหมือนเรา แต่จะหนุนใจให้แต่ละคนได้ค้นพบถึงของประทานและผลักดันให้ทุกคนมุ่งหน้าสู่การทรงเรียกที่มีเฉพาะในแต่ละคน และเมื่อทุกคนเติบโตในของประทานที่ตนเองมี ท้ายสุดนี้ ก็จะเกิดภาพของการร่วมประสานและเกื้อกูลกันในพระกาย เพราะพวกเราได้ตระหนักรู้ว่า พวกเราไม่สามารถสำแดงของประทานทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว แต่พวกเราต้องพึ่งพาอวัยวะอื่นๆในการสำแดงของประทานที่เราไม่มีด้วย ชาโลม

Philip Kavilar

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ Discover Your Spiritual Gifts เขียนโดย C. Peter Wagner

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น