02 เมษายน 2557

“สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์”#3 "สะสมพระดำรัส"

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในบทความคั้งก่อนหน้านั้นผมได้เขียนบทความเรื่อง “สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์” ต่อเนื่องกันมา 2 ตอนไปแล้ว นั่นคือ  ตอนที่ 1  "สนุกกับพระคำ" และตอนที่  "สนิทกับพระวจนะ"
 (สามารถกลับไปอ่านได้โดย Click ตามที่ link ไว้)

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์และมีความสนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยวโดยใช้เวลาสนิทสนมกับพระวจนะที่สำแดงผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
สำหรับบทความครั้งนี้จะเป็นเรื่องของการสะสมพระดำรัสของพระเจ้าตามพระวจนะที่กล่าวว่า "ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์" (สดุดี 119:11)

การสะสมพระวจนะ  เราสามารถเลือกพระวจนะของพระเจ้าโดยเฉพาะในข้อที่เป็นพระดำรัส คือ คำสั่ง นั่นหมายถึงการให้ความสำคัญมาท่องจำเพื่อใคร่ครวญเพื่อจะไม่ทำผิดพลาด เป็นการยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเข้ามาชำระเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา จนสำแดงออกมาเป็นการกระทำ
เมื่อเราอ่านพระวจนะ เราต้องยอมให้พระวจนะเข้ามาชันสูตรพิสูจน์ใจของเรา(ไม่ใช่ชันสูตร พลิกศพ) ทำให้เราได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เมื่อเราอ่านพระวจนะ พระวจนะก็อ่านใจเราด้วยเช่นกัน

ฮีบรู 4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

หนุนใจให้ผู้อ่านได้อ่านคัมภีร์และสะสมพระดำรัสของพระองค์ทุกวัน
เราสามารถอ่านพระวจนะใคร่ครวญส่วนตัวแบบเฝ้าเดี่ยวหรืออ่านพระวจนะแบบเป็นกลุ่มและนำข้อคิดมาแบ่งปันกันเพื่อหนุนจิตชูใจกันได้นะครับ

วิธีการอ่านพระคัมภีร์เป็นกลุ่ม เราสามารถเลือกตอนที่ต้องการศึกษามา 1 บทหรือ 1 ตอนเพื่ออ่านร่วมกัน มีวิธีการง่ายๆ 7 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
 
1. อธิษฐานเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อสำแดงความจริงประทานความเข้าใจในการอ่านพระคัมภีร์ 
ยอห์น 16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล
 
2.อ่านพระคัมภีร์ร่วมกัน

ให้แต่ละคนในกลุ่มอ่านพระวจนะนั้นอย่างช้าๆ หรืออาจจะให้คนหนึ่งในกลุ่มอ่านให้ทุกคนฟังและให้ทุกคนรับฟังพระวจนะและจดจำพระวจนะ
3.เลือกหาคำประทับใจและอธิษฐานภาวนาพระคำร่วมกัน
ให้ทุกคนอยู่ในความเงียบระยะหนึ่ง และให้แต่ละคนเลือกคำหรือข้อความที่ประทับใจ แล้วอ่านด้วยความสำรวมอย่างช้าๆ 3 ครั้ง เว้นช่วงระหว่างที่แต่ละคนอ่านให้ห่างพอสมควร จนกว่าทุกคนจะอ่านครบหมดทุกคน


4.ใช้เวลาอธิษฐานภาวนา  ปล่อยให้พระวจนะตรัสกับเราในความเงียบ
ให้ทุกคนอยู่ในความเงียบประมาณ
2-3 นาที เพื่อให้พระเจ้าได้ตรัสกับเราในถ้อยคำที่เรามีความประทับใจ

5. แบ่งปันสิ่งที่พระตรัสกับเราในใจ
ให้แต่ละคนพิจารณาว่า ข้อความไหนในตอนที่อ่าน อ่านแล้วเกิดความประทับใจ  และแบ่งปันให้คนอื่นได้รับทราบ แต่ต้องไม่ใช่เป็นการสอนคนอื่น เป็นการแบ่งปันข้อคิดที่ตนได้รับจากพระวจนะ


6.  จดบันทึกสิ่งที่พระเจ้าตรัสผ่านพระวจนะ ไว้ในสมุดบันทึกเพื่อเก็บมาทบทวนและใคร่ครวญ 
 
7. อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน

ให้ผู้นำกลุ่มฯ อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า เพื่อทำการปิดประชุมกลุ่มด้วยการภาวนาร่วมกัน หรืออาจจะจบด้วยการร้องเพลงเพื่อตอบสนองพระวจนะร่วมกัน

ข้อแนะนำ การอ่านพระคัมภีร์เป็นกลุ่มแบบ 7 ขั้นตอน จะต้องทำเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 5-6 คน หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 7-8 คน การเชิญให้แบ่งปันไม่ควรให้ทุกคนทำการแบ่งปันเพราะจะใช้เวลามาก เลือกเฉพาะบางคน สัก 2-3 คน

การใช้เครื่องมือในการศึกษาพระคัมภีร์

การสะสมพระดำรัสของพระเจ้า เป็นเรื่องของทุกคน เราต้องทำเข้าใจว่าการศึกษาพระคัมภีร์ มิใช่หน้าที่ของผู้ที่เตรียมสอนหรือผู้เทศนาเท่านั้น  แต่ทุกคนควรจะมีใจปรารถนาอยากจะรู้จักพระเจ้า รู้ลึกซึ้งเป็นส่วนตัว และเข้าใจในพระคัมภีร์จนสำแดงออกเป็นธรรมชาติชีวิตที่รู้จักพระเจ้า ไม่เพียงแต่การได้ฟังเทศนาในแต่ละสัปดาห์เท่านั้น  แต่เราควรที่จะทำความรู้จักเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์
 ในปัจจุบันก็สามารถค้นคว้าสรรหามาใช้ได้อย่างกว้างขวางทาง Internet  โดยที่ไม่จำเป็นต้องหาซื้อมาใช้ส่วนตัว หรือหากใครอยากมีเก็บสะสมไว้ในห้องสมุดส่วนตัวก็จะดียอดเยี่ยมเลย เพราะเครื่องมือแต่ละชนิดเปรียบเสมือนมีดที่มีขนาดต่างๆกัน และแต่ละแบบ เพื่อใช้ในการปอกผลไม้แบบต่างๆ

เราต้องเข้าใจว่า ผู้ที่เป็นผู้ช่วยในการศึกษาพระคัมภีร์ที่ดีที่สุด คือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระวิญญาณแห่งความจริง” ทำหน้าที่ในการเปิดเผยให้เราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า

เราไม่อาจค้นพบความหมายที่แท้จริงโดยความสามารถหรือการศึกษาของเราเอง เราต้องขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนเราให้เข้าใจความหมายฝ่ายจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในพระวจนะ (1 คร. 2:14) และเครื่องมือที่ดีที่สุดในการศึกษาพระคัมภีร์   นั่นคือ พระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์จะตีความพระคัมภีร์เอง เราเปรียบเทียบพระคัมภีร์ตอนหนึ่งกับอีกตอนหนึ่งได้เพื่อจะเข้าใจพระคัมภีร์ชัดเจนขึ้น  

พระคัมภีร์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์เดิมเป็นพื้นฐานให้แก่พระคัมภีร์ใหม่ ส่วนพระคัมภีร์ใหม่ทำให้เรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของพระคัมภีร์ทั้ง 2 ภาค เราจะเข้าใจพระคัมภีร์เมื่อเรามองดูพระคริสต์และแผนการของพระเจ้าในการไถ่มนุษย์โดยทางพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่เปรียบเสมือนหนังสืออธิบาย(Commentaries)พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม

เครื่องมือที่ควรจะมีไว้เพื่อศึกษา
 

1. หนังสืออธิบายพระคัมภีร์(Commentaries) 
เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในการศึกษาเพราะผู้เขียนได้ไปศึกษาและสรุปรวบรวมไว้ให้อ่านประกอบการศึกษาพระคัมภีร์  เราควรจะเลือกหนังสือที่เขียนโดยผู้ที่มีความเข้าใจพระวจนะอย่างถ่องแท้ ปัจจุบันมีการแปลหนังสืออธิบายพระคัมภีร์(Commentaries) เป็นภาษาไทยทำให้สะดวกมากขึ้นในการศึกษา

2.  ศัพท์สัมพันธ์ (Concordances)
เป็นหนังสือที่รวบรวมคำศัพท์ต่างๆในพระคัมภีร์ โดยเรียงลำดับตัวอักษร  
ศัพท์สัมพันธ์ (Concordances) เหมาะสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์เป็นคำต่างๆ สามารถบอกจำนวนคำนั้นว่าปรากฏกี่ครั้งในพระคัมภีร์และคำนั้นอยู่ในพระธรรมใดมักจะใช้ควบคู่กับหนังสือรวบรวมคำศัพท์ภาษาฮีบรู และภาษากรีก (strong’s concordance with Hebrew-Greek lexicons)

3.  หนังสือรวบรวมคำศัพท์ภาษาฮีบรู และภาษากรีก (Strong’s concordance with Hebrew -Greek lexicons)
เป็นหนังสือที่รวบรวมคำศัพท์ต่างๆในพระคัมภีร์ โดยเป็นการศึกษารากศัพท์ที่แปลมาจากภาษากรีกและฮีบรูที่เป็นภาษาหลักในการเขียนพระคัมภีร์  ในปัจจุบันมีการทำเป็น โปรแกรมเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ (Bible  study software)  ทำให้สะดวกมากขึ้นในการศึกษา

4.   หนังสือสารานุกรมพระคัมภีร์ (Encyclopedias)
เป็นหนังสือที่รวบรวมรูปภาพ สถานที่ บุคคล  ฯลฯ  ที่สำคัญที่บันทึกในพระคัมภีร์ เป็นประโยชน์ทำให้เราเข้าใจถึงบริบท  ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมต่างๆในพระคัมภีร์ ทำให้เกิดความเข้าใจในการศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น


5. โปรแกรมศึกษาพระคัมภีร์ (Bible  study software)
เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อใช้ศึกษาพระคัมภีร์โดยรวบรวมข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็น  หนังสืออธิบายพระคัมภีร์(Commentaries) ,ศัพท์สัมพันธ์ (Concordances),หนังสือรวบรวมคำศัพท์ภาษาฮีบรู และภาษากรีก (Strong’s concordance with Hebrew -Greek lexicons) ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมทั้งนี้เครื่องมือการศึกษาพระคัมภีร์มีมากกว่านี้ และมีขั้นตอนต่างๆ มาก เราสามารถไปศึกษาได้ในชั้นเรียนพระคัมภีร์ เพื่อทำให้เราเข้าใจอย่างเป็นระบบ และเป็นประโยชน์ในชีวิตฝ่ายวิญญาณ

สำหรับโปรแกรมศึกษาพระคัมภีร์ ในปัจจุบันทางสมาคมพระคริสตธรรมไทย ได้ทำโปรแกรม The Word มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาพระคัมภีร์ เราสามารถหาซื้อมาไว้ใช้ประกอบการศึกษาและสะสมพระดำรัสของพระเจ้า

แต่สิ่งที่สำคัญสุด คือ การรับการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะเป็นผู้ทำให้เราเข้าใจและเข้ามาใกล้ชิดในพระคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นดั่งหนังสือคู่มือแห่งชีวิตในการดำเนินชีวิตของเรา ขอพระเจ้าอวยพระพรให้เรา สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์ มีใจสนใจพระวจนะอย่างเช่นยิวชาวเมืองเบโรอาที่สนใจพระวจนะอย่างเป็นวิถีชีวิต

กิจการของอัครทูต 17:11 ยิวชาวเมืองนั้นมีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขามีใจเลื่อมใสรับพระวจนะของพระเจ้า และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่

พบกันใหม่ในบทความเรื่องต่อๆไปครับ ขอพระเจ้าอวยพระพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น