สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความเรื่อง “สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์”ซึ่งเป็นตอนที่ 1 คือ "สนุกกับพระคำ" สำหรับครั้งนี้จะเป็นตอนที่ 2 นั่นคือ "สนิทกับพระวจนะ" เป็นการสนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยวโดยใช้เวลาสนิทสนมกับพระวจนะที่สำแดงผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า
จะเห็นได้ว่า เมื่อเราอ่านสนุกเราก็จะสนิทสนมกับพระวจนะ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสนทนากับเรา แต่เมื่อเราทำบาปทำใฟ้เราห่างไกลจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด จากคนรู้ใจก็เลยกลายเป็นแค่คนที่รู้จัก มาทักทายบ้างเป็นบางครั้ง หากเราไม่สนิทสนมกับพระวจนะในการอ่านพระคัมภีร์ เราจะยิ่งห่างจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จาก"สนิทสนม"จะกลายเป็น"สนิมสะสม" ทำให้เกิดความบาปเข้ามาครอบงำในชีวิตเป็นดั่งสนิมที่ทำลายชีวิตของเรา
การสนิทสนมมาจากการวางใจ(trust) เราต้องเข้ามาอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อวางใจในพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงพระชนม์ การเข้าเฝ้าพระเจ้าเราได้รับพระคุณเป็นของขวัญ(gift)ทุกคนเข้าเฝ้าได้ แต่คนที่มาเข้าเฝ้าได้รับรางวัล (reward) ของความเชื่อวางใจ การเข้าเฝ้าพระเจ้าจึงเป็นประโยชน์สำหรับเรา
ฮีบรู 11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
ความสนิทสนม(Intimacy) เป็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่ประทานพระวิญญาณฯเพื่อช่วยมนุษย์ ทำให้เรารูัจักพระองค์ได้ในความสัมพันธ์ที่เข้าใจได้ทางใจ(heart)ไม่ใช่ความรู้เข้าถึงที่สมอง(Head)
ดั่งที่อัครทูตเปาโลหนุนใจคริสเตียนชาวโครินธ์ รวมถึงเราด้วยว่า ให้เข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยพระคุณของพระคริสต์ เข้าถึงความรักพระเจ้าผ่านทางพระบิดา และเข้าใจใกล้ชิดสนิทสนมในความสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์
2โครินธ์ 13:14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสตเจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
การเฝ้าเดี่ยว(Quiet time) เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้เข้าไปนิ่งเงียบเพื่อใช้เวลาในการอธิษฐานอ่านพระวจนะ
คำว่า Quiet คือการเงียบคือการเงียบเสียงของเราเพื่อฟังเสียงของพระเจ้า ไม่ใช่เอาแต่พร่ำบ่นอธิษฐานขอต่อพระเจ้า และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ เวลาที่ดีที่สุด
คำว่า รัก ไม่ใช่แค่สะกดด้วย Love แต่ต้องสะกดด้วย Time คือการให้เวลา ที่มากพอสมควรและเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เวลาที่ดึกมากแล้วเราอ่อนเพลีย จากการ "เข้าเงียบ" อธิษฐานเข้าหาพระเจ้า กลายเป็น"เข้างีบ" หลับไป เพื่อแช่ตัวในการนมัสการหรือ โซคกิ้ง (Soaking) กลายเป็นนอนนิ่ง เผลอหลับไป เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเฝ้าเดี่ยวน่าจะเป็นยามเช้าอาการสดใส แบบที่พระเยซูคริสต์ใช้เวลาอธิษฐานแสวงหาพระบิดา
มาระโก1.35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐานที่นั่น
นิยามคำว่า "การเฝ้าเดี่ยว" คริสเตียนต้องทำความเข้าใจดังนี้
การเฝ้าเดี่ยวคือการเข้ามาหาพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในชีวิตประจำวันไม่ใช่ส่วนรวม แบบนั้นเรียกว่า "เฝ้าหมู่(คณะ)" ไม่ใช่เฝ้าเดี่ยว ดังนั้นการเฝ้าเดี่ยวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณของชีวิตคริสเตียน
การเฝ้าเดี่ยวประกอบด้วย
1) การอธิษฐาน
2) การนมัสการ
3) การอ่านพระคัมภีร์และเชื่อฟังพระคัมภีร์
ความสำคัญของการเฝ้าเดี่ยว
การเฝ้าเดี่ยวมีความสำคัญมากต่อชีวิตคริสเตียนเพราะเป็นช่วงเวลาที่คริสเตียนผู้นั้นได้พบพระเจ้าเป็นการส่วนตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสเตียนต้องสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวทุกวัน
เอเฟซัส 6.18-19 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่างจงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่างจงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วยเพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้
พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อสามัคคีธรรมกับพระองค์
ตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่สวนเอเดน(ปฐก.2)แต่เมื่อมนุษย์ได้กระทำบาปต่อพระเจ้าทำให้สัมพันธภาพที่สนิทสนมยิ่งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้สูญหายไป เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทรงเสด็จมาสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเราบนไม้กางเขน นำการยกโทษบาปแก่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ทำให้เกิดการนำกลับคืนดีระหว่างมนุษย์และพระเจ้าอีกครั้ง
การเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในแต่ละวันจะช่วยให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณจิตของผู้นั้นเจริญเติบโตขึ้นในพระเจ้า
ร่างกายของเราต้องการอาหารฉันใด ชีวิตฝ่ายวิญญาณเราต้องการอาหารฉันนั้น พระวจนะพระเจ้าคืออาหารฝ่ายจิตวิญญาณของเรา
มัทธิว 4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า
ถ้าเราขาดการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราก็จะอ่อนแอ การเฝ้าเดี่ยวเป็นการเข้าไปรับกำลัง ความชื่นชมยินดี รับคำแนะนำตักเตือน ช่วยให้ชีวิตของเราถูกเปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระเจ้าทุกวัน ๆ
ถ้าเราละเลย หรือละทิ้งการเฝ้าเดี่ยว ก็ส่งผลเสียต่อชีวิตของเราคือเราจะขาดการถูกสร้างชีวิตจากภายใน เรากำลังปฏิเสธสิทธิพิเศษที่จะมีสัมพันธ์สนิทสนมกับพระเจ้า เราจะขาดประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดช และการฟื้นฟูใหม่ในใจของเรา เราจะขาดพระพรที่พระเจ้าทำการใหญ่ยิ่งผ่านทางชีวิตของเรา เราจะกลายเป็นคริสเตียนที่อ่อนแอ ขาดสารอาหารในฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถทราบน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตได้ เพราะพระองค์สำแดงน้ำพระทัยของพระองค์ผ่านทางพระวจนะของพระองค์
การอ่านพระคัมภีร์ในภาพส่วนตัวหรือการเฝ้าเดี่ยว มีรูปแบบทั่วไป ดังนี้
อธิฐานขอพระวิญญาณฯ
เสด็จลงมาประทับเหนือเรา
ทุกครั้งก่อนเปิดพระคัมภีร์ออกมาอ่าน
ให้อธิฐานขอให้พระวิญญาณฯ เสด็จลง
ประทับเหนือเรา เพื่อเราจะได้มีสติปัญญา
ความฉลาด ความรู้
ความเข้าใจใน
วัตถุประสงค์ของพระเป็นเจ้าที่จะนำพระวาจานั้นไปใช้อย่างถูกต้อง
ตามพระประสงค์ของพระองค์
ยอห์น 15:26 แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา
การอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยว ต้องอ่านอย่างช้าๆ
ไม่ใช่อ่านอย่างหนังสือธรรมดา ไม่ใช่รีบๆอ่านเพื่อให้จบ
แต่ควรจะค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ เป็นการภาวนาใคร่ครวญ
(สดด.1:2-3 …เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน…)
เพื่อรับการสำแดงจากพระเจ้า เมื่อเราติดสนิทกับพระวจนะจะเป็นเหมือนดังต้นไม้ที่ปลูกริมธารน้ำ ทำให้เกิดผลอย่างมาก
(สดด.1:2-3 …เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน…)
เพื่อรับการสำแดงจากพระเจ้า เมื่อเราติดสนิทกับพระวจนะจะเป็นเหมือนดังต้นไม้ที่ปลูกริมธารน้ำ ทำให้เกิดผลอย่างมาก
แนวทางภาคปฏิบัติ ควรจัดเวลาที่เหมาะสม
ใช้เวลากับพระเจ้าในที่สงบและอ่านพระวจนะเพื่อรับการสำแดงส่วนตัว
อาจจะมีสมุดบันทึกเพื่อจดสิ่งที่พระเจ้าตรัสเพื่อนำมาอธิษฐานใคร่ครวญต่อไป
วิธีการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยวในภาคปฏิบัติ เราอาจจะเลือกข้อพระธรรมมาทีละบท(chapter) หรือ ทีละย่อหน้า(paragraph) ควรอ่านแบบต่อเนื่องเพื่อเป็นการศึกษาพระคัมภีร์ไปด้วย เพราะทำให้เราเห็นถึงบริบทภาพรวมทั้งหมดในบทต่างๆ เราอ่านใคร่ครวญอย่างน้อย 3 รอบ
อ่านรอบแรก ให้อ่านอย่างเดียว แต่ให้อ่านช้าๆ อ่านไปคิดไป และทำความเข้าใจในพระวาจาแต่ละประโยคให้เข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อเราจะได้ทราบว่า พระเจ้าตรัสอะไรกับเราและพระองค์มีพระประสงค์ให้เราทำอะไร ไม่ใช่อ่านผ่านไปเลยๆ หรืออ่านเพียงเพื่อให้จบเท่านั้น
อ่านรอบที่สอง ให้อ่านอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่คราวนี้ให้เตรียมดินสอหรือปากกาเรืองแสง(Hi-light) เมื่ออ่านพบพระวจนะตอนใดที่ประทับใจและคิดว่าจะนำมาใช้กับชีวิตของเราได้ก็ขีดเส้นใต้ ในบทที่อ่าน อาจจะมีข้อความประทับใจเพียง 1 ประโยค หรือหลายประโยค หรือหลายตอนก็ให้ขีดเส้นใต้ทุกประโยคที่สนใจ หรือ ประทับใจเอาไว้
อ่านรอบแรก ให้อ่านอย่างเดียว แต่ให้อ่านช้าๆ อ่านไปคิดไป และทำความเข้าใจในพระวาจาแต่ละประโยคให้เข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อเราจะได้ทราบว่า พระเจ้าตรัสอะไรกับเราและพระองค์มีพระประสงค์ให้เราทำอะไร ไม่ใช่อ่านผ่านไปเลยๆ หรืออ่านเพียงเพื่อให้จบเท่านั้น
อ่านรอบที่สอง ให้อ่านอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่คราวนี้ให้เตรียมดินสอหรือปากกาเรืองแสง(Hi-light) เมื่ออ่านพบพระวจนะตอนใดที่ประทับใจและคิดว่าจะนำมาใช้กับชีวิตของเราได้ก็ขีดเส้นใต้ ในบทที่อ่าน อาจจะมีข้อความประทับใจเพียง 1 ประโยค หรือหลายประโยค หรือหลายตอนก็ให้ขีดเส้นใต้ทุกประโยคที่สนใจ หรือ ประทับใจเอาไว้
อ่านรอบที่สาม การอ่านรอบที่สามไม่อาจหมดทั้งบทหรือทั้งตอน
เช่นรอบ
แรกหรือรอบที่สอง แต่ให้อ่านเฉพาะประโยคหรือถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ไว้เท่า
นั้น แต่ให้อ่านซ้ำๆ หลายครั้ง เพื่อให้ข้อความนั้นถูกจดจำไว้ได้ในสมอง
และให้นำหลักการที่ได้รับออกมา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
แรกหรือรอบที่สอง แต่ให้อ่านเฉพาะประโยคหรือถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ไว้เท่า
นั้น แต่ให้อ่านซ้ำๆ หลายครั้ง เพื่อให้ข้อความนั้นถูกจดจำไว้ได้ในสมอง
และให้นำหลักการที่ได้รับออกมา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ทุกครั้งก่อนจะเลิกอ่านพระคัมภีร์ให้อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ทรงประทานพระพรให้เราได้อ่านพระวจนะของพระองค์
และขอให้พระองค์ได้ให้พระวิญญาณฯที่ทำให้เราได้ทราบถึงข้อพระวจนะของพระองค์อย่างลึกซึ้งและถูกต้อง
เพื่อว่าเราจะได้นำพระวจนะไปใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำวันจะสร้างนิสัยของเราเราควรจะทำการอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน และมีการวางแผนในการอ่านพระคัมภีร์ เพื่อให้จบครบทั้งเล่มภายใน 1 ปี
นอกจากการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยว ก็ยังมีการอ่านพระคัมภีร์แบบศึกษาส่วนตัว
ยังมีเครื่องมือที่ช่วยในการศึกษาค้นคว้า เช่น โปรแกรมศึกษาพระคัมภีร์,หนังสืออธิบายพระคัมภีร์แต่ละเล่ม,หนังสือศัพท์สัมพันธ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำวันจะสร้างนิสัยของเราเราควรจะทำการอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน และมีการวางแผนในการอ่านพระคัมภีร์ เพื่อให้จบครบทั้งเล่มภายใน 1 ปี
ทั้งนี้เพื่อทำให้เราเข้าใจในเรื่องของภาษา วัฒนธรรม บริบทของพระคัมภีร์ รวมถึงภูมิหลังทางประวัติของพระธรรมแต่ละเล่ม เพื่อช่วยให้เราจะศึกษาพระคัมภีร์ได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อเราจะสะสมพระดำรัสของพระเจ้าและเราจะไม่ดำเนินอยู่ในความบาป
สดุดี 119:11 ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์
เราจะมาติดตามกันในบทความครั้งหน้านะครับ ขอพระเจ้าอวยพระพร ขอให้สนิทสนมกับพระวจนะของพระเจ้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น