04 พฤษภาคม 2555

Acts 5:1-11_ชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์

ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต
คริสตจักร "ต้นแบบ"ตามพระบัญชา
กิจการของอัครทูต 5:1-11
1 แต่มีชายคนหนึ่ง ชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตน
2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต
3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า "อานาเนีย เหตุไฉนซาตาน {ชื่อหนึ่งของมาร หมายความว่า ผู้ขัดขวาง (ปฏิปักษ์)} จึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า"
5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้ง
ตกใจกลัวอย่างยิ่ง
6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป
8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า "เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิด" หญิงนั้นจึงตอบว่า "ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ"
9 เปโตรจึงถามนางว่า "ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย"
10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น
อารัมภบท
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราได้ศึกษาพระธรรมกิจการฯต่อเนื่องกันมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของคริสตจักรในสมัยแรก นั่นคือการที่คริสตจักรได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ทั้งนี้เพราะมีผู้กระทำผิดจึงต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า นั่นคือ "อานาเนียกับสัปฟีรา" เขาทั้งสองได้ฉ้อโกงเงินที่ขายที่ดินและมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงต้องถูกพิพากษาจากพระเจ้าให้ถึงกับความตาย ทั้งนี้เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของคริสตจักร และเพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป นี่คือหมายสำคัญที่บอกให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรง บริสุทธิ์ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และน่ายำเกรงอย่างยิ่ง ในครั้งนี้เราจะมาศึกษาข้อคิดจากพระธรรมตอนนี้ร่วมกัน
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
เมื่อครั้งก่อนเราได้ศึกษาพระธรรมนี้ในบทที่ 4:32-35 นั้น ได้บรรยายเหตุการณ์ภายในคริสตจักรที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยไม่เห็นแก่ตัวแต่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นต้นแบบแห่งการแบ่งปัน ในขณะที่บรรยากาศภายในคริสตจักรมีการแบ่งปันกัน มีการช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่นั้นเอง ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ที่ทำให้คริสตจักรจำเป็นต้องรับการชำระให้บริสุทธิ์  ในบทที่ 5:1-11 ที่เราจะพิจารณาในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงมาจากบทที่ 4 โดยเริ่มต้นบรรยายใน ข้อ 1 ว่า “แต่” มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา”  “อานาเนีย” และ “สัปฟีรา” เป็นผู้เชื่อในคริสตจักรที่เยรูซาเล็ม สามีภรรยาคู่นี้เห็นพี่น้องในคริสตจักร นำเงินที่ขายที่ดินได้นั้น มาแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ที่มีความต้องการและขัดสน แต่พวกเขาต้องการที่จะทำเพื่อเลียนแบบผู้อื่น เช่น บารนาบัส หวังที่จะมีชื่อเสียง
กจ.4:36-37 ...โยเซฟ ที่อัครทูตเรียกว่า บารนาบัส แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส ..มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต
ด้วยความรู้สึกว่าต้องการทำเหมือนอย่างคนอื่น ๆ แต่ไม่ได้มาจากท่าทีที่ห่วงใยพี่น้องอย่างแท้จริง เพียงต้องการให้คนชื่นชมเหมือนที่บารนาบัสได้รับความชื่นชม

เป็นการกระทำที่เสแสร้ง และเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
การกระทำของสามีภรรยาคู่นี้จึงมาจากท่าทีที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นท่าทีที่ปราศจากความจริงใจ
พระเจ้าได้จัดการลงโทษสามีภรรยาคู่นี้ถึงขั้นเด็ดขาดเลยทีเดียว คือ ถึงแก่ชีวิต !
สิ่งที่เป็นข้อสังเกต คือ "เพราะเหตุไรพระเจ้าจึงเอาจริงกับสามีภรรยาคู่นี้ เพราะเหตุไรพระเจ้าจึงลงโทษอย่างรุนแรง และเด็ดขาดเพียงนั้น เพราะเหตุไรพระเจ้าจึงจัดการจนถึงที่สุด จัดการอย่างเด็ดขาด"
ทั้งนี้ว่าพระเจ้าจึงไม่ยอมปล่อยให้ความบาปนี้เกิดขึ้น โดยไม่มีการจัดการ!
“อานาเนีย” และ “สัปฟีรา” ต้องการที่จะให้ทานเพื่อจะ "เอาหน้า"เมื่อทำผิดถูกจับได้แทนที่จะกลับใจ เพื่อ"รักษาใจ"ให้ถูกต้อง แต่กลับ "รักษาหน้า" กลัวจะว่า "เสียหน้า" จึงได้พูดมุสาต่ออัครทูตและพระวิญญาณบริสุทธิ์  สุดท้ายจึงต้องมา "เสียชีวิต" เพราะการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้า
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เราได้เห็นพระเจ้าทำการชำระคริสตจักรอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง
ความผิดของอานาเนียและสัปฟีราในครั้งนี้คือ "การฉ้อโกง" ยักยอกเงินเก็บไว้ไม่ได้นำมาถวายทั้งหมด(ในข้อ2)และ "พูดโกหกไม่ยอมกลับใจ"(ในข้อ 3-4)
ข้อสังเกตในตอนนี้คือ การเปิดโอกาสให้มาร ซึ่งเป็น "นักโกหก ตัวพ่อ"ครอบงำชีวิต
ยน.8:44 ว่า มารนั้นเป็น “พ่อแห่งการมุสา”… มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
พระเยซูได้สอนสาวกไว้ใน มธ.12:31 เพราะฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้
ความบาปผิดที่อานาเนียทำนั้น มาจากความอ่อนแอของเขาที่ตกในการทดลองในเรื่องการเงิน อยากได้ อยากมี ทำให้พ่ายแพ้ต่อการทดลอง การมีเงินอยู่ในมือไม่ผิด แต่การมีเงินอยู่ในใจทำให้รักเงิน เป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งปวง
1ทธ. 6:10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
สิ่งต่อมาที่เป็นความผิดของพวกเขา คือ การดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พูดจาโกหกต่อพระวิญญาณ จะเห็นได้จากข้อ 5-10 โดยอานาเนียได้ทำผิดและล้มลงตายไป แต่นางสัปฟีรา นางได้เดินเข้ามาหลังจากสามีของนางสิ้นลมหายใจไปแล้วสามชั่วโมง โดยที่นางไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น


คำถามของอัครทูตเปโตรที่ถามสัปฟีรา เป็นคำถามที่แตกต่างไปจากที่ถาม อานาเนีย
คำถามที่ถามอานาเนียนั้น ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทราบการกระทำที่ ซ่อนเร้นของเขาว่าเป็นการหลอกลวง และเป็นการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับการโน้มนำของมารร้าย !
เป็นคำถามที่ยิงเข้าไปประเด็นสำคัญว่า พฤติกรรมอันหลอกลวงที่ อานาเนียซ่อนเร้นไว้นั้นพระเจ้าทรงทราบ และพระเจ้าต้องพิพากษา ลงโทษเขาอย่างเด็ดขาด
ส่วนคำถามที่ถามสัปฟีราภรรยาของเขานั้น เป็นการตั้งคำถามที่เปิดโอกาสให้กลับใจใหม่ได้
(ข้อ 7-10)อัครทูตเปโตรถามว่า…"เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิด"
สัปฟีราตอบว่า "ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ" ทันทีที่สัปฟีราตอบเช่นนั้น อัครทูตเปโตรกล่าวตอบนางทันทีว่า…"ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย"
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สัปฟีราได้รับโอกาสที่จะกลับใจใหม่ได้ แต่นางไม่กลับใจ 
เพราะคำถามที่อัครทูตเปโตรถามนางนั้น เปิดโอกาสให้จิตสำนึกของนาง ตอบสนองในทางที่ถูก  "เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ" คำถามนี้น่าจะกระตุ้นให้จิตสำนึกทำงานว่า ที่ตนคล้อยตามสามีนั้น ไม่ถูกต้องเสียแล้ว แต่แทนที่นางจะสำนึก กลับยืนยันว่าขายได้เท่านั้น
ผลคือนางได้ล้มลงตายตามสามีของนางไปด้วย
นี่เป็นข้อคิดให้เราตระหนักว่า เราไม่ควรจะดูหมิ่นพระวิญญาณฯ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยในชีวิต เมื่อเราไม่ตอบสนอง ผลจะทำให้นำไปสู่ความตายได้
แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การดูหมิ่นพระวิญญาณฯ และการไม่กลับใจใหม่ ตอบสนองจะเป็นการไม่รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณฯ ผลจะต้องถูกการพิพากษา
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระวิญญาณฯ ที่ทรงทำงานในชีวิตของเรา ให้เราไวในการตอบสนองต่อพระองค์ และกลับใจใหม่เสมอ เมื่อเราทำผิด ให้เราสารภาพบาป เพื่อพระองค์จะช่วยเราให้พ้นจากการพิพากษาจากพระเจ้า
2.ข้อคิดสะกิดใจ

ข้อคิดจากพระธรรมตอนนี้จากข้อ 10-11 คือการพิพากษาอย่างเด็ดขาดของพระเจ้า ! ทำให้เกิดการยำเกรงพระเจ้า  สำหรับผมแล้วพระเจ้าเป็นเสมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งความรักและความยุติธรรม ในมุมแห่งความรักพระเจ้ามีพระคุณ ให้โอกาสเรากลับใจใหม่เมื่อเราทำผิด เราจึงไม่ต้องเกรงกลัวพระเจ้า เพราะทรงมีความรัก แต่เราควรจะยำเกรงพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม พระองค์จะไม่ไว้หน้าผู้ใดที่ทำผิด  พระเจ้าทรงมีดาบที่จะลงมาเพื่อพิพากษาและชำระคริสตจักรของพระองค์ให้บริสุทธิ์
พระเจ้าจะไม่ยอมให้คริสตจักรของพระองค์มีมลทินแน่ น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้คริสตจักรของพระองค์ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใด ๆ เลย
อฟ.5:27 เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอย หรือมลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
การชำระคริสตจักรจึงย่อมเกิดขึ้นแน่ เพราะในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะเสด็จมาเมื่อสิ้นยุค พระองค์จะทำการพิพากษาและรับผู้ชอบธรรมไปสู่ยุ้งฉางของพระองค์บนสวรรค์
ลก.3:17 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว เพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"
จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงจัดการชำระความ จะมีการพิพากษาจะมีการแยกแพะออกจากแกะ  แกะจะสู่คอกของพระเจ้า ส่วนแพะจะเป็น "แพะรับบาป" ของจริง พระเจ้าไม่ได้จับคนผิดเหมือนตำรวจบางคนจับแพะ  
มธ.25:31-33
31 "เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
32 บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ
33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
ในวันนี้เรายังมีโอกาสที่จะดำเนินชีวิตในการกลับใจใหม่ สารภาพผิด แต่หากเราไม่รักษาชีวิตของเรา ปล่อยตัวปล่อยใจให้ความบาปเข้าครอบงำ เราจะไม่มีโอกาสได้กลับใจในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมาในวันสุดท้ายของโลก 
นี่คือ สิ่งที่เราแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า
"อย่าส่ำสมโทษไว้เพื่อการพิพากษา จงกลับใจใหม่ จงตั้งต้นใหม่ พระเจ้าพร้อมที่จะโอบอุ้มคนที่กลับใจ มาหาพระองค์ ดุจบิดาที่พร้อมรับบุตรน้อยที่สำนึกผิด ไม่มีบาปใดใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะอภัยให้ไม่ได้"
วันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเราแต่ละคน ถ้าวันนี้ยังทำใจให้แข็งกระด้าง คิดว่าพระเจ้าไม่เห็นจัดการ เลยไม่คิดจะกลับใจ ในวันนั้นไม่มีใครช่วยได้ เราจะต้องรักษาใจให้ชอบธรรมอยู่เสมอ สภษ.4:23 ให้รักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความระแวดระวัง ไม่เล่นกับบาป ไม่ปล่อยให้บาปเกาะกินใจ
ไม่ปล่อยให้บาปกัดกร่อนจิตสำนึกจนเสียไป ไร้การตอบสนองเมื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเตือน
เพราะไม่เช่นนั้น ความผิดบาปที่เราไม่ยอมกลับใจนั้นจะถูกส่ำสมไว้เพื่อแก่การพิพากษาในที่สุด
เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ พระองค์จะไม่ทรงยอมปล่อยให้ความบาป ลอยนวลโดยไม่มีการชำระนั้นอย่างแน่นอน
3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้

ผมขอสรุปหลักการไว้ดังนี้ คือเราจะต้องดำเนินชีวิตในการยำเกรงพระเจ้าอยู่เสมอ โดยไม่นำตัวเองเข้าสู่การทดลอง และพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงปรารถนาดีสำหรับชีวิตของเราเสมอ คริสตจักรเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรัก ดังนั้นคริสตจักรจึงต้องมีความบริสุทธิ์ หากวันนี้มีความบาปใดเข้ามาในคริสตจักร พระองค์จะชำระให้บริสุทธิ์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความชอบธรรมและพระคุณของพระองค์ที่ดำรงอยู่เสมอ สรรเสริญพระเจ้า
ขอปิดท้ายด้วยคำกลอนจากมานาประจำวัน โดย D. De Haan ดังนี้
องค์พระเจ้าบริสุทธิ์ปรารถนา  ใจซื่อตรงเราเข้ามาต่อพระพักตร์
พึ่งพระคุณสูงส่งที่รู้จัก  ทรงความรักชำระเราสะอาดพลัน 
การปนเปื้อนเพราะความบาป ต้องอาศัยการชำระจากพระผู้ช่วยให้รอด
ขอพระเจ้าอวยพระพร พบกันใหม่โอกาสหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น