12 มิถุนายน 2560

คริสตจักรต้องปฏิรูปคำสอนเรื่องยุคสุดท้าย

คริสตจักรต้องปฏิรูปคำสอนเรื่องยุคสุดท้าย โดย Haiyong Kavilar
        เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนสะท้านให้กับผู้คน นั่นคือเหตุการณ์ที่ปัญญาประดิษฐ์หรือคอมพิวเตอร์ได้เล่นโกะชนะมนุษย์ที่เป็นแชมป์โลกแล้ว ในมุมมองของเทคโนโลยี เหตุการณ์นี้นับเป็นสัญญาณของการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับบางคนก็มีความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาว่า ในอนาคตปฏิปักษ์พระคริสต์(AntiChrist) จะใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ในการควบคุมมนุษย์
         เมื่อเดือนที่แล้วก็มีข่าวคราวเรื่องหนึ่งที่ว่า บริษัทเอกชนในเกาหลีแห่งหนึ่งได้พัฒนาระบบซื้อขายโดยไม่ใช้เงิน แต่ใช้ลายนิ้วมือและระบบดิจิตอลแทน บางคนเมื่อทราบข่าวนี้ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า การรับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายเพื่อการซื้อขายที่อยู่ใน (วิวรณ์ 13) กำลังคลืบคลานเข้ามา
         จากคำสอนเรื่องยุคสุดท้ายที่เป็นกระแสนิยมในศตวรรษที่ผ่านมามักกล่าวกันว่า วันเวลาผ่านไป โลกก็จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ภัยพิบัติก็จะทวีมากขึ้นและสังคมก็จะเสื่อมทรามลง ส่วนเทคโนโลยีต่างๆที่เกิดขึ้นก็จะเป็นการปูทางสู่การควบคุมของรัฐบาลโลกที่บริหารงานโดยปฏิปักษ์พระคริสต์ คำสอนเรื่องยุคสุดท้ายแนวนี้มักจะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆบนโลกเข้ากันกับสมาคมลับที่ลือกันว่าเป็นเบื้องหลังของปฏิปักษ์พระคริสต์ แนวคำสอนเรื่องยุคสุดท้ายที่กล่าวมามีชื่อเรียกในเชิงวิชาการว่า อนาคตมืดมน(Futurist) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตีความคำพยากรณ์ใน (มัทธิว 24) และ (วิวรณ์) ว่าภัยพิบัติจากพระคัมภีร์เหล่านี้จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนการกลับมาครั้งที่สองของพระเยซู
         อย่างไรก็ตามในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มมีกระแสของคำสอนเรื่องภูเขาทั้ง7 ซึ่งพื้นเพของคำสอนนี้อธิบายว่า ผู้เชื่อ(คริสเตียน)จำต้องเข้าไปมีส่วนในสังคมและไปบุกยึดภูเขาทั้ง7 ซึ่งเป็นองค์ประกอบต่างๆของสังคม และผู้เชื่อจำต้องนำอาณาจักรของพระเจ้าเข้าไปครอบครองสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้สะท้อนถึงค่านิยมของอาณาจักรพระเจ้า
(** เทคนิคการจำชื่อภูเขาทั้ง7 เพื่อนๆสามารถอ่านได้ใน http://pattamarot.blogspot.com/2017/01/7.html)
เมื่อมองโลกด้วยกระบวนทัศน์ของคำสอนเรื่องภูเขาทั้ง7 ดูเหมือนว่าคำสอนเรื่องภูเขาทั้ง7 จะอธิบายเป็นนัยว่า ท้ายสุดแล้วผู้ที่ครองโลกคือคริสเตียนไม่ใช่ปฏิปักษ์พระคริสต์ และโลกกับสังคมก็จะไม่ได้แย่ลงไปเรื่อยๆแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้ว ดูเหมือนว่าคำสอนเรื่องภูเขาทั้ง7 กับคำสอนเรื่องยุคสุดท้ายแบบอนาคตมืดมนดูจะขัดแย้งกัน  

        อัครทูตปีเตอร์ แวกเนอร์ ก็เป็นผู้หนึ่งที่เคยรู้สึกอึดอัดใจระหว่างคำสอนเรื่องภูเขาทั้ง7 กับคำสอนเรื่องยุคสุดท้าย เนื่องจากแวกเนอร์เป็นผู้สนับสนุนในเรื่องภูเขาทั้ง7ซึ่งอธิบายว่าโลกจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทว่าคำสอนเรื่องยุคสุดท้ายที่แวกเนอร์เคยเรียนรู้มากลับสอนว่าโลกจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ 
        ระหว่างที่แวกเนอร์รู้สึกอึดอัดใจอยู่ แสงสว่างก็ได้เข้ามาถึงในชีวิตเขา ในปี 2006 เพื่อนของแวกเนอร์คนหนึ่งได้นำหนังสือเล่มหนึ่งไปให้เขา หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Victorious Eschatology (อนาคตศาสตร์แห่งชัยชนะ) แวกเนอร์ได้กล่าวเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในชีวิตผม เมื่อผมได้อ่านหนังสือ Victorious Eschatology ที่เขียนโดย ฮาร์โรล เอเบอร์เล และ มาร์ติน เทรช อนาคตศาสตร์แห่งชัยชนะสอดคล้องกันกับศาสนศาสตร์เรื่องการยึดครอง[ภูเขาทั้ง7]ราวกับถุงมือที่สวมพอดีกันกับมือ เอเบอร์เลและเทรชได้อธิบายว่า ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา คริสตจักรจะเติบโตสู่พระสิริสู่ความเป็นหนึ่งและสู่ความสุกงอม ส่วนอาณาจักรพระเจ้าก็จะเติบโตและแผ่ขยายออกไปจนเติมเต็มทั่วแผ่นดินโลก
 อนาคตศาสตร์แห่งชัยชนะได้อธิบายว่าคำพยากรณ์ต่างๆในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับวาระสุดท้ายหรือยุคสุดท้าย เป็นคำพยากรณ์ที่ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้วเมื่อกรุงเยรูซาเล็มได้ล่มสลายในปี คศ.70 คำว่า ยุคสุดท้าย เป็นศัพท์ที่มีความหมายสื่อถึงจุดจบของพันธสัญญาเดิมและการเริ่มต้นแห่งพันธสัญญาใหม่ พระเยซูจะเสด็จกลับมาแน่นอนในอนาคต (ดู มัทธิว 24:35-25:46) แต่จะไม่มีหมายสำคัญ[หรือความทุกข์เข็ญใดๆ] ใน (มัทธิว 24:3-34) ที่จะเกิดขึ้นก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมา เนื่องจากความทุกข์เข็ญเหล่านั้นได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในแวดวงศาสนศาสตร์ มุมมองที่มองคำพยากรณ์ในลักษณะนี้มีชื่อว่า อดีตมืดมนแบบบางส่วน (Partial Preterist) ซึ่งเป็นมุมมองที่ผมยึดถือในปัจจุบัน
  อดีตมืดมนแบบบางส่วน เป็นการตีความว่าคำพยากรณ์ส่วนใหญ่ใน (มัทธิว 24) และ (วิวรณ์) เป็นคำพยากรณ์ที่สำเร็จไปแล้วในอดีต โดยอธิบายว่าภัยพิบัติและความเสื่อมทรามต่างๆในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในช่วงปี คศ.70 ด้วยเหตุที่คำพยากรณ์ที่มืดมนเหล่านี้ได้สำเร็จไปแล้ว โลกและสังคมของเราในอนาคตก็จะดีขึ้นเรื่อยๆจนพรักพร้อมในการต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู
 เมื่อผู้เชื่อคาดหวังให้สวรรค์บุกรุกโลก สิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อควรจะมีคือการมองอนาคตในแง่ดี อัครทูตจอห์น เอกฮาร์ต ได้เคยกล่าวไว้ว่า พวกเราจำเป็นต้องปฏิรูปคำสอนเรื่องอนาคตศาสตร์[ยุคสุดท้าย]” เนื่องจากว่าบ่อยครั้งผู้เทศน์มักจะดึงข้อพระคัมภีร์ใน (มัทธิว 24) ออกนอกบริบทโดยกล่าวว่า ภัยพิบัติ สงคราม และการกันดารอาหารจะเกิดขึ้นในอนาคตของพวกเรา แต่บริบทของ (มัทธิว 24) นี้ไม่ได้พยากรณ์ถึงอนาคตของพวกเรา แต่ได้พยากรณ์ถึงช่วงการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็มในปี คศ.70 ซึ่งพระเยซูก็ได้ตอกย้ำถึงคำพยากรณ์เหล่านี้ว่าจะสำเร็จในช่วงอายุของคนยุคนั้นไม่ใช่ในอนาคตของพวกเรา
 (มัทธิว 24:34) เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า คน​ใน​ยุค​นี้​[คนในยุคที่ฟังคำตรัสของพระเยซู]จะ​ไม่​ล่วง​ลับ​ไป​ก่อน​ทุก​สิ่ง​เหล่า​นี้​จะ​เกิด​ขึ้น
         โจนาธาน เวลตัน ประธานของสภาเชิงอัครทูตในเรื่องอนาคตศาสตร์ (Apostolic Council On Eschatology) ได้กล่าวถึงประเด็นของการปฏิรูปเรื่องอนาคตศาสตร์ไว้ 10 ประเด็นดังนี้


ประเด็นที่1 อาณาจักรพระเจ้าเป็นเรื่องของปัจจุบันและกำลังเติบโตขึ้นในช่วง 2000 ปีที่ผ่านมา (มัทธิว 13:31-33)

ประเด็นที่2 อาณาจักรพระเจ้าได้มาถึงเมื่อพระเยซูทรงเสด็จมาครั้งแรก และอาณาจักรพระเจ้าจะเติมเต็มทั่วแผ่นดินโลกพร้อมต้อนรับการเสด็จกลับมาครั้งสุดท้ายของพระเยซู (มาระโก 1:15, มัทธิว 3:2)

ประเด็นที่3 วลี วาระสุดท้าย ที่ปรากฏในพันธสัญญาใหม่ ไม่ได้หมายถึงจุดจบของโลก แต่หมายถึงจุดจบของพันธสัญญาเดิม (คศ. 30 –70) และการล่มสลายของพระวิหาร (1 ยน. 2:9, ยก. 5:8-9, 2 ทธ. 2:7)

ประเด็นที่4 เมื่อพระเยซูกล่าวถึง การเสด็จมาของพระองค์ใน (มัทธิว 24:30) พระองค์ทรงใช้ภาษาเชิงอุปมาตามแบบฉบับของพันธสัญญาเดิม ซึ่งหมายถึงการเสด็จมาพิพากษากรุงเยรูซาเล็มในปี คศ.70 (สดุดี 18:9-12, 104:2-3, อิสยาห์ 19:1, นาฮูม 1:3)

ประเด็นที่5 ทุกรายละเอียดของคำพยากรณ์ทั้งสิ้นที่พระเยซูตรัสไว้ใน (มัทธิว 24) ได้สำเร็จหมดแล้วในปี คศ.70 อันเป็นปีที่กรุงเยรูซาเล็มล่มสลาย ซึ่งเหตุการณ์นี้คือ ทุกขเวทนาครั้งใหญ่”, “วันแห่งการแก้แค้น และ เวลาทุกข์ใจของยาโคบ

ประเด็นที่6 คำพยากรณ์เรื่องสัปตะที่ 70 ของดาเนียล เป็นคำพยากรณ์ที่หมายถึงพระคริสต์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงสำเร็จคำพยากรณ์แล้ว (ดาเนียล 9)-ไม่ได้สอนถึง 7 ปีกลียุคในอนาคต ซึ่งเหล่าผู้อรรถาธิบายพระคัมภีร์ต่างก็อรรถาธิบายแบบนี้เหมือนกันหมดมาจนถึงปี 1830

ประเด็นที่7 ปฏิปักษ์พระคริสต์เป็นศัพท์ที่หมายถึงลัทธินอสติกอันเป็นลัทธิเทียมเท็จในศตวรรษที่1 ซึ่งลัทธินอสติกได้ปฏิเสธการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายฝ่ายกายภาพของพระเยซูเมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังโลก ( 1 ยอห์น 1:1,3; 4:2-3, 2 ยอห์น 7)

ประเด็นที่8 คริสตศาสนาในช่วง 700 ปีแรกต่างก็เข้าใจมาตลอดว่าสัตว์ร้ายในหนังสือวิวรณ์คือเนโรหรือไม่ก็จักรวรรดิโรมัน (แล้วแต่บริบท)

ประเด็นที่9 อิสราเอลของพระเจ้า(Ecclesia) หมายถึงผู้รับมรดกที่แท้จริง มรดกนี้มาจากพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ การรับมรดกนี้มีพื้นฐานบนความเชื่อ ไม่ใช่เชื้อชาติ (โรม 2:28-29, 9:6-8)

ประเด็นที่10 พระเยซูจะเสด็จกลับมาเพื่อรับมรดก เมื่ออาณาจักรพระเจ้าได้เติบโตเต็มที่และศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ได้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพระองค์ ซึ่งนี่จะเป็นการเสด็จกลับมาทางกายภาพของพระองค์ในอนาคตของพวกเรา (กิจการ 1:11, 1 โครินธ์ 15:25-26)

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
Apostolic Council On Eschatology (สภาเชิงอัครทูตสำหรับอนาคตศาสตร์)
http://www.endtimecouncil.com/
หนังสือ This Changes Everything เขียนโดย C. Peter Wagner
หนังสือ Victorious Eschatology เขียนโดย Harold Eberle และ Martin Trench
หนังสือ Raptureless เขียนโดย Jonathan Welton

อ่านข้อมูลได้อีกช่องทางใน https://www.pageqq.com/en/content/view/page/cntth1/0-3484259.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น