โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์(Asher Intrater)
อาเชอร์ อินเทรเตอร์(Asher Intrater) |
กว่าร้อยปีมาแล้วที่คริสตจักรต่างๆทั่วโลกสอนเกี่ยวกับการเผยพระวจนะและเราทั้งหลายเชื่อในคำเผยพระวจนะ โดยไม่มีสิ่งใดที่สามารถต้านทานถ้อยคำของพระเจ้าที่จะไม่ให้เกิดขึ้นได้ ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสกับเราสิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง ในพระวจนะในพระธรรมวิวรณ์ ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะโดย 1 ในหัวใจของคำเผยพระวจนะคือ คำพยานเรื่องพระเยซูคริสต์
วิวรณ์ 19:10 แล้วข้าพเจ้าได้ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านเพื่อจะนมัสการท่าน แต่ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าเลย ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนผู้รับใช้เหมือนกับท่าน และพวกพี่น้องของท่านที่ยึดถือคำพยานของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้าเถิด” เพราะว่าคำพยานกล่าวถึงพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการเผยพระวจนะ
และอีกสิ่งหนึ่งนั้นมาจากมุมมองด้านพระคัมภีร์ของคนอิสราเอล และเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจสิ่งนี้เพื่อจะดำเนินชีวิตไปสู่ยุคสุดท้าย
หนึ่งในหนทางที่เราจะเข้าใจมุมมองนี้คือการอ่านจากพระธรรมอิสยาห์บทที่ 61 เป็นการเริ่มต้นวันแแห่งการพิพากษาและการรื้อฟื้นอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้
อิสยาห์ 61:1-3
1 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ องค์เจ้านายทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนที่ทุกข์ใจ พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อปลอบโยนคนชอกช้ำใจ และเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ทั้งประกาศการเปิดเรือนจำแก่ผู้ที่ถูกจำจอง
2 เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์ และประกาศวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของพวกเรา เพื่อชูใจทุกคนที่ไว้ทุกข์
3 เพื่อจัดเตรียมให้กับพวกที่ไว้ทุกข์ในศิโยน คือให้มงกุฎแทนขี้เถ้าแก่พวกเขา และให้น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่ท้อแท้ แล้วคนจะเรียกพวกเขาว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม ที่พระยาห์เวห์ทรงปลูกไว้เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์
หนทางอื่นๆเราสามารถได้จากการศึกกษาถ้อยคำเผยพระวจนะจากการศึกษาพระธรรมอิสยาห์ทั้งเล่มไปจนถึงพระธรรมมาลาคี และทำความเข้าใจในถ้อยคำเผยพระวจนะที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
เมื่อศึกษาพระธรรมวิวรณ์ซึ่งเป็นคำเผยพระวจนะเชิงพยากรณ์ที่อัครสาวกยอห์นได้รับเป็นคำเผยพระวจนะซึ่งพยากรณ์ทั้ง 2 ด้านคืออิสราเอลและคริสตจักร ซึ่งเกียวข้องกับคำเผยพระวจนะเชิงพยากรณ์ถึงประเทศต่างๆด้วยเช่นกัน
นี่คือ 10 กุญแจหลัก ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ยิว
แนวคิดของรับบี และเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิสราเอลปัจจุบัน
1) การฟื้นฟูภาษา(Restoring the Language)
กุญแจแรกคือคำเผยพระวจนะยุคใหม่ในสมัยแรกเกี่ยวกับอิสราเอลในยุคสุดท้าย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1870 เอลีเซอร์ เบน เยฮูดา( Eliezer Ben-Yehuda) ได้รับนิมิต เขาสัมผัสว่าพระเจ้ามาบอกว่า
“เจ้าจะกลับไป และรื้อฟื้อภาษาของผู้เผยพระวจนะ ในแผ่นดินของผู้เผยพระวจนะ”
เขาตอบสนองการทรงเรียก และวันนี้
เขาได้กลายเป็นบิดาแห่งภาษาฮีบรูสมัยใหม่ เขาย้ายครอบครัวไปอิสราเอลในปี 1881 และลูกชายของเขาเป็นบุคคลแรกที่พูดภาษาฮีบรูเป็นภาษาแม่
ข้าพเจ้าเห็นภาพคู่ขนานคือเรา กลุ่มผู้เชื่อพระเมสสิยาห์ในอิสราเอล เราได้กลับมาสู่ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาฮีบรู แต่เป็นภาษาพระวิญญาณ อย่างที่คริสตจักรยุคแรกได้ทาระหว่างเทศกาลเพ็นเทคอสต์ในพระธรรมกิจการบทที่ 2
เขาได้กลายเป็นบิดาแห่งภาษาฮีบรูสมัยใหม่ เขาย้ายครอบครัวไปอิสราเอลในปี 1881 และลูกชายของเขาเป็นบุคคลแรกที่พูดภาษาฮีบรูเป็นภาษาแม่
ข้าพเจ้าเห็นภาพคู่ขนานคือเรา กลุ่มผู้เชื่อพระเมสสิยาห์ในอิสราเอล เราได้กลับมาสู่ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาฮีบรู แต่เป็นภาษาพระวิญญาณ อย่างที่คริสตจักรยุคแรกได้ทาระหว่างเทศกาลเพ็นเทคอสต์ในพระธรรมกิจการบทที่ 2
2) การคืนดีกันในระดับโลก(Global Reconciliation)
Abraham Isaac Kook |
เช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการทรงเรียกของเรา เหล่าผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์(Messianics)จะถูกนามารวมตัวกันจากความหลากหลายในอิสราเอล
เช่น ลัทธิยิวที่เคร่งครัดตามขบถธรรมเนียมประเพณี คนยิวทั่วไป(secular Jews) รวมถึงคริสตจักรสากล(international Ekklesia (church)ด้วย
ตลอดประวัติศาสตร์กลุ่มเหล่านี้เคยเป็นปฏิปักษ์กัน แม้ว่าเราควรจะอยู่ข้างเดียวกัน
ดังนั้นคำพยากรณ์เรื่องยุคสุดท้ายคือการรวมกันเป็นหนึ่งของอิสราเอลและคริสตจักร
3) บันไดสู่การรื้อฟื้น (Stages of Restoration)
เมื่อรับบีกุกพิจารณาถึงอิสราเอลสมัยใหม่
เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นแผ่นดินของพระเจ้า
แต่แทนที่จะเป็นบันไดขั้นแรกสู่การรื้อฟื้นซึ่งจะนำไปสู่อาณาจักรพระเจ้าได้
จะต้องเกิดการรื้อฟื้นในฝ่ายกายภาพมาสู่แผ่นดินและประชากรชาวอิสราเอลเสียก่อนเพื่อที่การไถ่จะได้เกิดขึ้น
เราก็กาลังพูดถึงในสิ่งเดียวกัน
อิสราเอลสมัยใหม่วันนี้ไม่ใช่แผ่นดินของพระเจ้า
แต่น่าจะเป็นบันไดขั้นแรกของการรื้อฟื้นคืนสภาพที่จะนำไปถึงแผ่นดินของพระเจ้า
การเป็นไซออนนิสต์สุดโต่งและเรียกว่าคือแผ่นดินของพระเจ้าก็ไม่ถูกต้อง
หรือจะปฏิเสธความคิดนี้อย่างสิ้นเชิงก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน
เราอาจกล่าวได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้น
และชุมชนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ตรงกลางของทั้ง2 สิ่ง
4) การอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะ(Reading the Prophets)
เดวิด เบน กูเรียน( David Ben-Gurion) ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ของขบวนการนำคนยิวคืนสู่มาตุภูมิสมัยใหม่ อ่านพระคัมภีร์ โดยเฉพาะหนังสือผู้เผยพระวจนะ พวกเขาจัดให้มีการเรียนพระคัมภีร์ ทุกอาทิตย์ที่บ้าน พวกเขาสอนพระคัมภีร์ แต่พวกเขาทำพลาด คือแปลความหมายพระคัมภีร์ผ่านมุ มมองแบบคอมมิวนิสต์ ในลักษณะของสังคมนิยม แต่อย่างไรก็ตาม
พวกเขาก็มีส่วนถูกที่หนุนใจให้อ่ านหนังสือผู้เผยพระวจนะ
พวกเขาก็มีส่วนถูกที่หนุนใจให้อ่
ไม่เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ แต่พยายามนำมาใช้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเพราะพวกเขาได้รั บแรงบันดาลใจจากข้อพระคัมภีร์ เกี่ยวกับการรื้อฟื้นชนชาติอิ สราเอล พระเจ้าจึงเลือกให้เค้าเป็ นประธานาธิบดีคนแรกของอิสราเอล
5) การเตรียมพร้อมก่อนจัดตั้งรั
ช่วงเวลาที่อยู่ใต้อาณัตินิ คมของอังกฤษ ก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐอิ สราเอล เบน กูเรียนตระหนักว่าวันหนึ่งจะต้ องมีการจัดตั้งรัฐบาล แต่เรายังไม่พร้อมในเวลานั้น เราจำเป็นต้องสร้างองค์กรที่ ทำงานเหมือนรัฐบาล เพื่อเวลานั้นมาถึง เราจะได้พร้อมที่จะเป็นประเทศ เขาจึงจัดตั้งองค์กรที่มีชื่อว่ า “ฮิสตาดรุต” (Histadrut) ซึ่งมีการทำงานเหมือนรัฐบาล จนกระทั่งองค์กรนี้ได้กลายเป็ นรัฐบาลจริง
ข้าพเจ้าเชื่อว่านั่นเป็ นคำเผยพระวจนะสาหรับคริสตจักร เอ็คคลีเซีย (คริสตจักร) ประกอบไปด้วย2ส่วน ไม่เพียงแค่เฉพาะกลุ่มคนที่ รวมตัวกันจากชนชาติต่างๆเป็ นกายในพระคริสต์ แต่หมายถึงการปกครองหรือการเป็ นพันธมิตร ในฐานะผู้เชื่อ เรารวมตัวกันไม่ใช่แค่เพียงเพื่ อดำเนินการคริสตจักร แต่เหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่ งของ“ฮิสตาดรุต” หรือองค์กรก่อนจัดตั้งรัฐบาล เรากำลังถูกจัดเตรียมให้ ทางานในรัฐบาลของเยชูวาห์เมื่ อพระองค์เสด็จกลับมา นั่นคือเหตุผลที่เราเชื่อในอั ครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาล และอาจารย์ เชื่อในผู้ปกครอง และในโครงสร้างของคริสตจักร เพราะเรากาลังรับการฝึกฝน รัฐบาลไม่สามารถดาเนินการได้ด้ วยคนเพียงคนเดียว แต่โดยกลุ่มคน
นั่นคือ แก่นแท้ของการสั่ งสอนสาวก คือการเตรียมพร้อมทำหน้าที่ในรั ฐบาลของพระองค์
6) การเตรียมพร้อมด้านการทหาร(Military Preparation)
เบน กูเรียนทราบดีว่า เมื่อมีการประกาศให้อิสราเอลเป็ นรัฐใหม่ ภายใน24ชั่วโมง ทุกชาติในตะวันออกกลางจะโจมตีอิ สราเอล ซึ่งเราไม่พร้อมรับมือ เราไม่มีอาวุธหรือทหาร เราไม่รู้วิธีการต่อสู้ เขาจึงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ ในองค์กร จัดการอบรมสัมมนา และก่อตั้งกองกำลั งทหารในเวลาหนึ่งปีครึ่ง
ข้าพเจ้าเชื่อว่านั่นเป็ นคำเผยพระวจนะที่ มาจากพระกายของพระเมสสิยาห์ในอิ สราเอล เรากำลังมุ่งหน้าสู่สงครามที่ยิ่ งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ เรากำลังมุ่งหน้าสู่ช่วงเวลาที่ ทุกชาติในโลกจะโจมตีอิ สราเอลและคริสเตียน และทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้ งการกลับมาครั้งที่ 2 ของเยชู วาห์
ข้าพเจ้าเชื่อว่านั่นเป็
ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าคุณต้องเริ่ มเรียนที่จะยิง แต่เราจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ที่ จะอธิษฐานและเผยพระวจนะ เพื่อทำความเข้าใจข้อพระคัมภีร์ และป่าวประกาศพระวจนะของพระเจ้า
7) การเผชิญหน้าของบรรดาประชาชาติ(Confrontation of the Nations)
นายเบนจามิน เนทันยาฮู(Binyamin Netanyahu)นายกรัฐมนตรีของเรา ได้ไปปรากฏตัวที่สหประชาชาติ และเผชิญหน้ากับประเทศทั้งหลาย ซึ่งไม่เหมือนกรณีผู้นำโลกอื่ นๆที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมาก่อน
ท่านได้กล่าวกับองค์ กรสหประชาชาติว่าการตัดสิ นใจของพวกเขาเป็นการต่อต้านแผ่ นดินและประชาชนอิสราเอล ทั้งที่พวกเรานั้นได้รั บการมอบหมายจากพระเจ้าให้อาศั ยอยู่ที่นี่(อิสราเอล) ท่านได้กล่าวถ้อยคำจากพระคัมภี ร์และชี้นำให้พวกเขาตระหนักถึ งเรื่องคุณธรรมและมนุษยธรรม ต่อหน้าผู้นำจากหลายประเทศทั่ วโลกอย่างกล้าหาญ
มีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกั บประเทศอิสราเอล และรวมถึงการที่ตั วแทนของประเทศอิสราเอล ได้อยู่ต่อหน้าการประชุมขององค์ กร สหประชาชาติในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าเรากำลังจะมีการเริ่ มต้นของการเผชิญหน้ากันระหว่ างนานาประเทศด้วยความจริ งของพระเจ้า และนี่เป็นส่วนหนึ่ งของการทรงเรียกของพระเจ้าให้อิ สราเอลเป็นผู้นั้น และขณะนี้พระกายของพระเมสสิยาห์ก็ ได้มีการเชื่อมโยงกับประเทศอิ สราเอล พวกเรามีคำเผยพระวจนะที่จะเปิ ดเผยแก่โลกนี้
8) การเปิดโปงกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง(Exposing Radical Islam)
เนทันยาฮู เป็นผู้ซึ่งเข้าใจมากกว่าผู้ นำอื่นๆจากทั่วโลก ถึงความรุนแรงของกลุ่มมุสลิมก่ อการร้ายว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ ายที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา และเราจำเป็นต้องต่อสู้กั บคนเหล่านั้น ผู้คนถูกเข่นฆ่าอย่ างไรความปราณี และไม่มีผู้ใดที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ อย่างแท้จริง นอกจากประเทศอิสราเอล ประเทศอิสราเอลได้มี มาตรการบางอย่างถูกกำหนดขึ้ นในการต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมหั วรุนแรง และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรื อไม่ยอมรับ สำหรับคริสตจักรนั้นไม่มี ความจำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นมาจั บอาวุธ แต่จำเป็นที่เราจะสามารถพู ดความจริง และเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นว่ าเป็นการฆาตกรรม และเป็นวิญญาณต่อต้านพระคริสต์ (Anti-Christ spirit) เมื่อเราได้ส่งผู้คนออกไปเข่นฆ่ าผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับตนนั้ น เป็นการกระทำผิดพระบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้า และนั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่ มาจากพระเจ้าของอิสราเอล ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องจัดการกั บสิ่งเหล่านี้
9) การสถาปนาบัลลังก์ของพระเจ้ าของกษัตริย์ดาวิด(Establishment of the Throne of David)
ในภาษาฮีบรูไม่มีคำ ที่มีความหมายว่า "นายกรัฐมนตรี" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านเป็นผู้ นำของรัฐบาลของประเทศอิสราเอล ถ้าคุณยังจำได้ถึ งคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับ "เยชูวาห์ (Yeshua)" (หมายถึงพระเยซูคริสต์ ในภาษาฮีบรู) ตอนพระองค์ประสูติมาหรือไม่ ว่าพระองค์จะได้ ประทับบนบัลลังก์ของกษัตริย์ ดาวิด และปกครองอยู่เหนือพงศ์พันธ์ ของยาโคบ เมื่อ"เยชูวาห์" (พระเยซูคริสต์) เสด็จกลับมา พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ ของกษัตริย์ดาวิดและปกครองโลกนี้ จากบางบัลลังก์นั้นตลอดนิรันด์ กาล อะไรคือบัลลังก์ บัลลังก์คือเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มีเก้าอี้ซึ่งเป็นตัวแทน แห่งสิทธิอำนาจของรั ฐบาลประเทศอิสราเอล หมายความว่าสิทธิอำนาจของกษัตริ ย์ดาวิดได้ถูกรื้อฟื้นขึ้ นมาใหม่บนแผ่นดินของอิสราเอล
ขณะนี้ เนทันยาฮู ผู้ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศอิสราเอล นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น
ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าเนทันยาฮู เป็นพระเมสสิยาห์(Messiah) ข้าพเจ้าไม่แม้แต่จะบอกว่าท่านเป็นผู้ ได้รับการบังเกิดใหม่ แต่โดยตำแหน่ง โครงสร้าง และสิทธิ์ที่อำนาจนั้น ท่านได้นั่งอยู่ในตำแหน่งซึ่ง เปรียบเทียบได้กับบัลลังก์ ของกษัตริย์ดาวิด
เราเชื่อว่าขณะนี้ คำเผยพระวจนะต่างๆนั้นกำลังได้ รับการเติมเต็มและทำให้เป็นจริ งในโลกมากขึ้นทุกที จนกระทั่งอิสราเอลยุคใหม่และรั ฐบาลอิสราเอลจะเชื่ อในคำเผยพระจะนะนั้นเป็นเวลากว่ า 2000 ปีมาแล้ว ที่คริสตจักรไม่ได้เชื่อเรื่ องการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง อย่างถูกต้อง แต่เขากลับเชื่อว่า"เยชูวาห์" (พระเยซูคริสต์) จะเสด็จมาปรากฏครึ่งทางบนท้องฟ้ าและรับเจ้าสาวของพระองค์ไป และเสด็จกลับไปยังสวรรค์อีกครั้ ง แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่ าพระองค์จะเสด็จกลับมา และจะไปที่ภูเขามะกอกเทศ และความจริงก็คือเรามีประเทศที่ นี่และคณะรัฐบาลพร้อมทั้งเมื องหลวงคือ"เยรูซาเล็ม" และ"เยชูวาห์" (พระเยซูคริสต์) พระองค์จึงสามารถกลับมาเดี๋ยวนี้ และปกครองเหนือโลกนี้ในกรุงเยรู ซาเล็ม
10) การรับมรดกทางกายภาพ คือ แผ่นดิน(Physically inheriting the Land)
สิ่งสุดท้ายนั้น... สิ่งหนึ่งที่ผู้นำรั ฐบาลประเทศอิสราเอลได้ทำ คือการรับประกันว่ าเราสามารถอาศัยอยู่และตั้ งรกรากในแผ่นดินนี้ เรามีสิทธิ์ที่จะสร้างที่อยู่ อาศัย บ้านเรือน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เศรษฐกิจ และเลี้ยงดูบุตรหลานของเราที่นี่ และนี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ใจว่าทำไมสิ่งนี้จึงเป็นที่เกลี ยดชังของผู้คนทั่วโลก
ใช่หรือไม่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่ าเมื่อ "เยชูวาห์" (พระเยซูคริสต์) เสด็จกลับมานั้นธรรมิกชนจะได้ รับแผ่นดินเป็นมรดก
ใช่หรือไม่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่
มัทธิว 5:5 “คนที่สุภาพอ่อนโยน ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
วิธีที่พระเจ้าสัญญาว่าแผ่นดิ นของพระองค์จะมาตั้งอยู่บนโลกนั้ นคือผ่านทางพระสัญญาที่พระองค์ มีไว้แก่ชนชาติยิว คือแผ่นดินอิสราเอล ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ มันก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นที่ ไหนได้ในโลกนี้ อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่ าชาวยิวได้อาศัยอยู่ที่นี่นั้ นเป็นหมายสำคัญอย่างแน่นอนที่สุ ดว่า"เยชูวาห์" (พระเยซูคริสต์) กำลังจะเสด็จกลับมาและเราจะได้ รับแผ่นดินเป็นมรดก
คริสเตียนส่วนใหญ่ได้มีความเชื่ อที่ไม่ถูกต้องมากกว่า 2,000 ปี ว่าเราจะไปอยู่บนสวรรค์ตลอดนิรั นด์กาล และทิ้งโลกนี้ไว้กับปฏิปักษ์ พระคริสต์ โดยไม่ได้รับการกู้คืนทางฝ่ ายกายภาพ และนั่นเป็นคำสอนที่ผิด แต่ถ้าชาวยิวไม่ได้กลับมาที่แผ่ นดินอิสราเอล นั่นมันอาจจะเป็นความจริง พันธสัญญาในเรื่องสิทธิของชาวยิ วที่จะได้อาศัยอยู่ที่อิสราเอล เป็นสิ่งที่รับประกันถึงสิทธิ ของคริสเตียน ที่จะได้แผ่นดินโลกและประชาชาติ เป็นมรดกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://reviveisrael.org
ข้อมูลที่เป็นภาษาไทย http://reviveisrael.org/archive/language/thai/2016
สามารถฟังคำสอนได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=eDFyAf4_nz0&feature=youtu.be&t=16m55s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น