11 พฤศจิกายน 2557

ทำลายกำแพงเกลียดชังก่อสร้างความสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 9 เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันฉลองครบรอบ 25 ปีแห่งการทำลายกำแพงเบอร์ลิน และเป็นการกลับมารวมประเทศของเยอรมัน ไม่มีกำแพงกั้นระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกอีกต่อไป 

ประวัติ กำแพงเบอร์ลิน โดยสังเขป มีดังนี้ (ข้อมูลจาก Wikipedia) 

กำแพงเบอร์ลินเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็น มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีตะวันตก กับเยอรมนีตะวันออกที่โอบอยู่โดยรอบ มีความยาวทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504(ค.ศ. 1961) และปิดกั้นพรมแดนนี้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนถูกทลายในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ในปี ค.ศ. 1989 ผมจำได้ดีเพราะเป็นปีล่าสุดที่ทีมสโมสรลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ โฮ นานจังเลย) 

ในเยอรมนีตะวันออก กำแพงเบอร์ลิน คือ แนวเขตแดนที่มั่นคง และสัญลักษณ์ของการต่อต้านทุนนิยม แต่สำหรับโลกเสรีแล้ว มันคือ สัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างระบบทุนนิยมของยุโรปตะวันตก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา กับระบบคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต หรือที่เรียกกันว่า สงครามเย็น นั่นเอง กำแพงเบอร์ลิน ทำให้กรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก กลายเป็นเสมือน หน้าต่างสู่เสรีภาพ

นับตั้งแต่การสร้างกำแพงเบอร์ลิน การข้ามผ่านแดนจากเยอรมนีตะวันออก ไปยังเยอรมนีตะวันตก กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากมีการฝ่าฝืนและถูกพบเห็น มีโทษสถานเดียว คือ การยิงทิ้ง ณ บริเวณกำแพงนั่นเอง ตลอดระยะเวลา 28 ปี คาดว่ามีผู้เสียชีวิตที่กำแพงเบอร์ลินขณะหลบหนีระหว่าง 137 ถึง 206 คน

การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
ในปี ค.ศ. 1989 ตรงกับยุคที่ นายมีฮาอิล กอร์บาชอฟ เป็นประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ได้มีการทดลองการปฏิรูปการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ในเยอรมนีตะวันออก ได้มีการชุมนุมประท้วงใหญ่อย่างสงบขึ้นโดยเฉพาะในเมือง โพสต์ดัม ไลพ์ซิจ และเดรสเดน เริ่มต้นในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1989 และดำเนินเรื่อยมา เป็นเหตุให้รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกได้รับความกดดันเป็นอย่างมาก กระทั่งได้มีการประกาศว่า จะเปิดพรมแดนให้ชาวเยอรมันสามารถเดินทางผ่านแดนได้อย่างอิสระ 
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ในวันดังกล่าวชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากได้มารวมตัวกัน ณ กำแพงเบอร์ลิน เพื่อข้ามผ่านแดนไปยังเบอร์ลินตะวันตกครั้งแรกในรอบ 28 ปี จึงถือเอาวันดังกล่าว เป็นวันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินมีบางแหล่งข้อมูลอ้างว่า ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 นาย Günter Schabowski รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการ (Minister of Propaganda) ของเยอรมนีตะวันออกได้แถลงข่าว (ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเขาเอง) ว่าทางการจะอนุญาตให้ชาวเบอร์ลินตะวันออก ผ่านเข้าออกเขตแดนได้อย่างเสรีอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ผู้คนนับหมื่นที่ได้ทราบข่าวก็ได้หลั่งไหลไปยังด่านต่าง ๆ ของกำแพง. หลังจากความโกลาหลอยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ จากทางการ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ต้องยอมปล่อยให้ฝูงชนผ่านเขตแดนไปอย่างไม่มีทางเลือก ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก บรรยากาศในเช้ามืดวันนั้นเหมือนงานเฉลิมฉลองตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 กำแพงเบอร์ลินได้ถูกทุบทำลายบางส่วนโดยชาวเยอรมัน และชาวยุโรป แต่การทำลายกำแพงเบอร์ลินอย่างเป็นทางการ เริ่มเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533 แต่กระนั้นยังคงอนุรักษ์กำแพงบางช่วงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ นอกจากนี้ ยังมีการประมูลจำหน่ายชิ้นส่วนกำแพงเบอร์ลิน และได้มีการมอบชิ้นส่วนของกำแพงเบอร์ลินไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ และสถานที่สำคัญ ๆ อีกหลายแห่ง อาทิ ด้านหน้าสภายุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม พิพิธภัณฑ์นิวเซียม กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอมริกา พิพิธภัณฑ์จอห์น เอฟ เคนเนดี และพิพิธภัณฑ์โรแนล เรแกน ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
นับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เป็นการสิ้นสุดสงครามเย็น ทำให้เกิดความเข้มแข็งของประเทศเยอรมันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและกีฬา (เยอรมันเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย ในปี 1990และในปี 2014) จะเห็นได้ว่าเมื่อกำแพงแห่งความเกลี่ยดพังทลายลง ความสัมพันธภาพในความรักเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง  

ในพระวจนะของพระเจ้าได้บันทึกไว้ถึง กำแพงแห่งความเกลียดชังระหว่างคนยิว(Jew)กับคนต่างชาติ(Gentile) ได้ถูกทำลายโดยทางพระเยซูคริสต์ และเราที่เป็นคนต่างชาติและเขาที่เป็นคนยิวได้เป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One new man)ในพระคริสต์  

เอเฟซัส 2:12-18
12 จง​ระลึก​ว่า ครั้ง​นั้น​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​คน​อยู่​นอก​พระ​คริสต์​ ขาด​จาก​การ​เป็น​พล​เมือง​อิสราเอล และ​ไม่​มี​ส่วน​ใน​บรรดา​พันธสัญญา​ซึ่ง​ทรง​สัญญา​ไว้​นั้น ไม่​มี​ที่​หวัง และ​อยู่​ใน​โลก​ปราศจาก​พระ​เจ้า​
13 แต่​บัดนี้​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​ ท่าน​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​เมื่อก่อน​อยู่​ไกล ได้​เข้า​มา​ใกล้​โดย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​คริสต์​
14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป

เราเห็นได้ว่า พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงความเกลียดชังที่แบ่งแยกยิวออกจากคนต่างชาติ   พระองค์ทรงสร้างสันติภาพขึ้นระหว่างคนทั้ง 2 กลุ่มเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุขเป็นหนึ่งเดียวกัน   

ในพระธรรมเอเฟซัส 2:15 อัครทูตเปาโลได้อธิบายคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสที่เป็นคนต่างชาติไว้ว่า  พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงนี้ โดยการล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว   ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและระเบียบต่างๆ ประมาณ 613 ข้อ ด้วยพระกายของพระองค์ 

คำว่า  “พระกายของพระองค์  ในที่นี้มุ่งหมายชี้ถึงพระกายของพระคริสต์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย    

อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ในข้อ 12-13 ว่า  "จง​ระลึก​ว่า ครั้ง​นั้น​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​คน​อยู่​นอก​พระ​คริสต์​ ขาด​จาก​การ​เป็น​พล​เมือง​อิสราเอล และ​ไม่​มี​ส่วน​ใน​บรรดา​พันธสัญญา​ซึ่ง​ทรง​สัญญา​ไว้​นั้น ไม่​มี​ที่​หวัง และ​อยู่​ใน​โลก​ปราศจาก​พระ​เจ้า​  แต่​บัดนี้​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​ ท่าน​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​เมื่อก่อน​อยู่​ไกล ได้​เข้า​มา​ใกล้​โดย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​คริสต์​"

การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ได้เข้ามาแทนที่การที่จะต้องกระทำตามกฏธรรมบัญญัติ(ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ครบทั้งหมด)   แล้วยกเลิกข้อบังคับและและระเบียบต่างๆ เหล่านั้น

แล้วกฏธรรมบัญญัติถูกล้มเลิกเพื่อเป็นการทำลายกำแพงแห่งความเกลียดชังแบ่งแยกคนยิวและคนต่างชาติลงได้อย่างไร?   

อย่างที่รู้ว่า พวกยิวเชื่อว่าพวกตนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ด้วยการรักษาการดำเนินชีวิตตามกฏธรรมบัญญัติ  กฏธรรมบัญญัติเป็นเครื่องชี้ถึงความเป็นชนชาติพิเศษของยิวและเป็นตัวยืนยันถึงความรอดของพวกเขา   ยิ่งกว่านั้น  ในการข้องเกี่ยวกับคนต่างชาติ ยิวบางพวกยังมองว่า กฏธรรมบัญญัติคือตัวแบ่งแยกกีดกันพวกเขาจากคนต่างชาติ   

โดยกฏธรรมบัญญัติที่ป้องกันไม่ให้ยิวไปเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติเพราะจะทำให้พวกเขาเป็นมลทิน   กฏธรรมบัญญัติเป็นตัวทำให้เกิดการแบ่งแยกกีดกัน   ทำให้พวกยิวไม่เต็มใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมของพวกโรมันซึ่งคนค่างชาติ   รวมถึงการที่ต้องมีส่วนร่วมหรือรับรู้ถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องการการบูชาเทพเจ้าของพวกต่างชาติด้วย  

พระเยซูคริสต์ได้ทรงเปิดช่องทางใหม่ที่ไปถึงความรอด   เป็นวิถีทางใหม่สำหรับทุกผู้ทุกคนที่เข้ามีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าได้   ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปชั่ว   ซึ่งก็รวมถึงคนยิวและคนต่างชาติทุกคน   และทุกคนได้รับการช่วยกู้ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยพระคุณของพระเจ้าที่ให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์   ดังนั้น  โดยทางกฏธรรมบัญญัติจึงไม่สามารถที่จะรับประกันว่าพวกยิวจะสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้    และกำแพงแห่งการแบ่งแยกและเกลียดชังตามกฏธรรมบัญญัติของยิวไม่สมารถที่จะแบ่งแยกยิวออกจากพวกต่างชาติได้   เพราะทั้งยิวและต่างชาติต่างตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความบาปผิด
วันนี้พระเยซูจึงเป็นทางเชื่อมให้เรามาบรรจบกัน เพื่อไปถึงพระบิดาในความสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ใช่ตามกฏธรรมบัญญัติ

ยอห์น 14:6 ​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง​และ​เป็น​ชีวิต ไม่​มี​ผู้ใด​มาถึง​พระ​บิดา​ได้​นอก​จาก​จะ​มา​ทาง​เรา​

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิทธิพิเศษนี้ที่มีให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติแบบเราทั้งหลาย เราจึงไม่สามารถอวดอ้างถึงความดีที่เราทำ เพราะเราไม่มีใครที่ "ดีเพียงพอ" แต่พระคุณของพระเจ้าที่ทรง"ดี"และ"มีอย่างพอเพียง"สำหรับเรา  หากเราจะอวดก็อวดพระเจ้าเถิด 

เอเฟซัส 2:8-9 
8 เราทั้งหลายจึงรอดพ้นจากการประหารด้วยกฏธรรมบัญญัติแต่รับพระคุณโดยความเชื่อ ด้วย​ว่า​ซึ่ง​ท่าน​ทั้ง​หลาย​รอด​นั้น​ก็​รอด​โดย​พระ​คุณ​เพราะ​ความ​เชื่อ และ​มิใช่​โดย​ตัว​ท่าน​ทั้ง​หลาย​กระทำ​เอง แต่​พระ​เจ้า​ทรง​ประทาน​ให้​  
9 ความ​รอด​นั้น​จะ​เนื่อง​ด้วย​การ​กระทำ​ก็​หา​มิได้ เพื่อ​มิ​ให้​คน​หนึ่ง​คน​ใด​อวด​ได้​ 


ในวันนี้เราจึงเป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One new man)ในพระคริสต์  ไม่มีกำแพงที่ขวางกันในความสัมพันธ์ แต่มีกำแพงซากของพระวิหารที่หลงเหลืออยู่เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา
ที่เราจะยืนอยู่ตรงช่องโหว่ในกำแพงเพื่อจะอธิษฐานเผื่ออิสราเอลร่วมกัน
เอเสเคียล 22:30 ละเราแสวงหาคนหนึ่งในพวกเขาที่จะสร้างกำแพง และยืนอยู่ตรงช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น เพื่อเราจะไม่ทำลายมันเสีย...
สดุดี 122:6-9 
6  จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็ม ว่า "ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ
7 ขอสันติภาพจงมีอยู่ภายในกำแพงของเธอ และให้ความปลอดภัยอยู่ภายในวังของเธอ"

Shalu Shalom yerushalayim  שאלו שלום ירושלים  ขอสันติภาพจงมีแด่เยรูซาเล็ม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น