ปัจจุบันต้องยอมรับว่า “เฟซบุ๊ค (facebook)” เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่ว เป็น website เครือข่ายสังคม online อันดับหนึ่งของโลก มียอดสมาชิกกว่า 500 ล้านคน โดย แต่ละคนก็เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์ชื่อ “facebook” เพื่อเปิดหน้ากระดาน หรือ “wall” ของตนเอง ใช้เป็นพื้นที่สำหรับใส่ข้อมูล ความคิดเห็น หรือรูปภาพ ที่ตนต้องการจะนำเสนอ แล้วก็เปิดให้คนอื่นๆ ที่ตนอนุญาต หรือตอบรับเป็นเพื่อนอยู่ในเครือข่าย ให้สามารถเข้ามาอ่าน เข้ามาดู และแสดงความคิดเห็นฝากถึงเจ้าของหน้ากระดานนั้นๆ ได้
นอกจากนี้ยังมี Games online อีกหลายๆเกมส์ เปิดให้สมาชิกได้เล่น สะสมคะแนน และแสดงระดับความสามารถของผู้เล่นแต่ละคนว่าเก่งกาจขนาดไหนได้ด้วย
บรรดาสมาชิกจึงใช้เฟซบุ๊คเป็นสื่อกลางในการสร้างและสานความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย การเข้าไปเขียนบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกนึกคิด ใช้แลกเปลี่ยนมุมมองความคิด ความเห็นต่อประเด็นปัญหาบ้านเมือง รวมถึงประสบการณ์ชีวิต ผ่านเรื่องเล่าของแต่ละคน
นอกจากจะได้ติดต่อและติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูงที่ตนเองรู้จักอยู่ก่อน ซึ่งช่วยรักษาสายใยความสัมพันธ์มิให้ขาดหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว บ่อยครั้ง ยังมีโอกาสได้รู้จัก “เพื่อนของเพื่อน” ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้เอง
ยิ่งกระแสหนังเรื่อง The Social Network ออกมายิ่งทำให้ facebook เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ Internet มากยิ่งขึ้น ในครั้งนี้เรามาทำความรู้จัก
มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ( Mark Zuckerberg )ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (facebook) ซึ่งนิตยสารไทม์(Times) ได้เลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี 2010
หลังจากเลิกรากับแฟนสาว นามว่าเอริก้า มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ( Mark Zuckerberg ) นักศึกษาหนุ่มวัย 20 ปีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด(Harvard)ก็สวมวิญญาณแฮคเกอร์ (Hacker)
แฮคเข้าไปในทะเบียนประวัตินักศึกษาเพื่อเอาข้อมูลและรูปนักศึกษา ใน มหาวิทยาลัยมาสร้างเป็นหนังสือรุ่นออนไลน์ ในชื่อเว็บไซต์ Facemash และมีการโหวตว่าใครฮอตไม่ฮอตอีกด้วย โดยได้รับความช่วยเหลือจาก เอดัวร์โด้ เซฟริน ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ค แต่แล้ว 6 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมหาวิทยาลัยลงโทษด้วยการระงับใช้อินเทอร์เน็ต เพราะเข้าไปแฮคข้อมูลในระบบทะเบียนมหาวิทยาลัย
หลังจากนั้น เขาก็เกิดไอเดียใหม่ เริ่มต้นคิดค้นและพัฒนาเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (facebook)ขึ้นมา โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ดัสติน มาสโควิตช์ เพื่อนของเขาซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊คอีกคน พวกเขาได้ช่วยกันพัฒนาเฟซบุ๊คเรื่อยมา จนเห็นว่ามันต้องฮอตมาก ๆ แน่ ๆ มาร์คจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ทิ้งใบปริญญาแล้วเดินหน้าพัฒนาเฟซบุ๊คอย่างจริงจัง จนในที่สุดมันก็ทำรายได้มหาศาลให้กับเขา และผลักให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
อีกบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุนของโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ จูเลียน เอสแซงก์(Julian Assange)ผู้ก่อตั้งเว็บอื้อฉาว วิกิลีกส์ (WikiLeaks) ปัจจุบันมีอายุ 39 ปี ผ่านการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียหลายแห่ง มีความสนใจด้านคณิตศาสตร์และการเข้ารหัสอิเล็กทรอนิกส์ อันจะเป็นรากฐานให้กับทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็นเลิศ จนสามารถล้วงข้อมูลได้จากทั่วทุกมุมโลกได้กลายเป็นกระแสที่ชาวโลกโจษจันกันมากที่สุด
เดอะ นิวยอร์กเกอร์(The New Yorker)นิตยสารชั้นนำของโลกเรียกเว็บไซต์นี้ว่า “เครือข่ายข้อมูลข่าวกรองประชานิยม” (Populist intelligence network) นิตยสารไทม์ ยกย่องให้เป็น “นักเปิดโปงสายพันธุ์ใหม่แห่งยุคดิจิตอล”
กระทรวง กลาโหมและทำเนียบขาวของสหรัฐประณามว่า การเปิดเผยข้อมูลลับสุดยอดด้านข่าวกรอง เป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและบั่นทอนความมั่นคงของโลก
รัฐบาลอิหร่านเตือนมิให้หลงกลกับข้อมูลที่หลุดจากเว็บไซต์นี้ เพราะมันอาจเป็นหลุมพรางของศัตรูในซีกโลกตะวันตก
นี่คือกระแสเครือข่ายสังคมออนไลน์ทีส่งผลกระทบในโลกปัจจุบัน ที่มีทั้งผลด้านบวกและลบ ที่ต้องระมัดระวังในการใช้
มีผลสำรวจข้อมูลในสหรัฐอเมริกา โดยออกซิเจนมีเดียฯ พบว่า ร้อยละ 34 ของผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 18-34 ปี (1 ใน 3) จะทำการเข้าไปตรวจหน้าเฟซบุ๊คของตนเป็นอย่างแรก หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า เรียกว่า เข้าเฟซบุ๊คก่อนจะล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน หรือทำอื่นใด
ขณะที่ ร้อยละ 20 ยอมรับว่า แอบเข้าไปดูเฟซบุ๊คในเวลากลางคืน
ร้อยละ 26 บอกว่า ถึงกับต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อจะอ่านข้อความในเฟซบุ๊ค
นอกจากนี้ จำนวนมากถึงร้อยละ 57 ยอมรับว่า ตนเองคุยกับคนที่ออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่าพูดคุยตัวต่อตัวในโลกนอกคอมพิวเตอร์เสียอีก
ยิ่งกว่านั้น จำนวนกว่าร้อยละ 31 บอกว่า รู้สึกมั่นใจในตัวตนที่อยู่ในโลกออนไลน์ มากกว่าในชีวิตจริง
ผู้เล่น-ผู้ใช้เฟซบุ๊คบางคน ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมตนเอง เพราะติดที่จะได้จ่อมจมอยู่กับโลกเสมือนในสังคมออนไลน์ ซึ่งเขาสามารถบอกเล่าความคิด ความฝันของตัวเอง พร้อมกับเสพรับเรื่องเล่า ความคิดความฝันของผู้อื่นได้อย่างสุขกายสบายใจ
บางคน ยอมอดหลับอดนอน อาศัยงีบคาหน้าจอเฟซบุ๊ค บางคน ปิดเครื่องไปแล้ว แต่จิตใจก็ยังพะวงอยู่กับเฟซบุ๊คว่าจะมีใครมาคุย มาตอบ มาเล่าอะไรถึงตนเองบ้างไหม ลดเวลาทำกิจกรรมในสังคมจริงๆ แต่หันไปเล่นเฟซบุ๊คแทน
บางคน ถึงกับต้องซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ เพื่อให้สามารถออนไลน์เฟซบุ๊คได้ตลอดเวลา ฯลฯ
อย่าลืมว่า… “เฟซบุ๊ค” ก็แค่เครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ ไม่ได้อยู่ที่เฟซบุ๊ค แต่อยู่ที่ตัวคนผู้ใช้
หากใช้อย่างไม่เหมาะสม จะส่งผลเสีย คือ เสียเวลา,เสียเงินโดยใช่เหตุ,เสียรู้จากการโดนหลอกลวงจากผู้หาผลประโยชน์ และจะทำให้"เสียคน" ได้ หากไม่ระวัง
ซิดนีย์ เจ.แฮร์ริส(Sydney J.Harris)นักหนังสือพิมพ์ Chicago Daily News
ได้กล่าวไว้ว่า “อันตรายอันแท้จริงมิใช่อยู่ที่ ว่าคอมพิวเตอร์จะเริ่มคิดเหมือนมนุษย์ แต่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเริ่มคิดเหมือนคอมพิวเตอร์”
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้หนุนใจให้ร่วมสามัคคีธรรมเพื่อหนุนใจกัน
อย่ามัวเสียเวลามากเกินไปในเครือข่ายสังคมออนไลน์ จนไม่สนใจในเครือข่ายฝ่ายวิญญาณ
อย่าเอาแต่เล่นเกมส์ play online แต่จัดเวลา Pray online กับพระเจ้าในนิเวศอธิษฐาน
อย่าเอาแต่ Comment ใน Hi5 แต่ไม่ say Hi ทักทาย Holy spirit สนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
อย่ามัวแต่ Upload รูป post ขึ้นใน BB BlackBerry แต่ไม่อ่าน BB Bible
ผมเชื่อว่าหากคริสตจักรในสมัยแรกมีเครือข่ายทาง Internet พวกอัครทูตคงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสื่อสารข่าวประเสริฐ หรือส่งจดหมายหนุนใจกัน ผ่านทาง Email หรือ Chat กันเพื่ออภิบาลคริสตสมาชิก พวกอัครทูตคงใช้การประชุมทางไกลผ่าน Teleconference เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการเข้าสุหนัต ในกจ.15
ดังนั้นเมื่อในปัจจุบันมีเครื่อข่ายออนไลน์ที่เป็นประโยชน์ก็ควรจะใช้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์
ปัจจุบันหากเราอยากทราบอะไรก็ไป search หาสอบถามอาจารย์ Guru คือ google
ในโลกของ Internet ก็มีทั้งคุณประโยชน์ แต่ก็อาจจะโทษมหันต์ หากใช้อย่างไม่เหมาะสม
ในเครือข่ายฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน หนุนใจว่าคริสตจักรต่างๆ น่าจะมาร่วมกันในการรับใช้พระเจ้าเพราะเราเป็นพระกายของพระคริสต์ ในพระธรรมเอเฟซัส 4:11-13 หนุนใจให้เสริมของประทานกันเพื่อทำให้คริสตจักรไปสู่ความไพบูลย์ร่วมกัน
11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
หนุนใจว่า เราควรจะสร้างเครือข่ายฝ่ายวิญญาณ เพื่อสนับสนุนกัน หากมี Facebook เราก็มี Faithbook
หนังสือแห่งความเชื่อร่วมกันคือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ เล่มเดียวกันที่เชื่อเหมือนกัน
แม้จะมีความแตกต่าง บางด้านแต่เป็นความแตกต่างที่เสริมสร้างไม่ใช่แตกต่างและแตกแยกกัน หากมีเครือข่ายทำงานร่วมกันจะได้รับผลดีมากกว่าทำคนเดียว (ปญจ.4:9-12) เหมือนเชือกสายเกลียวที่ขาดยาก
เพราะศัตรูของเราคือมาร ที่ขัดขวางงานที่เราทำ มักจะยุยงส่ง Spam mail ความคิดเหตุผลจอมปลอมทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคริสเตียน
หนุนใจพี่น้องในช่วงปีเก่าที่จะผ่านไป ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ให้เราใช้เวลาในการแสวงหาพระเจ้าในการอธิษฐานเตรียมชีวิตเพื่อให้พระเจ้าทรงนำในปี 2011 นี้
มีสิ่งใดบ้างที่เป็นความคิดเก่าๆที่ไม่ดี ตกค้างในถังขยะความคิด (Recycle bin) ต้องลบทิ้งออกไป
ขอพระเจ้าจัดเรียง Defragment ความคิดใหม่ให้เหมาะสมตามพระทัยพระองค์
เชื่อว่าเมื่อเราแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ เราจะมีสิ่งใหม่ที่ Download มาจากพระเจ้า เมื่อเชื่อมต่อติดชีวิตเราจะเกิดผลมาก (ยน.15:4-5) ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ยอห์น 15:4-5
4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น
5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
(ลงข่าวคริสตชน 28 ธันวาคม 2010)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น