27 พฤศจิกายน 2561

ก้าวเดินตามคำเผยพระวจนะอย่างมีปัญญา


ในวาระที่ผ่านมา คริสตจักรหลายท้องถิ่นก็เริ่มสอนและฝึกฝนให้ผู้คนใช้ของประทานแห่งการเผยพระวจนะ ในระยะๆแรก ผู้นำก็มักจะฝึกฝนให้สมาชิกเผยพระวจนะให้กัน แต่ในระยะต่อมา สิ่งสำคัญที่จะต้องว่ากันต่อก็คือ ถ้าได้รับคำเผยพระวจนะแล้ว ควรจะทำอะไรต่อไป? 

บางคำเผยพระวจนะก็เป็นถ้อยคำแห่งการหนุนใจ แต่บางถ้อยคำก็เป็นเหมือนป้ายบอกทางที่ชี้เส้นทางให้กับเรา ถ้าเป็นถ้อยคำแห่งการหนุนใจ เมื่อรับฟังแล้วก็อบอุ่นหัวใจ แต่ถ้าเป็นถ้อยคำที่ชี้เส้นทางบางอย่าง แล้วคนเราจะต้องทำประการใด? มีข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ได้แนะนำเส้นทางสู่ความสำเร็จผ่านการเผยพระวจนะ 
(2 พงศาวดาร 20:20) “ยู​ดาห์​และ​ชาว​เย​รู​ซา​เล็ม​เอ๋ย จง​ฟัง​ข้าพ​เจ้า จง​วาง​ใจ​ใน​พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย แล้ว​ท่าน​จะ​ได้​รับ​ความ​มั่น​คง จง​เชื่อ​บรร​ดา​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ของ​พระ​องค์ แล้ว​ท่าน​จะ​ได้​รับ​ความ​สำ​เร็จ” 
ก้าวแรกสู่ความสำเร็จตามข้อพระคัมภีร์นี้ก็คือการเชื่อในเหล่าผู้เผยพระวจนะ บางครั้งบางคราวเมื่อชีวิตคนเรามาถึงทางแยกว่าจะต้องอาศัยอยู่ในที่ไหนหรือควรจะประกอบการงานอาชีพใด ถ้อยคำของการเผยพระวจนะก็เป็นแสงสว่างสำคัญที่คนเราควรจะเชื่อฟัง จริงอยู่ว่าถ้อยคำจากพระคัมภีร์ก็เป็นแสงสว่างที่เรียกร้องให้คนเราประพฤติตาม แต่ถ้อยคำจากเหล่าผู้พระวจนะก็เป็นอีกแสงสว่างหนึ่งที่คนเราต้องประพฤติตามด้วย 
บางคนเมื่อได้รับถ้อยคำเผยพระวจนะก็อาจจะลังเลที่ต้องประพฤติตาม เพราะบางครั้งถ้อยคำเผยพระวจนะดูเหมือนจะชี้ทางให้ทำงานหรือธุรกิจบางอย่างที่น่าจะมีรายได้น้อย บางครั้งก่อนที่จะได้รับคำเผยพระวจนะ ก็มีทางเลือกมากมาย บางทางเลือกก็เป็นงานที่ให้ค่าตอบแทนสูง บางทางเลือกก็เป็นงานที่ให้ค่าตอบแทนน้อย แต่เมื่อถ้อยคำเผยพระวจนะมาถึง ถ้อยคำดังกล่าวกลับชี้ทางให้เลือกงานที่น่าจะให้ผลตอบแทนน้อย สมมติถ้าถ้อยคำเผยพระวจนะชี้ให้เลือกงานที่ค่าตอบแทนสูง คนเราก็อาจเลือกงานนั้นอย่างไม่ลังเล แต่พอถ้อยคำเผยพระวจนะชี้ให้เลือกงานที่ค่าตอบแทนน้อย คนเราก็อาจจะลังเลใจ
 บางครั้งบางคราว คนเราก็ประเมินว่าเส้นทางนี้น่าจะให้ค่าตอบแทนมาก แต่พอก้าวเดินเข้าจริงๆ ปรากฏว่าเส้นทางนี้กลับให้ค่าตอบแทนน้อยกว่าที่คิด หรือบางทีคนเราก็ประเมินว่าเส้นทางนั้นน่าจะให้ค่าตอบแทนที่น้อย แต่พอลองก้าวเดินไปเรื่อยๆกลับกลายเป็นว่าเส้นทางนั้นให้ค่าตอบแทนที่สูงมากๆ  หลายครั้งหลายคราสิ่งที่คนเราคาดการไว้ในตอนแรกก็กลับพลิกผัน เส้นทางที่คาดการไว้ว่าจะรุ่งเรืองกลับรุ่งริ่ง ทว่าเส้นทางที่คาดการว่าคงรุ่งริ่งแต่วันเวลาผ่านไปกลับรุ่งเรือง

หลายครั้งสิ่งที่คนเราคาดการหรือประเมินไว้ในตอนแรกก็อาจะผิดพลาดได้เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นการเชื่อฟังและก้าวเดินตามถ้อยคำเผยพระวจนะจึงเป็นทางเลือกที่ประเสริฐยิ่ง ที่จริงคนเราควรเชื่อฟังถ้อยคำเผยพระวจนะมากกว่าการคาดการหรือการประเมินโดยความคิดของเราเอง
 แต่สิ่งสำคัญของการก้าวเดินตามขั้นตอนนี้ก็คือ การเชื่อฟังเหล่าผู้เผยพระวจนะ ถ้าดูจากข้อพระคัมภีร์นี้แล้ว ข้อพระคัมภีร์นี้ไม่ได้เขียนว่าจงเชื่อผู้เผยพระวจนะเพียงคนเดียว แต่จงเชื่อในเหล่าผู้เผยพระวจนะ บางครั้งเมื่อคนเราจะต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ คนเราไม่ควรจะตัดสินใจบนพื้นฐานของคำเผยพระวจนะแค่อันเดียว แต่ควรพิจารณาดูจากการสำแดงอื่นๆและถ้อยคำเผยพระวจนะอื่นๆด้วย เป็นการโง่เขลาถ้าหากคนเราตัดสินใจเรื่องสำคัญๆบนพื้นฐานของคำเผยพระวจนะแค่อันเดียวหรือแค่คนเดียว
 ถ้าหากเพื่อนๆกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ แต่มีถ้อยคำเผยพระวจนะชี้ทางแค่ถ้อยคำเดียว เพื่อนๆสามารถทูลขอให้พระเจ้าประทานถ้อยคำอื่นๆเสริมหรือให้พระองค์ประทานการสำแดงอื่นๆมาก็ได้ แต่สมมติถ้าการสำแดงทั้งหลายได้ชี้ให้เลือกเส้นทางที่น่าจะรุ่งริ่ง เพื่อนๆก็ควรจะเดินบนเส้นทางที่น่าจะรุ่งริ่งนี้ และแล้วเมื่อเพื่อนๆเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า ความรุ่งริ่งก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความรุ่งเรืองในแบบนี้เพื่อนๆนึกไม่ถึงมาก่อน

(1 โครินธ์ 2:9ดัง​ที่​มี​เขียน​ไว้​ว่า  “สิ่ง​ที่​ตา​ไม่​เห็น หู​ไม่​ได้​ยิน และ​สิ่ง​ที่​ใจ​มนุษย์​คิด​ไม่​ถึง คือ​สิ่ง​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​จัด​เตรียม​ไว้​สำ​หรับ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​รัก​พระ​องค์”
  
พระคุณจงทวีคูณแด่เพื่อนๆ
PhiliP Kavilar

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น