บทความนี้แปลโดยสรุปความจากบทความเรื่อง Apostolic Alignment โดย อาเชอร์ อินเทเตอร์ (Asher Intrater) เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องของการทำงานร่วมกันของทีมอัครทูต ซึ่งคำว่า Alignment ให้ความหมายถึง การเข้ามาเชื่อมต่อกัน เป็นการจัดเรียงเข้าด้วยกัน เหมือนดังเช่นร่างกายที่อวัยวะทุกส่วนเชื่อมต่อกันและทำงานตามหน้าที่
เอเฟซัส 4:16 เนื่องจากพระองค์นี้เอง ร่างกายทั้งหมดจึงได้รับการเชื่อมและประสานเข้าด้วยกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ประทานมานั้น และเมื่อแต่ละส่วนทำงานตามหน้าที่แล้ว ก็ทำให้ร่างกายเจริญและเสริมสร้างตนเองขึ้นด้วยความรัก
คริสตจักรก็เช่นเดียวกันเพราะคริสตจักรเป็นเสมือนพระกายของพระคริสต์ และของประทานตามพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 4 อัครทูตเปาโลพูดถึงของประทานพันธกรทั้ง 5 (Five-Fold Ministry) เพื่อเตรียมธรรมิกชนในการรับใช้ บทความนี้ อาเชอร์ อินเทเตอร์ ได้เขียนอธิบายไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ครับ
พระคริสตธรรมคัมภีร์สำแดงให้เราเห็นว่า เราทุกคนต้องอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจ เราต้องยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจและเราจะได้รับสิทธิอำนาจ
ลูกา 7: 8 ด้วยข้าพเจ้าก็เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชาและมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อข้าพเจ้าบอกคนนี้ว่า ‘ไป!’ เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า ‘มา!’ เขาก็มา และบอกทาสของข้าพเจ้าว่า ‘จงทำสิ่งนี้!’ เขาก็ทำ.”
การยอมจำนวนต่อสิทธิอำนาจนี้ เริ่มต้นทันทีในระดับปัจเจกบุคลคือการเชื่อในพระเยชูอาห์ (Yeshua) หรือ พระเยซู ว่า พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อเนื่องไปถึงการยอมจำนนภายใต้สิทธิอำนาจระดับโลก เพื่อรวมกันเป็นพระกายของพระเมสสิยาห์(Body of Messiah)
สิ่งเหล่านี้เป็นความก้าวหน้าของสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณที่เคลื่อนจากระดับปัจเจกบุคคลไปสู่ระดับโลก การยอมจำนนเช่นนี้เป็นการเริ่มต้นจุดไฟ ส่งต่อไปเป็นกระบวนการที่เพิ่มขึ้นจากระดับกลุ่มย่อย(จุลภาค “micro”)ไปสู่ระดับภาพใหญ่(มหภาค "macro") มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ยอมจำนนต่อพระเยชูอาห์ในชีวิตส่วนตัว (Personal Submission to Yeshua)
ผู้เชื่อทุกคนที่เชื่อในพระเยชูอาห์ต้องยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณของพระเยชูอาห์ในชีวิตส่วนตัว
ลูกา 7: 8 ด้วยข้าพเจ้าก็เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชาและมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อข้าพเจ้าบอกคนนี้ว่า ‘ไป!’ เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า ‘มา!’ เขาก็มา และบอกทาสของข้าพเจ้าว่า ‘จงทำสิ่งนี้!’ เขาก็ทำ.”
การยอมจำนวนต่อสิทธิอำนาจนี้ เริ่มต้นทันทีในระดับปัจเจกบุคลคือการเชื่อในพระเยชูอาห์ (Yeshua) หรือ พระเยซู ว่า พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อเนื่องไปถึงการยอมจำนนภายใต้สิทธิอำนาจระดับโลก เพื่อรวมกันเป็นพระกายของพระเมสสิยาห์(Body of Messiah)
สิ่งเหล่านี้เป็นความก้าวหน้าของสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณที่เคลื่อนจากระดับปัจเจกบุคคลไปสู่ระดับโลก การยอมจำนนเช่นนี้เป็นการเริ่มต้นจุดไฟ ส่งต่อไปเป็นกระบวนการที่เพิ่มขึ้นจากระดับกลุ่มย่อย(จุลภาค “micro”)ไปสู่ระดับภาพใหญ่(มหภาค "macro") มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ยอมจำนนต่อพระเยชูอาห์ในชีวิตส่วนตัว (Personal Submission to Yeshua)
ผู้เชื่อทุกคนที่เชื่อในพระเยชูอาห์ต้องยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณของพระเยชูอาห์ในชีวิตส่วนตัว
มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
ลูกา 6:46 “ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น?
2. ผูกพันตัวเป็นสมาชิกในคริสตจักรท้องถิ่น (Membership in Local Congregation)
ผู้เชื่อทุกคนควรที่จะผูกพันต้วต่อคริสตจักรท้องถิ่นที่ตนเองมีความเชื่อ
มัทธิว 16:18 เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะ มีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้
มีความนบนอบอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณต่อผู้นำคริสตจักรที่มีชีวิตเป็นที่ยอมรับนับถือตามคุณสมบัติของผู้นำในพระธรรม 1 ทิโมธี 3
3.คณะผู้นำทำงานร่วมกันเป็นทีม (Teamwork Leadership)
คณะผู้นำคริสตจักรต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยแต่ละคนควรปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนที่พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้หนึ่งในคณะผู้นำคนใดคนหนึ่ง ทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทีม เรียกว่า “first among equals”
4. ทำงานร่วมกันระหว่างทีมอัครทูต (Apostolic Teams) กับ ทีมผู้เผยพระวจนะ(Prophetic Teams)
การชุมนุมกันในแต่ละครั้งหรือการทำพันธกิจร่วมกันของผู้นำควรที่มีการทำงานร่วมหกันระหว่างทีมอัครทูตกับทีมผู้เผยพระวจนะ และมีการนบนอบและยอมเชื่อฟังผู้นำของทีม (เอเฟซัส 4:11-16)
5.ปรึกษาทีมผู้อาวุโส(Senior Advisors)
ทีมอัครทูตควรที่จะมีทีมที่ให้คำปรึกษาเป็นทีมอัครทูตผู้อาวุโสเพื่อช่วยกำกับดูแลให้คำแนะนำ (ตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสของแต่ละเผ่าของอิสราเอล ที่ให้คำปรึกษากับโมเสส (อพยพ 24:1)
6. มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระกาย (Unity of the Body)
- เป็นการพัฒนาในระดับที่เพิ่มขึ้นของการนบนอบเชื่อฟัง แต่ละคริสตจักรทำงานเป็นทีมและมีความรับผิดชอบต่อกัน ทำให้เกิดความเชื่อที่เพิ่มขึ้น มีการทำงานเป็นชุมน ทำงานร่วมกันตามหน้าที่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน(function in unity) เติบโตเป็นผู้ใหญ่(maturity) ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อ (integrity) ในบทบาทของตน
เอเฟซัส 4: 12-16
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์
13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์
14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและพัดไปพัดมาด้วยลมคำสั่งสอนทุกอย่าง ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ตามอุบายที่ฉลาดในการล่อลวง
15 แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
16 เนื่องจากพระองค์นี้เอง ร่างกายทั้งหมดจึงได้รับการเชื่อมและประสานเข้าด้วยกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ประทานมานั้น และเมื่อแต่ละส่วนทำงานตามหน้าที่แล้ว ก็ทำให้ร่างกายเจริญและเสริมสร้างตนเองขึ้นด้วยความรัก
7. เชื่อมตรงต่อกรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem Alignment)
เมื่อคริสตจักรทั้งหลายเชื่อในเรื่องการเสด็จกับมาครั้งที่ 2(Second Coming) ของพระเยชูอาห์ คริสตจักรต่างๆ ก็จะเคลื่อนเข้ามาหากันในความเชื่อ มีการเชื่อมต่อสอดคล้องมากขึ้นในด้านฝ่ายวิญญาณและทางภูมิศาสตร์ (geographically) ด้วยการรื้อฟื้นกลุ่มอัครทูตคนยิวที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ (Messianic Jewish)ในกรุงเยรูซาเล็ม มีความเป็นผู้นำเผยแพร่บูรณะศาสนชาวยิวในพื้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ตามคำเผยพระวจนะ (มัทธิว 19:2,กิจการฯ 1:21- 26,15:2,16: 4,อิสยาห์ 2: 2-3,กาลาเทีย 2:1-2,เศคาริยาห์ 8:23)
มัทธิว 19:28 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์นั้น พวกท่านที่ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า
เศคาริยาห์
8:23 พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า ในสมัยนั้น 10 คนจากทุกชาติทุกภาษา จะยึดชายเสื้อคลุมของยิวคนหนึ่งไว้แล้วกล่าวว่า
'ขอให้เราไปกับท่านทั้งหลายเถิด
เพราะเราได้ยินว่า พระเจ้าสถิตกับพวกท่าน"
เมื่อคริสตจักรเข้ามาในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสมและมีการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกัน จะเป็นสร้าง "บรรยากาศ"(ATMOSPHERE) เพื่อสิทธิอำนาจของอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกปล่อยลงมา
ผู้นำคริสตจักรต่างๆควรจะคนกลุ่มแรกที่จะเป็นแบบอย่างในการเชื่อฟังด้วยหัวใจที่ยอมจำนนนบนอบต่อสิทธิอำนาจ
อาเชอร์ อินเทเตอร์ ได้เล่าว่า เมื่อท่านได้เริ่มต้นกลุ่ม Tiferet Yeshua (พระเมตตาของพระเยชูอาห์)และ กลุ่มAhavat Yeshua (ความรักของพระเยชูอาห์) ท่านได้เรียกบรรดาผู้นำคริสตจักรท้องถิ่นมารวมกัน และกล่าวว่า "ผมอยากให้คุณรู้ว่า ถ้าผมทำบาปหรือกระทำการรใดที่ไม่ถูกต้องผมจะออกจากตำแหน่งนี้ นี่คือ รายชื่อที่ผู้นำที่ผมจะนบนอบและสามารถนำผมออกจากตำแหน่งได้ ขอเชิญทุกๆคน เข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน"
การทำงานร่วมกันของทีมอัครทูตเกี่ยวข้องกับการบนนอบเชื่อฟังสิทธิอำนาจ มีการผูกพันในพันธสัญญาร่วมกัน และมีความเข้าใจในทิศทางการเผยพระวจนะสำหรับอนาคตข้างหน้า
นี่คือสิ่งที่เราเชื่อว่า พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาย้ำเตือนประชาชนของพระองค์ในเวลาก่อนการสิ้นยุค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น