บทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้แปลและเรียบเรียงจากมาจาก Website http://arise5.com/ เขียนโดยรอน ซอว์คะ(Ron Sawka) หนึ่งในสมาชิกของสภาอัครทูต Global sphares โดยดร.ชัค เพียร์ส (Dr.Chuck D. Pierce)ซึ่งการแปลความตามอักษร(word for word) เพื่อรักษาความหมายเดิมของต้นฉบับเพื่อเป็นการให้เกียรติของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนคือ คือ รอน ซอว์คะ(Ron Sawka) ได้เขียนคำนำว่า สาส์นนี้ คือคู่มือการอธิษฐานสำหรับเดือนแต่ละเดือนตามปฏิทินฮีบรู เนื้อหามาจากคำสอนดร.ชัค เพียซ(Dr.Chuck D. Pierce)และดร.โรเบิร์ต ไฮด์เลอร์ (Dr.Robert Heidler) ในหัวข้อ "เข้าใจเดือนฮีบรูในเชิงเผยพระวจนะ"
ผมใช้คำว่า “คำอธิษฐานอวยพรประจำ” แทนคำว่า “ความหมายของเดือนเชิงการเผยพระวจนะ” เพื่อให้ผู้อ่านได้สามารถเพ่งพินิจ อธิษฐานตาม และประกาศพรนั้นเหนือชีวิต โดยนำมาเพื่อประกอบการอธิษฐานในการประชุมอธิษฐานการเริ่มต้นเดือนใหม่( Rosh Chodesh) ซึ่งเป็นการถวายเวลาซึ่งเป็น "ผลแรก" ของในแต่ละเดือน
"ทำไมเราต้องมีการฉลองในวันต้นเดือน (Rosh Chodesh) ทำไมต้องมีการถวายผลแรก ทำไมต้องมีการเชื่อถือเรื่องดูดวงจันทร์หรือดวงดาวต่างๆตามแบบปฏิทินฮีบรู?"
ขอหนุนใจไว้ดังนี้ว่า เราไม่ได้เลียนแบบความเป็นยิว หรือพยายามเป็นคนยิว
เพราะเราไม่สามารถเป็นแบบคนยิวได้ เราไม่จำเป็นต้องไปทำตามพิธีของชาวยิว แต่เราต้องปรับเวลาของเราเข้าสู่เวลาของพระเจ้า ในปัจจุบันเราอาจจะใช้ปฏิทินสากลคือแบบโรมัน
เพื่อรู้เวลาของโลก แต่ในชีวิตในฝ่ายวิญญาณเราต้องปรับเวลาของเราเข้าสู้วาระเวลาของพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงกำหนดวาระเวลาต่างๆ โดยให้เราเห็นได้จากหมายสำคัญต่างๆ บอกให้รู้ว่า
ถึงวาระ ฤดู ที่จะต้องทำสิ่งใด (ปฐก.1:14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี)
คนยิวในสมัยก่อน ดูหมายสำคัญ(sign) เรื่องเวลาของพระเจ้า ทำความเข้าใจกับการเคลื่อนของดวงสว่างบนฟ้า แต่อำนาจมืดได้ทำให้คนหลงไป ด้วยการครอบงำ บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องโหราศาสตร์ แบบจักรราศี(Horoscope)และเมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาว คริสเตียนกลับรีบปฏิเสธ เพราะความกลัวว่าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น
คนยิวในสมัยก่อน ดูหมายสำคัญ(sign) เรื่องเวลาของพระเจ้า ทำความเข้าใจกับการเคลื่อนของดวงสว่างบนฟ้า แต่อำนาจมืดได้ทำให้คนหลงไป ด้วยการครอบงำ บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องโหราศาสตร์ แบบจักรราศี(Horoscope)และเมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาว คริสเตียนกลับรีบปฏิเสธ เพราะความกลัวว่าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น
แม้แต่ในสมัยที่พระเยซูคริสต์ประสูติ พวกโหราจารย์ยังดูการเคลื่อนดวงดาว จนได้มาพบกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย (มธ.2) เราต้องทำการศึกษาเรื่องหมายสำคัญต่างๆเช่น ดวงจันทร์ และดวงดาวแบบ"โหราศาสตร์" Astrology ไม่ใช่แบบ Horoscope ไม่ใช่เพื่อการดูดวงชะตาแบบหมอดู แต่นี่เป็นดูแล้วคิดพินิจพิเคราะห์ตามวาระเวลาของพระเจ้า
คำว่า "โหราศาสตร์" ตรงกับภาษากรีกว่า Astrology เป็นคำศัพท์เฉพาะมาจากคำว่า Astro ซึ่งแปลว่า ดวงดาว กับอีกคำหนึ่งว่า Logic ซึ่งแปลว่า ตรรกศาสตร์ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น Astrology แปลว่า ศาสตร์ที่ว่าด้วยดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์
สำหรับคริสเตียนเราไม่มีโชคชะตาราศี ไม่ต้องถือฤกษ์ยาม
อัครทูตเปาโลได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ในพระธรรม โคโลสี 2:15-18
15
พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น
16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
17 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์
18 อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน ด้วยเขาทำทีถ่อมตัวลง กราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง
ฉะนั้นในวันนี้เรามีการประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม
และไม่ใช่จุดยืนในความเชื่อที่จะต้องมากถกเถียงกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นเงาที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์
และเราต้องเข้าใจในเรื่องวาระเวลาและเทศกาลต่างๆเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำหนดให้ไว้เพื่อให้คนของพระเจ้า
สำหรับคำที่ใช้ในบทความที่เป็นราศีต่างๆ เช่น คำว่า “ราศีมีน” หมายถึง “ปลา กลุ่มดาวปลา” ในเดือนอาดารร์นี้ มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า The month of Pisces, the fishes. เรื่องดวงดาวชาวยิวได้รับอิทธิพลจากกรีก และโรมัน ซึ่งต่อมาปฏิทินตามสากลก็ตั้งชื่อตามราศีของโรมัน
สำหรับคำที่ใช้ในบทความที่เป็นราศีต่างๆ เช่น คำว่า “ราศีมีน” หมายถึง “ปลา กลุ่มดาวปลา” ในเดือนอาดารร์นี้ มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า The month of Pisces, the fishes. เรื่องดวงดาวชาวยิวได้รับอิทธิพลจากกรีก และโรมัน ซึ่งต่อมาปฏิทินตามสากลก็ตั้งชื่อตามราศีของโรมัน
แม้แต่เดือนในอิสราเอลบางเดือนเช่นเดือนทัมมุส
(Tammuz)(ประมาณเดือน มิ.ย.-ก.ค. ก็ตั้งชื่อตามพระของคนต่างชาติ ชื่อเทพเจ้าของบาบิโลน
ซึ่งประยุกต์มาจากพวกบาบิโลน ยิวได้ตั้งชื่อเดือนนีว่า
เดือนทัมมุส เนื่องจากเพื่อระลึกว่า
รูปเคารพเป็นเหตุให้บ้านเมืองของตนต้องพินาศย่อยยับ ชื่อเดือนทัลมุส
เป็นชื่อของรูปเคารพจริง ๆ แต่ตั้งเพื่อเตือนใจเขาให้หันกลับมาหาพระเจ้า
ดังนั้นในเดือนนี้ คนยิวจะอดอาหาร และบรรยากาศของเดือนจะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกใจ
เพื่อเตือนใจเขาเรื่องพระวิหารถูกทำลายเพราะรูปเคารพ ดังที่กล่าวชื่อรูปเคารพไว้ใน
เอเสเคียล 8:14-15
เดือนทัมมุส เป็นเทศกาลไว้ทุกข์ ถือการอดอหาร
เพื่อระลึกถึงการที่บาบิโลนมาทำลายพระวิหารของยิวในช่วง ปี 606-587 กคศ. และเป็นการระลึกถึงความเศร้าโศกของโมเสสที่หักแผ่นพระบัญญัติด้วยความโกรธเนื่องจากคนอิสราเอลไปกราบไหว้รูปเคารพ
ในบริบทของเนื้อหาของคำอธิษฐานเป็นการแปลความหมายเชิงสัญลักษณ์ใช้หลักการเดียวกับการตีความหมายในความฝัน
โดยเทียบจากพระคัมภีร์ แปลความว่า เดือนประจำราศีมีน
- คือปลา การพบสิ่งจำเป็นในโลกที่ซ่อนอยู่ (เช่น เหรียญทองในปากปลา มธ. 17:24-28) มีอัตลักษณ์ของคุณในโลกที่มองไม่เห็น อย่าเอาแต่ภาคปฏิบัติ (คืออยากที่จะทำตามคนอื่นเพื่อให้ถูกยอมรับ) เราต้องหาอัตลักษณ์ฝ่ายวิญญาณของเราให้เจอ
เป็นความหมายเชิงการประยุกต์ เพื่อให้กลับไปสู่การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้นำไปสู่การเชื่อแบบราศีที่ทำให้หลงและออกจากหลักการพระคัมภีร์
สรุปการประยุกต์
1.บทความคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนเป็นเพียงแค่คู่มือสำหรับใช้ประกอบการอธิษฐานเพื่อป่าวประกาศพระพรประจำเดือน เราสามารถประยุกต์ตามความเหมาะสมและสิ่งที่เราจะต้องทำคือการอุทิศเวลาของเราซึ่งเป็นผลแรกเพื่อแสวงหาพระเจ้าส่วนตัว
2.เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องของวัฒนธรรมของคนยิว ในเรื่องการศึกษาความหมายเชิงการเผยพระววจนะบางสิ่งเป็นภาษาสัญลักษณ์(Type) ต้องมีการแปลความเช่นการนับราศีตามกลุ่มดาวเป็นเรื่องการเคลื่อนของเวลา, ตัวอักษรประจำในแต่ละเดือนอักษรฮีบรูให้ความหมายเป็นภาพสัญลักษณ์ ,อวัยวะของร่างกายเป็นสัญลักษณ์ประจำเดือนที่เล็งถึงการดำเนินชีวิตให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ
3.เราต้องทำความเข้าใจเรื่องการสำแดงของพระเจ้า พระเจ้าสามารถใช้สิ่งต่างๆเพื่อการสำแดงเป็นการเผยพระวจนะ เช่น ดวงดาว การสำแดงผ่านทางความฝัน การตีความหมายเป็นการสำแดงจากพระเจ้า
สดุดี 19:1-2
1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ 2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
โยบ 33:15-16
15 ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน เมื่อคนหลับสนิท เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา
16 แล้วพระองค์ทรงเบิกหูของมนุษย์ และทรงสั่งสอนอย่างลับๆ
การสำแดงจากพระเจ้าบางครั้งอาจจะไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์เพราะพระคัมภีร์เป็นส่วนหนึ่งในการสำแดงของพระเจ้าไม่ได้ทั้งหมด แต่พระคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการวัด(canon) หากมีสิ่งใดที่ผิดหลักการพระคัมภีร์สิ่งนั้นไม่ถูกต้อง
4. เราต้องทำการศึกษาในเรื่องการสำแดงของพระเจ้า โดยกลับไปทบทวนสัมมนาต่างๆที่เคยเรียนมาเช่น มิติแห่งการสำแดง(Revelation realms) สัมมนา อิสสาคาร์ เป็นต้นเพื่อให้เกิดความสมดุลในการประยุกต์ใช้