บทความเรื่อง "ของขวัญอัศจรรย์วันคริสต์มาส"(Amazing Christmas Gift) ลงในหนังสือ MANGA MANGER
You'll never walk alone. I am your friend who always listens to, and walks along with you.
26 ธันวาคม 2561
19 ธันวาคม 2561
รวมบทความเทศกาลคริสต์มาส
รวมบทความเทศกาลคริสต์มาสที่น่าสนใจ สามารถ Click เข้าไปอ่านได้ตาม Link นะครับ
คริสต์มาส อัศจรรย์แห่งรัก
Faith makes all things possible,
Hope makes all things work,
Love makes all things beautiful,
May you have all the three for this Christmas.
ความเชื่อทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้
ความหวังทำให้ทุกสิ่งเป็นรูปเป็นร่าง
ความรักทำให้ทุกสิ่งเป็นความงดงาม
ขอให้ทุกท่านมีทั้ง3 สิ่งนี้ในเทศกาลคริสต์มาสนี้นะครับ
12 ธันวาคม 2561
งูกับความมืดไม่ได้มีความหมายแย่เสมอไป
มีพี่น้องท่านหนึ่งได้ใช้ของประทานการเผยพระวจนะให้กับนักธุรกิจคริสเตียนคนหนึ่ง
เมื่อพี่น้องท่านนี้กำลังเผยพระวจจนะ
เขาก็เรียกร้องให้นักธุรกิจคริสเตียนผู้นี้กลับใจจากความบาปลับๆที่แอบทำอยู่
แต่นักธุรกิจคริสเตียนก็เอ่ยกับพี่น้องที่กำลังเผยพระวจนะว่า เขาไม่ได้มีด้านมืดในชีวิตและไม่ได้มีบาปที่แอบทำอย่างลับๆ
แต่พี่น้องที่เผยพระวจนะก็ยังยืนกรานให้นักธุรกิจสะสางด้านมืดในชีวิต
ทั้งนี้พี่น้องที่กำลังเผยพระวจนะนั้น
ได้เล่าว่าขณะที่เขากำลังใช้ของประทานการเผยพระวจนะ
เขาได้มองเห็นเมฆดำๆสีเทาๆที่อยู่บนศีรษะของนักธุรกิจ เขาจึงตีความนิมิตที่เห็นว่า
นักธุรกิจผู้นี้คงมีด้านมืดบางอย่างในชีวิตที่ไม่ได้กลับใจ
แต่นักธุรกิจก็มั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้มีด้านมืดในชีวิตแบบนั้น
วันเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
ผลปรากฏว่ามีพนักงานคนหนึ่งในบริษัทของนักธุรกิจที่ได้ยักยอกเงินบริษัท
โดยที่นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของบริษัทกลับไม่รู้ถึงการยักยอกนี้
แต่สุดท้ายพนักงานคนนี้ก็ถูกจับได้และถูกดำเนินการตามระเบียบของบริษัท
ทันใดนั้นเอง นักธุรกิจก็เข้าใจว่า
นิมิตที่พี่น้องเห็นเป็นเมฆดำๆนั้นไม่ได้หมายถึงชีวิตส่วนตัวของเขา
แต่หมายถึงมีความอธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในบริษัทต่างหาก
เห็นนิมิต แต่ตีความผิด
เรื่องเล่านี้ให้ข้อคิดว่า
บางครั้งนิมิตที่เราเห็นก็เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่เราอาจจะตีความนิมิตผิดพลาดไป จึงเผยพระวจนะออกไปอย่างไม่แม่นยำ
ดังนั้นเมื่อคนเราใช้ของประทานการเผยพระวจนะ สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือการตีความนิมิตที่มองเห็น
บางครั้งเมื่อเราเห็นนิมิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงต้องการสื่อสารเรื่องหนึ่ง
แต่เรากลับตีความและเข้าใจไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
โดยการคุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรียบร้อยก่อนว่า นิมิตที่มองเห็นนั้น พระองค์ต้องการสื่อสารอะไร?
บางครั้งเมื่อเราเห็นนิมิตก็ไม่จำเป็นต้องรีบด่วนในการพูดออกไป
แต่ให้ลงลึกกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อน แล้วค่อยพูดการสำแดงออกไป
งูกับความมืด
บางครั้งเมื่อคนเราเห็นนิมิตเกี่ยวกับ
งูหรือความมืด โดยพื้นเพแล้ว คนเราก็มักจะตีความเรื่องความมืดกับงูในแง่ลบ
แต่บางครั้งเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานนิมิตเกี่ยวกับงูหรือความมืดนั้น
พระองค์ก็ไม่ได้สื่อสารในความหมายด้านลบทุกครั้ง
มีบางครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสื่อสารนัยยะด้านบวกผ่านความมืดและงูด้วย
จากพระคัมภีร์
งูก็ไม่ได้มีความหมายเป็นลบเสมอไป ในด้านบวก งูเป็นสัญลักษณ์ที่เล็งถึงปัญญา
ส่วนความมืดก็ไม่ได้มีความหมายในด้านลบเสมอไป ในพระคัมภีร์ก็ได้อธิบายว่า
บางครั้งพระเจ้าก็เสด็จมาในความมืด (ดู สดุดี 18:9-11; 97:2) จึงกล่าวได้ว่า
ความมืดก็มีความหมายที่สื่อถึงการทรงสถิตของพระเจ้า
ดังนั้นเมื่อเพื่อนๆเห็นนิมิตเป็นงูหรือความมืด
เพื่อนๆก็อย่าเพิ่งรีบตีความในด้านลบ แต่ให้สอบถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนว่า
พระองค์ต้องการสื่อสารอะไรผ่านนิมิตนี้
เพราะบางทีพระองค์อาจสื่อสารในแง่ของปัญญาหรือในแง่ของการทรงสถิตก็ได้
ความสว่างก็ไม่ใช่ด้านบวกเสมอไป
และบางครั้งเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานนิมิตเกี่ยวกับความสว่างหรือสิงโต
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความหมายแง่บวกเสมอไป
บางเวลาพระองค์ประทานนิมิตที่เป็นแสงสว่างเพื่อต้องการสื่อสารว่า
ตอนนี้มีซาตานกำลังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ของความสว่างอยู่ ส่วนสิงโตนั้น
บางทีก็มีความหมายที่สื่อถึงสิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ที่สรรเสริญพระเจ้า
แต่บางทีก็หมายถึงมารที่วนเวียนดุจสิงคำราม
คุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวกับนิมิตก่อน
ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ว่า
เมื่อคนเราเห็นนิมิตแล้ว
ก็อย่าเพิ่งรีบตีความแต่ควรสอบถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนว่า
นิมิตที่เรามองเห็นนั้นมีความหมายสื่อถึงอะไร?
บางครั้งนิมิตที่ดูเหมือนจะมีความหมายลบสุดๆ
ก็อาจเป็นนิมิตที่มีความหมายบวกสุดๆก็ได้
Philip Kavilar
Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์
ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก
เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน
ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช
และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ
05 ธันวาคม 2561
รวบรวมบทความ "วันพ่อ"
ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post.html
ทำเนียบพ่อต้นแบบ
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post_03.html
บทความเรื่อง ศรัทธา http:// pattamarot.blogspot.com/2010/ 12/blog-post_21.html
สายธารแห่งน้ำพระทัยของพ่อหลวง
http://pattamarot.blogspot.com/2011/12/blog-post_09.html
เรียกพระบิดาว่า พ่อจ๋าhttp:// pattamarot.blogspot.com/2012/ 11/blog-post.html
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post.html
ทำเนียบพ่อต้นแบบ
http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post_03.html
บทความเรื่อง ศรัทธา http://
สายธารแห่งน้ำพระทัยของพ่อหลวง
http://pattamarot.blogspot.com/2011/12/blog-post_09.html
เรียกพระบิดาว่า พ่อจ๋าhttp://
ได้รับพระสัญญาแล้ว ต้องอธิษฐานต่อหรือไม่?
เมื่อคริสตจักรเริ่มขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะ
สิ่งหนึ่งที่ตามติดมาก็คือพระสัญญา บางคนอาจได้รับคำเผยพระวจนะว่า
“พระเจ้าจะยกระดับคุณในบริษัทที่คุณทำงาน” หรือ
“จะมีสายสัมพันธ์สำคัญเกิดขึ้นในธุรกิจของคุณ” ถ้อยคำเผยพระวจนะแบบนี้
ด้านหนึ่งก็อาจเรียกเป็น “พระสัญญา” ก็ได้
คำถามมีอยู่ว่า เมื่อคนเราได้รับพระสัญญาจากพระเจ้าในเรื่องหนึ่ง
ยังจำเป็นอีกหรือไม่ที่จะต้องอธิษฐานในเรื่องนั้น ทั้งนี้มีผู้สอนบางท่านอธิบายว่า
เมื่อได้รับพระสัญญา ก็ไม่ต้องอธิษฐานแล้ว
เพราะการอธิษฐานทั้งๆที่ได้รับพระสัญญาแล้วนับเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความไม่ไว้วางใจหรือความสงสัย
บางคนก็สอนว่าเมื่อได้รับพระสัญญาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน
ขอแค่มีความเชื่อเพื่อรับเอาพระสัญญานั้นก็พอแล้ว บางคนก็สอนว่า
เมื่อได้รับพระสัญญาก็ไม่ต้องอธิษฐานทูลขออีก แต่ให้อธิษฐานแบบป่าวประกาศแทน
ในพระคัมภีร์มีตัวอย่างสำคัญที่ตอบคำถามนี้ได้ดี
ดาเนียลเป็นผู้หนึ่งที่รับรู้ถึงพระสัญญาของพระเจ้าว่า
พระองค์จะทรงนำพาคนยิวกลับคืนสู่เยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง
แม้ดาเนียลจะเชื่อในพระสัญญาและมั่นใจว่าพระเจ้าจะสำเร็จพระสัญญาของพระองค์
แต่ดาเนียลก็มิได้อยู่เฉยๆ และเอาแต่รอคอยพระเจ้าเท่านั้น
ทว่าดาเนียลกลับอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้า
และยังได้อธิษฐานสะสางอุปสรรคต่างๆที่ขัดขวางการสำเร็จพระสัญญา
ด้วยเหตุนี้จากตัวอย่างในพระคัมภีร์
เมื่อผู้ใดได้รับพระสัญญาจากพระเจ้า
นอกจากที่ผู้นั้นจะต้องมีความเชื่อในพระสัญญาแล้ว
ผู้นั้นก็ควรอธิษฐานทั้งทูลขอและป่าวประกาศให้พระเจ้าทรงสำเร็จพระสัญญานั้น
หรือบางทีก็อาจต้องอธิษฐานขจัดอุปสรรคต่างๆที่ขัดขวางการสำเร็จพระสัญญา
บางคนอาจสงสัยว่า
ทำไมต้องอธิษฐานต่อด้วยทั้งๆที่พระเจ้าทรงสัญญาแล้ว? เหตุสำคัญที่คนเราต้องอธิษฐานต่อ
ก็เพราะว่าการขับเคลื่อนของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงขับเคลื่อนโดยพละการ
พระองค์ไม่ทรงขับเคลื่อนด้วยตัวของพระองค์เองเพียงคนเดียว
การขับเคลื่อนของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ล้วนมาจากการอธิษฐานของมนุษย์แทบทั้งนั้น
หากมนุษย์อยู่เฉยๆโดยไม่ได้อธิษฐานต่อพระเจ้า
พระองค์ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนสิ่งใดๆบนแผ่นดินโลกได้ ทั้งนี้ใน (ปฐมกาล 1) พระเจ้าได้ทรงมอบสิทธิอำนาจบนแผ่นดินโลกให้กับมนุษย์
แผ่นดินโลกนับเป็นขอบเขตที่เป็นของมนุษย์
ซึ่งพระเจ้าไม่มีสิทธิแทรกแซงใดๆหากมนุษย์ไม่อธิษฐาน
ฉะนั้น
เมื่อพระเจ้าประทานพระสัญญาแล้ว พระองค์ก็ต้องขับเคลื่อนให้พระสัญญาสำเร็จ
แต่พระองค์ไม่อาจขับเคลื่อนได้เลยหากมนุษย์ไม่ยอมอธิษฐาน การที่มนุษย์อธิษฐาน
ด้านหนึ่งก็เป็นการอนุญาตให้พระเจ้าเข้ามาขับเคลื่อนสิ่งต่างๆบนแผ่นดินโลกเพื่อให้สิ่งต่างๆที่พระองค์สัญญาไว้สำเร็จ
คำอธิษฐานของมนุษย์เป็นดั่งใบอนุญาตและเป็นดั่งเครื่องมือของพระเจ้า ที่พระองค์จะทรงทำสิ่งที่พระองค์ต่างๆตามพระประสงค์ของพระองค์
บางครั้งพระสัญญาก็สำเร็จอย่างล่าช้าหรือสำเร็จอย่างไม่บริบูรณ์
ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะการอธิษฐานที่ขาดไป
จึงทำให้การขับเคลื่อนของพระเจ้าเกิดการสะดุด อนึ่ง ถ้ามนุษย์อธิษฐานทูลขอ
และอธิษฐานสะสางอุปสรรคต่างๆที่ขัดขวางการสำเร็จพระสัญญา
ทั้งทูตสวรรค์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สามารถกระทำการได้คล่องขึ้น
การขับเคลื่อนของพระเจ้าก็ไหลลื่น พระสัญญาก็สำเร็จอย่างบริบูรณ์และรวดเร็ว
(ตามพระคัมภีร์ มนุษย์สามารถทูลขอให้พระเจ้าทรงเร่งวันเวลา
และเร่งการสำเร็จพระสัญญาได้)
บางที
อาจเป็นการเหมาะสมที่เพื่อนๆจะทบทวนว่า
พระเจ้าประทานพระสัญญาใดให้กับเพื่อนๆผ่านคำเผยพระวจนะ
และเมื่อเพื่อนๆได้ตระหนักรู้ถึงพระสัญญาแล้ว
นี่อาจเป็นวาระที่พวกเราต้องอธิษฐานเพื่อให้พระสัญญาสำเร็จอย่างบริบูรณ์และรวดเร็ว
ชาโลม
Philip Kavilar
Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์ ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก
เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน
ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช
และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ
03 ธันวาคม 2561
8 วันของเทศกาล Hanukkah
8 วันของเทศกาล Hanukkah(3-10 ธ.ค.2018)มีความสำคัญมาก ผมขอหนุนใจให้คุณไม่เพียงแค่ฟังคำสอนของ Dr.Robert Heidler ในเรื่อง "Hanukkah: The Feast of Light 5779!" เท่านั้น แต่จงใคร่ครวญ ประเด็นที่สำคัญดังนี้
1. พระเจ้าทรงห่วงใยประชากรของพระองค์! ขอบคุณพระองค์ที่คุณอยู่ภายใต้การปกป้องจากพระองค์!
2. พระเจ้าต้องการรื้อฟื้นพระวิหารของพระองค์! ขอบคุณพระองค์ที่เราทั้งหลายเป็นพระวิหารของพระองค์! ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงรื้อฟื้นคริสตจักรของพระองค์
3. พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งการอัศจรรย์! ขอบคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ผู้ทรงฤทธิ์ นี่เป็นเวลาที่เราจะคาดหวังการอัศจรรย์ในช่วงเทศกาลนี้
4. พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก! เทศกาล Hanukkah เป็นเวลาที่ให้พระสิริของพระองค์ฉายส่องในชีวิตของเรา
จงใคร่ครวญประเด็นเหล่านี้ในแต่ละวันจนกว่าชีวิตของคุณจะสำแดงสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี่ จงเข้ามาร่วมฉลองแสงสว่างของโลกนี้!
คำหนุนใจจาก Dr.Chuck Pierce
These 8 days of Hanukkah are very important. I encourage you to not only watch (and re-watch) Robert Heidler’s teaching on “Hanukkah: The Feast of Light 5779!”, but to rehearse these points daily:
1. God Cares for His People! Thank Him that you are under His protection!
2. God Wants His Temple Restored! Thank Him that we are His temple! Thank Him that He is restoring His Church!
3. God is a God of Miracles! Thank Him that He is a living God who works in power! This is a time to expect MIRACLES!
4. Jesus is the Light of the World! Hanukkah is a time to let His light SHINE!
2. God Wants His Temple Restored! Thank Him that we are His temple! Thank Him that He is restoring His Church!
3. God is a God of Miracles! Thank Him that He is a living God who works in power! This is a time to expect MIRACLES!
4. Jesus is the Light of the World! Hanukkah is a time to let His light SHINE!
Meditate on these points each day until you reflect what this season is about. Enter into celebrating the Light of the World!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)