30 มกราคม 2556

“ความรัก” เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปประกอบพิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์และให้โอวาทให้กับพี่น้องในคริสตจักรคู่หนึ่ง ผมจึงขอนำคำเทศนามาแบ่งปันเขียนเป็นบทความเพื่อเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตครอบครัว รวมถึงเป็นข้อคิดในเดือนกุมภาพันธ์มีเทศกาลวันแห่งความรักในวันที่ 14 ก.พ.ที่จะถึง คำเทศนานี้ ผมได้สรุปความมาจากคำเทศนาซึ่งอ.นิมิต พานิช เคยเทศนาไปแล้ว ในหัวข้อเรื่อง “ความรัก  เรียบง่ายแต่ทรงพลัง" จากพระธรรรมเพลงซาโลมอน 8:6-7 มีเนื้อหาดังนี้ 
เพลงซาโลมอน 8:6-7
จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ  ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ  เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย  ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย  และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิงคือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง 7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้  หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้  แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น  คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง


มีบทกลอนบทหนึ่งจาก Internet เป็นข้อคิดเกี่ยวกับความรัก ดังนี้
รักแท้เป็นตำนาน
รักสิ้นลมปราณเป็นบทประพันธ์
รักไม่แปรผันเป็นนิยาย
รักจนวันตายเป็นนิทาน
รัก ตลอดกาลเป็นละคร
รักอยู่ทุกตอนเป็น.ละครน้ำเน่า
รักไม่เคยเก่าเป็นจริงช่วงแรก
รักในความแปลกเป็น คำฮิต
รักด้วยชีวิตเป็นลิเก
รักไม่โลเลเป็นความฝัน
รักเธอนิรันดร์เป็นชื่อเพลง
รักนะตัวเองเป็นเด็กอมมือ
รักซื่อสัตย์เป็นคำลวง
รักหมดทรวงเป็นคำติดปาก
รักเธอมากเป็นคำฮอต
รักเดียวตลอดเป็นไปไม่ได้..!!!

จากบทกลอนนี้เราจะเห็นได้ว่า คำว่า “รัก” เป็นการกล่าวคำที่เรียบง่าย ใครๆก็พูดได้ แต่ทำตามสิ่งที่พูดยาก และรักษาความรักไว้เป็นสิ่งที่ยากที่สุด  เพราะการกล่าวคำว่า รัก นั้นใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่ต้องพิสูจน์รักด้วยการใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต   หากพูดว่ารักแล้วไม่ทำคำว่า"รัก"ก็เป็นคำ"มักง่าย" พูดได้แต่ไร้ความหมายในรูปธรรม

ความรักที่เป็น "รักแท้" เปรียบเสมือน "รักแร้" ต้องดูแลและรักษาไว้ ไม่เช่นนั้นยกแขนที่ไหน ขวาตายซ้ายสลบ
ความรักต้องมีการแสดงออก ไม่ใช่แบบวัยรุ่นที่ส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือกันว่า "รักนะ เด็กโง่" หรือ "รักนะแต่ไม่กล้าแสดงออก"

หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บรรยายถึงความรักให้แสดงออกนั่นคือ 
สุภาษิต 27:5 ว่ากันต่อหน้า  ดีกว่ารักกันลับๆ

1ยอห์น 3:18   ลูกทั้งหลายเอ๋ย  อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น  แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง

พี่น้องคริสเตียนหลายท่านอ่านพระธรรมบทเพลงซาโลมอนแล้วอาจจะไม่เข้าใจ เราต้องมีการตีความ (Interpretation) เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ดังนี้
จากการศึกษาพระธรรมตอนนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ

1.ส่วนแรกเป็นคำขอร้องของฝ่ายหญิงหรือผู้เป็นเจ้าสาว  บทเพลงซาโลมอน(Song of Solomon) สามารถตีความในมุมความรัก(Romantic)ระหว่างเจ้าสาว คือ คริสตจักร กับเจ้าบ่าวคือ พระเยซูคริสต์  หรืออีกมุมมองคือความรักแบบรักใคร่หนุ่มสาว(Erotic) ใช้เพื่อสอนครอบครัว

2.ส่วนที่ 2 เป็นการอธิบายถึง พลังอำนาจแห่งรัก ว่ามีฤทธิ์อำนาจมากมายขนาดไหน โดยเปรียบเทียบ(Comparative) กับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้าง เช่นความตาย เปลวเพลิง หรือ สิ่งของที่มีคุณค่าต่างๆในโลกนี้

3.ส่วนที่ 3 เป็นการศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบัน
เราสามารถศึกษาจากคำหลักของพระธรรมตอนนี้ ดังนี้

เพลงซาโลมอน 8:6  จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ  ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ  

ตราประทับ (Seal)ในพระคัมภีร์ฉบับเดิมแปลว่า ดวงตรา(seal)  คำว่า “ดวงตรา” หรือตราประทับ ในภาษาอังกฤษใช้หลายคำ seal, stamp, mark, brand, badge, insignia

ในภาษาไทย ตรา หมายถึงเครื่องหมายทำเป็นสัญลักษณ์ เช่น ตราแผ่นดิน, เครื่องหมายทำเป็นเครื่องประดับในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เช่น ตราช้างเผือก, ประทับไว้เป็นสำคัญ. เช่นตราไว้, กำหนดไว้, จดจำไว้ (ตราสาร คือ หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่างๆ เช่นตั๋วเงิน โฉนดที่ดิน เป็นต้น)

ความรักของพระเจ้าเป็นตราประทับด้วยพระวิญญาณแห่งพระสัญญาของพระเจ้า เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับคริสตจักร

เอเฟซัส 4:30   และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย  เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้  เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด

ในพระคัมภีร์เดิม คือ การเข้าสุหนัต(Circumcision) แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ คือ การเข้าส่วนในพระกาย คือ การรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการทำพันธสัญญาทางใจ

โรม 4:11-13
  11 และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ  เป็นตราแห่งความชอบธรรม  ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่  เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต  เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ  ทั้งที่เมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัตและพระเจ้าทรงถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมด้วย
  12 และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต  ที่มิได้เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น  แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลาย  ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต
  13 เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า  จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ  แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ

เอเฟซัส 1:13   ในพระองค์นั้น  ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน  เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ  คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน  และได้วางใจในพระองค์  ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา
   ในพระคัมภีร์ตอนนี้ หญิงสาวได้ร้องขอเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของคนรักคือเจ้าบ่าว ให้ประทับตราลงที่ ดวงใจ หมายถึงให้ฝ่ายชายมีอิทธิพลทางด้านความคิด จิตใจและจิตวิญญาณของเธอ  
   การประทับตราลงที่ แขน ของเธอ หมายถึงให้เจ้าบ่าวมีอำนาจ เหนือการกระทำทุกอย่างของเธอ เรื่องนี้เป็นภาพเล็งถึงพระเยซูผู้เป็นเจ้าบ่าว กับคริสตจักร(คริสเตียน)ผู้เป็นเจ้าสาว ซึ่งเป็นการยอมจำนนของคริสตจักรอย่างสิ้นเชิงเพื่อให้พระเยซูคริสต์ครอบครองและชำระชีวิตให้บริสุทธิ์เป็นเจ้าสาวที่ไร้ตำหนิริ้วรอย
   ในสมัยปัจจุบันการสมรสจะใช้การสวมแหวนแต่งงานเป็นสัญลักษณ์แทนการประทับตรา
   พระคัมภีร์สอนเราว่า ทันทีใครคนหนึ่งคนใดรับเชื่อในพระคริสต์ พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เข้ามาอยู่ในจิตใจและวิญญาณ เป็นตราประทับว่า เราเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น จงให้พระเยซูมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณและการกระทำของเราเสมอ
   ผู้เป็นสามีจงรักภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และสละชีวิตเพื่อคริสตจักร” (อฟ. 5:25) และได้ตรัสแก่ฝ่ายหญิงว่า ส่วนภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีของตน เหมือนยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า(อฟ. 5:22)

พลังความรัก  (Power of Love)
   ความรักในภาษากรีกที่ใช้ในการเขียนพระคัมภีร์ใหม่นั้น คือ อากาเป้” (agape) หมายถึงความรักที่แท้จริงซึ่งมาจากพระเจ้า เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  
ยอห์น 3:16-17  
16“พระเจ้าทรงรักโลกนี้ คือได้ประทานพระบุตร(พระเยซู)องค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
17 เพราะพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
(หมายเหตุ คำว่า “รัก” ในภาษาไทยใช้คำเดียวกันกับความรักแบบต่างๆ แต่คำว่า”รัก”ในภาษากรีก มีระดับ(Degree)ความลึกซึ้งของภาษาที่แตกต่างกัน 4 ระดับคือ

1.เอรอส Eros (ἔρως) = ความรักระหว่างเพศ หรือความใคร่
  2.ฟิเลียPhilia(φιλία)= ความรักฉันสามีภรรยาหรือเพื่อน รักใคร่ผูกพัน
  3.สเตเก้ Storge(στοργή)= ความรักแบบครอบครัว ญาติมิตร
  4.อากาเป้ Agape (ἀγάπη) = ความรักที่มาจากพระเจ้า หรือรักแบบไม่มีข้อจำกัด

  เมื่ออัครทูตเปาโลรู้ว่า พี่น้องคริสเตียนที่เมืองโครินธ์มีปัญหามากมาย   ท่านได้อธิบายสิ่งที่ยิ่งใหญ่สูงสุดมากกว่าการใช้ของประทานใด (1คร.12) คือการใช้ของประทานด้วย ความรัก และให้ทุกคนมุ่งเสาะแสวงหา (1 คร.13:1-13) ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มากกว่าของประทาน ความรู้ ความสามารถ การเสียสละใดๆ หากปราศจากความรักก็ไร้ประโยชน์
   ความรักไม่ใช่ของประทาน เพราะหากเป็นของประทานบางคนจะมีความรัก บางคนจะไม่มี แต่ความรักเป็นผลพระวิญญาณที่อยู่ในลักษณะชีวิตของผู้เชื่อทุกคน (กท.5:22-23) ที่ต้องสำแดงออกไปให้กับผู้อื่น 
ข้อคิดจากพระธรรมตอนนี้โดยสังเขป นั่นคือ 

1. พลังความรักเหนือความตาย(ข้อ6)

6… เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิงคือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง

ประการแรก เพราะความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนจะได้พบเจอะเจอ   
ประการที่สอง พระคัมภีร์บอกว่า ความรักเหมือนความตายตรงที่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิต  สำหรับคริสเตียนมันเป็นสิ่งที่หอมหวนและเป็นความชื่นชมยินดี ที่เราจะได้พักสงบสุขอยู่กับพระเจ้า เป็นการย้ายสถานที่อยู่คือจากบ้านที่อยู่ในโลกนี้ไปสู่บ้านของพระเจ้า บนแผ่นดินสวรรค์

ฟิลิปปี 3:20  แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์  เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด  ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า
ประการที่สาม  ความรักกับความตายเป็นเรื่องส่วนตัวและ หวงแหน เหลือเกิน ซาโลมอนกล่าวถึง แดนคนตาย ซึ่งเป็นสถานที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ ที่จากโลกนี้แล้วไปอยู่ที่นั่นอย่างสงบ  

พระเยซูทรงสอนเรื่องของสามีภรรยาว่า เมื่อเดิมสร้างโลกนั้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจึงต้องละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไปเพราะฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์พรากออกจากกันเลย (มก.10:6-7) ดังนั้น ความตายกับความรักเหมือนกันคือเป็นสิ่งถาวรและน่าหวงแหนยิ่งนัก!

คำว่า “หวงแหน” (Jealousy) แตกต่าง จากคำว่า “หึงหวง” ความหวงแหนเป็นความรักที่ไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเหมือนคำว่า “หึงหวง” เป็นการต้องการความรักจากผู้อื่นมาหาตัว แต่หวงแหนเป็นความรักที่หวงหาอาทร ไม่ต้องการให้ผู้ที่รักต้องพบกับความตาย หรือ หายนะ  

เฉลยธรรมบัญญัติ 5:9   อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น  ด้วยเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า  เป็นพระเจ้าหวงแหน  ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ

พระคัมภีร์ได้อธิบายถึงความรักที่ไม่สูญสิ้นไปแม้จะถึงซึ่งความตาย ความตายจะทำให้การสมรสสิ้นสุด แต่ความรักไม่สิ้นสุด

1 โครินธ์ 13:8   ความรักไม่มีวันสูญสิ้น  แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป  แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกัน  แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป
 
มัทธิว 22:29-32
   29   พระเยซูตรัสตอบเขาว่า  "พวกท่านผิดแล้ว  เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า
  30   เมื่อมนุษย์ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น  จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก  แต่จะเป็นเหมือนทูตในฟ้าสวรรค์
  31   แต่เรื่องคนตายกลับฟื้นนั้นท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านหรือ  ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับพวกท่านว่า
  32   พระเจ้าของอิสอัค  และพระเจ้าของยาโคบ  พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย  แต่ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น"

ยอห์น 15:13   ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน


2โครินธ์ 5:14-15
  14   เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่ามีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว
  15   และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง  เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์  และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย

ในพระธรรม 2คร.5:14 ได้กล่าวว่า  “..ความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่…” ในประโยคนี้มีคำหลัก 2 คำ 
คำแรก คือ  ความรักของพระคริสต์  ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า  agape (อากาเป้)  เป็นคำที่ใช้กับความรักของพระเจ้า   ซึ่งแสดงถึงความรักที่ปราศจากเงื่อนไข  ปราศจากเงื่อนไขในเรื่องเวลา เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่สูงส่ง และไม่มีสิ่งใดจะเทียบเทียมได้

คำที่สอง คือ คำว่า  ครอบครอง มาจากภาษากรีกว่า  sunechoo (ซูนเนโค)   หมายถึงการผูกพันยึดไว้ด้วยกัน  จึงให้ภาพว่า ความรักของพระคริสต์ที่มีพลังเหนือความตาย ดังนั้นคนที่รับความรักนี้จึงเป็นเสมือนคนที่ตายไปแล้ว คือ ตายต่อตนเอง ยอมจำนนและรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง แต่อยู่เพื่อพระคริสต์   
จะเห็นได้ว่าข่าวประเสริฐได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในคริสตจักรสมัยแรก
กิจการของอัครทูต 8:1   การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้น  เซาโลก็เห็นชอบด้วย  คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม  และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย

ดังนั้นความรักจึงเป็นแรงขับเคลื่อนในการทำสิ่งต่างๆ
2.พลังความรักเหนือเปลวเพลิง(ข้อ6-7)


6…และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิงคือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้  หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ 
  
ในพระคัมภีร์ตอนนี้ กษัตริย์ซาโลมอนได้เปลี่ยนการเปรียบออกไปเป็นอย่างอื่นบ้าง คือ อย่างแรก เปลวเพลิง แห่งความรักนั้นรุนแรงเหมือนประกายไฟ
คำว่า “ไฟรัก” คนทั่วไปจะมีมุมมองความคิดในแง่ของไฟของตัณหาราคะ ดังละครหลังข่าว เรื่องแรงเงา แรงหึง ใครอย่ามายุ่งกับท่านผอ.(ผัวอั๊ว) แต่คำว่า ความรักเป็นเหมือนไฟในพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ มีความหมายในทางบวกคือ

1) ในความรักนั้นมีความร้อนแรงอยู่เสมอ  
    2) เป็นความรักที่เสมอต้นเสมอปลาย  
    3) ในความรักนั้นมีความบริสุทธิ์  

สุภาษิต 27:21 เบ้ามีไว้สำหรับเงิน  เตาถลุงมีไว้สำหรับทองคำคำสรรเสริญของคนจะพิสูจน์คน

คำว่าในที่นี้เป็นไฟชำระ(Refining fire) คือไฟแห่งความรักในทางบริสุทธิ์ใจ  ไม่ใช่ไฟราคะ เป็นความรักที่ตอบสนองความต้องการทางตัณหาราคะ  
เลวีนิติ 6:12   ให้รักษาไฟที่บนแท่นให้ลุกอยู่  อย่าให้ดับเลยทีเดียว  ให้ปุโรหิตใส่ฟืนทุกเช้าและให้เรียงเครื่องเผาบูชาให้เป็นระเบียบไว้บนแท่น  และเผาไขมันของเครื่องศานติบูชาบนนั้น

คำว่า ประกายไฟ ตามความหมายในภาษาเดิมคือ ดุจเพลิงของพระเป็นเจ้า
ความรักจึงเป็นไฟที่มาเผาผลาญชีวิตของเรา ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลง และเป็นพลังขับเคลื่อนในการรับใช้
โคโลสี 1:29   เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ  เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่

แต่หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงไฟแห่งความรัก และการขับเคลื่อนด้วยไฟของพระวิญญาณจึงทำให้การรับใช้เป็นรูปแบบ แม้จะรับใช้หนักโดยการเสียสละแต่ขาดความรักสิ่งนั้นจะไร้ความหมาย และวันหนึ่งจะหมดไฟในที่สุด

1โครินธ์ 13:3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย  แต่ไม่มีความรัก  จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่

คำว่า “หมดไฟ” จึงใช้กับ คนที่หมดใจในความรัก   ขอให้รักพระเจ้าอย่างหมดทั้งสิ้นหัวใจและความรักของพระองค์จะขับเคลื่อนการรับใช้

อย่างที่สอง เป็นการขยายความว่า ทำไมความรักจึงดำรงคงอยู่ตลอดไป น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดไหม้เสียได้ หรือแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้จมน้ำตายได้ ความรักที่แท้จริงนั้นไม่มีอุปสรรคปัญหาใดมาทำลายได้  

ความรักของพระเจ้าจึงเป็นพลังในเชิงสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นพลังแห่งการทำลายล้าง
วันแห่งความรัก วันวาเลนไทน์ จึงกลายเป็น “วันเสียความบริสุทธิ์แห่งชาติ”
ดังนั้นขอหนุนใจให้หนุ่มสาวในคริสตจักรของเรา ถือรักษาชีวีตที่บริสุทธ์เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเรา เพราะความรักที่แท้จริงในวันวาเลนไทน์คือความรักของพระเจ้า ที่มอบให้กับเราทุกคน

ประวัติของวันวาเลนไทน์

วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้

กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ     วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วยหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วม ในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม

ถึงกระนั้นก็ตาม " วาเลนไทน์ " ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย
ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า - From Your Valentine
เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นเอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอัลมันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม
นี่คือความรักที่มีอานุภาพในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน ความรักของพระองค์ทำให้คนตาบอดมองเห็น คนยากจนกลับเป็นมั่งมี โดยพระคุณของพระองค์


บิล จอห์นสัน (Bill Johnson) ศบ.คริสตจักรเบธเอล (Bethel Church) ใน USA ผู้เขียนหนังสือ “เมื่อสวรรค์บุกรุกโลก  ได้กล่าวว่า  “บางคนอาจจะให้ได้โดยไม่มีความรัก แต่เป็นไปไม่ได้ถ้ารักและจะไม่ให้   เมื่อมีความรักจะให้ออกไปโดยไม่เก็บเอาไว้
มีคนอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทแรกเมื่อพระเจ้าเล้าใจก็จะให้ออกไป และอีกประเภทคือเขาจะให้ออกไปจนกว่าพระเจ้าจะเล้าใจให้หยุด”
พระคัมภีร์สอนให้เราแบ่งการถวายของเราเป็น 3 ส่วน คือ สิบลด การไปถวายในเทศกาลต่างๆ และการให้แก่ผู้ยากไร้ ผู้ขัดสน(ฉธบ.15:9 -15)
ความรักต้องมีการแสดงออกด้วยการให้ออกไป สามีภรรยาไม่เพียงแค่มีความรักให้กันและกันเท่านั้นต้องส่งผ่านความรักออกไปสู่คนภายนอกครอบครัวด้วย

3.พลังความรักเหนือสิ่งของที่มีคุณค่าใดๆ(ข้อ7)


7…แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น  คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง แม้คนใดจะเอาทรัพย์สินในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น เขาจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง

นี่เป็นข้อคิดสุดท้ายของกษัตริย์ซาโลมอนในทัศนะของความรักในพระธรรมตอนนี้
แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่า และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นทางที่ดีที่สุดนั่นคือความรัก (1คร.12:31-13:1-13)
   การจัดเตรียมของพระเจ้าที่เรามองเห็น สอนให้เราวางใจพระองค์ในพระประสงค์ที่เรามองไม่เห็น เราจึงสามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณีของชีวิต


ริชาร์ด ซี ฮาเวอร์สัน (Richard C. Halverson) เป็นอดีตนักเทศนาในวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา กล่าวไว้ว่า  "ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้พระเจ้ารักเรามากกว่านี้ได้ และไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้พระเจ้ารักน้อยกว่านี้  ความรักของพระองค์ ไม่มีเงื่อนไข,เที่ยงธรรม,ไม่มีเงื่อนเวลา,นิรันดร์และสมบูรณ์แบบ"

 “There is nothing you can to do make God love you more!--  There is nothing you can do to make God love you less! His love is Unconditional, Impartial, Everlasting, Infinite, Perfect!
ฉะนั้นความรักของพระเจ้า นั้นเรียบง่าย เข้าถึงความเข้าใจของทุกแต่ทรงพลังเสมอในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนทั้งหลาย
มีคำกล่าวไว้ว่า พระเยซู เป็นชื่อที่เรียบง่ายซึ่งเต็มไปด้วยพลังและความหมายอย่างมาก  แต่ในคืนหนึ่งนานมาแล้ว พระองค์ทรงเป็นเพียงทารกตัวเล็กๆที่ห่อหุ้มด้วยผ้าอ้อม... ดูดนมด้วยความหิว เหมือนเด็กทารกเกิดใหม่ทั่วไป   พระองค์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และต้องพึ่งผู้อื่น นางมารีย์เป็นความหวังของพระองค์ที่จะทำให้พระองค์ดำรงชีวิตอยู่ เป็นผู้ที่คอยเลี้ยงดูพระองค์..  พระเจ้าทรงได้วางใจมอบของขวัญอันประเมินค่ามิได้ไว้ในมือของแม่ซึ่งเป็นเพียงหญิงสามัญชน   เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบคือเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างมาก ดังนั้นพระองค์จึงทรงประทานพระเยซูคริสต์   พระองค์ทรงสละพระบุตรของพระองค์และวางไว้ในอ้อมแขนอันเปราะบางของมนุษย์ผู้เป็นแม่"

ขอพระเจ้าอวยพระพรสำหรับทุกครอบครัวที่นำหลักการของพระวจนะไปใช้ในชีวิต ให้รับความรักของพระองค์เข้ามาเป็นพลังที่ขับเคลื่อนในครอบครัวและส่งผ่านความรักของพระเจ้าออกไป

29 มกราคม 2556

Called As Warriors!
God's Holy Spirit is stirring His people! The King of kings is awakening warriors to take their place, to join the victorious, joyful band of Believers known as the overcomers, those who stand strong for King Jesus and carry His glory and love throughout the earth (1 John 5:4)!
As followers of this glorious King, each one of us is called and commissioned by the Spirit of God to become mighty warriors of God.

What is a warrior? One who has experienced many battles and has defeated every enemy. One who succeeds without fail! The warrior, however, is not a common soldier. Warriors demonstrate nobility and honor, bravery and fearlessness, and, above all, radical devotion to their Leader. Warriors will die for their king!
You may well be asking, "Me? A mighty warrior?" Yes, you! Does this calling sound impossible? It is! Is this beyond your strength and ability? Absolutely!
Christ, Our Warrior Within
Our identity as warriors of God is only possible because we, in ourselves, are now dead! We have been crucified with Christ. We no longer live: our lives have been bought by His Blood at Calvary. Christ now lives as God's Warrior in and through us!
"I am crucified with Christ: nevertheless I live; yet not I, but Christ liveth in me: and the life which I now live in the flesh I live by the faith of the Son of God, who loved me, and gave Himself for me." Galatians 2:20
During these perilous, dark days, we can be fearless champions because Christ, living within and through us, has already "overcome the world" (see also Joshua 1:7). We don't have to overcome; Christ already has. He is the mighty Lion of Judah! He is the King of kings! Remember His promise: "Greater is He that is in you, than he that is in the world" (1 John 4:4). The apostle Paul reminds us that we are NOW more than conquerors in and through Christ Jesus (Romans 8:37).
Believing and acting on this precious truth Christ the King within us will empower us to stand boldly before all, fearless in the face of any difficult circumstance and confident in the Lord's presence – no matter what personal loss, family disappointment, sickness or poverty threatens our lives, the lives of our loved ones, or the lives of those who cross our path. We are called to carry His Kingdom of love everywhere we go, defeating His enemies every step of the way!
Warriors Believe the Word
How exactly do we allow Christ the King to fight our daily battles? It's very simple! As His warriors, we simply choose not to look at "the things which are seen" but to fix our heart and mind on the greater, unseen reality of the Lord Jesus Christ, the Word of God and the Spirit of God living and reigning within us. Through Christ our King we are unstoppable and invincible. He promises that no weapon formed against us will work (Isaiah 54:17): no sickness, no depression, no confusion, no fear, and no lack!
If all of this is indeed true, you may be wondering, then why is it that most Believers don't feel victorious warriors? The reason is very clear: it is a mistake to walk by our own thoughts, emotions and perceptions of "reality." If we pay attention to this natural realm, we will fight the enemy in our flesh and soul, not by God's Spirit and Word and thus lose every battle. We must walk by faith standing on His Word and living in His Spirit and expect the Lord to "make good" on His promises. Fix your eyes on Jesus, call on His Name, stand on His Word, and every battle will be won!
Warriors Deny Themselves
This shift from living through our soul (our own will, carnal mind and natural emotions) to living by His Spirit and Word is the necessary path and true cost of discipleship: each one of us must die to ourselves and live for Christ. We must choose to yield to His Spirit and Word (renew our mind), deny ourselves and declare His truth over ourselves and our circumstances: "Let the weak say, 'I am strong'" (Joel 3:10). In the Psalms, we hear mighty words of victory:
"Through You we will push down our enemies. Through Your name we will trample those who rise up against us." Psalm 44:5
Our call is not to give ourselves over to fear, doubt and unbelief, but to His righteousness, peace and joy within us. We are called to be upright in all we do, rejoicing always, and be bold as a lion (Proverbs 28:1). Of course this is the call of God's grace. We cannot change ourselves, but we must have confidence in the grace and power of Christ working within and through us. He is the One who will transform us from carnal Christians who live by the flesh, who give credence to their carnal minds and unsanctified emotions, to warriors who "live and move and have our being" in Christ as dread champions of God's unconditional, matchless love and warriors for His Truth, who stand without compromise. As for me and my house we will serve the LORD (Joshua 24:15)!
May this New Year of 2013 be a year overflowing with God's magnificent favor and amazing grace upon you and your family (Psalm 84:11)! Amen! Arise, mighty warriors!
Bobby Conner
Eagles View Ministries

Email: manager@bobbyconner.org
Bobby Conner: This "Gentle Giant" is uniquely anointed with refreshing humor and razor-sharp prophetic accuracy which has been documented around the world. Bobby's dynamic capacity to release outstanding demonstrations of the miraculous – healings, signs and wonders – reveals the very heart of the Father toward us! Surviving a dramatic abortion attempt by his mother, being rescued again by the hand of God from drug dealing and suicide, the story of Bobby Conner is a display of a man who now walks in his God-ordained destiny to set others free! Highly esteemed as an internationally acclaimed conference speaker, Bobby has ministered effectively to over 45 foreign countries as well as here in the States for many years.

ถ้อยคำสำหรับปีใหม่ : การทรงเรียกบรรดานักรบทั้งหลาย

ถ้อยคำสำหรับปีใหม่ : การทรงเรียกบรรดานักรบทั้งหลาย
คำเผยพระวจนะจาก บ้อบบี้ คอนเนอร์
8 มกราคม 2013
ถึง บรรดาผู้ที่ถูกเรียกออกมาให้เป็นนักรบทั้งหลาย!

พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กำลังกระตุ้นเตือนประชากรของพระองค์! กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายกำลังปลุกบรรดานักรบทั้งสิ้นให้ตื่นขึ้นมารับตำแหน่งของพวกเขา เพื่อที่จะเข้าร่วมในชัยชนะ เป็นกองเกียรติยศของบรรดาผู้เชื่อที่ชื่นชมยินดี และเป็นรู้จักกันในนาม “ผู้พิชิต” คือเป็นบรรดาผู้ที่ยืนหยัดอยู่อย่างเข้มแข็งเพื่อพระเยซูองค์จอมกษัตรา และเป็นผู้ที่แบกพระสิริของพระองค์ อีกทั้งความรักของพระองค์ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก (1 ยอห์น 5:4 “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละ เป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก”)
ในฐานะที่เป็นเหล่าผู้ติดตามของกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ พวกเราแต่ละคนก็ได้ถูกเรียก และได้รับมอบหมายจากพระวิญญาณของพระเจ้า ให้กลายเป็นบรรดานักรบผู้เกรียงไกรของพระเจ้าแล้ว นักรบหมายถึงอะไร? ก็คือผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนในสมรภูมิรบมากมาย และได้ปราบศัตรูทุกๆ ตัวจนราบคาบ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จและไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง! แต่นักรบก็ไม่ได้เป็นแค่ทหารธรรมดาๆ คนหนึ่ง ด้วยว่าบรรดานักรบทั้งหลายต่างก็แสดงความสูงศักดิ์ และเกียรติยศ ความหาญกล้าและไร้ซึ่งความกลัว เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาทุ่มเทอย่างบ้าคลั่ง เพื่อผู้นำของพวกเขา บรรดานักรบทั้งหลายนั้นยอมตายเพื่อกษัตริย์ของพวกเขาได้!
พระคริสต์ นักรบผู้อยู่ภายในเราคุณอาจจะถามตัวเองว่า “ฉันเนี่ยนะ?” “นักรบผู้เกรียงไกรอะนะ?” ใช่ คุณนั่นแหละ! การทรงเรียกนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้หรือ?ถูกแล้วมันเป็นไปไม่ได้! สิ่งนี้มันเกินกำลังและความสามารถของคุณใช่ไหม? แน่นอนมันเกินอยู่แล้ว!

ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา ในฐานะบรรดานักรบทั้งหลายของพระเจ้านั้น เกิดขึ้นได้จริงก็เป็นเพราะภายในตัวของพวกเรานั้น พวกเราได้ตายไปแล้วในเวลานี้! พวกเราทุกคนถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว พวกเราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ชีวิตของพวกเรานั้นได้ถูกซื้อเอาไว้แล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ที่บนเนินเขากะโหลกนั้น พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ตอนนี้ในฐานะนักรบของพระเจ้าภายในตัวของพวกเราและโดยผ่านตัวพวกเรา!
"ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20)

ในวันที่มืดมนและมีภยันตรายเช่นนี้ พวกเราสามารถเป็นผู้มีชัยที่ไร้ซึ่งความกลัวได้เพราะพระคริสต์ ผู้ทรงมีชีวิตอยู่ภายในตัวพวกเรา และผ่านตัวของพวกเรานั้น ได้ทรง “ชนะโลกนี้แล้ว” (โยชูวา 1:7) พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องเอาชนะให้ได้ ก็เพราะว่า พระคริสต์ได้ทรงมีชัยชนะเรียบร้อยแล้ว พระองค์เป็นสิงห์ที่เกรียงไกรแห่งเผ่ายูดาห์! พระองค์เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย! จงระลึกถึงพระสัญญาที่ว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก” 1 ยอห์น 4:4
อัครทูตเปาโล ได้ทำให้พวกเราระลึกได้ว่า เวลานี้ พวกเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตทั้งหลายในและโดยพระเยซูคริสต์ “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก” (โรม 8:37)
การเชื่อ และลงมือทำตามความจริงอันประเสริฐที่ว่า พระคริสต์องค์จอมกษัตราทรงอยู่ภายในพวกเรานั้นก็จะทำให้พวกเรามีกำลังขึ้น เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ด้วยความกล้าหาญเผชิญหน้าได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง เผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ที่ยากลำบากด้วยการไร้ซึ่งความกลัว และมีความมั่นใจในพระพักตร์ขององค์เจ้าชีวิต ไม่ว่าเราได้สูญเสียสิ่งใดที่เป็นของของเรา ทั้งความผิดหวังในครอบครัว ความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือความยากจนที่ได้ข่มขู่ชีวิตของพวกเรา ชีวิตของบรรดาคนที่เรารัก หรือแม้แต่ชีวิตของบรรดาคนที่ทำให้เราโกรธก็ตาม พวกเราได้ถูกเรียกมา เพื่อที่จะแบกอาณาจักรแห่งความรักของพระองค์ไปทุกที่ที่เราไป และเอาชนะบรรดาศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ได้ในทุกๆ ก้าวที่พวกเราย่างไปในหนทางนั้นด้วย!

บรรดานักรบทั้งหลายเชื่อในพระวาทะ
แล้วพวกเรา จะอนุญาตให้พระคริสต์องค์จอมกษัตราต่อสู้กับสงครามในแต่ละวันของพวกเราอย่างแท้จริงได้อย่างไร? ง่ายมาก! ในฐานะที่เป็นบรรดานักรบทั้งหลายของพระองค์ พวกเราเพียงแค่เลือกที่จะไม่มองดูที่ “สิ่งต่างๆ ที่ตามองเห็น” แต่ให้หัวใจของพวกเรา ความคิดของพวกเรานั้น เกาะติดอยู่กับความเป็นจริงที่มองไม่เห็นแต่ใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งใด ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระวาทะของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้ามีชีวิตอยู่ และครอบครองอยู่ภายในตัวของพวกเรา โดยทางพระคริสต์องค์จอมกษัตรา พวกเราจึงเป็นผู้ที่ไม่มีใครสามารถยับยั้งพวกเราได้ และไม่มีใครหน้าไหนเอาชนะพวกเราได้ พระองค์สัญญาว่า อาวุธทุกชนิดที่ทำขึ้นเพื่อต่อสู้พวกเราจะไม่ชนะ
“ไม่มีอาวุธใดที่ทำขึ้นเพื่อต่อสู้เจ้าจะประสบผลสำเร็จ ทุกคนที่ลุกขึ้นกล่าวหาเจ้าในการพิจารณาคดีก็จะถูกปรับโทษ นี่เป็นส่วนมรดกของบรรดาผู้รับใช้พระยาห์เวห์ และเขาจะชนะคดี เพราะเรา พระเจ้าตรัส” (อิสยาห์ 54:17)

ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความตึงเครียด ไม่มีความสับสนวุ่นวาย ไม่มีความกลัว และไม่มีความขาดแคลน!
ถ้าทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นความจริง พวกคุณอาจจะสงสัยอยู่ว่า แล้วทำไมบรรดาผู้เชื่อส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นบรรดานักรบผู้มีชัยเลยล่ะ? เหตุผลนั้นก็ชัดเจนยิ่งนักซึ่งก็คือ การพลาดที่พวกเราไปดำเนินชีวิตด้วยความคิดของพวกเราเอง อารมณ์ของพวกเราเอง และการไม่เข้าใจถึง “ความเป็นจริง” นี้ ถ้าพวกเราสนใจแต่อาณาจักรฝ่ายธรรมชาตินี้ พวกเราก็จะต่อสู้กับศัตรูในเนื้อหนังของพวกเราและในวิญญาณของเรา ไม่ใช่โดยพระวิญญาณของพระเจ้า และพระวาทะของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงพ่ายแพ้ในทุกสนามรบ พวกเราจำต้องดำเนินไปในความเชื่อ ยืนอยู่บนพระวจนะของพระองค์ และมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณของพระองค์ และคาดหวังที่องค์เจ้าชีวิตจะ “ทำให้สำเร็จ” ตามที่พระองค์ได้สัญญาเอาไว้ จงให้ดวงตาทั้งคู่ของคุณจับจ้องอยู่ที่พระเยซูเถิด จงร้องออกพระนามของพระองค์ จงยืนอยู่บนพระคำของพระองค์ แล้วคุณก็จะมีชัยชนะเสมอในทุกๆ สมรภูมิรบ!

บรรดานักรบล้วนแต่ปฏิเสธตนเอง
การเคลื่อนและการเปลี่ยนแปลงนี้จากการมีชีวิตอยู่โดยผ่านจิตใจของพวกเรา (คือ ความตั้งใจของพวกเราเอง ความคิดที่เป็นเนื้อหนัง และอารมณ์ต่างๆ ฝ่ายธรรมชาตินั้น) มาสู่การมีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณและพระคำของพระองค์นั้น เป็นหนทางที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด และเป็นการจ่ายราคาที่แท้จริงของการเป็นสาวก นั่นก็คือ พวกเราแต่ละคนต้องตายต่อตัวของพวกเราเอง แล้วมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ พวกเราจำต้องเลือกที่จะยอมต่อพระวิญญาณ และพระคำของพระองค์ (นี่คือ การมารับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเพื่ออุปนิสัยของพวกเราจะเปลี่ยนใหม่) ปฏิเสธตัวของพวกเราเอง และประกาศิตความจริงของพระองค์เหนือตัวของพวกเรา และเหนือสถานกาณ์ต่างๆ ในชีวิตของพวกเราว่า “ให้คนอ่อนแอพูดว่า “ฉันเป็นนักรบ” จงตีผาลไถนาของเจ้าให้เป็นดาบ และตีขอลิดของเจ้าให้เป็นทวน ให้คนอ่อนแอพูดว่า “ฉันเป็นนักรบ” (โยเอล 3:10) ในสดุดี พวกเราได้ยินถ้อยคำแห่งชัยชนะอันเกรียงไกรที่ว่า
“ข้าพระองค์ทั้งหลาย ดันศัตรูออกไปโดยพระองค์ พวกข้าพระองค์เหยียบบรรดาผู้ที่ต่อสู้ข้าพระองค์ลงโดยพระนามของพระองค์” (สดุดี 44:5)

การทรงเรียกของพวกเรานั้นไม่ได้เป็นการยอมมอบตัวของพวกเราเองให้กับความกลัว ความสงสัย และความไม่เชื่อ แต่เป็นการยอมมอบตัวของพวกเราเองให้กับความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นบานที่อยู่ภายในพวกเราแล้วต่างหาก พวกเราถูกเรียกมา เพื่อที่จะซื่อตรงในทุกสิ่งที่พวกเราทำ ชื่นชมยินดีทุกเวลา และกล้าหาญอย่างสิงโต “คนอธรรมหนีเมื่อไม่มีใครไล่ตาม แต่คนชอบธรรมกล้าหาญอย่างสิงห์หนุ่ม” (สุภาษิต 28:1)

แน่นอนที่นี่เป็นการทรงเรียกแห่งพระคุณของพระเจ้า พวกเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวของพวกเราเองได้ แต่พวกเราจำต้องมีความมั่นใจในพระคุณ และในฤทธิ์เดชของพระคริสต์กำลังทำงานอยู่ภายใน และโดยผ่านตัวของพวกเรา พระองค์ผู้เดียวที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเราจากการเป็นคริสเตียนฝ่ายเนื้อหนังผู้มีชีวิตอยู่โดยเนื้อหนัง คือ ผู้ที่เชื่อว่า ความคิดฝ่ายเนื้อหนัง และอารมณ์ต่างๆ ที่ยังไม่ได้รับการทรงชำระนั้นว่าเป็นความจริง ไปสู่การเป็นบรรดานักรบผู้ที่ “มีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่” ในพระคริสต์ ในฐานะบรรดาผู้มีชัยที่น่ากลัวของความรักที่ไม่มีใครเหมือนและไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า และเป็นบรรดานักรบเพื่อความจริงของพระองค์ ผู้ที่ยืนหยัดอยู่โดยไม่ยอมอ่อนข้อหรือรอมชอม สำหรับข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าเราจะรับใช้องค์เจ้าชีวิต “แต่ถ้าการรับใช้พระยาห์เวห์ดูเป็นเรื่องย่ำแย่สำหรับพวกท่าน วันนี้ พวกท่านจะต้องตัดสินใจว่าพวกท่านต้องการรับใช้พระเจ้าองค์ใด จะรับใช้พระเจ้าทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของพวกท่านได้รับใช้เมื่ออยู่เหนือบริเวณแม่น้ำ หรือพระเจ้าทั้งหลายของคนอาโมไรต์ซึ่งพวกท่านอาศัยอยู่ในประเทศของพวกเขา ส่วนสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเอง เราจะรับใช้พระยาห์เวห์!” (โยชูวา24:15)

ขอให้ ปีใหม่ 2013 นี้ เป็นปีที่ล้นไหลไปด้วยความโปรดปรานของพระเจ้า และพระคุณอันน่าอัศจรรย์ใจของพระองค์ ลงมาเหนือพวกคุณ และครอบครัวของพวกคุณ “เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเป็นดวงตะวัน และเป็นโล่ พระยาห์เวห์ประทานความโปรดปรานและเกียรติ พระองค์มิได้ทรงหวงสิ่งดีอันใดไว้ จากบรรดาผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์!” (สดุดี 84:11) เอเมน!
ลุกขึ้นเถิด บรรดานักรบผู้เกรียงไกรทั้งหลาย!
Bobby Conner
Eagles View Ministries
Email: manager@bobbyconner.org


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.4windsprayer.com/5773/views.php?catid=3&id=687&alias=calling-all-warriors