19 มีนาคม 2557

“สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์”#2 "สนิทกับพระวจนะ"

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความเรื่อง  “สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์”ซึ่งเป็นตอนที่ 1 คือ "สนุกกับพระคำ" สำหรับครั้งนี้จะเป็นตอนที่ 2 นั่นคือ  "สนิทกับพระวจนะ" เป็นการสนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยวโดยใช้เวลาสนิทสนมกับพระวจนะที่สำแดงผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า
จะเห็นได้ว่า เมื่อเราอ่านสนุกเราก็จะสนิทสนมกับพระวจนะ  พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสนทนากับเรา แต่เมื่อเราทำบาปทำใฟ้เราห่างไกลจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด จากคนรู้ใจก็เลยกลายเป็นแค่คนที่รู้จัก มาทักทายบ้างเป็นบางครั้ง
หากเราไม่สนิทสนมกับพระวจนะในการอ่านพระคัมภีร์ เราจะยิ่งห่างจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จาก"สนิทสนม"จะกลายเป็น"สนิมสะสม" ทำให้เกิดความบาปเข้ามาครอบงำในชีวิตเป็นดั่งสนิมที่ทำลายชีวิตของเรา
การสนิทสนมมาจากการวางใจ(trust) เราต้องเข้ามาอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อวางใจในพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงพระชนม์ การเข้าเฝ้าพระเจ้าเราได้รับพระคุณเป็นของขวัญ(gift)ทุกคนเข้าเฝ้าได้ แต่คนที่มาเข้าเฝ้าได้รับรางวัล (reward) ของความเชื่อวางใจ การเข้าเฝ้าพระเจ้าจึงเป็นประโยชน์สำหรับเรา

ฮีบรู 11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์

ความสนิทสนม(Intimacy) เป็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่ประทานพระวิญญาณฯเพื่อช่วยมนุษย์ ทำให้เรารูัจักพระองค์ได้ในความสัมพันธ์ที่เข้าใจได้ทางใจ(heart)ไม่ใช่ความรู้เข้าถึงที่สมอง(Head)
ดั่งที่อัครทูตเปาโลหนุนใจคริสเตียนชาวโครินธ์ รวมถึงเราด้วยว่า ให้เข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยพระคุณของพระคริสต์ เข้าถึงความรักพระเจ้าผ่านทางพระบิดา และเข้าใจใกล้ชิดสนิทสนมในความสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์

2โครินธ์ 13:14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสตเจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
 
การเฝ้าเดี่ยว(Quiet time) เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้เข้าไปนิ่งเงียบเพื่อใช้เวลาในการอธิษฐานอ่านพระวจนะ
คำว่า Quiet คือการเงียบคือการเงียบเสียงของเราเพื่อฟังเสียงของพระเจ้า ไม่ใช่เอาแต่พร่ำบ่นอธิษฐานขอต่อพระเจ้า และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ เวลาที่ดีที่สุด

คำว่า รัก ไม่ใช่แค่สะกดด้วย Love แต่ต้องสะกดด้วย Time คือการให้เวลา ที่มากพอสมควรและเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เวลาที่ดึกมากแล้วเราอ่อนเพลีย จากการ "เข้าเงียบ" อธิษฐานเข้าหาพระเจ้า กลายเป็น"เข้างีบ" หลับไป เพื่อแช่ตัวในการนมัสการหรือ โซคกิ้ง (Soaking) กลายเป็นนอนนิ่ง เผลอหลับไป เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเฝ้าเดี่ยวน่าจะเป็นยามเช้าอาการสดใส แบบที่พระเยซูคริสต์ใช้เวลาอธิษฐานแสวงหาพระบิดา

มาระโก1.35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐานที่นั่น

นิยามคำว่า "การเฝ้าเดี่ยว"  คริสเตียนต้องทำความเข้าใจดังนี้
การเฝ้าเดี่ยวคือการเข้ามาหาพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในชีวิตประจำวันไม่ใช่ส่วนรวม แบบนั้นเรียกว่า "เฝ้าหมู่(คณะ)" ไม่ใช่เฝ้าเดี่ยว ดังนั้นการเฝ้าเดี่ยวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณของชีวิตคริสเตียน
การเฝ้าเดี่ยวประกอบด้วย
1)
การอธิษฐาน

2)
การนมัสการ
3)
การอ่านพระคัมภีร์และเชื่อฟังพระคัมภีร์

 ความสำคัญของการเฝ้าเดี่ยว
การเฝ้าเดี่ยวมีความสำคัญมากต่อชีวิตคริสเตียนเพราะเป็นช่วงเวลาที่คริสเตียนผู้นั้นได้พบพระเจ้าเป็นการส่วนตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสเตียนต้องสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวทุกวัน

เอเฟซัส 6.18-19 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่างจงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่างจงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วยเพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้

พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อสามัคคีธรรมกับพระองค์
ตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่สวนเอเดน(ปฐก.2)แต่เมื่อมนุษย์ได้กระทำบาปต่อพระเจ้าทำให้สัมพันธภาพที่สนิทสนมยิ่งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้สูญหายไป เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทรงเสด็จมาสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเราบนไม้กางเขน นำการยกโทษบาปแก่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ทำให้เกิดการนำกลับคืนดีระหว่างมนุษย์และพระเจ้าอีกครั้ง

การเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในแต่ละวันจะช่วยให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณจิตของผู้นั้นเจริญเติบโตขึ้นในพระเจ้า

ร่างกายของเราต้องการอาหารฉันใด ชีวิตฝ่ายวิญญาณเราต้องการอาหารฉันนั้น พระวจนะพระเจ้าคืออาหารฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

มัทธิว 4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

ถ้าเราขาดการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราก็จะอ่อนแอ การเฝ้าเดี่ยวเป็นการเข้าไปรับกำลัง ความชื่นชมยินดี รับคำแนะนำตักเตือน ช่วยให้ชีวิตของเราถูกเปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระเจ้าทุกวัน ๆ 
ถ้าเราละเลย หรือละทิ้งการเฝ้าเดี่ยว ก็ส่งผลเสียต่อชีวิตของเราคือเราจะขาดการถูกสร้างชีวิตจากภายใน เรากำลังปฏิเสธสิทธิพิเศษที่จะมีสัมพันธ์สนิทสนมกับพระเจ้า เราจะขาดประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดช และการฟื้นฟูใหม่ในใจของเรา เราจะขาดพระพรที่พระเจ้าทำการใหญ่ยิ่งผ่านทางชีวิตของเรา เราจะกลายเป็นคริสเตียนที่อ่อนแอ ขาดสารอาหารในฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถทราบน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตได้ เพราะพระองค์สำแดงน้ำพระทัยของพระองค์ผ่านทางพระวจนะของพระองค์

การอ่านพระคัมภีร์ในภาพส่วนตัวหรือการเฝ้าเดี่ยว มีรูปแบบทั่วไป ดังนี้

อธิฐานขอพระวิญญาณฯ เสด็จลงมาประทับเหนือเรา
 
ทุกครั้งก่อนเปิดพระคัมภีร์ออกมาอ่าน ให้อธิฐานขอให้พระวิญญาณฯ เสด็จลง
ประทับเหนือเรา เพื่อเราจะได้มีสติปัญญา ความฉลาด ความรู้ ความเข้าใจใน
วัตถุประสงค์ของพระเป็นเจ้าที่จะนำพระวาจานั้นไปใช้อย่างถูกต้อง
ตามพระประสงค์ของพระองค์ 

 ยอห์น 15:26 แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว  พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา

    การอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยว ต้องอ่านอย่างช้าๆ ไม่ใช่อ่านอย่างหนังสือธรรมดา ไม่ใช่รีบๆอ่านเพื่อให้จบ แต่ควรจะค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ เป็นการภาวนาใคร่ครวญ
  (สดด.1:2-3 เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน…)

   เพื่อรับการสำแดงจากพระเจ้า เมื่อเราติดสนิทกับพระวจนะจะเป็นเหมือนดังต้นไม้ที่ปลูกริมธารน้ำ  ทำให้เกิดผลอย่างมาก

แนวทางภาคปฏิบัติ ควรจัดเวลาที่เหมาะสม ใช้เวลากับพระเจ้าในที่สงบและอ่านพระวจนะเพื่อรับการสำแดงส่วนตัว อาจจะมีสมุดบันทึกเพื่อจดสิ่งที่พระเจ้าตรัสเพื่อนำมาอธิษฐานใคร่ครวญต่อไป

    วิธีการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยวในภาคปฏิบัติ เราอาจจะเลือกข้อพระธรรมมาทีละบท(chapter) หรือ ทีละย่อหน้า(paragraph) ควรอ่านแบบต่อเนื่องเพื่อเป็นการศึกษาพระคัมภีร์ไปด้วย เพราะทำให้เราเห็นถึงบริบทภาพรวมทั้งหมดในบทต่างๆ เราอ่านใคร่ครวญอย่างน้อย 3 รอบ

     อ่านรอบแรก ให้อ่านอย่างเดียว แต่ให้อ่านช้าๆ อ่านไปคิดไป และทำความเข้าใจในพระวาจาแต่ละประโยคให้เข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อเราจะได้ทราบว่า พระเจ้าตรัสอะไรกับเราและพระองค์มีพระประสงค์ให้เราทำอะไร ไม่ใช่อ่านผ่านไปเลยๆ หรืออ่านเพียงเพื่อให้จบเท่านั้น

     อ่านรอบที่สอง ให้อ่านอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่คราวนี้ให้เตรียมดินสอหรือปากกาเรืองแสง(Hi-light)  เมื่ออ่านพบพระวจนะตอนใดที่ประทับใจและคิดว่าจะนำมาใช้กับชีวิตของเราได้ก็ขีดเส้นใต้   ในบทที่อ่าน อาจจะมีข้อความประทับใจเพียง 1 ประโยค หรือหลายประโยค หรือหลายตอนก็ให้ขีดเส้นใต้ทุกประโยคที่สนใจ หรือ ประทับใจเอาไว้

อ่านรอบที่สาม การอ่านรอบที่สามไม่อาจหมดทั้งบทหรือทั้งตอน เช่นรอบ
แรกหรือรอบที่สอง แต่ให้อ่านเฉพาะประโยคหรือถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ไว้เท่า
นั้น แต่ให้อ่านซ้ำๆ หลายครั้ง เพื่อให้ข้อความนั้นถูกจดจำไว้ได้ในสมอง
และให้นำหลักการที่ได้รับออกมา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ทุกครั้งก่อนจะเลิกอ่านพระคัมภีร์ให้อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ทรงประทานพระพรให้เราได้อ่านพระวจนะของพระองค์ และขอให้พระองค์ได้ให้พระวิญญาณฯที่ทำให้เราได้ทราบถึงข้อพระวจนะของพระองค์อย่างลึกซึ้งและถูกต้อง เพื่อว่าเราจะได้นำพระวจนะไปใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์
   

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำวันจะสร้างนิสัยของเราเราควรจะทำการอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน  และมีการวางแผนในการอ่านพระคัมภีร์ เพื่อให้จบครบทั้งเล่มภายใน  1 ปี
นอกจากการอ่านพระคัมภีร์แบบเฝ้าเดี่ยว ก็ยังมีการอ่านพระคัมภีร์แบบศึกษาส่วนตัว ยังมีเครื่องมือที่ช่วยในการศึกษาค้นคว้า เช่น โปรแกรมศึกษาพระคัมภีร์,หนังสืออธิบายพระคัมภีร์แต่ละเล่ม,หนังสือศัพท์สัมพันธ์ เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อทำให้เราเข้าใจในเรื่องของภาษา วัฒนธรรม บริบทของพระคัมภีร์  รวมถึงภูมิหลังทางประวัติของพระธรรมแต่ละเล่ม เพื่อช่วยให้เราจะศึกษาพระคัมภีร์ได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อเราจะสะสมพระดำรัสของพระเจ้าและเราจะไม่ดำเนินอยู่ในความบาป

สดุดี 119:11 ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์

 เราจะมาติดตามกันในบทความครั้งหน้านะครับ  ขอพระเจ้าอวยพระพร ขอให้สนิทสนมกับพระวจนะของพระเจ้านะครับ

11 มีนาคม 2557

“สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์” #1 สนุกกับพระคำ

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน  เมื่อเราย้อนนึกกลับไปในสมัยที่เราตัดสินใจเชื่อวางใจพระเยซูคริสต์ใหม่ๆ เรามีใจสนใจในการศึกษาพระคัมภีร์ อยากที่จะอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน  แต่เวลาผ่านไป เรากลับเพิกเฉยไม่สนใจ  บางคนเอาพระคัมภีร์ไว้บนหัวนอน เพื่อจะอ่านพระคัมภีร์ก่อนนอนเพื่อจะได้หลับ แหม! เห็นพระวจนะของพระเจ้าเป็น "ยานอนหลับ" ไปได้ 

วันนี้ผมหนุนใจว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นดั่ง "ยาอายุวัฒนะ" หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราให้เกิดความชื่นชมยินดีมีชีวิตชีวา พระวจนะของพระเจ้าเป็นดั่งน้ำผึ้งที่หวานทำให้ฉ่ำชื่นใจ ดั่งพระธรรมสดุดีที่ได้กล่าวไว้
สดุดี 119:103 พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์

ในความเป็นจริงพระวจนะเป็นดั่งยาชูกำลัง ยิ่งกว่า M100 เพราะชูกำลังใจให้หายเหนื่อยเป็นสุข ไม่ทำลายล้างเหมือนระเบิด M.79 พระวจนะเป็นดั่งวิตามินบำรุงสมอง และเป็นวัคซีนป้องกันบาป

สาเหตุที่เราเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยใจเมื่ออ่านพระวจนะ อาจจะเป็นเพราะเราไม่ค่อยรู้สึกว่ามันสนุก ไม่เหมือนเวลาเราดูละครตอนหลังข่าว บางคนติดละครไม่ดูไม่ได้ เช่นเรื่องสามีตีตรา แต่ผมว่าพระวิญญาณฯประทับตรา เราน่าจะต้องสนิทกว่าติดละครนะครับ

บทความครั้งนี้ ผมให้ชื่อว่า “สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์ ผมขอแบ่งเป็นตอนต่างๆ เพื่อสะดวกในการติดตามนะครับ มี 3 ตอน  3 ส.นะครับ  นั่นคือ สนุกกับพระคำ,สนิทกับพระวจนะและสะสมพระดำรัส

แบ่งปันข้อคิดนิดหนึ่งนะครับ คำว่าพระวจนะหมายถึงพระคำของพระเจ้า แต่บางคนชอบพูดรวมกันกลายเป็นพระวจนะคำของพระเจ้า ซึ่งใช้ไม่ถูกนะครับ เพราะคำว่า "วจนะ" แปลว่า "คำ" อยู่แล้ว จะให้ความหมายว่า "พระคำคำ"ฟังแล้วมันจะงงๆ  จะพูดว่าพระวจนะก็ได้หรือพระคำก็ดี แต่ไม่ใช่พระวจนะคำ
บทความที่ผมเขียน ผมขอแบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้นะครับ
ตอนแรก สนุกกับพระคำ เป็นการแบ่งปันเกี่ยวกับ ความสนุกในการศึกษาพระคำที่เป็นสัจจะวาทะ(Logos-โลกอส) และการนำไปใช้
ตอนที่ 2 สนิทกับพระวจนะ เป็นการฝึกฝนการเฝ้าเดี่ยวเพื่อเราจะสนิทสนมในพระวจนะฟังเสียงพระวจนะที่เป็นถ้อยคำมาถึงชีวิตเรียกว่า "Rhema
-เรม่า"
ตอนที่ 3 เป็นการสะสมพระดำรัส เป็นการศึกษาพระดำรัสที่สั่งสอนเราที่เป็นข้อคิดในชีวิตเพื่อเราจะสะสมไว้เพื่อห่างไกลจากบาป
สดุดี 119:11 ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์ 
คอยติดตามอ่านได้ในบทความนะครับ

เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์ เพื่อทำให้เรา “สนุกเพลิดเพลินกับการอ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน เราจะมีทำความเข้าใจดังต่อไปนี้

เมื่อเราเห็นว่าสิ่งใดทำให้เรา “สนุก” เราก็จะเข้าไป “สนิท” ชิดเชื้อใช้เวลากับสิ่งนั้นอย่างไม่รู้จักเบื่อ  เช่นเดียวกับเด็กเล็กๆ เมื่อได้ของเล่นใหม่ ก็จะเล่น(Play) และเรียนรู้(Learn)อย่างสนุกอย่างเพลิดเพลิน( Play+Learn = Plearn)  แต่พระคัมภีร์ไม่ใช่ “ของเล่น”แต่เป็น “ของจริง”  พระวจนะเป็นเครื่องพิสูจน์คน  คนจริงต้องพิสูจน์ใจด้วยความจริง

2ทิโมธี 2:15 จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง

พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของเราที่ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ  เราจึงต้องเอาใจใส่และเข้าไปใช้เวลาสนิทสนมกับการศึกษาพระคัมภีร์   

เราจะต้องตระหนักถึงความสำคัญในการอ่านพระคัมภีร์  เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้และเข้าใจพระคัมภีร์  ทั้งนี้เพื่อ...

1. เพื่อจะได้ทราบถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า

โรม 12:1-2
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย 
2อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

พระวจนะเป็นจดหมายที่เขียนบอกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้เราอ่านทำความเข้าใจ

2. เพื่อชีวิตจิตวิญญาณของเราจะเติบโตในทางพระเจ้า   
1 เปโตร 2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

พระวจนะของพระเจ้าเป็นดั่งน้ำนมที่ไม่มีวันหมดอายุ ช่วยบำรงเลี้ยงเราให้เติบโตตั้งแต่เมื่อเป็นผู้เชื่อใหม่จนเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ(คส.1:28-29)
 
3. เพื่อป้องกันจากศัตรูฝ่ายวิญญาณของเรา  
พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาหรบำรุงเลี้ยงเมื่อถึงช่วงเวลาเกิดการทดลองและเป็นอาวุธป้องกันการล่อลวงจากมารซานตาน เราจะเห็นได้จากัวอย่างในพระธรรมมัทธิวบทที่ 4  พระเยซูคริสต์ถูกมารมาผจญหลังจากที่พระองค์อดอาหารอธิษฐาน  40 วัน 40 คืน  พระองค์นำพระคัมภีร์มาใช้เป็นเกราะป้องกันพระองค์ให้พ้นจากการล่อลวงของมารร้าย พระองค์ทรงมีชัยชนะการทดลอง เมื่อเราใช้พระวจนะเราจะมีชัยชนะด้วยเช่นกัน

4. เพื่อเราจะใช้พระวจนะในการเผชิญปัญหา
เราจะได้รู้ว่าเราจะจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร อย่างถูกต้องและมีเป้าหมายโดยอาศัยพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นแนวทางการตัดสินใจที่ถูกต้องของเรา

สดุดี 119:105 พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์

หลายครั้งที่เราเผชิญปัญหาและเกิดความสับสนเหมือนคนที่ "จนตรอก"แต่พระวจนะจะช่วยเป็น"ทางออก"ในทุกปัญหา ทุก"ปัญหา"ที่เข้ามาพระวจนะจะนำทางไปสู่"ปัญญา"ในการแก้ไขปัญหา
เมื่อเราตระหนักถึงความสำคัญของพระคัมภีร์แล้ว เราจะมาเรียนรู้ในเรื่องของประโยชน์เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ ประโยชน์ของการอ่านพระคัมภีร์ มีดังนี้ครับ

(1) พระคัมภีร์ทำให้เราเกิดความสำนึกผิดเมื่อทำบาป



พระคัมภีร์จะช่วยให้เราได้เห็นความผิดหรือ บาปที่เราได้กระทำอย่างชัดเจน ทำให้เรามีความสำนึกที่ตัวในการทำบาปของเรา และมีความเป็นทุกข์ถึงบาปด้วยการขอกลับคืนดีกับพระเจ้า และด้วยการละทิ้งบาปนั้นที่จะไม่ทำต่อไปอีกในชีวิตของเรา  (สดด.119:11)

มีคำกล่าวว่า “หนังสือพระคัมภีร์เล่มนี้ทำให้เราห่างไกลจากความบาป  แต่เมื่อเราอยู่ในความบาปเราจะห่างไกลจากหนังสือเล่มนี้” 

เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์พระคำของอ่านใจเรา ทำให้เราได้รับการชันสูตรใจและรับการเปลี่ยนแปลงชีวิต
2ทิโมธี 3:16-17
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม 
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

(2) การศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้เรามีความหวัง
ความหวังเป็นของประทานอันอุดมสมบูรณ์มาจากพระเป็นเจ้า ซึ่งจะมีอยู่ท่ามกลางผู้มีความเชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์ก็คือ คำสอนของพระเจ้า ผู้ใดที่เชื่อและปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็จะพบกับความหวัง ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเป็นเจ้าที่ปรากฏอยู่ในพระวจนะของพระองค์

โรม 15:4 เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความเพียร และความชูใจด้วยพระคัมภีร์

เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นตัวอย่างบุคคลที่ถูกบันทึกไว้ ประสบการณ์ของเขาทำให้เราเข้าใจในการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า บุคคลในพระคัมภีร์ พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อและความหวังใจ แม้สิ่งที่เขาทำยังไม่เห็นผล แต่เขาส่งต่อความเชื่อทำให้เราได้อ่านชีวิตของเขาผ่านทางพระคัมภีร์ พวกเขามองไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ พวกเราในปัจจุบันอ่านพระคัมภีร์เรามองย้อนกลับไปด้วยใจที่ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับเขา และวันนี้เราและเขามีความหวังใจในแผนการของพระเจ้าที่บอกผ่านพระวจนะที่เรามีความเชื่อและความหวังใจร่วมกันว่าทุกถ้อยคำแห่งพระสัญญาจะเป็นจริงเสมอ  
(3)การศึกษาพระคัมภีร์ทำให้เกิดสันติสุข
ผู้ที่รู้และเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า จะมีความรู้สึกปิติยินดีและมั่นคงที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขามากขึ้น

สดุดี 119:165 บุคคลเหล่านั้นที่รักพระธรรมของพระองค์ มีสันติภาพใหญ่ยิ่ง ไม่มีสิ่งใดกระทำให้เขาสะดุดได้

(4) การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าจะทำให้เราสามารถจัดการกับปัญหาต่างที่เกิดกับชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี 

พระคัมภีร์ได้บอกถึงแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านั้นไว้ให้เราแล้วทุกประการ หากเราได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า และมีความเชื่อและไว้วางใจในพระองค์อย่างแท้จริงแล้วปัญหาต่างๆก็จะได้รับการช่วยเหลือ
(กจ.20:23,2 ทธ.3:16-17)
        

ดังนั้นเมื่อเราเห็นถึงความสำคัญและเข้าใจถึงประโยชน์จากการอ่านพระคัมภีร์  เราจะอ่านได้อย่างสนุกและเพลิดเพลินในการอ่านมากขึ้น  เอเมนไหมครับ
บทความครั้งหน้าเราจะมาเรียนรู้เรื่อง  “วิธีการอ่านพระคัมภีร์ให้สนุกเพลิดเพลิน” เชื่อว่าเราจะติดสนิทกับพระวจนะของพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

04 มีนาคม 2557

เทศกาลปูริม ชัยชนะแห่งการไถ่ชีวิต

Chodesh Tov! สุขสันต์สำหรับการเริ่มต้นใหม่ในเดือนอาดาร์ เบท หรืออาดาร์ที่ 2(Adar II) ครับเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน

เดือนอาดาร์ (Adar - אֲדָר‎) เป็นเดือนที่ 12 ตามปฎิทินยิวแบบราชการ เดือนที่ตามปฏิทินยิวแบบศาสนา(Ecclesiastical Calendar) เดือนที่ 6 ตามปฎิทินยิวแบบราชการ(Civil Calendar)

ในปีพิเศษ ปีอธิกมาส (leap year) จะมีเดือนอาดาร์ 2 เดือน เดือนนี้เป็นเดือนของเผ่านัฟทาลีเป็นเผ่าแห่งนักประพันธ์และเป็นเผ่าสุดท้ายที่เคลื่อนในการจัดทัพของชนเผ่าอิสราเอล เชื่อว่าในเดือนนี้เราจะเห็นถึงการเจิมแห่งพระสิริของพระเจ้า ระมัดระวังหลังให้กับเราตามพระธรรมอิสยาห์ 58

อิสยาห์ 58:8 แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าอย่างอรุณและแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระเจ้าจะระวังหลังเจ้า

(สามารถอ่าน บทความเรื่อง "หมายสำคัญบนท้องฟ้าและคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนอาดาร์ 5774")

ในช่วงวันที่15-16 มี.ค.2014 ประเทศอิสราเอลมีการเฉลิมฉลองเทศกาล "ปูริม"(Purim) ต้นกำเนิดของเทศกาลปูริมอยู่ในพระธรรมเอสเธอร์ เป็นการฉลองที่น่าตื่นเต้นระลึกถึงสมัยพระราชาอาหสุเอรัสแห่งเปอร์เชียร์ที่เอสเธอร์กับโมรเดคัยลูกพี่ลุกน้องของเธอช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ปุริม มาจากภาษาฮีบรู แปลว่า สลาก) เป็นการอ้างอิงถึงการทอดสลากของฮามาน เพื่อหาวันที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวผู้ใหญ่และเด็ก มักจะแต่งตัวสวยงาม และมีการละเล่นพื้นเมืองต่างๆที่เรียกกันว่า "ปูริมสปีล"และมีคุกกี้ชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า "ฮามานตาชิน" (อสธ.3:7;9:24-26)

เอสเธอร์ 3:7 ในเดือนแรกซึ่งเป็นเดือนนิสานปีที่สิบสองแห่งรัชกาลกษัตริย์อาหสุเอรัส เขาพากันทอดเปอร์ คือสลาก ต่อหน้าฮามานเพื่อหาวัน และเขาทอดเปอร์เพื่อหาเดือน ได้วันที่สิบสามและเดือนที่สิบสอง คือเป็นเดือนอาดาร์

เอสเธอร์ 9:24-26
24 เพราะฮามานบุตรฮัมเมดาธาคนอากัก ศัตรูของพวกยิวทั้งปวง ได้ปองร้ายต่อพวกยิวเพื่อทำลายเขาได้ทอดเปอร์ คือสลาก เพื่อล้างผลาญและทำลายเขา...
26 เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกวันเหล่านี้ว่า ปูริม ตามคำเปอร์ ดังนั้น เพราะทุกอย่างที่เขียนไว้ในจดหมายนี้ และเพราะสิ่งที่พวกยิวต้องเผชิญในเรื่องนี้และสิ่งที่อุบัติแก่เขา


สิ่งที่น่าสนใจจากการศึกษาประวัติศาสตร์ของยิว การช่วยกู้ครั้งนี้ พระยาห์เวห์ทรงใช้ราชินีเอสเธอร์หรือชื่อเดิมคือ  "ฮาดาชาห์" (Hadassah) ชื่อของเธอเป็นภาษาฮีบรู หมายถึง  "ต้นเมอเทิล"(myrtle”)  ดอกของเมอเทิลมีความหมายว่า "ความรัก" เป็นสัญลักษณ์ของการแต่งงานของชาวฮีบรู ที่ใช้ตกแต่งในงานแต่งงาน 
 (อ่านได้จากบทความ คำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนเชสวาน(Cheshvan) 5774)

 คำว่า “Chadash” ซึ่งหมายถึง เพื่อต่ออายุ สร้าง และซ่อมแซม รื้อฟื้น

เป็นการรื้อฟื้นพันธสัญญา (Renewed Covenant)หรือการต่ออายุสัญญาที่กำลังจะหมด ในภาษาฮีบรูเรียกว่า “Briyth Chadashah,” ซึ่งหมายความว่า ชาวยิวถูกเริ่มใหม่ หรืออาจจะหมายถึง พันธสัญญา คือการเข้าสุหนัต( การขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย แสดงถึงการชำระล้างจิตวิญญาณให้สะอาด


เป็นภาพเงาเล็งถึงพันธสัญญาใหม่โดยการหลั่งพระโลหิตของพระคริสต์ที่ไม้กางเขนนำมาสู่แผนการความรอดมาสู่ผู้ที่เชื่อในพันธสัญญานี้

พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์อยู่ในอุโมงค์ 3 วันและพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 หมายสำคัญนี้เป็ยชัยชนะของผู้เชื่อเช่นเดียวกับคนยิว เมื่อเอสเธอร์ได้อดอาหารอธิษฐานเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน และชัยชนะเป็นของชาวยิว

ในวันที่ 3 หลังจากการตึงกางเขนของพระองค์ในช่วงเวลาของเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงฟื้นขึ้นมมจากความตาย เป็นหมายสำคัญซึ่งเป็น"ผลแรก หรือ First Fruits" ของการเป็นขึ้นมาจากความหมาย

1โครินธ์ 15:20 แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น

พระเยซูคริสต์ทรงทำหน้าที่เป็นมหาปุโรหิตในพระวิหาร นำ"ผลแรก" มาทำพิธีถวายโบกแด่พระเจ้า เป็นการเก็บเกี่ยวของวิญญาณของบรรดาผู้คนในวันที่ 3  นำเสนอต่อพระบิดาในสวรรค์

เลวีนิติ 23:17 จงนำขนมปังสองก้อนทำด้วยแป้งสองในสิบเอฟาห์จากที่อาศัยของเจ้ามาทำพิธียื่นถวาย ให้ทำด้วยยอดแป้งใส่เชื้อปิ้งเป็นผลรุ่นแรกถวายแด่พระเจ้า

ในพระธรรมเอสเธอร์ กษัตริย์อาหสุเอรัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาใหม่ (Renewed Decree) เพื่อประกาศความรอดให้กับคนยิว
ในทำนองเดียวกัน ทางเดียวกัน พระยาห์เวห์ นำเสนอ "พันธสัญญาใหม่" ทำให้เราทั้งหลายรอดจากการทำร้ายของมารซาตานและเป็นชัยชนะผ่านทางพระเยซูคริสต์เป็นดั่งแกะที่ถูกนำมาไปฆ่าในเทศกาลปัสกา

พระเยซูคริสต์ทรงรับมอบสิทธิอำนาจนี้และประกาศพันธสัญญาใหม่ผ่านทางพิธีมหาสนิท นั่นคือการรับประทานขนมปังไร้เชื่อในเทศกาลปัสกา


1โครินธ์ 11:25 เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า "ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงเรา"

2โครินธ์ 3:6 ผู้ทรงโปรดประทานให้เราสามารถที่จะเป็นพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่ อันมิใช่ประมวลกฎแต่เป็นมาโดยพระวิญญาณ ด้วยว่าประมวลกฎนั้นประหารให้ตาย แต่ส่วนพระวิญญาณประทานชีวิต



 ในเดือนอาดาร์ที่ 2 นี้ เราได้ฉลองชัยชนะในเทศกาลปูริม (Purim)ซึ่งมีความหมายด้วยมุมหนึ่งว่า "การบดขยี้"  คำป่าวประกาศ(declare)ในการอธิษฐานตามพระราชกฤษฎีกา(decree) จะมีชัยชนะเหนือศัตรู

ผมเชื่อว่า ในเทศกาลปัสกาที่จะถึงในปีนี้ ในช่วงวันที 14-22 เม.ย.ปีนี้จะเป็นปัสกาแห่งการประกาศชัยชนะอย่างเด็ดขาดร่วมกับพระคริสต์