เมื่อวันที่ 9 เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันฉลองครบรอบ 25 ปีแห่งการทำลายกำแพงเบอร์ลิน
และเป็นการกลับมารวมประเทศของเยอรมัน
ไม่มีกำแพงกั้นระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกอีกต่อไป
ประวัติ กำแพงเบอร์ลิน โดยสังเขป มีดังนี้ (ข้อมูลจาก Wikipedia)
กำแพงเบอร์ลินเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็น
มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีตะวันตก กับเยอรมนีตะวันออกที่โอบอยู่โดยรอบ
มีความยาวทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.
2504(ค.ศ. 1961) และปิดกั้นพรมแดนนี้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนถูกทลายในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.
2532 (ในปี ค.ศ. 1989 ผมจำได้ดีเพราะเป็นปีล่าสุดที่ทีมสโมสรลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ
โฮ นานจังเลย)
ในเยอรมนีตะวันออก
กำแพงเบอร์ลิน คือ แนวเขตแดนที่มั่นคง และสัญลักษณ์ของการต่อต้านทุนนิยม
แต่สำหรับโลกเสรีแล้ว มันคือ
สัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างระบบทุนนิยมของยุโรปตะวันตก
ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา กับระบบคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก
ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต หรือที่เรียกกันว่า สงครามเย็น นั่นเอง กำแพงเบอร์ลิน
ทำให้กรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก กลายเป็นเสมือน หน้าต่างสู่เสรีภาพ
นับตั้งแต่การสร้างกำแพงเบอร์ลิน
การข้ามผ่านแดนจากเยอรมนีตะวันออก ไปยังเยอรมนีตะวันตก กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
หากมีการฝ่าฝืนและถูกพบเห็น มีโทษสถานเดียว คือ การยิงทิ้ง ณ บริเวณกำแพงนั่นเอง
ตลอดระยะเวลา 28 ปี
คาดว่ามีผู้เสียชีวิตที่กำแพงเบอร์ลินขณะหลบหนีระหว่าง 137 ถึง 206 คน
การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
ในปี ค.ศ. 1989 ตรงกับยุคที่ นายมีฮาอิล กอร์บาชอฟ เป็นประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต
ได้มีการทดลองการปฏิรูปการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ในเยอรมนีตะวันออก ได้มีการชุมนุมประท้วงใหญ่อย่างสงบขึ้นโดยเฉพาะในเมือง
โพสต์ดัม ไลพ์ซิจ และเดรสเดน เริ่มต้นในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1989 และดำเนินเรื่อยมา
เป็นเหตุให้รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกได้รับความกดดันเป็นอย่างมาก
กระทั่งได้มีการประกาศว่า
จะเปิดพรมแดนให้ชาวเยอรมันสามารถเดินทางผ่านแดนได้อย่างอิสระ
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ในวันดังกล่าวชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากได้มารวมตัวกัน
ณ กำแพงเบอร์ลิน เพื่อข้ามผ่านแดนไปยังเบอร์ลินตะวันตกครั้งแรกในรอบ 28 ปี จึงถือเอาวันดังกล่าว
เป็นวันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินมีบางแหล่งข้อมูลอ้างว่า ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 นาย Günter Schabowski รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการ (Minister of Propaganda) ของเยอรมนีตะวันออกได้แถลงข่าว
(ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเขาเอง)
ว่าทางการจะอนุญาตให้ชาวเบอร์ลินตะวันออก ผ่านเข้าออกเขตแดนได้อย่างเสรีอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง ผู้คนนับหมื่นที่ได้ทราบข่าวก็ได้หลั่งไหลไปยังด่านต่าง ๆ ของกำแพง.
หลังจากความโกลาหลอยู่ช่วงหนึ่ง
เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ จากทางการ
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ต้องยอมปล่อยให้ฝูงชนผ่านเขตแดนไปอย่างไม่มีทางเลือก
ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก
บรรยากาศในเช้ามืดวันนั้นเหมือนงานเฉลิมฉลองตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 กำแพงเบอร์ลินได้ถูกทุบทำลายบางส่วนโดยชาวเยอรมัน
และชาวยุโรป แต่การทำลายกำแพงเบอร์ลินอย่างเป็นทางการ เริ่มเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533 แต่กระนั้นยังคงอนุรักษ์กำแพงบางช่วงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์
นอกจากนี้ ยังมีการประมูลจำหน่ายชิ้นส่วนกำแพงเบอร์ลิน
และได้มีการมอบชิ้นส่วนของกำแพงเบอร์ลินไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ และสถานที่สำคัญ ๆ
อีกหลายแห่ง อาทิ ด้านหน้าสภายุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม พิพิธภัณฑ์นิวเซียม
กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอมริกา พิพิธภัณฑ์จอห์น เอฟ เคนเนดี
และพิพิธภัณฑ์โรแนล เรแกน ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
นับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เป็นการสิ้นสุดสงครามเย็น
ทำให้เกิดความเข้มแข็งของประเทศเยอรมันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและกีฬา (เยอรมันเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก
2 สมัย ในปี 1990และในปี
2014) จะเห็นได้ว่าเมื่อกำแพงแห่งความเกลี่ยดพังทลายลง
ความสัมพันธภาพในความรักเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง
ในพระวจนะของพระเจ้าได้บันทึกไว้ถึง กำแพงแห่งความเกลียดชังระหว่างคนยิว(Jew)กับคนต่างชาติ(Gentile) ได้ถูกทำลายโดยทางพระเยซูคริสต์
และเราที่เป็นคนต่างชาติและเขาที่เป็นคนยิวได้เป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One new man)ในพระคริสต์
เอเฟซัส 2:12-18
12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์
ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล
และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง
และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์
ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล
ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป
เราเห็นได้ว่า พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงความเกลียดชังที่แบ่งแยกยิวออกจากคนต่างชาติ พระองค์ทรงสร้างสันติภาพขึ้นระหว่างคนทั้ง 2
กลุ่มเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุขเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในพระธรรมเอเฟซัส 2:15 อัครทูตเปาโลได้อธิบายคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสที่เป็นคนต่างชาติไว้ว่า พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงนี้ โดยการล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและระเบียบต่างๆ ประมาณ 613 ข้อ ด้วยพระกายของพระองค์
คำว่า “พระกายของพระองค์” ในที่นี้มุ่งหมายชี้ถึงพระกายของพระคริสต์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย
อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ในข้อ
12-13 ว่า "จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์
ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล
และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง
และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล
ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์"
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ได้เข้ามาแทนที่การที่จะต้องกระทำตามกฏธรรมบัญญัติ(ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ครบทั้งหมด) แล้วยกเลิกข้อบังคับและและระเบียบต่างๆ เหล่านั้น
แล้วกฏธรรมบัญญัติถูกล้มเลิกเพื่อเป็นการทำลายกำแพงแห่งความเกลียดชังแบ่งแยกคนยิวและคนต่างชาติลงได้อย่างไร?
อย่างที่รู้ว่า พวกยิวเชื่อว่าพวกตนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ด้วยการรักษาการดำเนินชีวิตตามกฏธรรมบัญญัติ กฏธรรมบัญญัติเป็นเครื่องชี้ถึงความเป็นชนชาติพิเศษของยิวและเป็นตัวยืนยันถึงความรอดของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น ในการข้องเกี่ยวกับคนต่างชาติ ยิวบางพวกยังมองว่า กฏธรรมบัญญัติคือตัวแบ่งแยกกีดกันพวกเขาจากคนต่างชาติ
โดยกฏธรรมบัญญัติที่ป้องกันไม่ให้ยิวไปเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติเพราะจะทำให้พวกเขาเป็นมลทิน กฏธรรมบัญญัติเป็นตัวทำให้เกิดการแบ่งแยกกีดกัน ทำให้พวกยิวไม่เต็มใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมของพวกโรมันซึ่งคนค่างชาติ รวมถึงการที่ต้องมีส่วนร่วมหรือรับรู้ถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องการการบูชาเทพเจ้าของพวกต่างชาติด้วย
พระเยซูคริสต์ได้ทรงเปิดช่องทางใหม่ที่ไปถึงความรอด เป็นวิถีทางใหม่สำหรับทุกผู้ทุกคนที่เข้ามีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปชั่ว ซึ่งก็รวมถึงคนยิวและคนต่างชาติทุกคน และทุกคนได้รับการช่วยกู้ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยพระคุณของพระเจ้าที่ให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ดังนั้น โดยทางกฏธรรมบัญญัติจึงไม่สามารถที่จะรับประกันว่าพวกยิวจะสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ และกำแพงแห่งการแบ่งแยกและเกลียดชังตามกฏธรรมบัญญัติของยิวไม่สมารถที่จะแบ่งแยกยิวออกจากพวกต่างชาติได้ เพราะทั้งยิวและต่างชาติต่างตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความบาปผิด
วันนี้พระเยซูจึงเป็นทางเชื่อมให้เรามาบรรจบกัน
เพื่อไปถึงพระบิดาในความสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ใช่ตามกฏธรรมบัญญัติ
ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
สรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิทธิพิเศษนี้ที่มีให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติแบบเราทั้งหลาย
เราจึงไม่สามารถอวดอ้างถึงความดีที่เราทำ เพราะเราไม่มีใครที่ "ดีเพียงพอ" แต่พระคุณของพระเจ้าที่ทรง"ดี"และ"มีอย่างพอเพียง"สำหรับเรา หากเราจะอวดก็อวดพระเจ้าเถิด
เอเฟซัส 2:8-9
8 เราทั้งหลายจึงรอดพ้นจากการประหารด้วยกฏธรรมบัญญัติแต่รับพระคุณโดยความเชื่อ ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ
และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้
เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
ในวันนี้เราจึงเป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One new man)ในพระคริสต์
ไม่มีกำแพงที่ขวางกันในความสัมพันธ์
แต่มีกำแพงซากของพระวิหารที่หลงเหลืออยู่เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา
ที่เราจะยืนอยู่ตรงช่องโหว่ในกำแพงเพื่อจะอธิษฐานเผื่ออิสราเอลร่วมกัน
เอเสเคียล 22:30
และเราแสวงหาคนหนึ่งในพวกเขาที่จะสร้างกำแพง
และยืนอยู่ตรงช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น เพื่อเราจะไม่ทำลายมันเสีย...
สดุดี 122:6-9
6 จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็ม
ว่า "ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ
7 ขอสันติภาพจงมีอยู่ภายในกำแพงของเธอ
และให้ความปลอดภัยอยู่ภายในวังของเธอ"
Shalu
Shalom yerushalayim שאלו שלום ירושלים
ขอสันติภาพจงมีแด่เยรูซาเล็ม