27 พฤศจิกายน 2557

Happy Thanksgiving Day! สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า

Happy Thanksgiving Day! สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า (วันพฤหัสบดีที่4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี)

ความเป็นมาของวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)

วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) เป็นวันฉลองการเก็บเกี่ยวที่เดิมเป็นการแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้าเมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว วันขอบคุณพระเจ้านี้เดิมมาจากเทศกาลที่เกี่ยวกับคริสต์ศาสนาแต่ในปัจจุบันวันขอบคุณพระเจ้าเป็นเพียงวันหยุดที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ฉลองกันในสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ในสหรัฐอเมริกา วันขอบคุณพระเจ้าจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ในขณะที่ในประเทศแคนาดาจะตรงกับวันจันทร์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม 
ประเพณีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากการอพยพของชาวยุโรปมาที่ทวีปอเมริกาเหนือ ถึงแม้ว่าประเพณีนี้เป็นประเพณีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ที่ฉลองกันโดยบุคคลในทวีปอเมริกาทั้งที่เป็นคริสต์ศาสนิกชนและอื่นๆ แต่เป็นการฉลองที่มีที่มาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือ ฉะนั้นเทศกาลนี้จึงไม่มีการฉลองกันในทวีปยุโรปหรือประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์อื่นๆ

ในวันขอบคุณพระเจ้านี้ชาวอเมริกันจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวและรับประทานอาหารมื้อใหญ่ด้วยกัน โดยอาหารที่นิยมรับประทานจนเป็นประเพณีคือไก่งวง และนอกจากนี้ในเมืองนิวยอร์กจะมีขบวนพาเหรดที่มีชื่อเสียงจัดโดยห้างสรรพสินค้า เมซีส์ ในชื่อ เมซีส์เดย์พาเหรด (Macy's Day Parade)

ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/ 

เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ดร.ชัค เพียร์ส(Chuck Pierce) กล่าวดังนี้ว่า 

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรให้ชีวิตของเราเต็มไปด้วยความสุขมากมายจากพระองค์ ขอพระองค์อวยพระพรเราด้วยพระพรทั้งหมดในสวรรค์  ให้เราระลึกถึงว่าที่นั่นมีชีวิตและชีวิตในสวรรค์เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ที่เราจะได้สัมผัส   

สดุดี 100 "จง​เข้า​ประตู​ของ​พระ​องค์​ด้วย​การ​โมทนา และ​เข้า​บริเวณ​พระ​นิเวศ​ของ​พระ​องค์​ด้วย​การ​สรรเสริญ จง​ถวาย​โมทนา​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​องค์ จง​ถวาย​สาธุการ​แด่​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์

ผมกำลังอธิษฐานเพื่อเราจะได้ยกมือสรรเสริญพระเจ้า(ยาดาห์- Yadah) และขอบพระคุณ(โทดาห์- todah) นั่นหมายถึง การยกมือของเราเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าและเทิดทูนพระองค์ในท่ามกลางของการเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าของเรา   ผมยังกำลังอธิษฐานที่เราจะปลดปล่อยเสียงร้องของความสุข   เสียงแตรแห่งการรบ (เทรัวห์-teru'ah) เป็นเสียงร้องที่เป็นเสียงแตร  มันเป็นเสียงร้องตะโกนด้วยชัยชนะ ผมได้อธิษฐานให้เรามีชัยชนะในทุกสิ่ง  ให้เราไว้วางใจพระเจ้า 

สดุดี 27: 6  " และ​บัดนี้​ศีรษะ​ของ​ข้าพเจ้า​จะ​เชิด​ขึ้น เหนือ​ศัตรู​ของ​ข้าพเจ้า​ที่​อยู่​รอบ​ข้าง และ​ข้าพเจ้า​จะ​ถวาย​เครื่อง​สัตว​บูชา​ใน​พลับพลา​ของ​พระ​องค์​ด้วย​การ​โห่​ร้อง ข้าพเจ้า​จะ​ร้อง​เพลง​และ​ถวาย​สดุดี​แด่​พระ​เจ้า"

ารให้ออกไปด้วยใจขอบคุณ คือ การขอบพระคุณพระเจ้า! (GIVING WITH THANKS IS THANKSGIVING!) 

และเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้านี้ ผมขอป่าวประกาศการอวยพรจากพระธรรมมาลาคี 3:10 
..จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่" 

ขอพระเจ้าเปิด "บัญชร"ท้องฟ้า เทพระพรใส่ "บัญชี" รายรับของทุกคนที่เชื่อ เอเมน!


20 พฤศจิกายน 2557

อิสราเอล เป็นดั่งปฏิทินการเผยพระวจนะของพระเจ้า (Israel: God's Prophetic Calendar)

(เรียบเรียงจากบทความเรื่อง Israel : God's Prophetic Calendar โดย เจมส์ กอลล์(James W. Goll)


อิสราเอล เป็นดั่งปฏิทินการเผยพระวจนะของพระเจ้า



ประเทศอิสราเอลตามที่เราทราบ   ในวันนี้มีอายุประมาณ 65 ปี ชนชาติยิวเป็นชนชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลก   คนเหล่านี้และลูกหลานของเขา ด้รับดินแดนกลับคืนมา  หลังจากการช่วงเวลาการเดินทางของอับราฮัมและได้รับดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า แต่หลังจากนั้นสิ่งที่หลายคนคิดว่าอิสราเอลเงียบหายไป 2,000 ปี ประเทศอิสราเอลได้บังเกิดใหม่อีกครั้ง  ซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาในสายตาของชาวโลก  
ปฐมกาล 17:4-8
4“นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย
5 ​ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัมเพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย
James W. Goll
6 ​เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า  
7 ​เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายต่อมาของเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้าให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายต่อมาของเจ้า  
8 ​เราจะให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวนี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นแก่เจ้าและแก่เชื้อสายต่อมาของเจ้า ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”   

สรุปภาพรวมประวัติศาสตร์โดยสังเขป (Brief Historic Overview)
เมื่อเรามองอดีตที่ผ่านมาอย่างถูกต้องเราก็จะสามารถมีมุมมองที่เหมาะสมในอนาคต  มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนยิวถูกข่มเหงและได้หนีกระจัดกระจายไปที่ต่างๆ ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของพวกเขาในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยฮิตเลอร์(Hitler's Holocaust)   แต่พวกเขากลับมาตั้งถิ่นฐานในเขตแดนอธิปไตยที่เก่าแก่ของพวกเขาได้?  หากสิ่งนี้ไม่ใช่การแทรกแซงของพระเจ้า
แม้ว่าคนอิสราเอลหลายคนในวันนี้  อาจจะไม่ได้มีความเชื่อคั้งเดิมทั้งหมด แต่ลองจิตนาการตามประวัติศาสตร์โดยสังเขปดังนี้ 

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1947 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติกำหนดให้นครรัฐยิวเกิดขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์  และในเวลาต่อมาได้กลายเป็นประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 

หลังจากนั้นเพียงแค่วันเดียว คือวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ในขณะอิสราเอลกำลังสร้างประเทศ  ปรากฏว่า 5 ชาติอาหรับ  ได้รวมตัวกันทำร้ายอิสราเอล ซึ่งเป็นเหมือนทารกแรกเกิด  ประเทศอียิปต์,ซีเรียจอร์แดน,เลบานอนและอิรัก ( 40 ล้านคนชาวอาหรับ และ 1.5 ล้านคนติดอาวุธ) โจมตีอิสราเอล เรียกว่าเป็นสงครามการประกาศเอกราช (War of Independence) สงครามยังคงมีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน อิสราเอลได้รับบาดเจ็บหนักในทุกด้าน  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจคือ ประเทศอิสราเอลซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชใหม่ไม่ถูกทำลาย  ตามถ้อยคำสัญญาในพระธรรม อิสยาห์ 54:17 


"อาวุธทุกชนิดที่ทำขึ้นเพื่อต่อสู้เจ้าจะไม่ชนะและเจ้าจะพิสูจน์ว่าลิ้น​ทุกลิ้นที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษานั้นชั่วร้ายนี่คือมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์และการให้ความยุติธรรมต่อพวกเขานั้นมาจากเรา”  พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
กำแพงตะวันตก (Western Wall) 

ในปี 1967 เกิดสงครามที่เรียกว่า สงคราม 6 วัน  (Six-Day War) ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดภัยพิบัติสำหรับอิสราเอล พระเมตตาของพระเจ้าทำให้อิสราเอลได้รับชัยชนะอีกครั้ง อิสราเอลสามารถยึดครองภูเขาซีนาย(Sinai), ฉนวนกาซ่า(Gaza Strip),ที่ราบ West Bank และที่ราบสูงโกลาน(Golan Heights) ในเวลาเพียง 6 วัน ความขัดแย้งนี้  เราได้มองเห็นภาพอันน่าทึ่งของพวกเขา โดยชาวยิวสามารถยึดครองกรุงเยรูซาเล็ม(Jerusalem) มาได้สำเร็จ และได้รื้อฟื้นพระวิหารที่ถูกทำลายขึ้นใหม่ ส่วนที่เหลือของพระวิหารนั้นเรียกว่า 
"กำแพงตะวันตก (Western Wall) หรือ กำแพงร้องไห้(Wailing Wall)" ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญสำหรับคนอิสราเอล 

และอีกครั้งในปี 1973 ในช่วงเทศกาลวันลบมลทินบาป(ํยม คิปปูร์-Yom Kippur) ช่วงเวลาแห่งการอดอาหาร สารภาพบาป กลับใจต่อพระเจ้า  พวกอาหรับได้กลับเข้ามาโจมตีอีกครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนอาวุธนิวเคลียร์จากสหภาพโซเวียต  อิสราเอลมาจุดที่ใกล้เคียงกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง แต่พวกเขาได้รับชัยชนะอย่างน่าประหลาดใจในวันบริสุทธิ์สูงสุดของพวกเขา  แม้ว่าอิสราเอลจะอยู่ในชัยภูมิที่เสียเปรียบพวกอาหรับ  ผมเชื่อว่านี่เป็นการแทรกแซงของพระเจ้า อิสราเอลได้รับแผ่นดินทั้งหมดคืนกลับมา นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระหัตถ์ของพระเจ้าที่ช่วยกู้พวกเขาผ่านหน่วยงานของมนุษย์ และได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มประเทศที่ดูถูกประเทศของชาวยิว

(เข้าไปอ่านบทความ ข้อคิดจาก "สงครามยมคิปปูร์" พระยาห์เวห์ สะบาโอท ผู้ประทานชัย

นี่คือบทเรียนที่เราได้รับ พระเจ้าทรงทำการอีกครั้งหนึ่ง!

ถ้อยคำการพยากรณ์ล่วงหน้า (Prophetic Foretelling)

ประวัติความเป็นมาของการปกป้องชนชาติของพระเจ้า  คือ อิสราเอล  ในปี 1948 ได้กลับมาเป็นประเทศอีกครั้งหนึ่ง คือสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง  ดังนั้นลองมาศึกษาพระคัมภีร์ที่กล่าวถ้อยคำการพยากรณ์ล่วงหน้า ถึงการกระจัดกระจายของชนชาติอิสราเอลและได้รับมารวมกันใหม่ 

ถ้อยคำการป่าวประกาศของเยเรมีย์ (Jeremiah's Declaration)

เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะเจ้าน้ำตา ได้มองเห็นผ่านเลนส์ของเวลาที่อิสราเอลจะกระจัดกระจาย และด้วยความสัตย์ซื่อในการรักษาพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงให้ปีกของพระองค์เหยียดออกเพื่อค์เป็นคอยป้องกันคนของพระองค์ ในช่วงที่เขากระจัดกระจาย และให้พวกเขากลับไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา


เยเรมีย์  31:10 “บรรดา​ประชาชาติ​เอ๋ย​จง​ฟัง​พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า และ​จง​ประกาศ​พระ​วจนะ​นั้น​ใน​แผ่นดิน​ชายทะเล​ที่​ห่าง​ออกไป จง​กล่าว​ว่า  ‘ท่าน​ที่​กระจาย​อิสราเอล​นั้น​จะ​รวบรวม​เขา และ​จะ​ดูแล​เขา​อย่าง​กับ​ผู้​เลี้ยง​แกะ​ดูแล​ฝูง​แกะ​ของ​เขา’

เราพบความจริง 3 ประการจากข้อความนี้จากเยเรมีย์ 

ประการแรก  พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้กระจัดกระจายคนอิสราเอลออกจากบ้านเกิดของเขาเอง 

ประการที่สอง  พระยาห์เวห์องค์เดียวกันที่กระจายคนอิสราเอลนั้นจะเป็นผู้นำพวกเขากลับสู่ดินแดนของเขาเอง

และประการที่สาม  พระยาห์เวห์จะไม่เพียงรวบรวมอิสราเอลให้และพระองค์ยังปกป้องพวกเขาในระหว่างที่พวกเขากระจัดกระจายไปจนกลับสู่ดินแดนพันธสัญญาอีกครั้ง 

ถ้อยแถลงการณ์ของโฮเชยา (Hosea's Pronouncement)


โฮเชยา 1:10 แต่​จำนวน​ประชาชน​อิสราเอล​จะ​มาก​มาย​เหมือน​ทราย​ใน​ทะเล ซึ่ง​จะ​ตวง​หรือ​นับ​ไม่​ถ้วน และ​ใน​สถานที่​ซึ่ง​ทรง​กล่าว​แก่​เขา​ว่า “เจ้า​ทั้ง​หลาย​ไม่ใช่​ประชากร​ของ​เรา” ​ก็​จะ​กล่าว​แก่​เขา​ว่า “เจ้า​เป็น​บุตร​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่

ถ้อยคำนี้เจาะจงไปที่สถานภาพของความเป็นอิสราเอลคนของพระเจ้า  ในช่วงเวลาที่พวกเขา "กบฏ"และ"ดำเนินชีวิตในบาป" (“เจ้า​ทั้ง​หลาย​ไม่ใช่​ประชากร​ของ​เรา”) ถ้อยคำแห่งการพิพากษาของพระเจ้ายังไม่จบเพียงเท่านั้น


พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะมี การรื้อฟื้นทางกายภาพ (physical restoration)  และการกลับสู่ถิ่นฐาน (relocation) และการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณ(spiritual rebirth or revival)  เป็นการฟื้นฟูที่จะเกิดขึ้นในหมู่คนที่อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า  เมื่อพวกเขาถูกส่งกลับไปยังดินแดนพันธสัญญาตามกำหนด    สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อที่น่ายำเกรงของพระบิดาของเรา!

การพยากรณ์ล่วงหน้าถึงการกลับคืนถิ่น 2 ครั้งของอิสราเอล (Two Regatherings Predicted)

กลับคืนถิ่นฐานของอิสราเอล  จำเป็นต้องถูกก่อร่างบนพระคุณและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า เราสามารถติดตามขั้นตอนในประวัติศาสตร์และได้จากหัวข้อ การพลัดถิ่น (Diaspora) ของชาวยิวในประวัติศาสตร์

การกลับคืนถิ่นครั้งแรกของอิสราเอล (The First Regathering)

ในความเข้าใจของผม จากข้อพระคัมภีร์ที่เป็นคำพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ชาวยิวจะต้องถูกกระจัดกระจาย2 ครั้งใหญ่ๆ ต้องพลัดถิ่นฐานจากที่ดินแดนของตัวเอง  หลังจากนั้นจะมีการกลับคืนถิ่น 2 ครั้งด้วยกัน

การกระจัดกระจายครั้งแรก อยู่ในช่วงของผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลและดาเนียล พวกเขาถูกเนรเทศไปที่ดินแดนแห่งบาบิโลน   ในเวลานั้นชาวยิวของอาณาจักรยูดาห์  ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย  พระวิหารถูกทำลาย  กรุงเยรูซาเล็ม ตกเป็นเมืองขึ้นของบาบิโลนภายใต้การปกครองของกษัตริย์เนบูคัสเนสสาร์ (Nebuchadnezzar) (ดนล.1:1-6)  ในช่วงเวลา 605 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นดาเนียลและพรรคพวกของเขา ได้เป็นใหญ่ในบาบิโลน พวกเขาได้กลับไปดำเนินการฟื้นฟูของดินแดนปี 538 ปีก่อนคริสตกาล (2 พงศาวดาร 36: 22-23; เอสรา 1:1-4) พระวิหารได้รับการรื้อฟื้นในช่วงปี 515 ก่อนคริสตกาล(เอสรา 6:15) หลังจากตกเป็นเชลยที่บาบิโลนประมาณ 70 ปี 

ดาเนี่ยล ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้า หนึ่งในคนอิสราเอลที่เป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขาอยู่ในดินแดนต่างชาติ ได้รับวัฒนธรรมต่างๆ และเหล่าบรรดาเทพเจ้าต่างๆ ในปีที่ 63 ที่พวกเขาถูกจองจำในบาบิโลน  ในขณะที่ดาเนียลอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า (ดนล.9: 2), ดาเนียลได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าตามคำเผยพระวจนะของเยเรมีย์

เยเรมีย์ 25:11-12
11 แผ่นดิน​นี้​ทั้งสิ้น​จะ​เป็น​ที่​เริศร้าง​และ​ทิ้ง​ร้าง และ​บรรดา​ประชาชาติ​เหล่า​นี้​จะ​ปรนนิบัติ​กษัตริย์​กรุง​บาบิโลน​อยู่​เจ็ด​สิบ​ปี
12 ​พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า เมื่อ​ครบ​เจ็ด​สิบ​ปี​แล้ว เรา​จะ​ลงโทษ​กษัตริย์​บาบิโลน​และ​ประชาชน​ชาติ​นั้น คือ​แผ่นดิน​ของ​ชาว​เคล​เดีย​เพราะ​บาป​ชั่ว​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย​กระทำ​ให้​แผ่นดิน​นั้น​ทิ้ง​ร้าง​อยู่​เป็น​นิตย์​

เยเรมีย์ 29:10  “เพราะ​พระ​เจ้า​ตรัส​ดังนี้​ว่า เมื่อ​เจ็ด​สิบ​ปีแห่ง​บาบิโลน​ครบ​แล้ว เรา​จะ​เยี่ยม​เยียน​เจ้า​และ​จะ​ให้​คำ​สัญญา​ของ​เรา​สำเร็จ​เพื่อ​เจ้า​และ​จะ​นำ​เจ้า​กลับมา​สู่​สถาน​ที่นี้​

ไม่เพียงแต่ดาเนียลเชื่อในถ้อยคำนั้น แต่ได้อธิษฐานป่าวประกาศว่า ถ้อยคำของเยเรมีย์ และในตอนท้ายของ 70 ปีของการเป็นเชลยที่บาบิโลน   พวกเขาได้การปล่อยตัวออกมาจากการเป็นทาส และพวกเขาได้กลับไปยังดินแดนของตัวเอง  ดาเนียล อธิษฐานขอต่อพระเจ้าเพื่อปกป้องถ้อยคำแห่งพระสัญญาของพระเจ้าให้เป็นจริง  (ดนล. 9: 3-19) ดาเนียลตอบสนองด้วยการสารภาพความผิดบาปของคนอิสราเอล เพื่อให้พระเจ้าทรงยกโทษ 

ดาเนี่ยล 9:19 ข้า​แต่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​ทรง​ฟัง ข้า​แต่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​ทรง​ให้​อภัย ข้า​แต่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​ทรง​ใส่​พระ​ทัย​และ​ทรง​กระทำ ขอ​อย่า​เนิ่น​ช้า​เลย​พระ​เจ้า​ค่ะ เพื่อ​เห็น​แก่​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์ ข้า​แต่​พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ เพราะ​ว่า​นคร​ของ​พระ​องค์ และ​ประชากร​ของ​พระ​องค์​ก็​มี​ชื่อ​ตาม​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์”

ถ้อยคำแห่งความจริงตามพระวจนะได้เกิดขึ้นจริงอย่างแม่นยำ ซึ่งผ่านทางการประกาศด้วยริมฝีปากของเยเรมีย์   และเราได้เห็นตัวอย่างว่าเมื่อคนของพระเจ้าคุกเข่าและอธิษฐานตามถ้อยคำการเผยพระวจนะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการอธิษฐาน และเกิดขึ้นเป็นจริง  ในตอนท้ายของปีที่ 70  คนอิสราเอลได้รับการปล่อยตัวจากการเป็นเชลย    สำเร็จตามคำพยากรณ์ถึงการกลับสู่ถิ่นฐานครั้งแรกของอิสราเอลมาสู่ดินแดนพันธสัญญา 

การกลับคืนถิ่นครั้งที่ 2 ของอิสราเอล (The Second Regathering)

สิ่งนี้ไม่ได้เป็นการกระจายตัวและการมากลับคืนถิ่นเท่านั้น ถ้อยคำจากอิสยาห์ คนยามของพระเจ้า (อิสยาห์ 11:11-12) ระบุว่าพระเจ้าจะตั้งพระหัตถ์ของพระองค์เป็นครั้งที่สอง เพื่อที่จะกู้คืนประชาชนที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับมา 

อิสยาห์ 11:11-12 
11 ​ใน​วัน​นั้น องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​ทรง​ยื่น​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​ออกไป​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง เพื่อ​จะ​ได้​ส่วน​ชน​ชาติ​ของ​พระ​องค์​ที่​เหลืออยู่​คืน​มา เป็น​คน​เหลือ​จาก​อัส​ซีเรีย จาก​อียิปต์ จากปัท​โรส จาก​เอธิโอเปีย จาก​เอ​ลาม จาก​ชิ​นาร์ จาก​ฮามัท และ​แผ่นดิน​ชายทะเล

 12 ​พระ​องค์​จะ​ทรง​ยก​เครื่องหมาย​นั้น​ขึ้น​ให้แก่​บรรดา​ประชาชาติ และ​จะ​ชุมนุม​อิสราเอล​ที่​พลัด​พราก และ​รวบรวม​ยูดาห์​ที่​กระจัด​กระจาย จาก​สี่​มุม​แห่ง​แผ่นดิน​โลก

กล่าวง่ายๆคือ   พระคัมภีร์อธิบายว่า จะมีการกระจายตัวในระดับภูมิภาคตาม และจะมีการกลับสู่ถิ่นฐานในครั้งที่สอง  
การกระจัดกระจายตัวที่ 2 เกิดขึ้นในประมาณปีค.ศ. 70 ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ์ติตัส(Titus) แห่งจักรวรรดิ์โรมัน พระวิหารของชาวยิวถูกทำลาย เกิดการข่มเหงและชาวยิวได้หนีกระจัดกระจายไป 4 มุมทั่วโลก  เป็นเวลาหลายร้อยหลายปีที่พวกเขาต้องหนีกระจัดกระจายไป  แต่หลังจากนั้นอีกประมาณ 1,900 ปีต่อมา คนอิสราเอลได้ถูกรวบรวมจากสี่มุมแห่งแผ่นดินโลกให้กลับคืนถิ่นอีกครั้ง!

อุทธรณ์สอนใจก่อนปิดท้าย(Closing Appeal)

ทูตสวรรค์นักรบ (Warrior angel) มายืนอยู่ที่ปลายเตียงของผม เมื่อปีที่ผ่านมา เหล่าทูตสวรรค์ทั้งหมดก็บอกว่า "ระวัง! ในการแจ้งเตือน! (Attention! Be on the Alert!) " เราพร้อมที่จะเป็นคนยามที่อยู่บนผนังกำแพงพร้อมจะแจ้งเตือนหรือไม่?

จากจุดนั้น ในวันนี้ผมจำเป็นต้องมองไปที่ตะวันออกกลาง(Middle east) เราจำเป็นต้องขอสติปัญญาในฝ่ายวิญญาณและรับการเปิดเผยของพระเจ้า อิสราเอลเป็นปฏิทินของโลก  พระทัยของพระเจ้าอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มและประชาชนตะวันออกกลางอยู่ในหัวใจของพระองค์ ขอให้เรามาเข้าร่วมกับผม ในฐานะของผู้ที่ช่วยทำให้เป้าประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ ผ่านฤทธิ์อำนาจของพระองค์ผ่านการอธิษฐานวิงวอน  


ขอเชิญเข้าร่วม เป็นยามเฝ้าอยู่ที่กำแพง และขออธิษฐานเผื่ออิสราเอล สำหรับเวลาเช่นนี้!

จงตื่นตัวตัวอยู่เสมอ!



เจมส์ กอลล์ (James W. Goll)

13 พฤศจิกายน 2557

วิธีการวางตำแหน่งตัวเราสู่การอัศจรรย์ (How To Position Yourself for Miracles)

Bill Johnson
วิธีการวางตำแหน่งตัวเราสู่การอัศจรรย์
(เรียบเรียงจากบทความเรื่อง "How To Position Yourself for Miracles" โดย บิล จอห์นสัน (Bill Johnson),Senior Pastor,Bethel Church, Redding, USA)

"เมื่อพระวิญญญาณบริสุทธิ์เตรียมเรา เราจะสามารถทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้"
บ่อยครั้งที่เราพบในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงกล่าวกับผู้รับใช้ของพระองค์ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับพวกเขา และบางครั้งพระเจ้าได้บอกถึงวิธีการของพระองค์ในการทำสิ่งต่างๆ โดย "พระวิญญาณทรงสวมทับเขา"  เราจะพบว่ามีการบันทึกเหตุการณ์ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการพบกับพระเจ้าแบบ "เผชิญหน้า"(Encounter) หลายครั้งด้วยกัน และเราจะพบความจริงว่า 
 "เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าบอกว่า พระองค์จะทรงอยู่กับใครสักคน  มันหมายความว่า ผู้นั้นจะได้รับมอบหมาย ให้ทำในสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้"   
พระเจ้าทรงประทานพระสัญญากับโมเสส  เมื่อท่านได้พบปะเผชิญหน้ากับพระองค์(อพย.3)และทรงมอบหมายงานให้เขานำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์และออกจากการควบคุมที่โหดร้ายของฟาโรห์ ไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา
เช่นเดียวกับโยชูวา พระองค์ทรงนำเขาไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา เมื่อโมเสสไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนแห่งพันธสัญญา(เนื่องจากโมเสสไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่อหน้าคนอิสราเอล ใน กดว.20) 
โยชูวาได้รับมอบหมายให้สานงานต่อคือการเข้าไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ต้องต่อสู้กับยักษ์และศัตรูที่น่าสะพึกกลัว
ในพระสัญญาเดียวกัน พระองค์ทรงให้กับกิเดนโอนให้เป็นช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลจากการรุกรานของคนมีเดียนที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร  
และอีกครั้งหนึ่งพระเจ้าทรงประทานพระสัญญานี้กับ 11 อัครสาวกเพื่อจะทำให้พระมหาบัญชา (The Great Commission)ของพระองค์สำเร็จ ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 28  พวกเขาได้รับมอบหมายให้ไปสั่งสอนและสร้างสาวกให้กับคนทุกชาติ  เมื่อพระสัญญาของพระเจ้าเทลงมาในพระธรรมกิจการฯ บทที่ 2 พวกเขาตัวสั่น นั้นเป็นการแทรกแซงของพระเจ้า
เมื่อใดที่มีการแทรกแซงของพระเจ้า คือ การเข้าสู่มิติที่เกินธรรมชาติ  เราจะถูกเตรียมเพื่อทำสิ่งที่อัศจรรย์
เมื่อพระเจ้าทรงสำแดงและอยู่ด้วยกับเรา  สิ่งที่เราคาดหวังจะเกิดขึ้น
มันเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เมื่อเราคิดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ท่ามกลางเรามาเพียงแค่ให้ความสะดวกสบายหรือมาเพื่อหนุนใจเราเพียงเท่านั้น
นอกจากนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ยังมาปรากฏเพื่อจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ต่อหน้าต่อตาเรา ! 
บางทีนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่อัครทูตเปาโล ต้องการให้เราเห็นเมื่อท่านอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อสำแดงให้เราเห็นถึงความหวังใจ ในการทรงเรียกของพระเจ้าที่มีต่อเรา 
เอเฟซัส 1:18-19  ​
18 ขอ​ให้​ตา​ใจ​ของ​พวก​ท่าน​สว่าง​ขึ้น เพื่อ​จะ​ได้​รู้​ว่า​พระ​องค์​ประทาน​ความ​หวัง​อะไร​แก่​ท่าน​ใน​การ​ทรง​เรียก​พวก​ท่าน​นั้น และ​รู้​ว่า​มรดก​ที่​มี​ศักดิ์ศรี​ของ​พระ​องค์​สำหรับ​พวก​ธรรมิก​ชน​นั้น​บริบูรณ์​เพียงไร   
19 ​และ​รู้​ว่า​ฤทธานุภาพ​ของ​พระ​องค์​ยิ่งใหญ่​มาก​มาย​เพียงไร​สำหรับ​เรา​ที่​เชื่อ​นั้น เป็น​ฤทธิ์​เดช​เดียว​กับ​การ​ทำ​กิจ​อัน​ทรง​อานุภาพ​และ​ทรง​พลัง​ของ​พระ​องค์

"เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย"
หนึ่งในข้อความจากพระวจนะของพระเจ้าที่มีผลกระทบมากในชีวิต คือ การทำตามแบบพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทำสิ่งต่างๆเพราะพระเจ้าทรงสถิตกับพระองค์
กิจการฯ  10:38 ​ คือ​เรื่อง​ที่ว่า​พระ​เจ้า​ทรง​เจิม​พระ​เยซู​ชาว​นาซาเร็ธ​ด้วย​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​และ​ด้วย​ฤทธานุภาพ​อย่างไร  และ​เรื่อง​ที่ว่า​พระ​เยซู​เสด็จ​ไป​ทำ​คุณประโยชน์​และ​รักษา​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​ถูก​มาร​เบียดเบียน​อย่างไร เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​สถิต​อยู่​กับ​พระ​องค์
ข้อความนี้ช่วยให้เราเห็นถึงบทสรุปของสิ่งที่ถูกเปิดเผยแล้วตลอดพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
พระเยซูทรงรักษาคนป่วยให้หายและปลดปล่อยคนให้เป็นไท  นอกจากนี้ยังพระองค์ยังสำแดงดงให้เห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บมาจากมารร้าย แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้แน่ใจว่า เราสามารถจะรักษาคนเจ็บป่วยและปลดปล่อยคนให้เป็นไทได้ " เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย" 
แม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์และไม่เคยหยุดในการเป็นพระเจ้า 
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้อัครทูตลูกา เขียนถ้อยคำวลีนี้ ว่า "เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​สถิต​อยู่​กับ​พระ​องค์"  
ข้อความนี้แสดงให้เราเห็นว่ามันเป็นเหมือนกันว่า "พระเยซูทรงเป็นฮีโร่" เหมือนกับคนในพันธสัญญาเดิม  เมื่อพระเจ้าทรงอยู่กับใครสักคน  เขาจะถูกคาดหวังและได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เป็นไปไม่ได้ 
สิ่งช่วยเราสามารถเชื่อมต่อกับการมอบหมายพระเจ้า   โดยให้ตระหนักถึงการรับมอบหมายและการเข้าไปค้นพบการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า เพื่อเราจะสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  นี่คือ  การวางตำแหน่งของเราสู่การอัศจรรย์! 
บ่อยครั้งที่ บิล จอห์นสัน เห็นเข็มนาฬิกามาที่ตำแหน่ง 10:38 (10 โมง 38 นาที) 
เขาจะหยุดและหันใจตรงไปที่พระเจ้า และเขาจะขอบคุณสำหรับการเปิดเผยสำแดงทางมิติฝ่ายธรรมชาติและขอบคุณสำหรับพระสัญญาของพระเจ้าที่พบในชีวิตของพระเยซู  
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในขณะที่เขียนบทความนี้ เขามองที่นาฬิกาบนโทรศัพท์ของเขาและมันเป็น เวลา 10:38  ขอบคุณสำหรับพระที่จะจุดชนวนหัวใจที่พระเจ้าแทรกแซงผ่าน  โดยทางพระนามและพระสิริของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้  พระองค์เป็นจริงเสมอสำหรับเรา!
พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มต้นการรับใช้ด้วยคำสารภาพที่หนักแน่นนี้ว่า

"พระ​วิญญาณ​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​สถิต​กับ​ข้าพเจ้า เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​เจิม​ตั้ง​ข้าพเจ้า​ไว้ ..." ลูกา 4:18 
คำสารภาพนี้เป็นการเริ่มต้นการรับใช้ที่เปิดเผยการสำแดงในธรรมชาติชีวิตการรับใช้ของพระองค์ คือ
การมา​ประกาศ​อิสรภาพ​แก่​พวก​เชลย ประกาศ​แก่​คน​ตา​บอด​ว่า​จะ​ได้​เห็น​อีก ปล่อย​ผู้​ถูก​บีบ​บังคับ​ให้​เป็น​อิสระ   และ "เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​สถิต​อยู่​กับ​พระ​องค์"  

คำอธิษฐาน(Prayer)
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้ลูกตระหนักมากขึ้นถึงสถานภาพของลูกที่เป็นความหวังของการทรงเรียกไปสู่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้   ขอทรงช่วยให้ลูกทำงานที่ได้รับมอบหมายที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้   ขอให้ลูกจะทำโดยไม่ได้มั่นใจในความสามารถของลูก  แต่เพราะฤทธานุภาพของพระองค์   ขอการทะลุทะลวงเพื่อให้ลูกค้นพบความอัศจรรย์ของการเป็นที่ประทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์

คำสารภาพ(Confession

พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้าด้วยดั่งเช่นที่ทรงสถิตกับพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าจะยืดมั่นการทรงเรียกที่อัศจรรย์ของพระองค์  ข้าพเจ้าจะถวายพระเกียรติพระเจ้าในแผ่นดินโลก


11 พฤศจิกายน 2557

ทำลายกำแพงเกลียดชังก่อสร้างความสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 9 เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันฉลองครบรอบ 25 ปีแห่งการทำลายกำแพงเบอร์ลิน และเป็นการกลับมารวมประเทศของเยอรมัน ไม่มีกำแพงกั้นระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกอีกต่อไป 

ประวัติ กำแพงเบอร์ลิน โดยสังเขป มีดังนี้ (ข้อมูลจาก Wikipedia) 

กำแพงเบอร์ลินเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็น มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีตะวันตก กับเยอรมนีตะวันออกที่โอบอยู่โดยรอบ มีความยาวทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504(ค.ศ. 1961) และปิดกั้นพรมแดนนี้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนถูกทลายในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ในปี ค.ศ. 1989 ผมจำได้ดีเพราะเป็นปีล่าสุดที่ทีมสโมสรลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ โฮ นานจังเลย) 

ในเยอรมนีตะวันออก กำแพงเบอร์ลิน คือ แนวเขตแดนที่มั่นคง และสัญลักษณ์ของการต่อต้านทุนนิยม แต่สำหรับโลกเสรีแล้ว มันคือ สัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างระบบทุนนิยมของยุโรปตะวันตก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา กับระบบคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต หรือที่เรียกกันว่า สงครามเย็น นั่นเอง กำแพงเบอร์ลิน ทำให้กรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก กลายเป็นเสมือน หน้าต่างสู่เสรีภาพ

นับตั้งแต่การสร้างกำแพงเบอร์ลิน การข้ามผ่านแดนจากเยอรมนีตะวันออก ไปยังเยอรมนีตะวันตก กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากมีการฝ่าฝืนและถูกพบเห็น มีโทษสถานเดียว คือ การยิงทิ้ง ณ บริเวณกำแพงนั่นเอง ตลอดระยะเวลา 28 ปี คาดว่ามีผู้เสียชีวิตที่กำแพงเบอร์ลินขณะหลบหนีระหว่าง 137 ถึง 206 คน

การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
ในปี ค.ศ. 1989 ตรงกับยุคที่ นายมีฮาอิล กอร์บาชอฟ เป็นประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ได้มีการทดลองการปฏิรูปการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ในเยอรมนีตะวันออก ได้มีการชุมนุมประท้วงใหญ่อย่างสงบขึ้นโดยเฉพาะในเมือง โพสต์ดัม ไลพ์ซิจ และเดรสเดน เริ่มต้นในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1989 และดำเนินเรื่อยมา เป็นเหตุให้รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกได้รับความกดดันเป็นอย่างมาก กระทั่งได้มีการประกาศว่า จะเปิดพรมแดนให้ชาวเยอรมันสามารถเดินทางผ่านแดนได้อย่างอิสระ 
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ในวันดังกล่าวชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากได้มารวมตัวกัน ณ กำแพงเบอร์ลิน เพื่อข้ามผ่านแดนไปยังเบอร์ลินตะวันตกครั้งแรกในรอบ 28 ปี จึงถือเอาวันดังกล่าว เป็นวันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินมีบางแหล่งข้อมูลอ้างว่า ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 นาย Günter Schabowski รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการ (Minister of Propaganda) ของเยอรมนีตะวันออกได้แถลงข่าว (ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเขาเอง) ว่าทางการจะอนุญาตให้ชาวเบอร์ลินตะวันออก ผ่านเข้าออกเขตแดนได้อย่างเสรีอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ผู้คนนับหมื่นที่ได้ทราบข่าวก็ได้หลั่งไหลไปยังด่านต่าง ๆ ของกำแพง. หลังจากความโกลาหลอยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ จากทางการ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ต้องยอมปล่อยให้ฝูงชนผ่านเขตแดนไปอย่างไม่มีทางเลือก ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก บรรยากาศในเช้ามืดวันนั้นเหมือนงานเฉลิมฉลองตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 กำแพงเบอร์ลินได้ถูกทุบทำลายบางส่วนโดยชาวเยอรมัน และชาวยุโรป แต่การทำลายกำแพงเบอร์ลินอย่างเป็นทางการ เริ่มเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533 แต่กระนั้นยังคงอนุรักษ์กำแพงบางช่วงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ นอกจากนี้ ยังมีการประมูลจำหน่ายชิ้นส่วนกำแพงเบอร์ลิน และได้มีการมอบชิ้นส่วนของกำแพงเบอร์ลินไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ และสถานที่สำคัญ ๆ อีกหลายแห่ง อาทิ ด้านหน้าสภายุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม พิพิธภัณฑ์นิวเซียม กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอมริกา พิพิธภัณฑ์จอห์น เอฟ เคนเนดี และพิพิธภัณฑ์โรแนล เรแกน ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
นับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เป็นการสิ้นสุดสงครามเย็น ทำให้เกิดความเข้มแข็งของประเทศเยอรมันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและกีฬา (เยอรมันเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย ในปี 1990และในปี 2014) จะเห็นได้ว่าเมื่อกำแพงแห่งความเกลี่ยดพังทลายลง ความสัมพันธภาพในความรักเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง  

ในพระวจนะของพระเจ้าได้บันทึกไว้ถึง กำแพงแห่งความเกลียดชังระหว่างคนยิว(Jew)กับคนต่างชาติ(Gentile) ได้ถูกทำลายโดยทางพระเยซูคริสต์ และเราที่เป็นคนต่างชาติและเขาที่เป็นคนยิวได้เป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One new man)ในพระคริสต์  

เอเฟซัส 2:12-18
12 จง​ระลึก​ว่า ครั้ง​นั้น​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​คน​อยู่​นอก​พระ​คริสต์​ ขาด​จาก​การ​เป็น​พล​เมือง​อิสราเอล และ​ไม่​มี​ส่วน​ใน​บรรดา​พันธสัญญา​ซึ่ง​ทรง​สัญญา​ไว้​นั้น ไม่​มี​ที่​หวัง และ​อยู่​ใน​โลก​ปราศจาก​พระ​เจ้า​
13 แต่​บัดนี้​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​ ท่าน​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​เมื่อก่อน​อยู่​ไกล ได้​เข้า​มา​ใกล้​โดย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​คริสต์​
14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป

เราเห็นได้ว่า พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงความเกลียดชังที่แบ่งแยกยิวออกจากคนต่างชาติ   พระองค์ทรงสร้างสันติภาพขึ้นระหว่างคนทั้ง 2 กลุ่มเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุขเป็นหนึ่งเดียวกัน   

ในพระธรรมเอเฟซัส 2:15 อัครทูตเปาโลได้อธิบายคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสที่เป็นคนต่างชาติไว้ว่า  พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงนี้ โดยการล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว   ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและระเบียบต่างๆ ประมาณ 613 ข้อ ด้วยพระกายของพระองค์ 

คำว่า  “พระกายของพระองค์  ในที่นี้มุ่งหมายชี้ถึงพระกายของพระคริสต์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย    

อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ในข้อ 12-13 ว่า  "จง​ระลึก​ว่า ครั้ง​นั้น​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​คน​อยู่​นอก​พระ​คริสต์​ ขาด​จาก​การ​เป็น​พล​เมือง​อิสราเอล และ​ไม่​มี​ส่วน​ใน​บรรดา​พันธสัญญา​ซึ่ง​ทรง​สัญญา​ไว้​นั้น ไม่​มี​ที่​หวัง และ​อยู่​ใน​โลก​ปราศจาก​พระ​เจ้า​  แต่​บัดนี้​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​ ท่าน​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​เมื่อก่อน​อยู่​ไกล ได้​เข้า​มา​ใกล้​โดย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​คริสต์​"

การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ได้เข้ามาแทนที่การที่จะต้องกระทำตามกฏธรรมบัญญัติ(ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ครบทั้งหมด)   แล้วยกเลิกข้อบังคับและและระเบียบต่างๆ เหล่านั้น

แล้วกฏธรรมบัญญัติถูกล้มเลิกเพื่อเป็นการทำลายกำแพงแห่งความเกลียดชังแบ่งแยกคนยิวและคนต่างชาติลงได้อย่างไร?   

อย่างที่รู้ว่า พวกยิวเชื่อว่าพวกตนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ด้วยการรักษาการดำเนินชีวิตตามกฏธรรมบัญญัติ  กฏธรรมบัญญัติเป็นเครื่องชี้ถึงความเป็นชนชาติพิเศษของยิวและเป็นตัวยืนยันถึงความรอดของพวกเขา   ยิ่งกว่านั้น  ในการข้องเกี่ยวกับคนต่างชาติ ยิวบางพวกยังมองว่า กฏธรรมบัญญัติคือตัวแบ่งแยกกีดกันพวกเขาจากคนต่างชาติ   

โดยกฏธรรมบัญญัติที่ป้องกันไม่ให้ยิวไปเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติเพราะจะทำให้พวกเขาเป็นมลทิน   กฏธรรมบัญญัติเป็นตัวทำให้เกิดการแบ่งแยกกีดกัน   ทำให้พวกยิวไม่เต็มใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมของพวกโรมันซึ่งคนค่างชาติ   รวมถึงการที่ต้องมีส่วนร่วมหรือรับรู้ถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องการการบูชาเทพเจ้าของพวกต่างชาติด้วย  

พระเยซูคริสต์ได้ทรงเปิดช่องทางใหม่ที่ไปถึงความรอด   เป็นวิถีทางใหม่สำหรับทุกผู้ทุกคนที่เข้ามีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าได้   ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปชั่ว   ซึ่งก็รวมถึงคนยิวและคนต่างชาติทุกคน   และทุกคนได้รับการช่วยกู้ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยพระคุณของพระเจ้าที่ให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์   ดังนั้น  โดยทางกฏธรรมบัญญัติจึงไม่สามารถที่จะรับประกันว่าพวกยิวจะสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้    และกำแพงแห่งการแบ่งแยกและเกลียดชังตามกฏธรรมบัญญัติของยิวไม่สมารถที่จะแบ่งแยกยิวออกจากพวกต่างชาติได้   เพราะทั้งยิวและต่างชาติต่างตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความบาปผิด
วันนี้พระเยซูจึงเป็นทางเชื่อมให้เรามาบรรจบกัน เพื่อไปถึงพระบิดาในความสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ใช่ตามกฏธรรมบัญญัติ

ยอห์น 14:6 ​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง​และ​เป็น​ชีวิต ไม่​มี​ผู้ใด​มาถึง​พระ​บิดา​ได้​นอก​จาก​จะ​มา​ทาง​เรา​

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิทธิพิเศษนี้ที่มีให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติแบบเราทั้งหลาย เราจึงไม่สามารถอวดอ้างถึงความดีที่เราทำ เพราะเราไม่มีใครที่ "ดีเพียงพอ" แต่พระคุณของพระเจ้าที่ทรง"ดี"และ"มีอย่างพอเพียง"สำหรับเรา  หากเราจะอวดก็อวดพระเจ้าเถิด 

เอเฟซัส 2:8-9 
8 เราทั้งหลายจึงรอดพ้นจากการประหารด้วยกฏธรรมบัญญัติแต่รับพระคุณโดยความเชื่อ ด้วย​ว่า​ซึ่ง​ท่าน​ทั้ง​หลาย​รอด​นั้น​ก็​รอด​โดย​พระ​คุณ​เพราะ​ความ​เชื่อ และ​มิใช่​โดย​ตัว​ท่าน​ทั้ง​หลาย​กระทำ​เอง แต่​พระ​เจ้า​ทรง​ประทาน​ให้​  
9 ความ​รอด​นั้น​จะ​เนื่อง​ด้วย​การ​กระทำ​ก็​หา​มิได้ เพื่อ​มิ​ให้​คน​หนึ่ง​คน​ใด​อวด​ได้​ 


ในวันนี้เราจึงเป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One new man)ในพระคริสต์  ไม่มีกำแพงที่ขวางกันในความสัมพันธ์ แต่มีกำแพงซากของพระวิหารที่หลงเหลืออยู่เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา
ที่เราจะยืนอยู่ตรงช่องโหว่ในกำแพงเพื่อจะอธิษฐานเผื่ออิสราเอลร่วมกัน
เอเสเคียล 22:30 ละเราแสวงหาคนหนึ่งในพวกเขาที่จะสร้างกำแพง และยืนอยู่ตรงช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น เพื่อเราจะไม่ทำลายมันเสีย...
สดุดี 122:6-9 
6  จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็ม ว่า "ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ
7 ขอสันติภาพจงมีอยู่ภายในกำแพงของเธอ และให้ความปลอดภัยอยู่ภายในวังของเธอ"

Shalu Shalom yerushalayim  שאלו שלום ירושלים  ขอสันติภาพจงมีแด่เยรูซาเล็ม