30 มิถุนายน 2553

คิดนอกกรอบ คุยนอกสนาม World Cup 2010

(บทความนี้ลงในข่าวคริสตชน วันที่ 1ก.ค.2010)
http://groups.google.com/group/christianthai/browse_frm/thread/12a66dd14db8d5a7?hl=en

World cup 2010 Logo



สวัสดีครับ พี่น้องและเพื่อนๆ ทุกท่าน ตอนนี้กระแส World cup feverมาแรงมากจริง ๆ ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ก็เข้าสู่รอบ8 ทีมสุดท้ายแล้ว อีกไม่นานเราก็คงจะทราบว่าชาติได้จะได้ครอบครองถ้วยฟุตบอลโลก 2010

ในครั้งนี้ผมจึงขอนำเสนอความคิดแบบนอกกรอบ ในมุมมองฟุตบอลโลกที่ไม่ได้เห็นในจอ TV และนำมาแบ่งปันพูดคุยกันแบบสบายๆ นอกสนาม มีสิ่งที่จะแบ่งปันให้ฟังดังนี้


เกมกีฬาที่ยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยาย

บทเพลงที่ได้ยินเสียงบ่อยที่สุดในช่วงนี้คือ Waka ! Waka ! This time for Africa. ของนักร้องสาวชาว Colombia นามว่า Shakira เนื้อหาประมาณว่า ลุยเลยๆ ได้เวลาสำหรับชาวแอฟริกันแล้ว ซึ่งเป็นเพลงประจำของเกมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ เพราะเป็นการรอคอยมานานถึง 4 ปีจึงจะมีสักหน และมีการถ่ายทอดสดไปกว่า 215 ประเทศทั่วโลก

ความยิ่งใหญ่ครั้งนี้จะไม่แพ้ฟุตบอลโลกครั้งไหน โดยเฉพาะเรื่องของเงินรางวัล โดยได้รับการยืนยันจาก เซปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานฟีฟ่า ว่า ชาติที่ครองตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 จะได้รับเงินสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,020 ล้านบาท) และทุกทีมที่เข้าร่วมชิงชัยในศึกเวิลด์ คัพ รอบสุดท้าย จะได้เงินทีมละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34 ล้านบาท) ด้วย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมทีม ยอดรวมเงินรางวัลสำหรับทั้ง 32 ชาติที่เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกปีหน้า มีทั้งหมด 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 14,280 ล้านบาท) โดยเพิ่มขึ้นจากฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี ถึง 61 เปอร์เซ็นต์

โอ้โห ! เห็นเงินรางวัลก้อนโตแล้ว อดนึกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ทีมไทยจะได้ไปบ้างนะ แต่บอลโลกก็แค่สะใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด ก็คงต้องเชียร์กันต่อไป ในครั้งนี้คนไทยขอนั่งชมไปก่อน วันหนึ่งเราคงจะได้ไปเล่นกับเขาบ้างน่า


เกร็ดความรู้ฟุตบอลโลกในครั้งนี้มีดังนี้ครับ (ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/)

ฟุตบอลโลก 2010 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 19 ที่เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลนานาชาติ ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2010

สัญลักษณ์การแข่งขัน (Mascot)

ซากูมี, Mascot ของฟุตบอลโลก 2010 Mascot อย่างเป็นทางการในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ชื่อ ซากูมี (Zakumi) (เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1994 (อายุ 16 ปี)), เป็นมนุษย์ครึ่งเสือดาวผมสีเขียว ชื่อของเขามีที่มาจาก "ZA", ซึ่งเป็นรหัสประเทศของประเทศแอฟริกาใต้, และ "kumi", ซึ่งมีความหมายว่า "สิบ" ซึ่งเป็นจำนวนภาษาที่หลากหลายในแอฟริกา สีนี้บ่งบอกถึงชุดที่ทีมเจ้าภาพใช้ทำการแข่งขัน คือ สีเหลือง และสีเขียว

วันเกิดของซากูมีใช้วันเดียวกับวันเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ รวมทั้งเป็นวันที่ทีมชาติแอฟริกาใต้จะทำการแข่งขันนัดที่ 2 ในรอบแบ่งกลุ่ม นอกจากนี้วันเกิดของซากูมิยังหมายถึงวันแรกของแอฟริกาใต้ที่มีการเลือกตั้งแบบไม่จำกัดสีผิวและเชื้อชาติ

คำขวัญของซากูมี คือ: "Zakumi's game is Fair Play." ซึ่งแปลว่า "เกมของซากูมิคือเกมที่ขาวสะอาด" โดยคำขวัญนี้ได้แสดงในป้ายโฆษณาดิจิทัลระหว่างการแข่งขันคอนเฟเดอเรชันคัพ 2009, และจะปรากฏอีกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010

Mascot "Zakumi"



พิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่อลังการ สีสันหลากหลายแตกต่าง แต่งแต้มความงดงามของมิตรภาพ ตามแบบฉบับแอฟริกา




นับตั้งวันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีพิธีเปิดจะจัดขึ้น ที่เมือง Johannesburg ในสนาม Soccer city ซึ่งมีรูปทรง "คาลาบาช" หรือหม้อทำอาหารแบบแอฟริกา โดยสามารถจุผู้ชมได้ว่า 94,000 ที่นั่ง และ มีนักร้องผิวสีแนว R&B ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาอย่าง อาร์.เคลลี (R. Kelly) เป็นผู้ร้องเพลง Sign of a Victory เปิดงานอย่างเป็นทางการของมหกรรมฟุตบอลโลก

การแสดงที่สุดยอดอลังการ นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรม เพลง และการเต้นรำสไตล์แอฟริกา โดยศิลปินชาวแอฟริกาใต้และชาติอื่นของทวีป โดยเฉพาะบรรดา 6 ชาติ อันประกอบด้วยแอฟริกาใต้, ไอวอรี่ โคสต์, กาน่า, ไนจีเรีย, คาเมอรูน และแอลจีเรีย ที่ได้เล่นรอบสุดท้ายครั้งนี้ การแสดงในรูปแบบชนพื้นเมืองชาวแดนกาฬทวีป ใช้นักแสดง แดนเซอร์ ศิลปินและนักดนตรีกว่า1,581 ชีวิต ภายใต้แนวความคิด “สีสันแห่งแอฟริกา” ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ ตลอดระยะเวลาพิธีเปิดทั้งสิ้น 30 นาที

นอกจากนี้สิ่งที่ถือเป็นวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน คือการเป่าเครื่องดนตรีที่ชื่อว่า วูวูเซลา (vuvuzela,เป็นภาษาซูลู แปลว่า ทำให้เกิดเสียงดัง) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าคล้ายทรัมเป็ต เป็นเครื่องดนตรีและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองแอฟริกาใต้ มีความยาวประมาณ 1 เมตร นอกจากนี้ ยังใช้ในการเชียร์กีฬา ปัจจุบัน วูวูเซลานิยมทำจากพลาสติก เสียงของวูวูเซลา เป็นไปในลักษณะดังกึกก้อง คล้ายเสียงร้องของช้าง เสียงนี้จะดังระงมตลอดการแข่งขันใครั้งนี้



มิตรภาพเหนือพรมแดน

ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของทวีปแอฟริกาที่ได้จัด ทำให้เป็นการยืนยันว่ากีฬาฟุตบอลเป็นสื่อมิตรภาพไปสู่นานาประเทศ
นอกจากนี้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ยังมีกิจกรรม Fifa World Cup Trophy Tour
ถ้วย FIFA World Cup นับว่าเป็นถ้วยที่มีคุณค่าสูงสุดในวงการกีฬาฟุตบอลของโลก ได้นำถ้วยเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้แฟนกีฬาฟุตบอลทั่วโลกได้ร่วมชื่นชมถ้วยฟุตบอลโลกอย่างใกล้ชิด เดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ 86 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ก่อนเดินทางถึงประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นเจ้าภาพของการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2010 รวมการเดินทางของถ้วยรางวัลทั้งหมด 225 วัน

สำหรับประเทศไทยจัดให้แฟนบอลชาวไทยได้ชื่นชมในวันที่ 21-23 มกราคม 2553 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์
สยามพารากอน โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน และ เป็นคนเดียวในประเทศที่ได้สัมผัส ถ้วยบอลโลก เพราะ ผู้ที่สามารถจับถ้วยด้วยมือเปล่านั้น ต้องเป็นทีมแชมป์โลก หรือ ผู้นำของแต่ละประเทศเท่านั้น!

ใครอยากจะได้ชูถ้วย Fifa World Cup Trophy ต้องเล่นฟุตบอลให้เก่ง หรือ เล่นการเมืองเป็นนายกฯนะครับ




ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ผมคิดว่าผู้เล่นแต่ละทีมเล่นได้มีน้ำใจนักกีฬามาก สมกับคำขวัญของซากูมี คือ: "Game is Fair Play." สังเกตจากจำนวนใบเหลืองใบแดงน้อย และไม่ค่อยมีจังหวะที่เล่นรุนแรงเกินเหตุ เมื่อเทียบกับฟุตบอลโลกที่ผ่านมา
นอกจากนี้มีการรณรงค์เรื่องการให้ความเคารพผู้ตัดสินมากเป็นพิเศษ จะมีป้ายที่สนามว่า Respect ซึ่งครั้งนี้ต้องขอชม
FIFA และแต่ละทีมให้ความร่วมมือกันอย่างดี เพราะกีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่เยาวชนดูอยู่ทั่วโลก

แต่การแข่งขันในครั้งนี้ เป็นผู้ตัดสินเองที่ทำหน้าที่ผิดพลาดในหลายนัดด้วยกัน ส่งผลให้ทีมขวัญใจชาวไทยอย่างทีมสิงโตคำรามอังกฤษต้องตกรอบ เพราะยิงเข้าประตูไปแต่ไม่ได้ประตู พอเอาเทป VDO มาดูอีกครั้งจะเห็นได้ว่าผู้ตัดสินทำผิดพลาดแบบต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน เห็นที FIFA ต้องทบทวนเรื่องการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการตัดสินแล้วละครับ เพราะมีความผิดพลาดบ่อยครั้งส่งผลใหญ่หลวงต่อการแข่งขัน

ต้องขอขอบคุณบริษัท RS ที่ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดแบบไม่มีโฆษณาให้รำคาญใจ ครบทั้ง 64 นัด ซึ่งน้อยประเทศจะมีโอกาสแบบประเทศไทยเรา แม้แต่นักท่องเที่ยวหลายประเทสก็เดินทางมาเมืองไทย เพื่อดูถ่ายทอดฟุตบอลโลก แบบนี้การท่องเที่ยวครึกครื้นเศรษฐกิจคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าได้ลืมตาอ้าปากได้ หลังจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา แหม! อยากจะให้มีบ่อยๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย


ผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมาย


การแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นที่เป็นที่กล่าวถึงกันก็คือ "ผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมาย" หลายทีมดังต้องตกรอบแรก เช่น อิตาลี แชมป์เก่า ฝรั่งเศส รองแชมป์ นั่นมาจากความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นักฟุตบอลประท้วงโค้ช ไม่ยอมซ้อม และอายุของผู้เล่นที่เริ่มโรยรา เกิดปัญหาบาดเจ็บ และร่างกายไม่พร้อม

ทีมจากเอเชียของเรา 2 ทีมที่ทำผลงานน่าประทับใจ คือ โสมขาว เกาหลีใต้ และ Blue Samurai ญี่ปุ่น ได้เข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทำให้ FIFA เพิ่มโควต้าให้ทีมจากเอเชียจากเดิม 4 ทีมเป็น 5 ทีม ครั้งหน้าไทยเราจะได้ลุ้นมากขึ้น

แต่ที่น่าผิดหวังคือ ทีมจากทวีปแอฟริกา เจ้าภาพจัดการแข่งขัน ตกรอบเรียบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพ แอฟริกาใต้,ไอวอรี่ โคสต์,ไนจีเรีย,คาเมอรูน และแอลจีเรีย จะมีเพียงทีมดาวดำ กาน่า ที่ฉายแววโชว์ฟอร์มหล่อหลบใน เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย แบบเข็มขัดสั้น คาดไม่ถึงซะงั้น
นี่แหละน่า กีฬาฟุตบอล ลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน เอาแน่นอนไม่ได้ โดยเฉพาะลูกฟุตบอล Jabulani ที่ใช้แข่งขันครั้งนี้ เป็นฝันร้ายสำหรับผู้รักษาประตูจริงๆ ผู้รักษาประตูที่ฝีมือดี ต้องมาเสียท่ากับลุูกบอลนี้ไปหลายประตู โดยเฉพาะ Robert Green นายประตูอังกฤษที่รับบอลพลาดหลุดเข้าประตู


เหตุผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมายเพราะใครที่เล่นการพนันก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ

สำหรับฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ผมในฐานะคริสตชน และเป็นแฟนบอลคนหนึ่งก็อยากจะหนุนใจให้ข้อคิดในการดูฟุตบอลโลกครั้งนี้ให้สนุกและได้สาระ ดังนี้ครับ

1.บริหารเวลาให้เหมาะสม ดูได้ไม่เสียการเสียงาน

สิ่งสำคัญก็คือเวลาการแข่ง วันหนึ่งมีมากสุด 3 ช่วงคือ 18.30 , 21.00 และ 01.30 หนุ่มๆสาวๆ ที่มีเรียนหรือทำงาน ต้องชั่งใจกันหน่อย อาจจะแก้ด้วยการนอนสะสมไว้ แต่ปัญหาใหญ่จริงๆ อยู่ที่ตีหนึ่งครึ่ง แนะนำว่าช่วงดึกนี้เลือกดูเฉพาะอยากดูจริงๆ ดีกว่า ตั้งนาฬิกาปลุกมาอีกตอนตีหนึ่งครึ่ง อย่างนี้ก็พอไหวอยู่ อีกวิธีที่รักษาสุขภาพตัวเองคือ การดูแบบวันเว้นวันก็ได้ หรืออาจจะดูสรุปข่าว หรือ Hi-light การแข่งขันจาก Website ต่างๆ เช่น http://www.fifa.com ก็ได้ครับ

2.ดูบอลอย่างมีศิลป์ เล่นบอลอย่างมียุทธศาสตร์ และเชียร์บอลอย่างมีน้ำใจนักกีฬา

ดูบอลอย่างมีศิลป์ คือ ดูให้เป็นกีฬา ไม่ใช่การพนัน ไม่อย่างนั้นหมดสนุก ทุกข์สงัด ทีมโปรดที่เราเชียร์จะกลายเป็นทีมโกรธที่เราชัง ดูทีมฝรังเศส แล้วแพ้ก็จะกลายเป็น เศษฝรั่ง,อิตาลีกลายเป็นอีตารั่ว,โปรตุเกส กลายเป็น โปรตูกร่อย

นี่คือผลเสียของการเล่นการพนัน ได้มาก็เสียไป ไม่มีใครรวยได้เพราะการพนัน

ดูบอลอย่างมีศิลปะ คือ ดูทักษะของ นักฟุตบอลที่ชอบ ไม่บ่อยเลยที่นักเตะระดับสุดยอดของโลกมารวมทีมสาดแข้งกันมากมายขนาดนี้ เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะจับตาดูเหล่านักเตะบิ๊กเนม เพื่อเราจะนำมาใช้ในการเล่นฟุตบอลของเราอย่างมียุทธศาตร์

เล่นบอลอย่างมียุทธศาตร์ คือ การเก็บข้อมูลศึกษาพัฒนาการเล่นฟุตบอลของเรา เพราะเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย จากโค็ชทีมต่างๆ ที่วางแผนการเล่น การจัดทีม และในเรื่องสีสันต่างๆ กองเชียร์,สนามแข่งขัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากการเล่นที่มีสาระและทำให้เพลิดเพลิน เรียกว่า "Plearn (เพลิน)" คือ Play (เล่น) สนธิคำกับคำว่า Learn (เรียน)

สิ่งที่ผมได้รับข้อคิดจากฟุตบอลโลกครั้งนี้ คือ

1.ทำงานเป็นทีม นำมาซึ่งความสำเร็จ ไม่มี One man Show มีแต่ Teamwork - Together We Will Succeed.
2.วางผู้เล่นให้เหมาะสมกับตำแหน่ง เชื่อฟังเล่นตาม Tactic ของ Coach ทำให้ทีมประสบชัยชนะ
3.ความขยันทุ่มเท ฝึกซ้อม ร่างกายพร้อม นำมาซึ่งชัยชนะ
4.รู้เขา รู้เรา ศึกษาทีมคู่แข่ง ตั้งรับให้แน่น เปิดเกมรุกให้แม่น นำมาซึ่งชัยชนะ
5.ความผิดพลาดเป็นครู เรียนรู้เพื่อพัฒนา นำมาซึ่งความสำเร็จ หลายทีมพ่ายแพ้นัดแรก แต่แก้ตัวได้ในนัดต่อไป
เพราะเรียนรู้ความผิดพลาด และ Coach เห็นปัญหารีบแก้ไข


เชียร์อย่างมีน้ำใจนักกีฬา

เชียร์อย่างไรให้มันถึงใจ คือ รวมตัวเชียร์กันไปพร้อมๆ เพื่อนคอบอลด้วยกันเลย เพราะดูอยู่หน้าจอคนเดียว มันไม่มันสุดๆ เท่าร่วมเชียร์กับเพื่อนๆ อยู่แล้ว ซื้อเสื้อทีมต่างๆ เพื่อเพ่มสีสันในการเชียร์

การเชียร์แบบมีน้ำใจนักกีฬาคือ การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่แซวกันทำให้ผิดใจ ไม่ทับถมทีมที่แพ้ เพราะไม่มีใครแพ้ตลอด เราชนะวันหนึ่งอาจจะแพ้ก็ได้
เชียร์ให้สร้างสรรค์ เสริมสร้างมิตรภาพ เสื้อสีไหนก็คนไทยด้วยกันนะ จะสีเหลืองบราซิล หรือ สีแดง สเปน ไม่ใช่ใครอื่น คนไทยเหมือนกัน ปรองดองกันไว้ดีกว่า

3.เปิดประตูสู่การประกาศ เป็นพยาน

การแข่งขันฟุตบอลโลกถือเป็นโอกาสที่ดี ที่คริสตชนอย่างเราจะได้พูดคุยกับผู้ที่สนใจ คอบอลเหมือนกัน คนเหล่านี้เปิดใจที่จะรับฟังข่าวประเสริฐ ฉะนั้นเราควรจะใช้เป็นประตู เปิดโอกาส ประกาศ เป็นพยาน ขอบพระคุณพระเจ้าที่ คณะกรรมการเพื่อการประกาศและเพิ่มพูนคริสตจักร (กปพ.) ได้จัดทำ DVD The Prize: Chasing the Dream รางวัลจากการตามหาความฝัน เป็นคำพยานชีวิตนักฟุตบอลคริสเตียน เช่น คำพยานของ Kaka (ที่เคยลงในบทความไปแล้ว)หรือนักฟุตบอลคนอื่นๆ เป็นต้น
สามารถติดต่อได้ที่ http://thaivision2010.com/about-us/about-tec.php หากต้องการ DVD เพื่อใช้ในการประกาศ



อย่าลืมหากดูฟุตบอลหรือไปเล่นฟุตบอลอย่าลืมเป็นพยาน นำคนมารู้จักความรักพระเจ้านะครับ

4.รักษาสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย

เมื่อชอบดูฟุตบอลโลก ต้องอดหลับอดนอน สิ่งที่สำคัญคือรักษาสุขภาพ ต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นออกกำลังกายเช่น ไปเล่นกีฬา หลีกเลี่ยงของที่ทำให้เสียสุขภาพ เช่น ดื่มเหล้า เบียร์ เพื่อเชียร์บอล หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำที่สะอาด รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์


5.เสริมสร้างสุขภาพฝ่ายวิญญาณ

นอกจากรักษาสุขภาพฝ่ายกายภาพแล้ว ต้องเสริมสร้างสุขภาพฝ่ายวิญญาณด้วยนะครับ บางท่านตื่นมาดูบอลกลางดึก ก็ต้องตื่นมาอ่านพระคัมภีร์เฝ้าเดี่ยวด้วยนะครับ อย่าเอาแต่ดูบอลจนเสียการงานฝ่ายวิญญาณ

1ทิโมธี 4:7-8
7...จงฝึกตนในทางธรรม
8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย


1โครินธ์ 9:24-26
24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
26 ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม


อัตรทูตเปาโล ยังหนุนใจให้ฝึกตนทั้งทางกาย และชีวิตฝ่ายวิญญาณ เพื่อประโยชน์สำหรับเรา นอกจากนี้ท่านยังเปรียบเทียบชีวิตของเราต้องแข่งขันกับตนเอง มีระเบียบวินัยในชีวิต มีเป้าหมายเพื่อรับรางวัลของพระคริสต์

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อหมดเวลาการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ทีมที่พร้อมที่สุดจะได้ชูถ้วย FIFA World Cup แต่ในชีวิตของเราเมื่อแข่งขันจนถึงที่สุด เราจะได้รับรางวัลที่พระเยซูคริสต์เตรียมไว้บนสวรรค์สำหรับเรา

ฟิลิปปี 3:14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ


จบฟุตบอลโลกจะนำข้อคิดนอกกรอบ มาคุยนอกสนามใหม่นะครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ

21 มิถุนายน 2553

ก่อร่างสร้างพระวิหารฝ่ายวิญญาณ (Building the spiritual temple)



เอเฟซัส 2:20-22
20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก
21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย


ในพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 2 อ.เปาโลได้อธิบายถึงความเป็นเอกภาพของคนอิสราเอลและคนต่างชาติ ซึ่งในอดีตเคยแบ่งแยกกัน แต่โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พวกเขาได้คืนดีและกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังภาพเปรียบเทียบ 3 ภาพด้วยกันคือ พลเมืองของพระเจ้า ครอบครัวในพระคริสต์ และพระวิหารฝ่ายวิญญาณ
ชุมชนคริสตจักรของพระเจ้าเป็นดังพระวิหารฝ่ายวิญญาณที่มีองค์ประกอบต่างๆ ทำงานเชื่อมโยงประสานกันเฉกเช่นวิหารฝ่ายกายภาพ ซึ่งเราเห็นได้จากพระธรรมตอนนี้ ดังนี้

1. อัครทูตและผู้เผยพระวจนะเป็นฐานราก (ข้อ 20ก) The Apostles and Prophets as Foundations
20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ...

อ.เปาโลกล่าวว่าผู้เชื่อได้ถูกประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ นั่นคือ คริสตจักรจะเจริญเติบโตได้อย่างดีก็ต่อเมื่อถูกวางรากฐานโดยอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ คำสอนของอัครทูตเป็นคำสอนที่ส่งผ่านมาจากองค์พระเยซูคริสต์ ดังนั้น ผู้เชื่อที่ดำเนินตามคำสอนนี้จะตั้งมั่นคงอยู่ได้ในทุกสถานการณ์ เปรียบเหมือนการสร้างเรือนที่มีรากฐานตั้งอยู่บนศิลา (มธ.7:24-25)
อัครทูตในพระคัมภีร์ใหม่และผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมเป็นผู้ที่ถ่ายทอดพระวจนะและคำสอนให้แก่คนของพระเจ้า เพราะพระวจนะเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตคริสเตียน ดังคำกล่าวที่ว่า “รากฐานของตึก คืออิฐ รากฐานชีวิต คือ พระวจนะ”
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของคริสตจักร
หากเราต้องการสร้างคริสตจักรให้แข็งแรง เราต้องสร้างตามอย่างพระคัมภีร์


2. พระคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก (ข้อ 20ข) Christ as the Cornerstone
20 ...พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก

พระคริสต์เปรียบเหมือนศิลามุมเอกของพระวิหาร ศิลามุมเอกทำหน้าที่ยึดและค้ำจุนส่วนต่างๆ ของตึกให้แข็งแรงมั่นคงอยู่ได้ฉันใด พระคริสต์ก็ทรงยึดทุกๆ องค์ประกอบของคริสตจักรให้แข็งแรงมั่นคงอยู่ได้ฉันนั้น
ถ้าเปรียบเทียบคริสตจักรกับต้นไม้ ศิลามุมเอกก็คือ รากแก้ว รากแก้วทำหน้าที่ยึดทุกส่วนของต้นไม้ไว้ทำให้ต้นไม้แข็งแรง
เพราะปราศจากรากแก้วแล้ว ต้นไม้จะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ในทำนองเดียวกัน
คริสตจักรนั้นมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก ถ้าขาดศิลามุมเอกแล้ว คริสตจักรก็จะตั้งอยู่ไม่ได้




3. ผู้เชื่อเป็นตัวอาคาร (ข้อ 21-22) Believers as the Building
21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย



ผู้เชื่อเปรียบเหมือนตัวอาคาร ที่ผู้สร้างกำลังก่อสร้างให้สวยงามและสมบูรณ์มากขึ้น พระเจ้าคาดหวังให้ผู้เชื่อเป็น...

3.1 วิหารที่แข็งแรง (ข้อ 21ก) The Solid Temple
21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท...


วิหารจะแข็งแรงก็ต่อเมื่อทุกส่วนของโครงร่างประสานกัน ทั้งการประสานกันของก้อนอิฐกับศิลามุมเอก ก้อนอิฐกับรากฐาน และก้อนอิฐกับก้อนอิฐ ซึ่งเปรียบเหมือนคริสตจักรที่ผู้เชื่อทำงานประสานกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวทั้งตัวผู้เชื่อกับพระเยซูคริสต์ และผู้เชื่อกับผู้เชื่อด้วยกัน

ระดับแรก คือ ระหว่างก้อนอิฐกับศิลามุมเอก

ก้อนอิฐแต่ละก้อนเปรียบเหมือนคริสเตียนแต่ละคน และศิลามุมเอกคือ พระเยซูคริสต์
ผู้เชื่อต้องให้พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง พระองค์เป็นจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์ในคริสตจักร
เพราะพระองค์ทรงเป็นศีรษะ และเราเป็นส่วนต่าง ๆ ในพระกายของพระองค์

อฟ.5:23 เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร

ระดับที่สอง คือ ระหว่างก้อนอิฐกับรากฐาน

ก้อนอิฐแต่ละก้อนเป็นภาพของคริสเตียนแต่ละคน ส่วนรากฐาน คือ คำสอนของอัครทูตและคำเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะ
ผู้วางรากฐานคริสตจักร นั่นคือ คริสเตียนแต่ละคนต้องมีความเข้าใจพระวจนะอย่างถ้วนถี่ และถือปฏิบัติอย่างเป็นธรรมชาติใน
ชีวิต เพราะก้อนหินคือ คริสตจักรที่ยึดติดกับรากฐาน คือ คำสอนของอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ ย่อมทำให้คริสตจักรแข็งแรง
คริสตจักรคือผู้เชื่อจะไม่ถูกคำสอนเทียมเท็จต่าง ๆ ล่อลวงให้ล้มลง เพราะยืนอยู่บนหลักความจริงในพระวจนะอย่างมั่นคง

ดังนั้น คริสตจักรแบบอัครทูตต้องถูกวางรากฐานบนคำสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า และผู้เผยพระวจนะจะเป็นผู้อธิษฐานฟังพระสุรเสียงพระเจ้าและขับเคลื่อนคริสตจักรตามการทรงนำของพระวิญญาณฯ

ระดับที่สาม คือ ระหว่างก้อนอิฐกับก้อนอิฐด้วยกัน

หมายถึงระหว่างพี่น้องคริสเตียนด้วยกันที่มีความรักผูกพันอย่างเป็นหนึ่งเดียว
เราแต่ละคนจึงเป็นเสมือนก้อนอิฐแต่ละก้อน ที่ไม่ได้เพียงนำมากองรวมกันไว้ แต่เป็นก้อนอิฐหรือก้อนหินที่ถูกก่อขึ้นเป็นพระวิหารในฝ่ายวิญญาณ

1 ปต.2:5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

เราทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการสร้างพระวิหารฝ่ายวิญญาณ เพราะเราทุกคนเป็นก้อนอิฐที่เป็นวัสดุที่สำคัญในการสร้างพระ
วิหารของพระเจ้า เราจึงมีส่วนร่วมในการสร้างคริสตจักรไม่สามารถขาดกันและกันได้


3.2 วิหารอันบริสุทธิ์ (ข้อ 21ข) The Holy Temple
21 ...และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า


พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ วิหารของพระองค์ก็ต้องบริสุทธิ์ด้วย เราทั้งหลายที่เป็นวิหารของพระองค์จะต้องรับการชำระอย่างต่อเนื่องเพื่อจะเจริญขึ้นสู่การเป็นพระวิหารฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ วิหารที่บริสุทธิ์เป็นวิหารที่พระเจ้าใช้การได้ (2 ทธ.2:15-21)

3.3 วิหารแห่งการทรงสถิต (ข้อ 22) The Temple where God is present
22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย


พระเจ้าสร้างพระวิหารเพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ (2 คร.6:16) พระวิหารฝ่ายวิญญาณคือ ที่แห่งการทรงสถิตของพระเจ้าบนโลกนี้ ชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคนเป็นที่สถิตของพระเจ้า (1 คร.3:16) ผู้เชื่อจึงต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์

ในวันนี้ เราจะต้องสร้างพระวิหารในฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นจาก วิธีการที่ถูกต้อง คือ การวางรากฐานตามหลักข้อเชื่อหรือหลักคำสอนที่พระเจ้าสำแดงต่ออัครทูตและผู้เผยพระวจนะบนพระวจนะของ พระเจ้า ให้พระเยซูทรงเป็นศิลามุมเอกที่ยึดพระวิหารหลังนี้อย่างมั่นคง ใช้วัสดุที่ถูกต้อง คือผู้เชื่อที่เป็นศิลาที่มีชีวิต นำมาเรียงต่อกันอย่างแข็งแรง เป็นวัสดุที่บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิ
และสิ่งที่สำคัญคือ การสร้างที่มาจากแรงจูงใจ คือ การให้เป็นพระวิหารแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์

พระคริสต์ทรงตั้งพระกาย เราทั้งหลายรวมตัวกันเข้า
แข็งแกร่งดุจดั่งขุนเขา ยืนหยัดแม้โลกมืดมน
หากเราทุกคนร่วมแรง สำแดงความรักทุกหน
โลกนี้จะได้ยินยล รักพระองค์ยิ่งใหญ่เพียงไร

13 มิถุนายน 2553

การตอบสนองของคริสเตียนต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน

ผมได้มีโอกาสไปร่วมการประชุมของผู้นำคริสตจักรต่างๆทั่วประเทศไทย ในการประชุมแผนชาติปี 2010 จัดโดยคณะกรรมการเพื่อการประกาศและการเพิ่มพูนคริสตจักร(กปพ.) ครั้งนี้ประชุมที่คริสตจักรมหาพร รังสิต สามารถเข้าชมกิจกรรมและข่าวสารได้ใน
http://www.thaivision2010.com/

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมเป็นการสรุปผลงานที่ผ่านมาและการประสานงานเพื่อเสริมสร้างคริสตจักรต่างๆ ซึ่ งเป็นสิ่งที่ดีมากที่แต่ละคริสตจักรจะมีส่วนช่วยกันในการรับใช้พระเจ้า ในครั้งนี้ อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ประธานกปพ.
ได้แบ่งปันในหัวข้อ การตอบสนองของคริสเตียนต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งมาจากแบบอย่างชีวิตของท่านที่น่าประทับใจมากผมจึงได้นำความสอนของท่านมาเรียบเรียงใหม่และนำมาแบ่งปันครับ

จากสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเหมือนสัญญาณเตือนสำหรับคริสเตียนให้ตื่นตัวเพราะช่วงสุดท้ายของยุคสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้ว การตื่นตัวไม่เใช่การตื่นตระหนก ต้องตระหนักมากขึ้นในการอธิษฐานเผื่อบ้านเมืองและทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการเป็นเกลือและแสงสว่างในโลกนี้(มัทธิว 5:13-16) คริสตชนไม่ควรเก็บตัวอยู่แต่ในคริสตจักรเท่านั้นแต่ต้องออกไปมีส่วนในสังคมโลกนี้ ข้อคิดการตอบสนองของคริสเตียนต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน
(A-G)

A-Agile (อะไจล์):ว่องไวตอบสนองทันที

ความหมายจาก Longman Dictionary

1 able to move quickly and easily:สามารถย้ายอย่างรวดเร็วและง่ายดาย

2 someone who has an agile mind is able to think very quickly and intelligently:
คนที่มีใจปราดเปรียวสามารถคิดอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด

Agile (อะไจล์)ไม่ใช่ตกใจ เพราะ "ตกใจ" จะควบคุมตนเองไม่ได้ บางกลุ่มคนรอตกใจและไปทำสิ่งไม่ดีเช่นตกใจและไปขโมยของในห้าง ตกใจและไปเผาอาคารบ้านเรือน

คริสเตียนตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตระหนกเพราะทราบดีว่าทุกสถานการณ์พระเจ้าทรงควบคุมอยู่ในทุกสถานการณ์

การตอบสนองแบบว่องไวตอบสนองทันที เหมือนอ.เปาโลที่จึงหาโอกาสทันทีในการไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า

กิจการของอัครทูต 16:10 ครั้นท่านเห็นนิมิตนั้นแล้ว เราจึงหาโอกาสทันทีจะไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ด้วยเห็นแน่ว่า พระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวแคว้นนั้น

ดังนั้นคริสเตียนต้องใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะสถานการณ์ทางการเมืองทำให้คนเปิดใจ ต้องการการเยียวยารักษาจิตใจ ข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่จะทำให้คนได้พบความจริง และพระเจ้าจะเป็นคำตอบในชีวิตของคนเหล่านี้
การตอบสนองแบบรวดเร็วไม่ใช่ไม่ไตร่ตรองแต่ต้องมากจากความรอดคอบด้วย
ฉะนั้นให้เราทำสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว รอบคอบ มีประสิทธิภาพ และเกิดผลสูงสุดในอาณาจักรพระเจ้า

B-Beneficial(เบเนฟิคเชียล):ทำดีเป็นกุศล

ความหมายจาก Longman Dictionary

1.having a good effect [≠ detrimental]: มีผลดี

2.beneficial to/for (=it has advantages for everyone who is involved:มีประโยชน์สำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

3.Helpful, favorable,useful:เป็นประโยชน์ดีมีประโยชน์

Beneficial(เบเนฟิคเชียล):ทำดีเป็นกุศล คือออกไปทำดี คำว่า "กุศล" คือ ทำดีเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตัว ทำดีไม่สร้างภาพ แม้จะมีจะมีการถ่ายภาพ เพราะการสร้างภาพเป็นการทำดีแบบฉาบฉวยไม่ได้มาจากส่วนลึกในจิตใจที่สำแดงออกมา

แม้คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าก็ทำดี เพื่อต้องการรับบุญกุศล ไปสู่ความรอด(ไปสวรรค์) แต่คริสเตียนได้รับความรอดมาโดยพระคุณเพราะความเชื่อ แต่การทำดีมาจากท่าทีใหม่ ไม่ใช่ทำดีเพื่อรับควมรอด แต่เรารอดแล้วจึงทำความดี การกระทำ(doing)มาจากความเป็นตัวตน(being)ที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนท่าทีภายในของเราสะท้อนพระลักษณะคุณงามความดีของพระองค์

เอเฟซัส 2:8-10
8ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ


ทิตัส 3:8 คำนี้เป็นคำจริง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์กระทำการดีการเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง

C-Collaborative (คอแลบบอเรทีพ):รวมพลร่วมแรง

ความหมายจาก Longman Dictionary

1.a job or piece of work that involves two or more people working together to achieve something : งานหรือชิ้นงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสองคนทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุสิ่งที่

ปัญญาจารย์ 4:9 สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี

พระคัมภีร์กล่าวว่าได้รับผลดี ถ้าร่วมมือกัน มีสุภาษิตไทยกล่าวว่า “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ตายเดียว" แต่บางท่านอาจจะให้ความคิดใหม่ว่า "รวมกันตายหมู่ แยกหมู่ตายเดียว" หรือ "รวมกันวุ่นวาย แตกกันตายดีกว่าอยู่"
ดังนั้นหลักการพระเจ้าจึงกล่าวว่า “สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ นอกจากทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน"(อาโมส 3:3) การตกลงกัน คือ การพูดกัน ฟังกัน จะทำให้เข้าใจกัน และจะสามารถทำงานด้วยกันได้ดี
เพราะการรวมกลุ่มร่วมกันรับใช้พระเจ้า จะได้ผลดีของงานที่ทำ

คริสตจักรต่างๆ ควรจะร่วมกันรับใช้ ดีกว่าแย่งกันรับใช้

สมการคณิตศาสตร์ของการรับใช้ เป็นดังนี้ครับ

ร่วมกันรับใช้ 1+1 > 2
แย่งกันรับใช้ 1+1 < 2

D-Different (ดิเฟอร์เร้นท์): กล้าสำแดงแตกต่าง

ความหมายจาก Longman Dictionary

1.not like something or someone else, or not like before [≠ similar]ไม่เหมือนสิ่งใดหรือผู้อื่นหรือไม่เหมือนสิ่งก่อน [≠] คล้ายกัน

2.unusual, often in a way that you do not like:ผิดปกติมักในแบบที่ไม่เหมือน

พระเจ้าทรงให้คริสเตียนมีความแตกต่าง เพราะพระองคืได้เรียกเราออกจากโลกนี้ เพื่อมาอยู่ในชุมชนของพระเจ้า คือ คริสตจักร
แม้เราอยู่ในโลกนี้ แต่เราไม่ใช่ของโลกนี้ เพราะพระเจ้าให้เราไม่เหมือนโลกนี้ และเราจะเห็นผลปลายทางที่แตกต่างระหว่างคนของพระเจ้าและคนอธรรมได้

มาลาคี 3:18 แล้วเจ้าจะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและคนอธรรมระหว่างคนที่ปรนนิบัติพระเจ้ากับคนที่ไม่ปรนนิบัติพระองค์ได้อีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้นคริสเตียนต้องสำแดงความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก เราไม่ควรนิ่งดูดาย นอนหลับทับสิทธิ์ฝ่ายวิญญาณ เราสามาถแสดงความคิดเห็นของเราตามหลักการพระเจ้าได้ในระบบประชาธิปไตย
คริสเตียนควรเข้าไปมีอิทธิพลที่ดีในวงการต่างๆ เช่น สื่อสารมวลชน,การเมืองการปกครอง,เศรษฐกิจ,การศึกษา,ชุมชนต่างๆเป็นต้น

E-Economical(อีคอนอมิคอล):สรรสร้างคุณค่า

ความหมายจาก Longman Dictionary

1.using money, time, goods etc carefully and without wasting any [↪ economic]:
เวลาใช้เงินอย่างละเอียดและสินค้าอื่น ๆ โดยไม่สูญค่า] [↪เศรษฐกิจ :

2.economical with the truth :ประหยัดบนความเป็นจริง (เศรษฐกิจพอเพียง)

การสรรสร้างคุณค่าใช้สิ่งต่างๆให้คุ้มค่า เกิดผลสูงสุดในอาณาจักรพระเจ้า ดังนั้นคริสเตียนควรจะทำหน้าที่เป็นผู้อารักขาที่ดีในโลกนี้ ไม่ใช่ปล่อยโลกนี้ไปปและไม่สนใจมุ่งแต่ทางธรรมอย่างเดียว


เอสรา 7:17-20
17 แล้วด้วยเงินนี้เจ้าจงขยันขันแข็งซื้อวัวผู้แกะผู้และลูกแกะ กับธัญญบูชาคู่กันและเครื่องดื่มบูชาคู่กัน และเจ้าจงถวายสิ่งเหล่านี้บนแท่นบูชาของพระนิเวศแห่งพระเจ้าของเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
18 ส่วนเงินและทองคำที่เหลืออยู่นั้นเจ้าและพี่น้องของเจ้าเห็นดีที่จะทำประการใดก็จงกระทำเถิด ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าของเจ้า
19 และเครื่องใช้ซึ่งได้มอบให้เจ้าสำหรับการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้าของเจ้า เจ้าจงมอบถวายไว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าแห่งเยรูซาเล็ม
20 และสิ่งใดๆ ซึ่งยังต้องการสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเจ้าซึ่งเจ้าจะต้องจัดหานั้น เจ้าจงจัดหาด้วยเงินพระคลังของพระราชา
คริสเตียนสามารถมีส่วนร่วมในการรักษาโลกนี้ได้เช่น ช่วยรณรงค์สนใจสิ่งแวดล้อม ช่วยกันลดโลกร้อน การทำสิ่งที่ดีเพื่อสังคม เป็นต้น ซึ่งเราสามารถสรรสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้


F-First(เฟริส์ท):อาสาก่อนใคร

ความหมายจาก Longman Dictionary

1.coming before all the other things or people in a series:มาก่อนทุกสิ่งอื่น ๆ หรือคนในชุด :
for the first time

2.used to say that something has never happened or been done before:
ที่ใช้ในการบอกว่าสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นหรือได้มาก่อน

2โครินธ์ 10:14 การที่มาถึงท่านนั้น มิใช่โดยการล่วงขอบเขตอันควร เราเป็นพวกแรกที่นำข่าวประเสริฐของพระคริสต์มาประกาศแก่ท่าน

ปฐมกาล 45:5 แต่บัดนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต


คริสเตียนควรจะมีท่าทีเหมือนอ.เปาโลและโยเซฟ ที่ใช้โอกาสในการนำพระคุณความรักของพระเจ้าไปสู่ชุมชน เป็นคนที่อาสาตัวออกไปก่อนเพื่อเตรียมการช่วยเหลือให้คนอื่น

ฉะนั้นเราน่าจะเป็นคนแรกที่เข้าไปนำการช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อประสบปัญหา ได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที่

G-God Glorifying:พอพระทัยถวายพระเกียรติ

ความหมายจาก Longman Dictionary

1.the spirit or BEING who Christians, Jews, Muslims etc pray to, and who they believe created the universe
วิญญาณหรือเป็นคริสเตียนที่, Jews, มุสลิม ฯลฯ การสวดมนต์และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าการสร้างจักรวาล

2.to make someone or something seem more important or better than they really are:
to praise someone or something, especially God
เพื่อให้คนหรือสิ่งที่ดูเหมือนสำคัญหรือดีกว่าพวกเขาจริงๆคือให้คนสรรเสริญหรือบางอย่างโดยเฉพาะพระเจ้า

การกระทำทุกสิ่งที่ทำ คริสเตียนต้องทำเพื่อถวายพระเกียรติพระเจ้า

1โครินธ์ 10:31 เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทานจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

สรุป

คริสตเตียนควรสนใจในเหตุการณ์ รู้กาลเวลาว่องไวตอบสนองทันที อาสาก่อนใครเข้าไปทำดีให้เป็นการกุศล ร่วมรวมพลร่วมแรงให้แข็งขันช่วยกันกล้าสำแดงความแตกต่าง สรรสร้างคุณค่าในสังคม เพื่อเป็นพอพระทัยถวายพระเกียรติพระเจ้า
……………………….

12 มิถุนายน 2553

Kaka นักฟุตบอลคริสเตียน



(บทความนี้ลงในข่าวคริสตชน เมื่อวันที่ 21มิ.ย.2010)http://groups.google.com/group/christianthai/browse_frm/thread/be087808e84cffc1#

บอลโลกเริ่มแล้ว วันนี้ขอแนะนำทีมฟุตบอลหนึ่งที่ผมเชียร์ทุกครั้งในบอลโลก คือ บราซิล ในครั้งนี้ขอแนะนำให้รู้จักนักเตะสุดหล่อคนหนึ่ง คือ

ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต้ (Ricardo Izecson dos Santos Leite) หรือรู้จักกันในชื่อ ริคาโด้ กาก้า (Ricado Kaká) เป็นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิล ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอลรีลมาดริด สวมเสื้อหมายเลข 8


ริคาโด้ กาก้าเกิดเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 1982ในบราซิเลีย ประเทศบราซิล

คำพยานชีวิต kaka

เนื่องจากเกิดและโตในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แตกต่างจากนักเตะคนอื่นๆ ในทีมที่มาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะยากจน แต่ความแตกต่างทางฐานะก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดเนื่องจากกาก้า เองก็มีความรักในนักฟุตบอลอาชีพ และทุ่มเทเพื่อความฝันไม่น้อยกว่าใคร

ในกันยายน ปี 2000 เมื่อ กาก้าอายุได้ 18 ปี เขาเกือบจะจบเส้นทางลูกหนังของเขาไปแล้ว เมื่อประสบอุบัติเหตุในขณะที่กระโดดน้ำมาจากสปริงบอร์ด แต่ลงผิดจังหวะ ทำให้ข้อกระดูกสันหลังแตกจนทำให้เกือบเป็นอัมพาต ในช่วงนั้นเขา พักเยียวยาตัวเอง และเมื่อวันอาทิตย์มาถึง ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าโบสถ์บ่อยกว่าเดิม

หลังจากนั้น1 ปี อาการบาดเจ็บดังกล่าวก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง และกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง ในเกม ทอร์เนโร่ ริโอ นัดชิงชนะเลิศ โดยโค้ชส่งเขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในช่วง 14 นาทีสุดท้าย ที่ทีมต้นสังกัด เซาเปาโล ตามหลังคู่แข่งอยู่ 1ประตู และจากการตัดสินใจของโค้ช เซาเปาโล ที่ส่ง กาก้า ลงสนามนั้น ผู้บรรยายในสนาม Commenter ที่กำลังบรรยายเกมอยู่ถึงกับพูดออกมาว่า “ โค้ช เซาเปาโล นั้นต้องบ้าแน่ๆ “ แต่หลังจากนั้น 2 นาที กาก้า ก็จัดการปิดปากผู้บรรยายรายนี้ด้วยการยิง 2ประตูช่วยให้ทีมพลิกมาคว้าชัยได้อย่างเหลือเชื่อ กาก้า ให้เหตุผลการกลับมาในครั้งนี้ว่า “ เป็นผลมาจากการที่เขาเข้าโบถส์บ่อย จนได้รับของขวัญจากพระเจ้า “

และหลังจากวันนั้นชีวิตก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะพระเจ้าที่เขาเชื่อมีแผนการที่ดีต่อเขา จากอุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ความเชื่อ และวางใจของเขาที่มีต่อพระเยซูยิ่งเพิ่มพูน จนกลายเป็นความเชื่อที่เข้มแข็ง จะเห็นได้ว่า เมื่อทุกครั้งที่เขายิงประตูได้ เขาจะชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้าที่ช่วยเหลือการยิงแต่ละลูกของเขา และมากไปกว่านั้น หากแมชท์นั้นเป็นการแข่งขันในระดับสำคัญของประเทศ สโมสร หรือระดับโลก เช่น ในปี 2004 คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา กับเอซี มิลาน คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในปี 2002 ให้กับทีมชาติบราซิลที่ประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น (นักฟุตบอลทีมชาติบราซิลชุดนี้ เกินครึ่งเป็นคริสตเตียนที่เข้มแข็ง) เป็นต้น

เขากล้าแสดงออกมากกว่าใครๆด้วยการถอดเสื้อของโมสรออก แล้วโชว์เสื้อยืดอีกตัวที่เขาสวมไว้ข้างใน ซึ่งมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า

“ I Belong to Jesus หมายถึง ชีวิตผมเป็นของพระเยซู”

สิ่งนี้แสดงถึงจิตใจภายในตัวกาก้าว่า เขามีความมั่นคงในพระเยซู เป็นคริสตเตียนแท้ ที่กล้าจะแสดงจุดยืนในความเชื่อของเขา และนอกจากนี้ยังสามารถพิสูจน์ได้อีกว่าเขามีชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้าอย่างแน่นแฟ้น จนพระเจ้าอวยพรเขาให้เป็นหัวมิใช่หาง ตามที่พระองค์ทรงสัญญาต่อคนที่รักพระองค์ ไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ..... "จะเกิดผลดีในทุกสิ่ง"....

08 มิถุนายน 2553

คนล้ม อย่าห้าม

(บทความนี้ลงในข่าวคริสตชน วันที่ 16 มิ.ย.2010)

คนล้มอย่าห้าม (คนไม่ล้มอย่าผลักดัน)

สุภาษิตไทยกล่าวว่า "ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม" หมายถึง อย่าดูถูกหรือซ้ำเติมคนที่พลาด ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากในชีวิตของแต่ละคนย่อมมีความผิดพลาดกันได้ ไม้ล้มอาจจะข้ามได้ แต่คนล้มไม่ควรซ้ำเติม เพราะล้มได้ เขาสามารถลุกขึ้นมาได้

สุภาษิต 24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก...

ในประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมก็ได้พบเห็นหลายคนที่ล้มลงและลุกขึ้นยืนได้ และเมื่อลุกขึ้นครั้งใหม่ ทำให้ยืนอย่างมั่นคงมากขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้รับฟังพี่น้องในคริสตจักรหลายท่าน ที่มีประสบการณ์ล้มในพระวิญญาณฯ แล้วมีชีวิตที่ดีขึ้นก็รู้สึกประทับใจ
ประสบการณ์ล้มในพระวิญญาณฯ ก็ยังเป็นประเด็น Talk of the town ของแวดวงคริสเตียน นักวิชาการพระคัมภีร์บางท่านก็ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อเรื่องการล้มในพระวิญญาณฯ

สำหรับผมคิดว่าความคิดเห็นแต่ละท่านอาจจะแตกต่างกันบ้างก็ไม่เป็นไร หากไม่เชื่อก็อย่าไปดูหมิ่นคนที่ล้มเลย เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้น คือ บางคนก็อาจจะมีประสบการณ์สัมผัสพระเจ้าที่แตกต่างกันไป ประสบการณ์ก็ไม่ได้เป็นหลักการ ไม่ใช่ทุกคนจะต้องล้มทุกครั้งที่มีคนมาวางมือ เพราะบางคนล้มมาจากหลายสาเหตุ เช่นมีความบาดเจ็บต้องรับการเยียวยารักษาใจ (Inner healing)
เปรียบเทียบคนเจ็บต้องการหมอผ่าตัด การผ่าตัดหมอก็ต้องวางยาสลบเพื่อผ่าตัด

ฉะนั้นคนจะล้มก็อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่าอาการ ก็คือ ผลที่ตามมาหลังจากนั้น เราดูต้นไม้จากผล หากมาจากพระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะนำมาผลพระวิญญาณ(กท.5:22-23)ตามมา

ผมได้อ่านบทความในเรื่องนี้ ผู้เขียนบอกว่า เรื่องการล้มในพระวิญญาณฯ ผลการศึกษาพระคัมภีร์ปรากฎว่า "ไม่มีเลย" และไม่ควรนำมาปฏิบัติในที่ประชุม

สำหรับความคิดของผมด้วยความเคารพ เราไม่สามารถกล่าวในเรื่องที่ไม่อยู่ในพระคัมภีร์ว่า "สิ่งนั้นไม่มีเลย" เพราะเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ บางเรื่องพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บันทึกไว้ แม้แต่เรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็ยังมีหลักฐานมากมายนอกเหนือจากพระคัมภีร์ว่าพระเยซูเป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์

ยอห์น 20:30 พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายประการต่อหน้าสาวกเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้

หากจะบอกว่าอะไรไม่มี ต้องไปค้นคว้าและศึกษามากจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี สำหรับเรื่องประสบการณ์พระวิญญาณที่เราศึกษาจากพระคัมภีร์ ก็มีอาการหลายประการ การล้มในพระวิญญาณก็เป็นส่วนหนึ่งในอาการที่แสดงออกมา

ฉะนั้นจึงไม่ควรสรุปความคิดเห็นในเรื่องของอาการที่แสดง น่าจะยึดในหลักการว่าพระเจ้าทรงสถิตและผู้เชื่อจะมีประสบการณ์ต่างๆ แต่ที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์คือ เรื่องการพูดภาษาพระวิญญาณ หรือในความเข้าใจของคนทั่วไปคือภาษาแปลกๆ ซึ่งมีการเหมือนอาการเมาเหล้าองุ่น

กิจการของอัครทูต 2:10-13 13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า "คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่"

สาเหตุที่พระคัมภีร์เน้นเรื่องการพูดภาษแปลกๆ จนทำให้คริสเตียนกลุ่มหนึ่งเข้าใจว่า การพูดภาษาแปลกๆ จากการบัพติศมาในพระวิญญาณนั้น จะเป็นหมายสำคัญอย่างเดียว
พระคัมภร์ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่าเป็น spiritual gift แต่ไม่ได้หมายถึง หมายสำคัญ(sign) เพียงอย่างเดียว เมื่อมีการรับบัพติศมาในพระวิญญาณยังมีอีกหลายอย่างประกอบกัน
ยังมีอีกเช่น การเผยพระวจนะ การบัพติศมาในพระวิญญาณ จึงมิได้มีการพูดภาษาแปลกๆ อย่างเดียวเท่านั้นตามที่เราคุ้นเคย ดังนั้นการบันทึกภาษาแปลกๆ อาจเป็นเพราะนี่เป็นของประทานพระวิญญาณ(Spiritual gifts) และภาษาแปลกๆ ทำให้ผู้นั้นจำเริญ

1โครินธ์ 14:4 ฝ่ายคนที่พูดภาษาแปลกๆนั้นก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น

ส่วนที่ไม่ได้บันทึกไว้ เพราะอาการต่างๆ เมื่อเกิดขึ้นจากการมีประสบการณ์มีเยอะ เมื่อพระเยซูส่งสาวกไปรับใช้ในที่ต่างๆ มีการเจิมอยู่กับเหล่าสาวกแม้ ณ ขณะนั้น เหล่าผู้เชื่อยังไม่ได้รับการเต็มล้นในพระวิญญาณ (ลก.10) ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ เป็นอาการ เป็นประสบการณ์ และเห็นได้ทั่วๆ ไปในที่ประชุมจนคุ้นเคย

แม้ในยุคคริสตจักรสมัยแรก การอัศจรรย์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะพระเจ้าทรงใช้คนของพระองค์

กิจการของอัครทูต 19:11 พระเจ้าได้ทรงกระทำอิทธิฤทธิ์อันพิสดารด้วยมือของเปาโล


ประสบการณ์การเต็มล้นในพระวิญญาณเป็นขบวนการชำระ (Sanctification)เมื่อเราเชื่อพระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว แต่รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นการเต็มล้นที่พรั่งพรูออกมา เหมือนเทน้ำจนล้นออกมาจากแก้ว

นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังพุดถึงการบัพติศมาด้วยไฟ ซึ่งเป็นการชำระชีวิตอย่างต่อจนไปสู่ความไพบูลย์เหมือนกับพระเจ้า
(Entire Sanctification)

มัทธิว 3:11 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ

ดังนั้นนักวิชาการหลายท่านมักจะเลือกปฏิบัติรับแต่เรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณแต่ไม่รับเรื่องไฟทั้งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ รวมถึงบางครั้งไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์และไม่รับเรื่องประสบการณ์ในพระวิญญาณ


ข้อพิจารณากลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องการล้มในพระวิญญาณ

1.หากเราเชื่อเรื่องพระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ได้ทุกสิ่ง ทำไมเราไม่เชื่อเรื่องประสบการณ์ล้มในพระวิญญาณ เพราะพระเจ้าทรงฤทธานุภาพ เมื่อพระเจ้าทรงกระทำให้คนเต็มล้นในพระวิญญาณและมีการอาการต่างๆ แต่กลับไม่เชื่อว่ามาจากพระเจ้า

2.บางครั้งไม่เชื่อเรื่องการล้มในพระวิญญาณ แต่บางท่านพยายามห้ามไม่ให้ผู้นำคริสตจักรที่เชื่อเรื่องนี้มาเทศนาหรือวางมือในคริสตจักรของตน เนื่องจากกลัวว่าว่าสมาชิกคริสตจักรของตนจะล้มในพระวิญญาณ หากไม่เชื่อจะห้ามทำไม เพราะถ้าเชื่อว่าไม่มีการล้มในพระวิญญาณ ต่อให้วางมือเท่าไหร่คนก็จะไม่ล้ม

3.หากไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ก็น่าจะเฉยไว้ หากออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่มี แล้วเกิดวันหนึ่งพระเจ้าอนุญาตให้เกิดประสบการณ์นี้กับตนเอง จะกล่าวว่าอย่างไร มีตัวอย่างผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงหลายท่านมีประสบการณ์เช่น

Charles G Finney

ในชีวประวัติของ Charles G Finney ได้กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในการประชุมของเขา ในเวลานั้นเขาเป็น Presbyterian และในกลางวันของวันอาทิตย์หนึ่ง ในเมือง Utica New York
ระหว่างที่เทศนาไปได้ สิบห้านาที เริ่มมีคนล้มจากเก้าอี้ไปบนพื้น พวกเขาเหมือนกับคนตาย หลังจากนั้นสักพัก คนสี่ร้อยคนล้มไปบนพื้น ภายใต้ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ Finney รู้ภายหลังว่า คนเหล่านั้นคือ คนที่ไม่เชื่อ และได้รับความรอดในวันนั้น

George Whitefield

ได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1740 ว่า George Whitfield เป็นผู้ช่วยของ John Wesley เมื่อเขาเทศนาฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมา คนจะล้มลง นี่เป็นความจริงในประวัติศาสตร์
มีข้อมูลบันทึกว่า ครั้งหนึ่ง Whitefield เทศนาอยู่ที่จตุรัสแห่งหนึ่งในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซส มีคนหนุ่มหลายคนปีนไปบนต้นไม้ต่าง ๆ รอบจัตุรัส ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นเทศนา เขาได้กล่าวว่า

“พี่น้องขอให้ลงมาจากต้นไม้ทั้งหมด เพราะว่าเมื่อผมเริ่มเทศน์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมา และท่านทั้งหลายจะหล่นลงมา” พวกเขาจึงลงมาจากต้นไม้ และเมื่อ Whitefield เริ่มต้นเทศนา คนก็เริ่มล้มลงบนพื้นทั่วทั้งจตุรัส


4.การตีความพระคัมภีร์ในเรื่องของบุคคลในพระคัมภีร์ เช่น อับราฮัม เอเสเคียล โยชูวาที่มีประสบการณ์ สัมผัสกับพระเจ้าซบหน้าลงถึงดินว่าเป็นรูปแบบการนมัสการอย่างหนึ่ง

ซึ่งหลักการตีความพระคัมภีร์ที่บันทึกเหตุการณ์ เป็นการตีความตามตัวอักษร(Literal) พระคัมภีร์ว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นพระคัมภีร์ว่า ท่านเหล่านี้ล้มลงหน้าลงถึงดิน กลับตีความว่าเป็นการนมัสการ เนื่องจากทัศนคติที่ไม่เชื่อว่าเป็นการล้มลงในพระวิญญาณ

ในหลักการแล้ว แม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้ผู้เชื่อล้ม แต่ได้มีตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่คนล้มลงต่อพระพักตร์ของพระองค์ เมื่อได้สัมผัสพระสิริของพระองค์ ฉะนั้นจึงเป็นประสบการณ์ของแต่ละท่าน แต่หลักการคือเมื่อสัมผัสพระเจ้าจะมีผลกับชีวิต แสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ

เมื่อพระเจ้าทรงสัมผัสคนของพระองค์อย่างมาก คนจะไม่สามารถยืนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม คริสตจักรไม่ได้ส่งเสริมให้ใครล้มเป็นพิธีกรรม แต่ควรอธิษฐานให้พระวิญญาณเคลื่อนไหวและเติมเต็มในชีวิตคนนั้น

นอกจากนี้ เราเห็นบางคนที่บันทึกในพระวจนะอยู่ในภาวะที่ยืนอยู่ไม่ได้ ต้องก้มกราบ ทรุดตัวลง ซบหน้าลงถึงพื้น ในภาษาอังกฤษใช้ว่า fell face down เช่น

Numbers 20:6 (kjv) And Moses and Aaron went from the presence of the assembly unto the door of the tabernacle of the congregation, and they fell upon their faces: and the glory of the Lord appeared unto them.

กันดารวิถี 20:6 แล้วโมเสสและอาโรนออกจากที่ประชุมไปที่ประตูเต็นท์นัดพบและซบหน้าลง และพระสิริของพระเจ้าปรากฏแก่เขา


เอเสเคียล
อสค.3:23-24
23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และนี่แน่ะพระสิริของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น อย่างเดียวกับพระสิริ ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
24 แต่พระวิญญาณได้เสด็จเข้าในข้าพเจ้ากระทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าและทรงบอกข้าพเจ้าว่า "จงไป ขังตัวเจ้าไว้ภายในเรือนของเจ้า


อสค.44:4
แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางของประตูเหนือมาที่ข้างหน้าพระวิหารและข้าพเจ้ามองดู และดูเถิด พระสิริของพระเจ้าก็เต็มพระวิหารของพระเจ้า และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน


ดาเนียล
ดนล.8:16-18
16 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงของชายผู้หนึ่งระหว่างฝั่งแม่น้ำอุลัย และเสียงนั้นร้องเรียกและกล่าวว่า "กาเบรียลเอ๋ยจงทำให้ชายผู้นี้เข้าใจในนิมิตนั้นเถิด"
17 ดังนั้นท่านจึงมาใกล้ที่ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ และเมื่อท่านมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ตกใจซบหน้าลงถึงดิน แต่ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "โอ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเข้าใจเถิดว่า นิมิตนั้นเป็นเรื่องของกาลอวสาน"
18 เมื่อท่านกำลังพูดอยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็สลบหน้าติดดินอยู่ แต่ท่านแตะต้องข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น


ยอห์นในนิมิต

วว.1:17 เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว แต่พระองค์ทรงแตะตัวข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วตรัสว่า "อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย

สาเหตุการ ล้มในพระคัมภีร์นั้นมีแตกต่างกันไป ตั้งแต่การที่พระเจ้าทำให้มนุษย์ล้มลงด้วยความกลัวในความบริสุทธิ์ (holy fear)และการถูกบังคับให้ล้มลงนอนเนื่องจากความเย่อหยิ่งและกบฏของมนุษย์ (เช่นเซาโล กจ.9 ที่ถนนดามัสกัส)

หากเราศึกษาเรื่องการทรงสถิตของพระเจ้า พระสิริของพระองค์ปกคลุุม คำว่า "พระสิริ" ภาษาฮีบรู ใช้คำว่า “kabowd” (คาล-โบต) ซึ่งหมายถึง “สิ่งที่หนัก” หรือ "น้ำหนักที่กดทับ" เมื่อพระเจ้าสัมผัสคนของพระเจ้าเป็นไปได้มากเลยที่คนจะยืนอยู่ไม่ได้ตกทรุดตัวลง ดังเช่นที่บันทึกเหตุการณ์ในพระคัมภีร์หลายตอน

โดยสรุปคือ หากพิจาณาจาก 3 หลักคือ ตามหลักการพระคัมภีร์ (Bibical),ประวัติศาสตร์(Historical)และประสบการณ์(experience)ของบุคคลทั่วไปและที่บันทึกในพระคัมภีร์ จึงสรุปได้ว่า ประสบการณ์การล้มในพระวิญญาณมีจริง
และสมเหตุสมผลตามที่กล่าวมา

ในภาคปฎิบัติคงไม่ใช่เป็นหลักการที่จะมาสอนวิธีการล้ม แต่คริสตจักรควรจะสอนในเรื่องการรองรับประสบการณ์ในพระวิญญาณของพระเจ้า ยกตัวอย่างเราเชื่อว่าพระเจ้าจะทำให้ฝนตกเมื่อเราอธิษฐานขอ สิ่งที่เราต้องเตรียมทำคือเตรียมภาชนะรองรับไว้

สิ่งที่คริสตจักรควรจะเตรียมคือ

1.เตรียมใจ สอนให้คนเปิดใจไม่ปิดกั้นประสบการณ์ ไม่ดับพระวิญญาณ หากพระองค์จะทำสิ่งใดขอให้พระองค์และเราควรจะตอบ สนองตามพระวิญญาณ

2.เตรียมพร้อม ในเรื่องการรองรับ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ควรมีการสอนการวินิจฉัยว่า สิ่งใดมาจากพระเจ้า มาจากมาร และสิ่งใดมนุษย์เป็นผู้กระทำ เพราะอาการอาจจะคล้ายคลึงกัน เช่นการเต็มล้นในพระวิญญาณ บางคนมีการคล้ายกับคนเมาเหล้า (กจ2) เราสามารถดูได้จากผลที่ตามมา หากมาจากพระเจ้าจะสะท้อนพระลักษณะของพระองค์
นอกจากนี้ต้องมีการจัดระบบระเบียบคริสตจักร(1คร.14)การจัดระบบไม่ได้ควบคุมพระวิญญาณแต่เป็นการสร้างบรรยากาศให้คนตอบสนองพระวิญญาณได้ง่ายขึ้น

3.เตรียมการเก็บเกี่ยว เมื่อพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวด้วยพระวิญญาณของพระองค์สิ่งที่จะตามมาคือการเกิดผล ดังนั้นให้เรารับใช้ด้วยฤทธานุภาพตามของประทานพระวิญญาณของพระองค์

ผมขอสรุปส่งท้ายไว้ดังนี้ว่า เราไม่สามารถตัดสินคนได้โดยดูจากภายนอก เพราะพระเจ้าทรงให้เรามองที่จิตใจ (1ซมอ.16:7)
อาการต่างๆที่แสดงออกมาจากประสบการณ์พระวิญญาณ เราต้องดูที่ผลที่จะตามมาทั้งผลพระวิญญาณทีทำให้ชีวิตที่เปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้ามากขึ้น หรือ การรับใช้ที่สำแดงของประทานพระวิญญาณโดยฤทธานุภาพของพระองค์

ขอพระวิญญาณทรงเคลื่อนเถิดและเราจะไปตามการทรงนำของพระองค์

คนที่ไม่มีประสบการณ์อะไรแต่มีสัมผัสพระเจ้ามีสันติสุข ก็ขอบพระคุณพระเจ้า

ประสบการณ์เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่หลักการ

1.ประสบการณ์ไม่ได้เป็นตัววัดการเติบโตฝ่ายวิญญาณจึงไม่ควรเปรียบเทียบกับผู้อื่น
2.การไม่มีประสบการณ์ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่สถิตกับเรา
3.ประสบการณ์มาจากพระเจ้า เราไม่ควรแกล้งทำ
4.การมีประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าต้องมีประสบการณ์นั้นตลอดไปทุกครั้งที่แสวงหาพระองค์
5.เราไม่ควรจดจ่ออยู่ที่การแสวงหาประสบการณ์แต่ควรแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจ แม้ไม่มีประสบการณ์ก็ตาม
6.บางครั้งประสบการณ์ที่พระเจ้าให้ก็เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของมนุษย์ เราต้องทูลขอความเข้าใจจากพระเจ้า สิ่งที่เราไม่เข้าใจ
ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้มาจากพระเจ้าทั้งหมด


คนที่เมาในพระวิญญาณ แล้วนิสัยดี ควบคุมตัวเองได้ก็ยังดีกว่าเมาเหล้าที่จะทำให้เสียคน

คนที่หัวเราะในพระวิญญาณ มีผลพระวิญญาณแห่งความชื่นชมยินดี คนหัวเราะก็ดีกว่าคนร้องไห้เสียใจในความทุกข์

คนที่ล้มในพระวิญญาณ ก็ดีกว่าล้มในบาป เพราะที่ใดมีพระวิญญาณที่นั่นย่อมมีเสรีภาพหลุดจากพันธนาการความบาปที่ถ่วงรั้งอยู่

แม้ในวันนี้เราอาจจะไม่ประสบการณ์แบบนี้ คนปกติไม่ต้องการหมอ คนไม่สบายต้องการหมอ พระเจ้ามีการสัมผัสและรักษาคนของพระองค์ด้วยวิธีการต่างๆ เราจึงไม่ควรดูหมิ่นดูแคลนใคร ไม้ล้มอาจจะข้ามไปได้ คนล้มในพระวิญญาณ ถ้าพระเจ้าจะทำก็ไม่สามารถห้ามได้

ยอห์น 3:7-8
7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่
8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"


ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเคลื่อนไหวและทรงนำในชีวิตของเราเสมอ

04 มิถุนายน 2553

ปลายทางชีวิต (DESTINATION OF LIFE)

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ไปกล่าวพระวจนะในงานไว้อาลัยสมาชิกคริสตจักรท่านหนึ่ง ที่วัดเซนต์หลุยส์ สาทร
ซึ่งสมาชิกท่านนี้ได้เป็นแบบอย่างที่ดีในการติดตามพระเจ้าทั้งครอบครัว ด้วยวัย 72 ปี ท่านจากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยอาการสงบ

ทำให้ได้ตระหนักมากขึ้นว่าในที่สุดแล้ว ชีวิตเราก็ต้องเดินทางมาถึงจุดปลายทางนี้ ไม่ช้าก็เร็ว แต่สิ่งที่สำคัญคือวันนี้เรารู้ถึงจุดหมายชีวิตของเราหรือยัง แต่ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้ เราเชื่อว่าบั้นปลายชีวิตของเราพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้แล้ว คือ แผ่นดินสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องไปถึง

วันนี้จึงขออัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าในสดุดีบทที่ 49 มาแบ่งปันเพื่อหนุนใจผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความหวังใจในพระเจ้า อยู่อย่างมีความหมาย หากแม้ตายก็ได้รับชีวิตนิรันดร์

พระวจนะพระเจ้าตอนนี้กล่าวเตือนสติมนุษย์ทุกคน (ข้อ 1-2) โดยสะท้อนให้เห็นบั้นปลายชีวิตหลังความตายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างผู้ที่ดำเนินชีวิตบนโลกโดยวางใจในทรัพย์สินเงินทองของตนมากกว่าพระเจ้า และผู้ที่วางใจในพระเจ้า แม้ดูเหมือนผู้ที่วางใจในทรัพย์สินเงินทองจะมั่งคั่งขึ้นหรือเจริญมากกว่าในขณะมีชีวิตอยู่บนโลก แต่พระเจ้าหนุนใจผู้ชอบธรรม ผู้วางใจในพระเจ้าไม่ให้กลัว เพราะเมื่อบั้นปลายมาถึงแล้ว ความมั่งคั่ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีจะไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่มนุษย์เลย (ข้อ 16-17) เราเห็นบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากพระวจนะตอนนี้ดังนี้

1.บั้นปลายของผู้ที่วางใจในทรัพย์สินเงินทอง (For those who trust in wealth)

1.1 ไม่พ้นความพินาศ (ข้อ 1-10ก, 11, 14) (They will perish.)

10 เออ เขาจะเห็นว่า ถึงปราชญ์ก็ยังตาย คนโง่และคนโฉดก็ต้องพินาศเหมือนกัน และละทรัพย์ศฤงคารของตนไว้ให้คนอื่น

พระวจนะกล่าวว่า เมื่อบั้นปลายชีวิตมาถึง ผู้ที่วางใจในทรัพย์สินเงินทองจะหนีไม่พ้นความพินาศ เงินทองที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิตและคิดว่ามีค่าสูงส่งนั้น จะไม่สามารถไถ่ชีวิตของเขาและพี่น้องของเขาให้พ้นจากความพินาศได้ (ข้อ 7-9) เพราะทางแห่งการรอดพ้นจากความพินาศมีทางเดียวเท่านั้น คือ การเชื่อพึ่งในองค์พระเยซูคริสต์ (ยน.3:16; กจ.4:12)

1.2เอาอะไรไปไม่ได้เลย (ข้อ 10ข-13,16-20)(They will not take anything with them).

17 เพราะเมื่อเขาตาย เขาจะไม่เอาอะไรไปเลย ศักดิ์ศรีของเขาจะไม่ลงไปตามเขา

พระวจนะกล่าวว่า มนุษย์จะคงชีพในยศศักดิ์ของตนไม่ได้ เพราะเมื่อเขาตาย เขาจะเอาอะไรไปไม่ได้เลย แม้ขณะที่มีชีวิตอยู่จะสุขสบายด้วยความมั่งคั่ง และคำสรรเสริญ แต่เมื่อตายไป เขาเอาอะไรไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ศฤงคาร เกียรติยศ ชื่อเสียงเหล่านั้น จะไม่ตามเขาไป

คงไม่มีประโยชนือันใดหากได้รับของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิต จะเอาของเหล่านั้นแลกชีวิตก็ไม่สามารถทำได้ แต่เกียรติยศและสิ่งต่างๆในโลกนี้ วันหนึ่งก็เสื่อมไป เรียกว่า "ความดังไม่คงที่ ความดีถึงคงทน" จงทำสิ่งที่ดีต่อกันและกัน
ความตายได้ออกหมายเรียกเราทุกคน เราทุกคนต้องไปรายงานตัวในวันสุดท้าย ขอให้บั้นปลายชีวิตของเราจะไม่ไปถึงความพินาศและชีวิตที่เปล่าดาย แต่มีความหมายเพราะพระเยซูคริสต์ตายเพื่อไถ่เรา


2.บั้นปลายของผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า (For those who trust in God)


2.1ได้รับความรอด (ข้อ 15ก) (They will receive salvation. )

15 แต่พระเจ้าจะทรงไถ่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจากฤทธานุภาพของแดนผู้ตาย เพราะพระองค์จะทรงรับข้าพเจ้าไว้

ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าจะได้รับความรอด คือ รอดพ้นจากบึงไฟนรก ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างผู้ที่ฝากความวางใจไว้กับทรัพย์สินเงินทองของตน

ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งดีเลิศ 4 สิ่งที่พระองค์ประทานให้ คือ

แรงจูงใจที่ดีเลิศ คือ พระเจ้ารักโลก ( เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก)

ของขวัญที่ดีเลิศ คือ พระเยซูคริสต์ ( พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ )

เงื่อนที่ดีเลิศ ทุกคนสามารถรับได้ คือ เชื่อวางใจ (เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตร)

ผลที่ดีเลิศ คือ ชีวิตนิรันดร์ (ไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์)


2.2 ได้อยู่กับพระเจ้า (ข้อ 15ข) (They will be with God.)
15 แต่พระเจ้าจะทรงไถ่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจากฤทธานุภาพของแดนผู้ตาย เพราะพระองค์จะทรงรับข้าพเจ้าไว้

ไม่เพียงแต่ผู้ที่เชื่อไว้วางใจในพระเจ้าจะได้รับความรอด ยังได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในวันสุดท้ายจะได้นั่งในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ (อฟ.2:6)


Billy Graham ผู้รับใช้พระเจ้าในการประกาศให้คนกลับใจทั่วโลก กล่าวว่า "วันหนึ่ง หากท่านได้ยินข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ว่า Billy Graham ได้ตายไปแล้ว จงอย่าเชื่อ เพราะท่านไม่ได้ตายแต่ย้ายที่อยู่ จากโลกไปสู่สวรรค์"

ขอบพระคุณพระเจ้าสวรรค์เป็นบ้านในบั้นปลายของเรา
ในสวรรค์เราจะพบความประหลาดใจ 3 สิ่งคือ

1.เราจะประหลาดใจเมื่อไม่เห็นคนที่เราคิดว่าจะเห็นเขา บนสวรรค์
2.เราจะประหลาดใจเมื่อเราได้เห็นคนที่เราไม่คิดว่าจะเห็นเขา บนสวรรค์
3.เราจะประหลาดใจเมื่อเราได้เห็นตัวของเราเองบนสวรรค์ด้วย

ขอบพระคุณพระเจ้า เราจะได้เจอกันและกัน บนบ้านของพระองค์ที่แผ่นดินสวรรค์

01 มิถุนายน 2553

Roadmap หนทางปรองดองพี่น้องในพระกาย

1โครินธ์ 1:10 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนท่านในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ขอให้ท่านปรองดองกัน อย่าถือพวกถือคณะ แต่ขอให้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะให้คนจากต่างพื้นภูมิมาอยู่ร่วมกัน อ.เปาโลยังต้องวิงวอนขอเพื่อให้เกิดความปรองดอง และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คริสตจักรจึงไม่ใช่ที่ที่คนมากองรวมกัน แต่ต้องมีการจัดวางคนในตำแหน่งให้เหมาะสม เหมือนกับภาพของพระวิหารที่อิฐแต่ละก้อนเรียงกัน
แม้เราจะมีความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ความแตกต่างนำมาซึ่งการเสริมสร้าง ภาพของพระกายของพระคริสต์คือ เราทุกคนเป็นอวัยวะที่ทำงานตามบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรหรือระหว่างคริสตจักร คือ ความขัดแย้งอันเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน การทำงานภาพรวมจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะแทนที่จะได้รับการตอบสนอง แต่บางครั้งถูกตอบโต้ ทำตัวเป็นฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

กลุ่มตอบโต้มีประเภทอะไรบ้าง มีดังนี้

1.NATO ย่อมาจาก No Action Talk Only กลุ่มนี้คือชอบพูดไม่ค่อยชอบทำ เพราะจะชอบจับกลุ่ม Comment ผู้นำ หรือโครงการต่างๆในคริสตจักร กลุ่มนี้ช่วงแรกจะเป็นกลุ่มไม่ใหญ่ แต่จะเริ่มขยายวงไปเรื่อยๆ

2.Veto คือ กลุ่มที่ใช้อำนาจในการยับยั้ง เป็นการพัฒนาจากกลุ่มเล็กๆ ขยายมาเป็นกลุ่มใหญ่และมีแกนนำในการมานำเสนอเพื่อยับยั้งโครงการต่างในคริสตจักรที่ไม่เห็นด้วย กลุ่มนี้ถือว่าเป็นสีสันของคริสตจักร หากเปิดเวทีอภิปรายให้ได้นำเสนอก็จะเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรต่อไป

3.กลุ่ม นปช.(หน่วยปรักปรำชาวบ้าน) กลุ่มนี้จะทำตัวเป็นพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ ชอบจับผิด ทำตัวเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หาช่องที่จะชี้แจงข้อบกพร่องของผู้นำหรือโครงการของคริสตจักรในที่สาธารณะ

ดังน้ันต้องลองสำรวจคนในคริสตจักรของเรามีกลุ่มแบบนี้หรือไม่ หากมีก็ต้องไปเจรจาเพื่อหาแนวทางปรองดอง แต่ไม่ประนีประนอมต่อหลักการของพระเจ้า

แนวทางปรองดองที่นำเสนอ ก็คือ การฟังกันและกันด้วยความเข้าใจ อย่าถือพวกถือคณะ กระชับวงล้อมในความสัมพันธ์ รักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในหลักการพระคัมภีร์คือต้องมีการตกลงคุยกัน และเดินไปสู่เป้าหมายด้วยกัน

อาโมส 3:3 "สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ นอกจากทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน"

Roadmap แนวทางการปรองดอง คือ

1.การอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อให้พระเจ้าเคลื่อนไหวในคริสตจักรรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกัน
มีการตั้งศอฉ.(ศูนย์อธิษฐานเฉพาะกิจ)เพื่อให้สมาชิกได้รับการอธิษฐานปลดปล่อยในเรื่องต่างๆอย่างเจาะจง ในปัจจุบันหลายคริสตจักรมีการทำนิเวศอธิษฐานก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้สมาชิกมีส่วนร่วมในคริสตจักร (เปลี่ยนเสียงบ่น เป็นการคร่ำครวญอธิษฐานต่อพระเจ้า)

2.การเยียวยารักษาภายใน (Inner Healing) ในคริสตจักรมีบุคคลหลากหลาย บางคนมีภูมิหลังที่เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำที่เจ็บปวด ทำให้การตอบสนองต่อบุคคลอื่นในลักษณะตอบโต้ การมีเยียวยารักษาภายในจะเป็นการเปิดประตูในให้พระเจ้าเข้าไปผ่าตัดรอยบาดแผลในจิตใจ เมื่อรับการรักษาใจ ความสัมพันธ์กับผู้อื่นจะดีมากขึ้น

3.การรับใช้ตามของประทานพระวิญญาณ คริสตจักรควรจะจัดวางคนให้เหมาะสมในบทบาทและรับใช้ตามของประทาน ในปัจจุบันหลายคริสตจักรพัฒนาคริสตจักรไปในรูปแบบของประทานพระคริสต์ (Fivefold ministry)ตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 4:11-12

11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น


คริสตจักรแบบนี้เป็นคริสตจักรที่ส่งเสริมให้สมาชิกมีส่วนรับใช้ ไม่ใช่แบบศิษยาภิบาลที่รับใช้เฉพาะทีมผู้นำเท่านั้น เมื่อสมาชิกได้มีส่วนรับใช้คริสตจักรก็จะมีความเจริญขึ้น


4.การเชื่อมพระกาย คือการร่วมสามัคคีธรรมกับคริสตจักรต่างๆ เพื่อแบ่งปันของประทานและเสริมสร้างกันและกัน

แต่ในบางครั้งระหว่างคริสตจักรก็มีความขัดแย้งในบางประเด็น ทำให้เป็นอุปสรรคในการเชื่อมความสัมพันธ์ เช่นเรื่องประสบการณ์พระวิญญาณฯ เป็นต้น
หนุนใจว่า หากจะมีการเชื่อมความสัมพันธ์กับต้องแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เป้าหมายหลักคือรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อพระเจ้าจะได้เทพระพรลงมา (สดด.133)
โดยทั่วไปเราจะมีหลักการพิจารณา เพื่อวางตัวในความสัมพันธ์กับกลุ่มคนต่างๆ ดังนี้

1.หลักความเชื่อ (Dogma) เป็นสิ่งที่แบ่งระหว่างคริสเตียนกับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า(Antitheism) การวางตัวของคริสเตียนคือการเป็นเกลือแสงสว่างเพื่อนำพระคุณความรักของพระเจ้าไปสู่ผู้ที่ไม่เชื่อ

2.หลักข้อเชื่อ (Doctrine) เป็นสิ่งที่แบ่งระหว่างคริสเตียนกับลัทธิสอนผิด(false Teaching)

โดยส่วนใหญ่จะสอนผิดเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ และเรื่องอื่นๆ การวางตัวของคริสเตียนคล้ายกับกลุ่มคนที่ไม่เชื่อ สร้างความสัมพันธ์ต่อกันแต่ไม่ประนีประนอมต่อหลักการพระคัมภีร์

3.ข้อคิดเห็น (Opinion)นี่คือสิ่งที่เป็นความแตกต่างในความคิดที่นำมาซึ่งความแตกแยก เช่นความคิดเห็นเรื่องการกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์,ประสบการณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์ บางกลุ่มเชื่อเรื่องการล้ม บางกลุ่มไม่เชื่อ เป็นต้น
แท้จริงแล้วหากมีหลักความเชื่อและหลักข้อเชื่อที่ยอมรับเหมือนกันก็ถือว่าเป็นพี่น้องในพระกาย เรื่องอื่นๆถือเป็นความคิดเห็นที่ต้องยอมรับฟังกันและกัน หากไม่เชื่อก็ไม่ต่อต้าน แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เป้าหมายคือการร่วมกันรับใช้ตั้งอาณาจักรพระเจ้าบนแผ่นดินโลกร่วมกัน (มัทธิว 6.10)

ฉะนั้นเราในฐานะพี่น้องในพระกาย ในวันนี้เราอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ความแตกต่างเพื่อเสริมสร้าง พี่น้องแต่ละท่านเป็นเหมือนอวัยวะที่ต่างกันแต่ทำงานร่วมกัน

เอเฟซัส 4:16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อ ที่ทรงประทานได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว

สรุป Roadmap หนทางปรองดองพี่น้องในพระกาย เป็นสิ่งที่เราต้องร่วมกัน ไม่แบ่งพวก แต่แบ่งปันสิ่งดี คิดต่างกันเพื่อเสริมสร้าง ยอมรับและรับฟังกัน วางคนให้เหมาะสมกับงาน ทำงานร่วมกันเป็นทีม


ผู้รับใช้พระเจ้าท่านหนึ่งคือ John C. Maxwell กล่าวว่า "พร้อมหน้ากัน คือ จุดเริ่มต้น อยู่ร่วมกัน คือ ความก้าวหน้า ทำงานร่วมกัน คือ ความสำเร็จ"

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ