คริสตจักรที่ดำเนินชีวิตในยุคสุดท้าย
ตอนที่ 1 “ได้เวลาตื่นตระหนัก”
ผมได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหวหรือการกันดารอาหารในที่ต่างๆทั่วโลกนี้ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้ นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ทำให้เราคริสตชนคนของพระเจ้าต้องตื่นขึ้นจากการหลับไหลในฝ่ายวิญญาณ
“ได้เวลาตื่นตระหนักแล้ว!”
คนในโลกนี้เริ่มตื่นตระหนก ตกใจกลัวในภัยพิบัติต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าตกใจกลัว หากเราไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่คนของพระเจ้าที่เข้าใจวาระเวลาของพระเจ้า จะไม่ตื่นตระหนกแต่ตระหนักและเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าทำและเตรียมชีวิตให้พร้อม เพื่อรอคอยการเสด็จกลับมาของพรเยซูคริสต์
ผมได้มีโอกาสศึกษาพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องคริสตจักรในยุคสุดท้ายและได้เริ่มต้นเขียน
บทความเพื่อหนุนใจพี่น้องให้เป็นคริสตจักรที่ดำเนินชีวิตในยุคสุดท้ายร่วมกัน ครั้งนี้เป็นบทความแรกและต่อไปจะเขียนต่อไปเพื่อหนุนใจกันและกัน ขอยกข้อความจากจดหมาย 1 เธสะโลนิกา มาแบ่งปันแล้วกัน
อัครทูตเปาโลก็ได้เขียนจดหมายหนุนใจคริสตจักรต่างๆ เพื่อเตือนใจให้ตระหนัก ในการดำเนินชีวิตในยุคสุดท้าย ดังเช่นจดหมายฝากไปถึงเมืองเธสะโลนิกา
1 ธส.5:1-11
1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2 เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน
3 เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับ
ความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น
4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา
5 ท่านเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของ
ความมืด
6 เหตุฉะนั้นเราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย
7 เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน
8 แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้วก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก
และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก
9 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซู
คริสตเจ้าของเรา
10 ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์
11 เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น
เหตุผลที่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสู่ยุคสุดท้าย : พระเยซูคริสต์จะมาแน่
ถ้าไม่พร้อม ความพินาศจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2 เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน
3 เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความ
เจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น
พระวจนะของพระเจ้าได้เตือนใจให้คนของพระเจ้าเตรียมชีวิตให้พร้อม หากไม่พร้อมจะเกิคความพินาศในชีวิต
ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์กรณี สึนามิธรณีพิบัติภัย ที่เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันทางภาคใต้ของประเทศไทย ในปี 2004 มีผู้สียชีวิตจำนวนมาก
สาเหตุหนึ่ง ที่เป็นความผิดพลาดคือระบบเตือนภัย เพราะการคิดว่า “"สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" นี่แหละทำให้เกิดการประมาทไม่ระมัดระวังตัว ความพินาศจึงเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ขอให้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้จะเป็นสัญญาณเตือนการดำเนินชีวิตของคริสตชนด้วยเช่นกัน
พระคัมภีร์บอกให้เราอย่างชัดเจนว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน ในการมาของพระองค์เพื่อรับผู้เชื่อให้ไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์ คริสตจักรจึงเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์
ที่ต้องดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ เพื่อเข้าสู่งานสมรสศักดิ์สิทธิ์
วิวรณ์ 19: 7 “ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและเต้นโลดถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลามงคลสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ได้เตรียมพร้อมแล้ว"
ดังนั้นผู้เชื่อที่อยู่ในโลกนี้ไม่ได้แต่งงานก็ไม่ต้องเสียใจอย่างไงก็ได้แต่งงาน สุภาพสตรีทั้งหลายอย่างไรก็จะได้เป็นเจ้าสาว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าสาวของใครแต่ได้เป็นเจ้าสาวของคริสต์ก็ดีกว่าเป็นไหนๆ
สุภาพบุรุษเช่นกันแม้อยู่ในโลกจะไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวแต่วาระสุดท้ายของโลกจะได้เป็นเจ้าสาวแทน
การเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์หมายถึงการเตรียมชีวิตให้พร้อม พระเยซูได้ตรัสถึงการที่พระองค์จะเสด็จมาครั้งที่ 2 ว่า พระองค์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการเสด็จมาไถ่บาปให้มนุษย์อีก แต่เป็นการเสด็จมาเพื่อรับผู้ที่เชื่อที่รักษาชีวิตให้พร้อมและเหมาะสมกับที่จะเป็นเจ้าสาวของพระองค์ไปอยู่ด้วย
มธ.24:44 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
ลก.12:40 ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา"
อัครทูตเปาโลได้กล่าวเตือนผู้เชื่อในเมืองเธสะโลนิกา ให้ดำเนินชีวิตพร้อมอยู่เสมอเพราะพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาแน่นอน
1 ธส.4:16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน
การเตรียมตัวเพื่อรอรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ในวาระสุดท้าย คริสเตียนทุกคนจะต้องเตรียมตัวเองทุกคน
การเตรียมตัวจะทำให้เราได้ประโยชน์และไม่พลาดเมื่อพระเยซูเสด็จมา แต่ถ้าเราไม่มีความพร้อมในการรอรับการเสด็จมาของพระเยซูเราอาจจะพลาดเป็นเหมือนหญิงโง่ 5 คนที่ไม่ได้เตรียมน้ำมันในตะเกียงของตนเองให้เพียงพอ ทำให้ไม่มีความพร้อมจึงไม่สามารถเข้าร่วมงานสมรส (มธ.25:1-13)
การเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอจึงมีความสำคัญและจำเป็น หากเราเตรียมตัวของเราให้พร้อมเราจะเป็นเหมือนหญิงที่มีปัญญา เธอทั้ง 5 ได้ถูกรับเข้าไปในงานเลี้ยงสมรสของเจ้าบ่าว เป็นการเข้าไปร่วมงานอย่างภาคภูมิใจไม่มีกำหนดล่วงหน้า
การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ในครั้งที่ 2 จะเป็นการเสด็จกลับมาโดยบอกล่วงหน้า ไม่มีใครรู้วันเวลา ไม่รู้ว่าพระองค์จะมาเมื่อไหร่
คริสเตียนจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะไม่มีใครรู้ว่า วันเวลาที่ พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเป็นเวลาใด เมื่อไหร่ การเตรียมตัวให้พร้อมจะทำให้เราเป็นคนหนึ่งที่ถูกรับไปอยู่กับพระองค์
หากเราไม่เตรียมตัวเราจะกลายเป็นคนที่เสียใจที่สุดได้ เพราะเมื่อเราไปร้องเรียกให้พระเจ้าเปิดประตู เราอาจเป็นเหมือนหญิงที่โง่ 5 คน ถูกปฏิเสธจากพระเจ้าเพราะไม่เตรียมพร้อม
การเตรียมตัวให้พร้อมต้องทำอย่างไรบ้าง
1. ตระหนักว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมา
พระคัมภีร์บอกให้เรารู้ถึงการจะเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ไว้หลายครั้ง ดังนั้น ทำให้เราเชื่อได้และควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอรับการเสด็จกลับมาของพระองค์
ในฐานะผู้เชื่อเราควรตระหนักเสมอว่า การเสด็จกลับมาของพระเยซูเป็นความจริง เพราะพระเยซูทรงตรัสถึงการจะเสด็จมาของพระองค์เอง
มธ.16:27 เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน
มธ.16:28 เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยราชอำนาจของพระองค์ท่าน"
ลก.2:40 ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา"
สังเกตสิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ สอนให้เราได้เฝ้าระวังชีวิตให้พร้อมเสมอ
มัทธิว 24:32-36
32 "จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว
33 เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว
34 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น
35 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
36 "แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว
ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปแต่ใจไม่เปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ แต่ใจไม่เปลี่ยนแปลง
2. เฝ้าระวังชีวิตอยู่เสมอ (6-7)
6. เหตุฉะนั้นเราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย 7. เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน
อัครทูตเปาโลได้เตือนชาวเธสะโลนิกาถึงการเตรียมตัวให้พร้อม และให้เฝ้าระวัง เพราะวันเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาไม่มีใครรู้ อย่าหลงระเริง เอาแต่เมามายจนเสียคน
คนเมา จะมีอาการฟั่นเฟือนเพราะฤทธิ์ของเหล้า ฤทธิ์ยา การเมายังก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตของคนคนนั้น เพราะเขาจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาไม่สามารถทำสิ่งที่ดีได้ ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดความหยั่งคิด ขาดความรอบคอบ ส่งผลร้ายตามมาในที่สุด
การอยู่ในสภาพการขาดความหยั่งคิด ขาดการควบคุมตันเอง ทำให้ชีวิตมีโอกาสดำเนินอยู่ในความมืด ความบาป ไม่ถูกต้องต่อพระเจ้า คนเมา ส่วนใหญ่เขาจะดื่มเหล้ากันในเวลากลางคืน เมื่อดื่มจนเมา เขาจะกระทำในสิ่งที่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม โดยเฉพาะจริยธรรมของพระเจ้า เช่น ทะเลาะวิวาท ทำร้ายผู้อื่น ฆ่าคน ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งของตนเองและของผู้อื่น
พระคัมภีร์เตือนคนเมาว่า เป็นคนที่มีลักษณะชีวิตที่ยังอยู่ในความบาป มีชีวิตอยู่ในความอธรรม ไม่ดำเนินชีวิตตามหลักการพระวจนะพระเจ้า และชีวิตมีโอกาสหล่นไปจากพระคุณของพระเจ้า และเมื่อถึงวันสุดท้ายเขาจะปฏิเสธพระเจ้าได้ง่ายๆ
กท.5:21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่าน มาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
อฟ.5:18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ
การควบคุมตนเองไม่ได้จะทำให้อยู่ภายใต้ระบบโลก
ระบบโลก มีความแตกต่างจากระบบของพระเจ้า มีการแข่งขันสูง มีการชิงดีชิงเด่น การเอาเปรียบ การรักตนเองมากกว่ารักพระเจ้า การรักวัตถุสิ่งของมากกว่ารักพระเจ้า ซึ่งมีอันตรายต่อจิตวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน
ระบบของโลก มีความหมายโดยรวมถึง ค่านิยม ปรัชญา ความคิดของโลกที่ไม่สอดคล้องกับพระวจนะพระเจ้า การรับสิ่งของ เงินทอง การรักวัตถุมากกว่ารักพระเจ้า รักความสะดวกสบาย รักสนุกอย่างโลก ลุ่มหลงในเทพนิยาย ชอบฟังเรื่องไร้สาระ ไม่สนใจในศีลธรรม จริยธรรม เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่คำนึงถึงการพิพากษาของพระเจ้า สุดท้ายคือไม่สนใจพระเจ้าเลย
ระบบของโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น และหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระบบโลกมีความคลายกับวิธีการของพระเจ้า เช่น มีการอัศจรรย์เหมือนกับการอัศจรรย์ของพระเจ้า และมีการประกาศพระคริสต์เทียมเท็จ
หากเราไม่มีชีวิตที่เตรียมพร้อมและมีความเข้าใจในวิธีการ แผนการของพระเจ้า เราจะไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่มาจากพระเจ้ากับสิ่งที่มาจากระบบโลกได้ เพราะระบบของโลกโดยส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลมาจากมาร เพื่อล่อลวงผู้เชื่อให้หลงไป
บางคนไม่ตระหนักในเรื่องชีวิตฝ่ายวิญญาณเอาแต่สนใจในระบบของโลกนี้ มักจะมัวแต่ยุ่งกับโลกนี้อยู่ ใช้คำว่า
"BUSY" ยุ่งกับงานอยู่ สาลวะวันกับการหาเงิน โปรดระวังจะถูกควบคุมและครอบงำจากมาร เพราะคำว่า "BUSY" คือ (Being Under Satan York)
ดังนั้นต้องเฝ้าระวังและอธิษฐานเสมอเพื่อจะไม่ถูกทดลองและพ้นจากมารร้าย
มัทธิว 26:41 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง"
1 ยน.2:15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
ฟป.3:19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
ความพินาศ เป็นการพินาศทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ เพราะจะถูกพิพากษาจากพระเจ้าในที่สุด
1 ธส.5:3 เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น
8 แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้วก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก
9 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
10 ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์
11 เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น
การยึดมั่นในความรัก ความเชื่อ ความหวังในพระเจ้าจะเป็นสิ่งที่คอยช่วยเราให้สามารถดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังต่อพระเจ้า และปรารถนาจะไปถึงวันสุดท้าย คือได้อยู่กับคริสต์ในสวรรค์สถานปกครองร่วมกับพระองค์
1 คร.13:13 ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
การยึดมั่นในความรัก เป็นการยึดมั่นในความรักของพระเจ้าที่มี ต่อเราจนแสดงออกมาเป็นความเชื่อที่เรามีต่อพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระเยซูคริสต์ที่กางเขน และเป็นการรอคอยด้วยความหวังว่าพระองค์จะเสด็จกลับมารับผู้เชื่อ
ความรักทำให้เกิดความเชื่อ และเมื่อมีความเชื่อจึงทำให้เกิดความหวัง หากเรามีความรักต่อพระเจ้า เราจะเชื่อในพระองค์และมีความหวังในพระองค์
นอกจากนี้ต้องหนุนใจกันและกันให้มีความเชื่อ ความรักและหวังใจอยู่เสมอ
สรุป
ชีวิตคริสเตียนที่ฉลาดจะมีการเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอ เพื่อรอรับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ อย่ามัวแต่สาละวนสนใจเรื่องของโลกนี้จนเกินไป และไม่ได้ตระหนักเตรียมชีวิต
นอกจากนี้เราต้องตระหนักในบทบาทหน้าที่ของเราในการเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่ จะต้องนำพระคุณความรักของพระเจ้าไปถึงคนทั้งหลายในโลกนี้ อย่ามัวหลับไหล ได้เวลาตื่นตระหนักลุกขึ้นมาทำการของพระเจ้าแล้ว
พบกันใหม่ตอนหน้าครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ