26 พฤษภาคม 2555

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทุ่งมะขามหย่อง (The King in the field)

เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศคงมีความปิติยินดีที่ได้ชมถ่ายทอดทางโทรทัศน์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จากโรงพยาบาลศิริราช ไป ทุ่งมะขามหย่อง จ.พระนครศรีอยุธยา
ทรงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรบริเวณโดยรอบพระพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย เสด็จพระราชดำเนินไปยังศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและผลิตผลการเกษตร แล้วพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายโฉนดที่ดิน เลขที่ 5009 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จลง ไปทรงเกี่ยวข้าวเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2539 และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นาย วิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลากลางน้ำ ทอดพระเนตรการแสดงสื่อผสม "ทุ่งมะขามหย่อง ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ" ประกอบด้วยการแสดงชุดต่าง ๆ อาทิ ๑๖ ปีแห่งความหลัง ณ ทุ่งมะขามหย่อง การจำลองการเคลื่อนทัพของสมเด็จพระสุริโยทัย ที่แสดงให้เห็นถึงความเสียสละของบรรพกษัตริย์ที่ยอมแลกชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน การขับบทกลอนเฉลิมพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงบรรเทาความทุกข์ให้แก่ประชาชน ระบำสายน้ำ ลำนำแห่งแผ่นดินทอง การขับร้องเพลงเทิดพระเกียรติ"ผู้ปิดทองหลังพระ" เป็นต้น
โครงการพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทุ่งมะขามหย่อง ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ก่อสร้าง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2534 ณ วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อใช้เก็บน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูกในฤดูแล้งแก่ราษฎรที่มีพื้นที่รอบบริเวณพระราชานุสาวรีย์

(ข้อมูลจาก http://news.impaqmsn.com/articles_hn.aspx?id=488190&ch=hn)
สรรเสริญพระเจ้า สำหรับคำอธิษฐานที่เราในฐานะคริสตชนคนไทยที่ได้ถวายพรแด่ด้วยคำอธิษฐานเผื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  


จากเหตุการณ์ทำให้ผมถึงความหมายของเดือนในเชิงเผยพระวจนะในเดือน Elul (ช่วงปลายเดือน ส.ค.-ก.ย.)ตามปฏิทินชาวยิว เป็นเดือนที่องค์จอมกษัตราเสด็จมาอยู่กับเรา (The King in the field) จงเข้าใกล้ชิดพระองค์และยอมให้พระพักตร์ของพระองค์ฉายแสงในชีวิตของเรา... เพื่อพระองค์จะเทการทรงสถิตมาเหนือชีวิตของเรา จงรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรงานของเราและทุกขอบเขตความรับผิดชอบของเรา
เราทั้งหลายยังคงอธิษฐานถวายพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป ขอพระองค์ทรงพระเจริญ และขอพระเจ้าประทานพระพรให้พระองค์ได้เสด็จออกจากโรงพยาบาล เสด็จกลับมาประทับที่บ้านของพระองค์ คือ ทรงอยู่ร่วมกับพสกนิกรของพระองค์ตามที่พระองค์เคยกล่าวไว้ว่า "ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า "นั่นคือคนไทยทั้งปวง" ... ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

24 พฤษภาคม 2555

Acts 5:12-16_คริสตจักรที่มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์

ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต
คริสตจักร "ต้นแบบ"ตามพระบัญชา
กิจการของอัครทูต 5:12-16
12 มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่าง ซึ่งอัครทูตได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน พวกสาวกอยู่พร้อมกันในเฉลียงของซาโลมอน
13 คนอื่นๆไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย แต่ประชาชนเคารพอัครทูตมาก
14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน
15 จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน
16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วย และคนที่มี
ผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย
อารัมภบท

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราได้ศึกษาพระธรรมกิจการฯต่อเนื่องกันมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากครั้งที่ผ่านมา ในบทที่ 5:1-11ซึ่งเป็นการชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์โดยพระเจ้า เพื่อทำให้คริสตจักรมีความชอบธรรมและเป็นที่น่ายำเกรงในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และในครั้งนี้เราได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณทำให้เราทั้งหลายได้ตระหนักถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางผู้เชื่อ เมื่อเราเชื่อ เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เมื่อเราศึกษาพระธรรมกิจการฯ เราจะพบว่าคริสตจักรในสมัยนั้นเป็นต้นแบบของความมีชีวิตชีวา มีความรัก และเต็มไปด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ปกติ แต่เรากลับเห็นได้น้อยมากในคริสตจักรสมัยปัจจุบัน คำถามคือทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น ในวันนี้เราจะมาศึกษาร่วมกัน เพื่อเราจะได้เข้าใจถึงต้นแบบของคริสตจักรที่มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ว่ามีการอัศจรรย์และหมายสำคัญอะไรบ้างที่เราได้รับการเรียนรู้ เราจะมาศึกษาร่วมกัน

1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
ในข้อ 12-16 เราได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลายและเป็นที่ประจักษ์แจ้งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า เชื่อว่าผู้คนในสมัยนั้นคงจะยำเกรงพระเจ้ามาก ไม่กล้าที่จะทำบาปเพราะเขาเห็นพระเจ้าลงโทษผู้ที่ทำบาปคืออานาเนียและสัปฟีรา ตายไป(กจ.5:1-11)สิ่งที่เกิดขึ้นที่เราสังเกตได้คือ บรรยากาศแห่งความยำเกรงพระเจ้า และความเชื่อในฤทธานุภาพของพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลถึงการที่พวกเขาได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย (กจ.2:43 เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญหลายประการ)แม้แต่แค่เงาของอัครทูตเปโตรผ่านก็สามารถเกิดการรักษาโรคได้ (กจ.5:15จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน)นี่คือความเชื่อที่น่าประทับใจ สิ่งที่สำคัญคือ หมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากฤทธานุภาพของพระเจ้า ไม่ใช่ของอัครทูตหรือผู้ที่ทำ ดังนั้นผู้ที่ทำการอัศจรรย์ต้องมีใจที่ถ่อม ไม่โอ้อวด เพราะสิ่งที่ทำนั้นมาจากการออกพระนามของพระเจ้า คือ พระเยซูคริสต์ และสิ่งที่สำคัญอีกประกาศคือ การแสวงหาพระพักตร์มากกว่าแสวงหาพระหัตถ์ ขอบพระคุณพระเจ้าและสรรเสริญในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นไม่ได้เห็นแก่สิ่งที่พระองค์กระทำ จะไม่เป็นประโยชน์เลย หากเราแสวงหาการอัศจรรย์ จนทำให้เราหลงระเริงในสิ่งนั้นมากกว่าการที่เรายำเกรงและมุ่งแสวงหาพระเจ้า เพราะแม้แต่ผีการทำการอัศจรรย์ได้ หรือหากทำก็ไม่ส่งผลที่ดีแถมตกเป็นทาสของผีด้วย อย่างกรณีบุตรของเสวา(กจ.19:13-14 13 แต่พวกยิวบางคนที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้า ขับผีร้ายว่า "เราสั่งเจ้าโดยพระเยซูซึ่งเปาโลได้ประกาศนั้น" 14 พวกยิวคนหนึ่งชื่อเสวาเป็นปุโรหิตใหญ่ มีบุตรชายเจ็ดคนซึ่งทำอย่างนั้นปรากฏว่าถูกผีกล่าวย้อนให้ และต่อสู้จนต้องหนีตัวเปลือยเปล่าออกไปและบาดเจ็บ
15 ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่า "พระเยซู ข้าก็คุ้นเคย และเปาโล  ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า"
16 คนที่มีผีสิงนั้น จึงกระโดดใส่คนเหล่านั้นและต่อสู้จนชนะเขาได้ เขาต้องหนีออกไปจากเรือนตัวเปล่าและมีบาดเจ็บ)
ในข้อ 17 บรรยายต่อไปว่า "เรื่องนั้นได้ลือกันไปถึงหูคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองเอเฟซัส ทั้งพวกยิวกับพวกกรีก และคนทั้งปวงก็พากันมีความเกรงกลัว และพระนามของพระเยซูเจ้าก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ"
หมายสำคัญและการอัศจรรย์นั้น นำมาซึ่งความยำเกรง ยำเกรงเพราะได้ประจักษ์แจ้งถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หมายสำคัญและการอัศจรรย์สำแดงถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าอัครทูตได้รับความเคารพยำเกรง เป็นผลมาจากหมายสำคัญและ การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านมือของอัครทูต ไม่มีอำนาจใดอาจต้านทานได้

2.ข้อคิดสะกิดใจ

สิ่งที่เป็นข้อคิดคือเมื่อมีหมายสำคัญการอัศจรรย์ สิ่งที่จะตามมาคือการประกาศข่าวประเสริฐที่แพร่กระจายไป และเห็นถึงการเกิดผลอย่างมาก (กจ.5:14 บรรยายต่อไปว่า
มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน
นั่นคือ หมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่เพียงจะนำมาซึ่งความยำเกรงแล้ว ได้นำมาซึ่งการเจริญเติบโต พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่า มีทั้งชายและหญิงเป็นอันมาก ที่มาเชื่อถือ และเข้ามาเป็นสาวกมากกว่าก่อน  นั่นคือ ไม่ใช่น้อย ๆ แต่เป็นอันมาก และมากกว่าก่อนเสียอีกด้วย แต่ก่อนเป็นอย่างไร
กจ.2:41 บอกว่า... ประมาณสามพันคน
กจ.2:47 บอกว่า...มีคนมาเชื่อเพิ่มขึ้นทุกวันๆ
กจ.4:4 บอกว่า...นับเฉพาะผู้ชายมีจำนวนนับได้ห้าพันคน
นั่นแสดงว่า มีการเจริญเติบโตที่ทวีคูณมากยิ่งขึ้นอย่างมากมาย
หมายสำคัญและการอัศจรรย์ ทำให้คนตระหนักว่าพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งความช่วยเหลือ
หมายสำคัญและการอัศจรรย์ ทำให้คนตระหนักว่าพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง
หมายสำคัญและการอัศจรรย์ ทำให้คนตระหนักว่าสามารถเข้ามา พึ่งพาพระเจ้า
ฉะนั้นคริสตจักรจึงเป็นสื่อสวัสดิภาพที่จะนำพระพรของพระเจ้าออกไป หน้าที่ของผู้เชื่อคือการออกไปประกาศข่าวประเสริฐนี้ และเมื่อเราไปเราจะนำพระพรของพระเจ้าไปสู่คนทั้งหลาย และหมายสำคัญและการอัศจรรย์จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
จะเห็นได้ว่าคริสตจักรในสมัยกิจการฯ ไม่เพียงแต่คนในกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น ที่ได้รับพระพร ไม่เพียงแต่คนในกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น ที่ได้รับการรักษาโรค
ไม่เพียงแต่คนในกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น ที่ได้รับการปลดปล่อยจากผีร้าย
คนรอบ ๆ กรุงเยรูซาเล็มที่พากันออกมา ไม่ว่าคนเจ็บคนป่วย คนที่ผีเข้าก็ได้รับการรักษาให้หายดี  นี่แหละผลของหมายสำคัญและการอัศจรรย์ “ที่นำมาซึ่งพระพร” อย่างทั่วหน้า
เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกก็เพื่อการนี้ เพื่อนำพระพรและ การปลดปล่อยมาให้แก่คนทั้งปวง
พระเยซูได้เข้าไปในธรรมศาลาและได้อ่านจากหนังสืออิสยาห์บทที 61 ซึ่งเป็น คำเผยพระวจนะ
ลก. 4:17-19
17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า
18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูก
บีบบังคับเป็นอิสระ
19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า
นี่คือภารกิจของพระเยซู พระองค์เสด็จเข้ามา ในโลกนี้เพื่อนำพระพรมาให้คนทั้งปวงพระองค์มาเพื่อนำข่าวดีมาให้คนยากจน พระองค์มาเพื่อร้องประกาศอิสรภาพให้แก่บรรดาเชลย  พระองค์มาเพื่อประกาศให้แก่คนตาบอดว่าเขาจะเห็นได้ พระองค์มาเพื่อปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และพระองค์มอบหมายงานนี้ให้กับเราทั้งหลายในฐานะของผู้เชื่อที่ต้องออกไปประกาศจนสุดปลายแผ่นดินโลกและออกไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ (มธ.28:18-20)(กจ.1:8)
มธ.28:18-20
18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว
19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
กจ.1:8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"

คำถามในวันนี้คือ เราพร้อมหรือยังที่จะเป็นพันธรของข่าวประเสริฐ ที่จะไปปลดปล่อยพันธนาการให้กับคนทั้งหลายจากความบาปความตาย ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า ?

3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้
จากพระธรรมตอนนี้ เราได้หลักการคือหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่สำแดงถึงความประจักษ์แจ้งในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเราต้องมีความคาดหวังที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐและทำการอัศจรรย์ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยนำพระพรของพระองค์ไปสู่คนทั้งหลาย
ในวันนี้หมายสำคัญและการอัศจรรย์ ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตของเรา ขอให้เราทั้งหลายมีความเชื่อ เมื่อเราเชื่อเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพร พบกันใหม่ในโอกาสต่อไปครับ

17 พฤษภาคม 2555

วันแห่งการเสด็จสู่สวรรค์ของพระคริสต์(Ascension Day)

หากนับตามปฏิทินของชาวยิวแล้ว ในวันที่ 17 พ.ค.2012 นี้ เป็นวันระลึกถึง วันแห่งการเสด็จสู่สวรรค์ของพระคริสต์(Ascension Day)
หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นพระชนม์ขึ้นจากความตาย พระองค์ได้ทรงอยู่กับสาวกของพระองค์อีก 40 วันเพื่อสั่งสอนสาวก สิ่งที่เป็นสาระสำคัญคือการสอนในเรื่องแผ่นดินสวรรค์ และพระองค์ทรงกำชับใน 2 สิ่งที่เป็นพระมหาบัญชาคือ การออกไปประกาศและสั่งสอนสร้างสาวกใน มธ.28:18-20

18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว
19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
 
นอกจากนี้พระองค์ยังกำชับให้สาวกอย่าออกไปไหนให้คอยที่กรุงเยรูซาเล็มจนกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะเสด็จมาเพื่อให้สาวกออกไปรับใช้ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณฯ กจ.1:3-8

3 ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้นด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงสนทนากับเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
4 เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า "ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ
5 เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์"
6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้แก่ชนอิสราเอลในครั้งนี้หรือ"
7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ไม่ใช่ธุระของท่าน ที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้ โดยสิทธิอำนาจของพระองค์
8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"
 
เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสสั่งแล้ว พระองค์ก็ทรงสด็จขึ้นสวรรค์ไปต่อหน้าต่อตาสวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศ
มก.16:19 ครั้นองค์พระเยซูตรัสแก่เขาจบลงแล้ว ก็ถูกรับเข้าไปในฟ้าสวรรค์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า


การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสต์เป็นหมายสำคัญอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าพระเจ้าทรงชอบพระทัยในทุกสิ่งที่พระองค์ได้กระทำสำเร็จตามแผนการแห่งพันธสัญญา(กจ.2:33–36)
พระเจ้าได้ยกชูพระองค์และได้ประทานมงกุฎแห่งสง่าราศีและเกียรติยศให้กับพระองค์ (ฮบ.2:9)แต่เราก็เห็นพระเยซู ผู้ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่งนั้น ทรงได้รับพระสิริและพระเกียรติเป็นมงกุฎ เพราะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงได้ทรงชิมความตายเพื่อมนุษย์ทุกคนเพื่อพระนามที่เหนือล้ำยิ่งกว่านามชื่อทั้งปวง

(ฟป.2:9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์)

อีกทั้งได้ตั้งพระองค์ให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (กจ.2:36)และเป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัด (อฟ.1:22) จึงเป็นเหตุให้เราทั้งหลายที่เป็นสาวกของพระคริสต์ได้เฉลิมฉลองในวันแห่งการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และเราทั้งหลายต้องออกไปประกาศเรื่องข่าวประเสริฐนี้จนสุดปลายแผ่นดิน

ในปี 2012 เราได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปัสกาในช่วงวันที่ 6-14 เม.ย.เราได้สัมผัสถึงชัยชนะและฟ้าสวรรค์กำลังเปิด เพื่อเทพระสิริของพระเจ้าลงมา เป็นการประกาศชัยชนะในวันแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ และนับไป 40 วัน หลังจากปัสกา ในวันที่ 17 พ.ค.นี้เราได้ระลึกถึงวันแห่งการเสด็จสู่สวรรค์ของพระคริสต์(Ascension Day) หลังจากวันนี้ 10 วัน เป็นวันหลังจากปัสกา 50 วัน (27 พ.ค.)เราจะเฉลิมฉลองเทศกาล Pentecost หรือ Shavu'ot ที่พระวิญญาณฯเสด็งลงมาที่ห้องชั้นบนในกจ.2 สรรเสริญพระเจ้า ! กว่า2,000 ปีมาแล้ว แต่การทรงสถิตของพระองค์ยังอยู่ในชีวิตผู้เชื่อเสมอ ปี 2012 จะมีสิ่งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน ตื่นเต้นชะมัด!

ในวันนี้แม้ว่าพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดในโลกนี้แบบถ่อมพระทัย และจากโลกนี้ไปด้วยเสด็จขึ้นสวรรค์ไปแบบเงียบๆ มีคนเห็นไม่กี่คน แต่ในวันสุดท้ายที่พระองค์จะเสด็จมาพระองค์จะมาแบบยิ่งใหญ่ ปรากฎท่ามกลางฟ้า สวรรค์ เสด็จมาแบบจอมกษัตรา ที่ทุกตาจะเห็น  ทุกหัวเข่าจะคุกเข่าลงกราบและทุกลิ้นจะสารภาพว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ที่เสด็จมารับผู้ที่เชื่อไปสู่สวรรค์ของพระองค์

ขอให้ผู้ที่เสด็จมาในพระนามพระเจ้า ทรงพระเจริญ ! Baruch haba b'shem Adonai!

14 พฤษภาคม 2555

นี่เป็นวันแห่งการตัดให้ขาดเพื่อปลดปล่อย



นี่เป็นวันแห่งการตัดให้ขาดเพื่อปลดปล่อย
คำเผยพระวจนะจาก ดร.ชัค เพียซ
เพื่อการอธิษฐานวันที่ 8 พฤษภาคม 2012

นี่เป็นวันแห่งการกำจัดสายรัดต่างๆ ที่ได้ยึดพวกเจ้าเอาไว้ให้ติดอยู่กับฤดูกาลต่างๆ แห่งการเป็นเชลยในอดีต นี่เป็นวันแห่งการเคลื่อนไปข้างหน้า! การเคลื่อนไปข้างหน้า เวลานี้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จงเคลื่อนไปข้างหน้ากับเรา! การเคลื่อนไปข้างหน้าครั้งใหม่ได้มาถึงอาณาจักรแผ่นดินโลกแล้ว และเรากำลังจัดเรียงโครงสร้างต่างๆ มากมายอีกครั้งเพื่อที่จะเนรมิตคำสั่งของเราเพื่อวันข้างหน้าทั้งหลาย เรากำลังเรียกประชากรกลุ่มหนึ่งผู้ยังไม่เคยมีมา ให้ลุกขึ้นและเคลื่อนไปข้างหน้ากับเรา นี่เป็นเวลาที่จะกำจัดสิ่งที่ได้บดบังนิมิตของพวกเจ้าเอาไว้ราวกับเมฆหมอกนั้นให้พ้นออกไปเสีย เพื่อที่นิมิตใหม่จะสามารถเข้ามาได้ นี่เป็นเวลาที่เรากำลังตัดสายรัดต่างๆ ที่ได้ยึดคลังทรัพย์สำหรับอนาคตพวกเจ้าเอาไว้เป็นเชลยนั้น จงเฝ้าดูราชินีแห่งเชบามาพบกับพวกเจ้าและมอบให้กับอนาคตของพวกเจ้า ด้วยว่าจะเกิดมีการเคลื่อนไหวของคลังทรัพย์บนแผ่นดินโลก เชบาได้เริ่มต้นที่จะเคลื่อนแล้ว เอธิโอเปียกำลังเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว นี่เป็นเวลาที่วิหารของเราจะถูกสร้างขึ้นแล้ว

“พวกเจ้าได้อาศัยอยู่ในสิ่งที่ผ่านพ้นมานานเกินไปแล้ว นี่เป็นชั่วโมงและฤดูที่เรากำลังสวมพวกเจ้าด้วยมงกุฎแห่งชัยชนะ ประชาชาติมากมายได้วางตำแหน่งของพวกเขาไว้พร้อมแล้วตรงใจกลางของการเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงและรวดเร็ว นี่เป็นเวลาสำหรับบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกที่จะขึ้นมาและเปิดประตูต่างๆ ของพวกเขาเพื่อการเข้ามาของแผ่นดินของเรา นี่เป็นชั่วโมงที่เรากำลังสวมพวกเจ้าด้วยมงกุฎที่มาพร้อมกับเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะและอำนาจ ในชั่วโมงนี้พวกเจ้าไม่อาจจะหันกลับได้แล้ว พวกเจ้าจะหันกลับไม่ได้แล้ว!

“เรากำลังเอาหมอนและที่นอนแห่งการผ่อนคลาย ที่มีอยู่คริสตจักรออกไปเสีย ไม่ว่าจะอยู่ในทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ประเทศไทย หรือที่ใดบนแผ่นดินโลกนี้ก็ตาม เรากำลังทำให้พวกที่อยู่แบบสบายๆ รู้สึกไม่สบายกับสิ่งที่คริสตจักรของเราได้นั่งลงและได้ทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการให้พวกเขาทำ วันนี้เป็นวันที่เราจะยืนขึ้นที่ธรรมาสน์ของเรา และปลดปล่อยถ้อยคำของเรา ไม่ใช่ถ้อยคำของพวกเจ้าเอง

“ดังนั้น จงรู้เถิดว่า เราได้ตัดให้ขาดเพื่อปลดปล่อยพวกเจ้าให้เป็นอิสระ สายรัดเหล่านั้นได้ถูกทำลายเสียแล้ว เวลานี้ พวกเจ้าสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าและพบกับสิ่งที่พวกเจ้าได้เฝ้ารอคอยให้มันมาถึงพวกเจ้าได้แล้ว เวลานี้ พวกเจ้าสามารถมาถึงสี่แยกแห่งอนาคตของพวกเจ้าได้แล้ว จงรู้ไว้เถิดว่า เรากำลังปลดปล่อยคลังทรัพย์ของพวกเจ้า เรากำลังปลดปล่อยพวกเจ้าให้เป็นอิสระ เรากำลังช่วยกู้ประชากรกลุ่มหนึ่ง แล้วพวกเขาก็จะพบกับเราและเข้ามาสู่อนาคตของพวกเขา

“จงฟังเสียงของลมในท่ามกลางต้นหม่อน พวกเจ้าจะมาจากด้านหลัง จับพวกมันไว้ และได้รับชัยชนะเหนือศัตรูของพวกเจ้า เรากำลังขยายอาณาเขตของพวกเจ้า เรากำลังมอบสิทธิอำนาจใหม่ให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจะประจัญหน้ากับบรรดาศัตรูที่ได้มาประจัญหน้าพวกเจ้าแต่ยังไม่ได้มีชัยชนะเหนือเสียที! จงประจันหน้ากับบรรดาศัตรูเหล่านี้แห่งวิญญาณจิตของพวกเจ้า และจงเฝ้าดูเราพัดเป่าทิศทางใหม่แห่งชัยชนะมาให้พวกเจ้า เรากำลังเอาบังเหียนที่ควบคุมศัตรูนั้นไว้ในมือของเจ้า อย่าได้กลัวที่จะกำกับทิศทางของมัน ด้วยว่าศัตรูนั้นได้กำกับทิศทางให้กับพวกเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว

ต้นหม่อน (Mulberry) ลูกา 17:6
“เรากำลังคว่ำโต๊ะในวิหารของเรา อีกครั้ง นี่เป็นวันที่เราจะชำระนิเวศนี้ และยุติการคิดกำไรเกินควรและการค้าขายถ้อยคำของเรา! เรากำลังคว่ำโต๊ะในที่ที่ประชากรของเราได้ติดต่อสื่อสารกันเพื่อที่จะนำพวกเขาเข้ามาสู่สถานที่ใหม่แห่งการเลี้ยงฉลอง พวกเขาได้อ่อนแรงลงเพราะการแพร่ระบาดของความยากจนที่พวกเขาได้กัดก้อนเกลือกินนั้น

เรากำลังคว่ำอาหารที่ได้ก่อให้เกิดความพิกลพิการ ความอ่อนแอทั้งด้านร่างกายและจิตใจนั้น เรากำลังตั้งโต๊ะและจัดสำรับอาหารแห่งการเยียวยารักษาและความสมบูรณ์ครบถ้วน”

พระเจ้าอวยพร

Chuck D. Pierce

Glory of Zion International Ministries


Key Prophecy: A Day of Cutting Loose and Moving Forward!"This is the day of cutting loose.

This is the day of shearing the strings that have held you to the last seasons of captivity. This is the day of movement! A movement has now begun. Move with Me! A new move has come into the earth realm and I am rearranging many structures to create My order for the days ahead. I am calling a people who were not, to rise and move with Me.

This is the day to shear away what has clouded your vision so that new vision can come. This is a time that I am cutting loose the strings that have held captive wealth for your future. Watch as your Queen of Sheba comes, finds you, and gives into your future. There will be movement of wealth in the earth. Sheba has begun to move. Ethiopia is beginning to shift. This is a time that My temple will be built.

"You have dwelt too long in the past. This is the hour and season when I am crowning you with victory. Many nations have stationed themselves at ground zero. This is a time for nations of the world to ascend and open their doors for My Kingdom entry. This is the hour when I am crowning you with the sound of victory and power. In this hour you cannot go back. You cannot go back!

"I am taking the pillows and the couches of ease out of the Church – whether it be Africa, Australia, New Zealand, Thailand – wherever on the earth it is. I am going to discomfort the ease with which My Church has sat and done what they wanted to, and not what I wanted done. Today is the day I will stand in My pulpit and release My Word and not yours.

"I Am Loosing Your Wealth"
"So know that I have cut you loose and the strings have been severed. You can now move forward and meet what you have waiting to come to you; you can now reach the intersection point of your future. Know I am loosing your wealth. I am setting you free. I am delivering a people and they will meet Me and enter into their future.

"Hear the sound of the wind in the mulberry trees. You will come from behind, catch up and gain victory over your enemy. I am extending your territory. I am giving you new authority. You will face enemies that you have faced, but never triumphed over! Face these enemies of your soul and watch Me blow in your new direction of victory. I am putting the reins of the enemy in your hand. Do not be afraid to set the direction rather than the enemy who has been directing you.

"I am overturning the tables in My Temple. I am overturning the tables where My people have communed, and bringing them to a new place of feasting. They have grown weak from the spread of poverty that they have eaten from. I am overturning the food that has produced infirmity. I am setting a table for healing and wholeness."

Blessings,
Chuck D. Pierce

Glory of Zion International Ministries

07 พฤษภาคม 2555

หีบพันธสัญญา : การทรงสถิต นำทางชีวิต สู่สวรรค์

“หีบมา ฟ้าเปิด กำแพงระเบิด เกิดการฟื้นฟู(ชีวิตฟื้นฟู)” นี่เป็นสรุปความคิดรวบยอด(Concept) ของการเปิดค่ายประจำปี 2012 UCC camp หัวข้อ “สวรรค์บุกรกโลก” เราได้เห็นภาพของการเดินหามหีบพันธสัญญาเข้ามาในห้องประชุม เป็นภาพเปรียบเทียบถึงการจัดทัพ ขับเคลื่อนตามการทรงนำของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอล ที่พวกเขาจะเคลื่อนไปที่ใดการทรงสถิตของพระเจ้าจะอยู่ที่นั่น ในรูปของสัญลักษณ์คือเสาเมฆและเสาเพลิง (อพย.13) เล็งถึงการนำและการปกป้องคุ้มภัยโดยพระหัตถ์ของพระยาเวห์

หีบพันธสัญญาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการทรงสถิตของพระเจ้า เมื่อหีบพันธสัญญาเคลื่อนมา ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก กำแพงทองสัมฤทธิ์ที่เป็นเสมือนอุปสรรคขัดขวางก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง และการฟื้นฟูใหญ่ในชีวิตของเราจึงเกิดขึ้น เพราะสวรรค์ได้เคลื่อนลงมาบุกรุกชีวิตของเรา

ในวันนี้เราจึงต้องเปิดใจทำความเข้าใจในเรื่องหีบพันธสัญญา เพื่อเตรียมใจของเราให้เป็นสถานที่แห่งการทรงสถิตของพระเจ้า และชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงตามพระประสงค์ของพระองค์ เรามาร่วมศึกษาเรื่องหีบพันธสัญญาร่วมกัน

นิยามและความหมายของหีบพันธสัญญา(Ark of the Covenant)
หากเราศึกษาในพระคัมภีร์ เราจะพบว่ามีคำเรียกของ “หีบพันธสัญญา” ไว้หลายคำ เช่น คำว่า…
หีบพระโอวาท หรือหีบพระบัญญัติ (Ark of the testimony) (อพย.25:22,อพย.40:3,กดว.3:31,7:89,ยชว.4:16) เป็นคำเรียกแรกสุดของหีบ ทั้งนี้เพื่อบรรจุแผ่นศิลาพระโอวาทของพระเจ้า
อพย.25:22 แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น (อพย.40:3 จงตั้งหีบพระโอวาทไว้ในพลับพลาและกั้นม่านบังหีบนั้นไว้)
หีบพันธสัญญา (Ark of the Covenant)
(กดว.10:33,ฉธบ.10:8,ยชว.3:3,14,วนฉ.20:27) คำเรียกว่า หีบพันธสัญญา เป็นการที่ย้ำเตือนให้ระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่จะมอบดินแดนแห่งพันธสัญญาให้กับชนชาติอิสราเอล นั่นคือ ดินแดนคานาอัน ซึ่งโยชูวาได้พาคนอิสราเอลเข้าไปครอบครองได้ (กดว.10:33 เขาทั้งหลายก็ออกเดินจากภูเขาของพระเจ้าระยะทางสามวัน หีบพันธสัญญาของพระเจ้านำหน้าเขาไปสามวันเพื่อหาที่พักให้เขา)

หีบแห่งพระเจ้า(Ark of the Lord)
(ยชว.3:13,1 ซมอ.4:6,1 ซมอ.3:3 ,2 ซมอ.6:2,1 พศด.13:5) คำเรียกนี้ เป็นการย้ำเตือนใจถึงการทรงสถิตของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทำการอัศจรรย์ใหญ่ยิ่งแม้แต่น้ำจอร์แดนยังถูกเปิดออกให้คนอิสราเอลข้ามไปได้ (ยชว.3:13 และเมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพระเจ้า พระเป็นเจ้าปิ่นสากลพิภพจะลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในจอร์แดนจะคั่ง คือน้ำที่ไหลมาจากข้างบน น้ำนั้นจะหยุดเป็นกองเดียว) นอกจากนี้เป็นการยืนยันถึงความใหญ่ยิ่งของพระเจ้าแม้แต่ศัตรูต้องคร้ามกลัว(1ซมอ. 4:6 และเมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้องดังเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า "เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่ายของคนฮีบรูนั้นหมายความว่าอะไรกัน" และเขาทราบว่าหีบแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่ายแล้ว)
แม้ว่าภายหลังพวกฟิลิสเตียรบชนะคนอิสราเอลและยึดหีบไปได้แต่พระเจ้าก็ไม่ได้สถิตอยู่ด้วย ทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของอิสราเอล
(1ซมอ. 5:7 และเมื่อชาวเมืองอัชโดดเห็นอย่างนั้น เขาทั้งหลายกล่าวว่า "อย่าให้หีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลอยู่กับเราเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของพระอยู่เหนือเราและเหนือพระดาโกนพระของเราอย่างหนัก")
หีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอล(Ark of the God of Israel)
(1ซมอ.5:7,อพย.25:18-22,วนฉ.20:27-28) คำเรียกนี้จึงบอกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของอิสราเอล

สิ่งที่น่าสังเกตคือในภาษาไทยมีคำหลายคำ แต่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Ark ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ให้ความหมายรวมถึงหีบพันธสัญญา เรือโนอาห์(ปฐก.6) และตะกร้าที่ใส่โมเสสลอยน้ำ (อพย.2:5)

ลักษณะของหีบพันธสัญญา
หีบพันธสัญญาหีบพันธสัญญา พระเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสสร้าง ตามพระบัญชาของพระเจ้า (อพย.25:18-22) สร้างโดยเบซาเลลและโอโฮลีอับ(อพย.36-37)และนำไปไว้ในพลับพลา เป็นหีบไม้กระถินเทศหุ้มทองคำทั้งด้านนอกด้านใน มีขนาด 1.22 x 0.76 x 0.76 เมตร
ฝาปิดหีบเรียกว่า "พระที่นั่งแห่งพระกรุณา"( Mercy Seat)
มีเครูบสองตนอยู่ตนละด้าน หันหน้าเข้าหากัน กางปีกออกปกพระที่นั่งแห่งพระกรุณา (ฮบ 9:4-5) หีบนี้ประดิษฐานอยู่ในห้องชั้นในสุดของกระโจมที่ประทับตั้งแต่สมัยโมเสส เมื่อกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างพระวิหารแล้ว หีบนี้ถูกนำมาประดิษฐานไว้ในห้องชั้นในสุดที่เรียกว่า “อภิสุทธิสถาน” (Holy of Holies) เป็น "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด" ของพลับพลา

สิ่งที่บรรจุอยู่ในหีบพันธสัญญา มี 3 สิ่งคือ บรรจุแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติ 10 ประการ กับโถใส่มานา และไม้เท้าของอาโรนที่ออกดอกตูม
(ฮบ.9:4 มีแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และมีหีบหุ้มด้วยทองคำทุกด้านสำหรับบรรจุพันธสัญญา ภายในหีบนั้นมีโถทองคำใส่มานา และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกดอกตูม และมีศิลาสองแผ่นจารึกพันธสัญญา)

แท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้คือสัญลักษณ์ที่ทำให้ชนชาติอิสราเอลไม่ลืมพันธสัญญาของพระเจ้า ที่พระองค์ไม่เคยละทิ้งชนชาติของพระองค์

1.โถใส่มานา เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงพันธสัญญาของพระเจ้า พระองค์ทรงพระนามว่า ยาเวห์ยีเรห์(Yahweh Jireh) พระเจ้าผู้ทรงจัดสรรสิ่งที่ดีเสมอ
มานาเป็นอาหารที่ตกจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้คนอิสราเอลเมื่อพวกเขาอยู่ใน
ถิ่นทุรกันดาร(อพย.16:31) แม้ว่าพวกเขาจะได้เข้าดินแดนคานาอันที่เต็มไปด้วยน้ำนม น้ำผึ้งที่บริบูรณ์ พวกเขาไม่ต้องรับประทานมานาแล้วแต่จะได้กินผลจากแผ่นดินแห่งพันธสัญญา

โถทองคำที่ใส่มานาเป็นตัวแทนการปฏิเสธของมนุษย์ต่อการจัดสรรเลี้ยงดูของพระ เจ้า ที่พวกอิสราเอลได้บ่นต่อพระเจ้าและโมเสสในถิ่นทุรกันดาร

ดังนั้น เราจึงต้องขอบพระคุณพระเจ้าเสมอในทุกสถานการณ์ และตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจัดสรรสิ่งที่ดีเสมอ

2.ไม้เท้าของอาโรน เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงพันธสัญญาของพระเจ้า พระเจ้ามีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่
("ไม้เท้า" ของหัวหน้าเผ่าเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจปกครอง ไม้เท้านี้อาจเป็นกิ่งไม้สดก็ได้ ในภาษาฮีบรูคำ matteh מַטֶּה หมายถึง ได้ทั้ง "ไม้เท้า" และ "'เผ่า" ซึ่งเป็นเหมือน "กิ่ง" ที่แตกจากตอ (อสย.11:1)
ไม้เท้าของอาโรนเป็นตัวแทนการปฏิเสธของมนุษย์ต่อผู้นำของพระเจ้า (กดว.16:1-50) ทั้งนี้เพราะมีพวกกบฏโคราห์ ซึ่งเป็นเผ่าเลวี ได้ตั้งตนเป็นกบฏต่อโมเสส และได้ชักจูงให้เผ่าเลวีและอิสราเอลบางส่วนติดตามเขา เนื่องจากไม่พอใจที่โมเสส และอาโรน

โมเสสจึงอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเลือกว่าจะให้ใครเป็นผู้นำ โดยให้นำเครื่องหอมไปถวายต่อพระพักตร์พระเจ้าในสถานนมัสการ เมื่อโคราห์และพวกได้เข้าไปถวายเครื่องหอมบูชาแล้วเดินกลับออกมานอกพลับพลานั้น แผ่นดินก็สูบคนเหล่านั้น รวมทั้งครอบครัว และข้าวของทั้งหมดของพวกเขาด้วย แต่ในครั้งนั้นอิสราเอลได้กล่าวว่า โมเสสได้พรากชีวิตของคนเหล่านั้น พระเจ้าจึงทรงได้ลงโทษคนอิสราเอล จนกระทั่งโมเสสได้ทูลขอต่อพระเจ้า และทำการถวายเครื่องบูชาลบมลทินให้ การลงทัณฑ์จึงได้ยุติลง แต่ในครั้งนั้นอิสราเอลได้เสียชีวิตไปด้วยเหตุการณ์นี้กบฏโคราห์นี้มากถึง 14,700 คน
จากเหตุการณ์กบฏโคราห์ พระเจ้าจึงทรงบัญชาให้โมเสสนำไม้เท้าของบรรดาหัวหน้าเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล และไม้เท้าของอาโรนสลักชื่อ และนำเข้าไปในพลับพลา และทรงตรัสว่า จะทรงสำแดงให้เห็นว่าใครคือคนที่พระองค์ทรงเลือก เมื่อนำไม้เท้าของบรรดาหัวหน้าเผ่าเข้าไปได้ 1 วัน โมเสสจึงได้นำไม้เท้าเหล่านั้นออกมา ปรากฏว่า มีเพียงไม้เท้าของอาโรนเท่านั้น ที่ออกดอกและผลอัลมันด์ อิสราเอลจึงได้ทราบถึงบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ (กดว. 17:8-10)
กดว. 17:10 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงนำไม้เท้าของอาโรนกลับไปวางไว้ต่อพระโอวาท เก็บไว้เป็นหมายสำคัญสำหรับเตือนพวกกบฏ เพื่อเจ้าจะให้เขาทั้งหลายยุติการบ่นว่าเรา เพื่อเขาจะไม่ต้องตาย"
ดังนั้น เราจึงต้องตระหนักถึงสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงเจิมแต่งตั้ง(รม.13) โดยการเชื่อฟังอย่างนบนอบตามหลักการพระคัมภีร์

3.ศิลา 2 แผ่นที่พระเจ้าได้จารึกพระบัญญัติ 10 ประการ
ศิลา 2 แผ่นจารึกพระบัญญัติ เป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญชาให้กับชนชาติอิสราเอลและบัญชาให้โมเสสทำหีบเพื่อเก็บไว้(อพย.25:22) เพื่อให้นำอ่านพระบัญญัติให้คนอิสราเอลถือรักษา และศิลา 2 แผ่นจารึกพระบัญญัติ เป็นตัวแทนการปฏิเสธของมนุษย์ต่อมาตรฐานความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่เพราะพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา พระเจ้าได้เก็บซ่อนสิ่งเหล่านี้ไว้ในหีบพันธสัญญาและปิดไว้ด้วยพระที่นั่งกรุณาซึ่งมีปีกของเครูบปกคลุมไว้ (ฮีบรู 9.5) เพียงปีละครั้งที่มหาปุโรหิตจะเข้าไปในอภิสุทธิสถานซึ่งเก็บหีบพันธสัญญาเพื่อประพรมเลือดของสัตวบูชาบนพระที่นั่งกรุณานั้น สิ่งนี้หมายความว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าซึ่งมีสายตาของเครูบเป็นตัวแทนจะไม่มองเห็นถึงสัญลักษณ์การกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้า ตราบใดที่มีเลือดประพรมบนพระที่นั่งกรุณา พระองค์จะมองเพียงเลือดที่ไถ่บาปให้แก่มนุษย์

ในทุกวันนี้ พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตของเราและพระองค์ได้ประพรมพระโลหิตของพระองค์เองไว้บนพระที่นั่งกรุณาที่แท้บนสวรรค์(ฮบ.4:14-15) เราจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยสิทธิพิเศษผ่านทางพระโลหิตของพระคริสต์บนพระที่นั่งกรุณานั้น เราจึงสามารถยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดชั่วนิรันดร์

หีบพันธสัญญานำมาซึ่งการทรงสถิตในชีวิต
หีบพันธสัญญาเป็นหัวใจหรือศูนย์กลางที่สร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นในการนมัสการพระเจ้า สมัยที่อิสราเอลตั้งหลักแหล่งใหม่ๆ หีบนี้อาจเก็บไว้ที่กิลกาล (ยชว.4:15-24) ภายหลังจึงย้ายไปเก็บที่เมืองเบธเอล (วนฉ.20.27) ในสมัยซามูเอล หีบนี้เก็บไว้ที่เมืองชิโลห์ (1ซมอ.3.3)โดยเชื่อว่าหีบใบนี้มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพระเจ้าจึงมีฤทธานุภาพอยู่ในตัว ดังนั้นในยามเกิดสงคราม พวกเขาจะหามหีบพันธสัญญานำหน้ากองทัพเพื่อบำรุงขวัญบรรดานักรบของพระเจ้า (1ซมอ.4.5-9)
และใช้พระนามใหม่ที่เกี่ยวข้องกับหีบพันธสัญญาว่า "ยาห์เวห์ สะบาโอธ"(Yahweh Sabaoth) แปลว่า "พระเจ้าจอมโยธา" แสดงว่า พระเจ้าทรงจอมทัพของพวกเขา (1ซมอ.4.4)
เมื่อคนฟีลิสเตียมาบุกอิสราเอล(1ซมอ.4:1-22,5:1-0) และได้ยึดหีบพระพันธสัญญาไปวางไว้ในวิหารแห่งพระดาโกน เมื่อเช้าขึ้นมา พระดาโกนก็ล้มคว่ำหน้าลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบพระโอวาท และเมื่อชาวฟีลิสเตียยกพระดาโกนขึ้นตั้ง วันรุ่งขึ้น พระดาโกนก็ล้มลง เศียรพระดาโกนก็หักออก แสดงให้เห็นว่า การมีหีบพันธสัญญา หรือครอบครองบางสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า พระเจ้าทางสถิตอยู่ด้วย สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เมื่อคนที่ครอบครองสิ่งเหล่านั้น
การประพฤติตนตามที่พระเจ้าทรงปรารถนาต่างหากที่พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย เพราะเมื่อใดที่เราทำบาป และไม่ยอมกลับใจใหม่ เมื่อนั้นพระสิริของพระเจ้าได้พรากจากเราไปแล้ว!

ต่อมาเมื่อกษัตริย์ดาวิด (2ซมอ.6) ได้นำหีบพันธสัญญากลับมาจากชาวฟีลิสเตีย ได้นำหีบขึ้นเกวียนบรรทุก โดยมีอุสซาห์ และอาบีนาดับเป็นผู้ดูแล เมื่อระหว่างทางโคสะดุด อุสซาห์ได้เอื้อมมือไปจับหีบพระโอวาท พระพิโรธของพระเจ้าก็ขึ้นกับอุสซาห์ และทรงประหารเขาที่นั่นเพราะเขาเหยียดมือออกจับหีบนั้น (ทั้งนี้ เนื่องจากในพระบัญญัติห้ามมิให้บุคคลทั่วไปแตะต้องหีบพระโอวาท การขนส่งหีบพระโอวาทให้กระทำโดยการหาบด้วยคานหาม)
กษัตริย์ดาวิดจึงทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า (1พศด.15)ทรงรับสั่งให้คนเลวีนำหีบพันธสัญญามาที่กรุงเยรูซาเล็ม นำมาไว้ที่เต็นท์ และได้แต่งตั้งให้มีนักร้องเพลงเผยพระวจนะจำนวน 288 คน และนักดนตรี 4,000 คน ที่ทำการปรนนิบัติหน้าพระพักตร์ มีการอธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน นี่คือพลับพลาของดาวิด ที่พระเจ้าทรงพอพระทัยและทรงสถิตอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเลย แต่สิ่งนี้ก็เป็นแผนการของพระเจ้าสำหรับอิสราเอล
ภายหลังราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ชนชาติอิสราเอลหันจากทางของพระเจ้า พระเจ้าจึงลงโทษให้พวกเขาพ่ายแพ้สงครามและตกเป็นเชลย กรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารถูกกองทัพบาบิโลนทำลายในปี 587 ก.ค.ศ. หีบพันธสัญญานี้หายไปไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด

แม้ว่าหีบหายไปแต่พระสิริของพระเจ้าไม่จางหายไปจากชีวิตของเรา
หีบพันธสัญญาเป็นที่แห่งการทรงสถิตของพระเจ้า และปัจจุบัน เราคือพลับพลาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1คร. 3:16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน)
เราจะต้องรักษาชีวิตของเราเสมอไม่กระทำบาปและทำให้พระสิริของพระเจ้า พรากไปจากชีวิตของเราเหมือนดังที่ชาวอิสราเอลทำบาปถูกชาวฟิลิสเตียทำลายเมืองและยึดหีบพันธสัญญาไปได้(1ซมอ.4:1-22) นำความโศกเศร้าแม้แต่ภรรยาฟีเนหัสยังตั้งชื่อลูกเพื่อเตือนใจว่า"พระสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว" (1ซมอ.4:21 นางให้ชื่อเด็กนั้นว่า อีคาโบด {แปลว่า พระสิริ} หายไปไหน หรือ ไม่มีพระสิริ กล่าวว่า "พระสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว")

เตรียมชีวิตเคลื่อนไปสู่หีบพันธสัญญาแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า
วว.11:19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิด ในพระวิหารนั้นเห็นมีหีบพันธสัญญาของพระองค์ แล้วก็มีสายฟ้าแลบ และเสียงต่างๆฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ลูกเห็บก็ตกอย่างหนัก
ในพระธรรมตอนนี้บอกให้เราได้ทราบว่าตอนนี้หีบพันธสัญญาอยู่บนสวรรค์ และในวว.4:1 เป็นภาพวิวรณ์ที่อัครสาวกยอห์น เห็นว่าให้ว่าประตูแห่งสวรรค์เปิดอยู่ และมีคำเชื้อเชิญว่า จงขึ้นมาบนนี้เถิด (Come up here!)ให้เราทั้งหลายได้ขึ้นไปบนนั้น
วว. 4:1 ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่ และพระสุรเสียงแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น ได้ตรัสกับข้าพเจ้าดุจเสียงแตรว่า "จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า"
ในค่าย “สวรรค์บุกรุกโลก” ที่ผ่านมา ดร.ซูซาน วัตสัน(Dr.Susan Watson) ได้หนุนใจเราทั้งหลายในชั่วโมงสุดท้ายของการสอนว่า กษัตริย์ดาวิดได้เขียนบทเพลงสดุดีเป็นบทเพลงแห่งการแห่ขึ้น ที่ท่านได้จัดทัพแห่งการนมัสการ ชนเผ่าต่างๆของอิสราเอลเพื่อจะมุ่งหน้าไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้าที่ศิโยน ในวันนี้เราจะขึ้นบันไดไตร่ขึ้นไปบนพระวิหารแห่งสวรรค์ เพื่อเคลื่อนไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้าที่มากขึ้นและสูงขึ้นในระดับใหม่
ผมเชื่อว่าเราทั้งหลายพร้อมที่จะเคลื่อนไปตามการทรงสถิตของพระเจ้า แม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่เราไม่เคยไปมาก่อน แต่เราจะรักการเดินทางนี้ เพราะพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเรา ในวันนี้แผ่นดินสวรรค์กำลังเคลื่อนลงบุกรุกโลกอย่างฉับพลัน เพื่อประกาศการครอบครอง และปลดปล่อยพระพรจากยุ้งฉางในแผ่นดินสวรรค์ และฐานทัพของสวรรค์บนแผ่นดินโลกคือ “คริสตจักร” ที่ถูกเตรียมให้เป็นที่แห่งการทรงสถิตของพระเจ้าจอมพลโยธา(Yahweh Sabaoth)

ดังนั้นคริสตจักรจึงต้องปลดปล่อยการป่าวประกาศนำสวรรค์มาสู่โลกตามคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ในโลกนี้ (มธ.6:10) สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำนำการปฏิวัติของสวรรค์มาสู่โลกปลดแอกจากการปกครองของมารและเกิดการปฏิรูปจากวิญญาณศาสนา ไปสู่น้ำพระทัยของพระบิดาที่สำเร็จในโลกนี้ พระองค์ทรงทำสำเร็จแล้วที่กางเขน ถึงเวลาที่คริสตจักรต้องสานต่อแผนการความสำเร็จนี้มาสู่โลกในวันนี้

เราจะเคลื่อนไปในระดับแห่งพระสิริที่สูงขึ้น Come up here ขึ้นมาเลย!

Hey! พระเยซูรักเรา และเราก็จะเดินในเส้นทางนี้ เพราะพระองค์อยู่กับเรา!

04 พฤษภาคม 2555

Acts 5:1-11_ชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์

ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต
คริสตจักร "ต้นแบบ"ตามพระบัญชา
กิจการของอัครทูต 5:1-11
1 แต่มีชายคนหนึ่ง ชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตน
2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต
3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า "อานาเนีย เหตุไฉนซาตาน {ชื่อหนึ่งของมาร หมายความว่า ผู้ขัดขวาง (ปฏิปักษ์)} จึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า"
5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้ง
ตกใจกลัวอย่างยิ่ง
6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป
8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า "เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิด" หญิงนั้นจึงตอบว่า "ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ"
9 เปโตรจึงถามนางว่า "ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย"
10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น
อารัมภบท
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราได้ศึกษาพระธรรมกิจการฯต่อเนื่องกันมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของคริสตจักรในสมัยแรก นั่นคือการที่คริสตจักรได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ทั้งนี้เพราะมีผู้กระทำผิดจึงต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า นั่นคือ "อานาเนียกับสัปฟีรา" เขาทั้งสองได้ฉ้อโกงเงินที่ขายที่ดินและมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงต้องถูกพิพากษาจากพระเจ้าให้ถึงกับความตาย ทั้งนี้เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของคริสตจักร และเพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป นี่คือหมายสำคัญที่บอกให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรง บริสุทธิ์ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และน่ายำเกรงอย่างยิ่ง ในครั้งนี้เราจะมาศึกษาข้อคิดจากพระธรรมตอนนี้ร่วมกัน
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
เมื่อครั้งก่อนเราได้ศึกษาพระธรรมนี้ในบทที่ 4:32-35 นั้น ได้บรรยายเหตุการณ์ภายในคริสตจักรที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยไม่เห็นแก่ตัวแต่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นต้นแบบแห่งการแบ่งปัน ในขณะที่บรรยากาศภายในคริสตจักรมีการแบ่งปันกัน มีการช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่นั้นเอง ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ที่ทำให้คริสตจักรจำเป็นต้องรับการชำระให้บริสุทธิ์  ในบทที่ 5:1-11 ที่เราจะพิจารณาในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงมาจากบทที่ 4 โดยเริ่มต้นบรรยายใน ข้อ 1 ว่า “แต่” มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา”  “อานาเนีย” และ “สัปฟีรา” เป็นผู้เชื่อในคริสตจักรที่เยรูซาเล็ม สามีภรรยาคู่นี้เห็นพี่น้องในคริสตจักร นำเงินที่ขายที่ดินได้นั้น มาแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ที่มีความต้องการและขัดสน แต่พวกเขาต้องการที่จะทำเพื่อเลียนแบบผู้อื่น เช่น บารนาบัส หวังที่จะมีชื่อเสียง
กจ.4:36-37 ...โยเซฟ ที่อัครทูตเรียกว่า บารนาบัส แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส ..มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต
ด้วยความรู้สึกว่าต้องการทำเหมือนอย่างคนอื่น ๆ แต่ไม่ได้มาจากท่าทีที่ห่วงใยพี่น้องอย่างแท้จริง เพียงต้องการให้คนชื่นชมเหมือนที่บารนาบัสได้รับความชื่นชม

เป็นการกระทำที่เสแสร้ง และเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
การกระทำของสามีภรรยาคู่นี้จึงมาจากท่าทีที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นท่าทีที่ปราศจากความจริงใจ
พระเจ้าได้จัดการลงโทษสามีภรรยาคู่นี้ถึงขั้นเด็ดขาดเลยทีเดียว คือ ถึงแก่ชีวิต !
สิ่งที่เป็นข้อสังเกต คือ "เพราะเหตุไรพระเจ้าจึงเอาจริงกับสามีภรรยาคู่นี้ เพราะเหตุไรพระเจ้าจึงลงโทษอย่างรุนแรง และเด็ดขาดเพียงนั้น เพราะเหตุไรพระเจ้าจึงจัดการจนถึงที่สุด จัดการอย่างเด็ดขาด"
ทั้งนี้ว่าพระเจ้าจึงไม่ยอมปล่อยให้ความบาปนี้เกิดขึ้น โดยไม่มีการจัดการ!
“อานาเนีย” และ “สัปฟีรา” ต้องการที่จะให้ทานเพื่อจะ "เอาหน้า"เมื่อทำผิดถูกจับได้แทนที่จะกลับใจ เพื่อ"รักษาใจ"ให้ถูกต้อง แต่กลับ "รักษาหน้า" กลัวจะว่า "เสียหน้า" จึงได้พูดมุสาต่ออัครทูตและพระวิญญาณบริสุทธิ์  สุดท้ายจึงต้องมา "เสียชีวิต" เพราะการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้า
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เราได้เห็นพระเจ้าทำการชำระคริสตจักรอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง
ความผิดของอานาเนียและสัปฟีราในครั้งนี้คือ "การฉ้อโกง" ยักยอกเงินเก็บไว้ไม่ได้นำมาถวายทั้งหมด(ในข้อ2)และ "พูดโกหกไม่ยอมกลับใจ"(ในข้อ 3-4)
ข้อสังเกตในตอนนี้คือ การเปิดโอกาสให้มาร ซึ่งเป็น "นักโกหก ตัวพ่อ"ครอบงำชีวิต
ยน.8:44 ว่า มารนั้นเป็น “พ่อแห่งการมุสา”… มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
พระเยซูได้สอนสาวกไว้ใน มธ.12:31 เพราะฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้
ความบาปผิดที่อานาเนียทำนั้น มาจากความอ่อนแอของเขาที่ตกในการทดลองในเรื่องการเงิน อยากได้ อยากมี ทำให้พ่ายแพ้ต่อการทดลอง การมีเงินอยู่ในมือไม่ผิด แต่การมีเงินอยู่ในใจทำให้รักเงิน เป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งปวง
1ทธ. 6:10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
สิ่งต่อมาที่เป็นความผิดของพวกเขา คือ การดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พูดจาโกหกต่อพระวิญญาณ จะเห็นได้จากข้อ 5-10 โดยอานาเนียได้ทำผิดและล้มลงตายไป แต่นางสัปฟีรา นางได้เดินเข้ามาหลังจากสามีของนางสิ้นลมหายใจไปแล้วสามชั่วโมง โดยที่นางไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น


คำถามของอัครทูตเปโตรที่ถามสัปฟีรา เป็นคำถามที่แตกต่างไปจากที่ถาม อานาเนีย
คำถามที่ถามอานาเนียนั้น ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทราบการกระทำที่ ซ่อนเร้นของเขาว่าเป็นการหลอกลวง และเป็นการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับการโน้มนำของมารร้าย !
เป็นคำถามที่ยิงเข้าไปประเด็นสำคัญว่า พฤติกรรมอันหลอกลวงที่ อานาเนียซ่อนเร้นไว้นั้นพระเจ้าทรงทราบ และพระเจ้าต้องพิพากษา ลงโทษเขาอย่างเด็ดขาด
ส่วนคำถามที่ถามสัปฟีราภรรยาของเขานั้น เป็นการตั้งคำถามที่เปิดโอกาสให้กลับใจใหม่ได้
(ข้อ 7-10)อัครทูตเปโตรถามว่า…"เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิด"
สัปฟีราตอบว่า "ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ" ทันทีที่สัปฟีราตอบเช่นนั้น อัครทูตเปโตรกล่าวตอบนางทันทีว่า…"ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย"
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สัปฟีราได้รับโอกาสที่จะกลับใจใหม่ได้ แต่นางไม่กลับใจ 
เพราะคำถามที่อัครทูตเปโตรถามนางนั้น เปิดโอกาสให้จิตสำนึกของนาง ตอบสนองในทางที่ถูก  "เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ" คำถามนี้น่าจะกระตุ้นให้จิตสำนึกทำงานว่า ที่ตนคล้อยตามสามีนั้น ไม่ถูกต้องเสียแล้ว แต่แทนที่นางจะสำนึก กลับยืนยันว่าขายได้เท่านั้น
ผลคือนางได้ล้มลงตายตามสามีของนางไปด้วย
นี่เป็นข้อคิดให้เราตระหนักว่า เราไม่ควรจะดูหมิ่นพระวิญญาณฯ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยในชีวิต เมื่อเราไม่ตอบสนอง ผลจะทำให้นำไปสู่ความตายได้
แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การดูหมิ่นพระวิญญาณฯ และการไม่กลับใจใหม่ ตอบสนองจะเป็นการไม่รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณฯ ผลจะต้องถูกการพิพากษา
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระวิญญาณฯ ที่ทรงทำงานในชีวิตของเรา ให้เราไวในการตอบสนองต่อพระองค์ และกลับใจใหม่เสมอ เมื่อเราทำผิด ให้เราสารภาพบาป เพื่อพระองค์จะช่วยเราให้พ้นจากการพิพากษาจากพระเจ้า
2.ข้อคิดสะกิดใจ

ข้อคิดจากพระธรรมตอนนี้จากข้อ 10-11 คือการพิพากษาอย่างเด็ดขาดของพระเจ้า ! ทำให้เกิดการยำเกรงพระเจ้า  สำหรับผมแล้วพระเจ้าเป็นเสมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งความรักและความยุติธรรม ในมุมแห่งความรักพระเจ้ามีพระคุณ ให้โอกาสเรากลับใจใหม่เมื่อเราทำผิด เราจึงไม่ต้องเกรงกลัวพระเจ้า เพราะทรงมีความรัก แต่เราควรจะยำเกรงพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม พระองค์จะไม่ไว้หน้าผู้ใดที่ทำผิด  พระเจ้าทรงมีดาบที่จะลงมาเพื่อพิพากษาและชำระคริสตจักรของพระองค์ให้บริสุทธิ์
พระเจ้าจะไม่ยอมให้คริสตจักรของพระองค์มีมลทินแน่ น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้คริสตจักรของพระองค์ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใด ๆ เลย
อฟ.5:27 เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอย หรือมลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
การชำระคริสตจักรจึงย่อมเกิดขึ้นแน่ เพราะในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะเสด็จมาเมื่อสิ้นยุค พระองค์จะทำการพิพากษาและรับผู้ชอบธรรมไปสู่ยุ้งฉางของพระองค์บนสวรรค์
ลก.3:17 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว เพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"
จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงจัดการชำระความ จะมีการพิพากษาจะมีการแยกแพะออกจากแกะ  แกะจะสู่คอกของพระเจ้า ส่วนแพะจะเป็น "แพะรับบาป" ของจริง พระเจ้าไม่ได้จับคนผิดเหมือนตำรวจบางคนจับแพะ  
มธ.25:31-33
31 "เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
32 บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ
33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
ในวันนี้เรายังมีโอกาสที่จะดำเนินชีวิตในการกลับใจใหม่ สารภาพผิด แต่หากเราไม่รักษาชีวิตของเรา ปล่อยตัวปล่อยใจให้ความบาปเข้าครอบงำ เราจะไม่มีโอกาสได้กลับใจในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมาในวันสุดท้ายของโลก 
นี่คือ สิ่งที่เราแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า
"อย่าส่ำสมโทษไว้เพื่อการพิพากษา จงกลับใจใหม่ จงตั้งต้นใหม่ พระเจ้าพร้อมที่จะโอบอุ้มคนที่กลับใจ มาหาพระองค์ ดุจบิดาที่พร้อมรับบุตรน้อยที่สำนึกผิด ไม่มีบาปใดใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะอภัยให้ไม่ได้"
วันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเราแต่ละคน ถ้าวันนี้ยังทำใจให้แข็งกระด้าง คิดว่าพระเจ้าไม่เห็นจัดการ เลยไม่คิดจะกลับใจ ในวันนั้นไม่มีใครช่วยได้ เราจะต้องรักษาใจให้ชอบธรรมอยู่เสมอ สภษ.4:23 ให้รักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความระแวดระวัง ไม่เล่นกับบาป ไม่ปล่อยให้บาปเกาะกินใจ
ไม่ปล่อยให้บาปกัดกร่อนจิตสำนึกจนเสียไป ไร้การตอบสนองเมื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเตือน
เพราะไม่เช่นนั้น ความผิดบาปที่เราไม่ยอมกลับใจนั้นจะถูกส่ำสมไว้เพื่อแก่การพิพากษาในที่สุด
เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ พระองค์จะไม่ทรงยอมปล่อยให้ความบาป ลอยนวลโดยไม่มีการชำระนั้นอย่างแน่นอน
3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้

ผมขอสรุปหลักการไว้ดังนี้ คือเราจะต้องดำเนินชีวิตในการยำเกรงพระเจ้าอยู่เสมอ โดยไม่นำตัวเองเข้าสู่การทดลอง และพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงปรารถนาดีสำหรับชีวิตของเราเสมอ คริสตจักรเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรัก ดังนั้นคริสตจักรจึงต้องมีความบริสุทธิ์ หากวันนี้มีความบาปใดเข้ามาในคริสตจักร พระองค์จะชำระให้บริสุทธิ์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความชอบธรรมและพระคุณของพระองค์ที่ดำรงอยู่เสมอ สรรเสริญพระเจ้า
ขอปิดท้ายด้วยคำกลอนจากมานาประจำวัน โดย D. De Haan ดังนี้
องค์พระเจ้าบริสุทธิ์ปรารถนา  ใจซื่อตรงเราเข้ามาต่อพระพักตร์
พึ่งพระคุณสูงส่งที่รู้จัก  ทรงความรักชำระเราสะอาดพลัน 
การปนเปื้อนเพราะความบาป ต้องอาศัยการชำระจากพระผู้ช่วยให้รอด
ขอพระเจ้าอวยพระพร พบกันใหม่โอกาสหน้า