25 กุมภาพันธ์ 2557

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือน

เนื่องจากมีพี่น้องสอบถามเกี่ยวกับเรื่องคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนที่ผมลงใน Blog จึงขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจดังนี้นะครับ

บทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้แปลและเรียบเรียงจากมาจาก Website  http://arise5.com/   เขียนโดยรอน ซอว์คะ(Ron Sawka) หนึ่งในสมาชิกของสภาอัครทูต Global sphares โดยดร.ชัค เพียร์ส (Dr.Chuck D. Pierce)ซึ่งการแปลความตามอักษร(word for word) เพื่อรักษาความหมายเดิมของต้นฉบับเพื่อเป็นการให้เกียรติของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนคือ คือ รอน ซอว์คะ(Ron Sawka) ได้เขียนคำนำว่า สาส์นนี้ คือคู่มือการอธิษฐานสำหรับเดือนแต่ละเดือนตามปฏิทินฮีบรู เนื้อหามาจากคำสอนดร.ชัค เพียซ(Dr.Chuck D. Pierce)และดร.โรเบิร์ต ไฮด์เลอร์ (Dr.Robert Heidler) ในหัวข้อ "เข้าใจเดือนฮีบรูในเชิงเผยพระวจนะ" 

ผมใช้คำว่า  “คำอธิษฐานอวยพรประจำ” แทนคำว่า  “ความหมายของเดือนเชิงการเผยพระวจนะ” เพื่อให้ผู้อ่านได้สามารถเพ่งพินิจ อธิษฐานตาม และประกาศพรนั้นเหนือชีวิต  โดยนำมาเพื่อประกอบการอธิษฐานในการประชุมอธิษฐานการเริ่มต้นเดือนใหม่( Rosh Chodesh) ซึ่งเป็นการถวายเวลาซึ่งเป็น "ผลแรก" ของในแต่ละเดือน

"ทำไมเราต้องมีการฉลองในวันต้นเดือน (Rosh Chodesh) ทำไมต้องมีการถวายผลแรก ทำไมต้องมีการเชื่อถือเรื่องดูดวงจันทร์หรือดวงดาวต่างๆตามแบบปฏิทินฮีบรู?" 

         ขอหนุนใจไว้ดังนี้ว่า เราไม่ได้เลียนแบบความเป็นยิว หรือพยายามเป็นคนยิว เพราะเราไม่สามารถเป็นแบบคนยิวได้ เราไม่จำเป็นต้องไปทำตามพิธีของชาวยิว  แต่เราต้องปรับเวลาของเราเข้าสู่เวลาของพระเจ้า ในปัจจุบันเราอาจจะใช้ปฏิทินสากลคือแบบโรมัน เพื่อรู้เวลาของโลก แต่ในชีวิตในฝ่ายวิญญาณเราต้องปรับเวลาของเราเข้าสู้วาระเวลาของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงกำหนดวาระเวลาต่างๆ โดยให้เราเห็นได้จากหมายสำคัญต่างๆ บอกให้รู้ว่า ถึงวาระ ฤดู ที่จะต้องทำสิ่งใด (ปฐก.1:14 พระเจ้าตรัสว่า  "จงมีดวงสว่างบนฟ้า  เพื่อแยกวันออกจากคืน  ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู  วัน  ปี)

            คนยิวในสมัยก่อน ดูหมายสำคัญ(sign) เรื่องเวลาของพระเจ้า ทำความเข้าใจกับการเคลื่อนของดวงสว่างบนฟ้า แต่อำนาจมืดได้ทำให้คนหลงไป ด้วยการครอบงำ บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องโหราศาสตร์ แบบจักรราศี(Horoscope)และเมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาว คริสเตียนกลับรีบปฏิเสธ เพราะความกลัวว่าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น    

            แม้แต่ในสมัยที่พระเยซูคริสต์ประสูติ พวกโหราจารย์ยังดูการเคลื่อนดวงดาว จนได้มาพบกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย (มธ.2)  เราต้องทำการศึกษาเรื่องหมายสำคัญต่างๆเช่น ดวงจันทร์ และดวงดาวแบบ"โหราศาสตร์"  Astrology ไม่ใช่แบบ Horoscope ไม่ใช่เพื่อการดูดวงชะตาแบบหมอดู แต่นี่เป็นดูแล้วคิดพินิจพิเคราะห์ตามวาระเวลาของพระเจ้า
           
                คำว่า "โหราศาสตร์" ตรงกับภาษากรีกว่า Astrology เป็นคำศัพท์เฉพาะมาจากคำว่า Astro ซึ่งแปลว่า ดวงดาว กับอีกคำหนึ่งว่า Logic ซึ่งแปลว่า ตรรกศาสตร์ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น Astrology แปลว่า ศาสตร์ที่ว่าด้วยดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ 
   

         สำหรับคริสเตียนเราไม่มีโชคชะตาราศี ไม่ต้องถือฤกษ์ยาม อัครทูตเปาโลได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ในพระธรรม โคโลสี 2:15-18   

   15   พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย  พระองค์ได้ทรงประจานเขา  และชนะเขาโดยกางเขนนั้น

   16   เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน  การดื่ม  ในเรื่องเทศกาล  วันต้นเดือน  หรือวันสะบาโต

   17   สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง  แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์

18   อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน  ด้วยเขาทำทีถ่อมตัวลง  กราบไหว้ทูตสวรรค์  ใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต  ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง

 ฉะนั้นในวันนี้เรามีการประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม และไม่ใช่จุดยืนในความเชื่อที่จะต้องมากถกเถียงกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นเงาที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ และเราต้องเข้าใจในเรื่องวาระเวลาและเทศกาลต่างๆเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำหนดให้ไว้เพื่อให้คนของพระเจ้า

 สำหรับคำที่ใช้ในบทความที่เป็นราศีต่างๆ เช่น คำว่า “ราศีมีน” หมายถึง “ปลา กลุ่มดาวปลา” ในเดือนอาดารร์นี้ มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า The month of Pisces, the fishes. เรื่องดวงดาวชาวยิวได้รับอิทธิพลจากกรีก  และโรมัน ซึ่งต่อมาปฏิทินตามสากลก็ตั้งชื่อตามราศีของโรมัน

แม้แต่เดือนในอิสราเอลบางเดือนเช่นเดือนทัมมุส (Tammuz)(ประมาณเดือน  มิ..-..  ก็ตั้งชื่อตามพระของคนต่างชาติ  ชื่อเทพเจ้าของบาบิโลน ซึ่งประยุกต์มาจากพวกบาบิโลน  ยิวได้ตั้งชื่อเดือนนีว่า เดือนทัมมุส เนื่องจากเพื่อระลึกว่า รูปเคารพเป็นเหตุให้บ้านเมืองของตนต้องพินาศย่อยยับ ชื่อเดือนทัลมุส เป็นชื่อของรูปเคารพจริง ๆ แต่ตั้งเพื่อเตือนใจเขาให้หันกลับมาหาพระเจ้า ดังนั้นในเดือนนี้ คนยิวจะอดอาหาร และบรรยากาศของเดือนจะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกใจ เพื่อเตือนใจเขาเรื่องพระวิหารถูกทำลายเพราะรูปเคารพ ดังที่กล่าวชื่อรูปเคารพไว้ใน เอเสเคียล 8:14-15 เดือนทัมมุส เป็นเทศกาลไว้ทุกข์ ถือการอดอหาร เพื่อระลึกถึงการที่บาบิโลนมาทำลายพระวิหารของยิวในช่วง ปี 606-587 กคศ. และเป็นการระลึกถึงความเศร้าโศกของโมเสสที่หักแผ่นพระบัญญัติด้วยความโกรธเนื่องจากคนอิสราเอลไปกราบไหว้รูปเคารพ
ในบริบทของเนื้อหาของคำอธิษฐานเป็นการแปลความหมายเชิงสัญลักษณ์ใช้หลักการเดียวกับการตีความหมายในความฝัน โดยเทียบจากพระคัมภีร์ แปลความว่า  เดือนประจำราศีมีน - คือปลา การพบสิ่งจำเป็นในโลกที่ซ่อนอยู่ (เช่น เหรียญทองในปากปลา  มธ. 17:24-28) มีอัตลักษณ์ของคุณในโลกที่มองไม่เห็น อย่าเอาแต่ภาคปฏิบัติ (คืออยากที่จะทำตามคนอื่นเพื่อให้ถูกยอมรับ) เราต้องหาอัตลักษณ์ฝ่ายวิญญาณของเราให้เจอ
เป็นความหมายเชิงการประยุกต์ เพื่อให้กลับไปสู่การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้นำไปสู่การเชื่อแบบราศีที่ทำให้หลงและออกจากหลักการพระคัมภีร์

สรุปการประยุกต์

1.บทความคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนเป็นเพียงแค่คู่มือสำหรับใช้ประกอบการอธิษฐานเพื่อป่าวประกาศพระพรประจำเดือน  เราสามารถประยุกต์ตามความเหมาะสมและสิ่งที่เราจะต้องทำคือการอุทิศเวลาของเราซึ่งเป็นผลแรกเพื่อแสวงหาพระเจ้าส่วนตัว


2.เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องของวัฒนธรรมของคนยิว ในเรื่องการศึกษาความหมายเชิงการเผยพระววจนะบางสิ่งเป็นภาษาสัญลักษณ์(Type) ต้องมีการแปลความเช่นการนับราศีตามกลุ่มดาวเป็นเรื่องการเคลื่อนของเวลา, ตัวอักษรประจำในแต่ละเดือนอักษรฮีบรูให้ความหมายเป็นภาพสัญลักษณ์ ,อวัยวะของร่างกายเป็นสัญลักษณ์ประจำเดือนที่เล็งถึงการดำเนินชีวิตให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ

3.เราต้องทำความเข้าใจเรื่องการสำแดงของพระเจ้า พระเจ้าสามารถใช้สิ่งต่างๆเพื่อการสำแดงเป็นการเผยพระวจนะ เช่น ดวงดาว การสำแดงผ่านทางความฝัน การตีความหมายเป็นการสำแดงจากพระเจ้า

สดุดี 19:1-2 
  1   ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า  และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์     
  2   วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน  และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน

โยบ 33:15-16 
   15   ในความฝัน  ในนิมิตกลางคืน  เมื่อคนหลับสนิท  เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา
   16   แล้วพระองค์ทรงเบิกหูของมนุษย์  และทรงสั่งสอนอย่างลับๆ

การสำแดงจากพระเจ้าบางครั้งอาจจะไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์เพราะพระคัมภีร์เป็นส่วนหนึ่งในการสำแดงของพระเจ้าไม่ได้ทั้งหมด แต่พระคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการวัด(canon) หากมีสิ่งใดที่ผิดหลักการพระคัมภีร์สิ่งนั้นไม่ถูกต้อง
 
อ่านเพิ่มได้จากบทความเรื่อง มิติการสำแดงกับความจริงของพระคัมภีร์

4. เราต้องทำการศึกษาในเรื่องการสำแดงของพระเจ้า โดยกลับไปทบทวนสัมมนาต่างๆที่เคยเรียนมาเช่น มิติแห่งการสำแดง(Revelation realms)  สัมมนา อิสสาคาร์ เป็นต้นเพื่อให้เกิดความสมดุลในการประยุกต์ใช้

16 กุมภาพันธ์ 2557

ผลแรกในวันต้นเดือนและคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนตามปฏิทินฮีบรู

บทความในครั้งนี้ ผมขอรวบรวมบทความที่ผมได้เคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องของ"ผลแรกในวันต้นเดือน" (Rosh Chodesh)  และรวบรวมบทความเกี่ยวกับ คำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนต่างๆตามปฏิทินฮีบรู เพื่อทำความเข้าใจและอธิษฐานใคร่ครวญตามพระวจนะของพระเจ้า
(สามารถ Click บทความต่างๆ ตามที่ Link ได้นะครับ)

ผลแรกในวันต้นเดือน (Rosh Chodesh)
(คำว่า Rosh Chodesh רֹאשׁ חֹדֶשׁ ให้ความหมายตามตัวอักษรคือ คำว่า Rosh หมายถึง Head หัว การเริ่มต้น คำว่า Chodesh หมายถึง Month เป็นการเริ่มต้นของเดือนใหม่ (Head of the month)ยังให้ความหมายถึงการชำระ (sanctification)เป็นการชำระชีวิตในบริสุทธิ์)


พระเจ้าประสงค์ให้เราเติบโตขึ้นในเรื่องผลแรกในทุก ๆ ด้าน รวมถึงเรื่องผลแรกของเวลาด้วยเช่นกันพระเจ้ากำหนดให้มีวงจรแห่งเดือนขึ้น คนมากมายไม่รู้ไม่เข้าใจว่าการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวนั้นมีความหมายพระวจนะบอกว่า ดวงสว่างบนฟ้าเป็นหมายสำคัญ(sign) ที่จะบอกให้รู้ว่าอยู่ในฤดูกาลใดนั่นคือ บอกให้รู้ว่า ถึงวาระ ฤดู ที่จะต้องทำสิ่งใด

ปฐก. 1:14 พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี
Gen. 1:14 God said, “Let there be lights in the expanse of the sky to separate the day from the night, and let them be signs to indicate seasons and days and years,
คนยิวในสมัยก่อน ดูหมายสำคัญต่างๆ(sign) เรื่องเวลาของพระเจ้า  พวกเขาทำความเข้าใจกับการเคลื่อนของดวงสว่างบนฟ้าแต่อำนาจมืดได้ทำให้คนหลงไป ด้วยการครอบงำ บิดเบื้อนให้กลายเป็นเรื่องโหราศาสตร์และเมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาว คริสเตียนกลับรีบปฏิเสธ เพราะความกลัวว่าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น

แต่แท้จริง พระเจ้าเป็นผู้สร้างดวงสว่างและกำหนดความหมายที่ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนตัวของดวงสว่างบนฟ้าเหล่านั้นโดยสิ่งทรงสร้างเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องของเวทมนตร์ ความบาปแต่อย่างใด เพราะพระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา แต่ทว่ามารซาตานได้ขโมย บิดเบือนและใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อให้คนหลงไปจากการศึกษาในประวัติศาสตร์ของคนยิว พบว่า ตามธรรมศาลามากมายในช่วงศตวรรษแรกนั้น มีเครื่องหมายจักราศี หรือรูปดวงดาวที่ประดับอยู่ตามพื้นในธรรมศาลาด้วยซ้ำ แต่มารได้บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องโหราศาสตร์ คือ ความพยายามที่จะพยากรณ์อนาคตจากดวงดาวเพื่อรับการสำแดง โดยไม่ได้พามนุษย์เข้าไปเสาะหาหน้าพระเจ้า และฟังเสียงของพระองค์ โหราศาสตร์เป็นการทำนายที่เป็นความบาป

เมื่อเราดูโหราศาสตร์เราก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและเปิดประตูให้มารซาตานเข้ามาครอบงำในชีวิตพระวจนะบอกเราอย่างชัดเจนว่า ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปีทำให้รู้ว่า ต้องทำอะไรแล้วคำว่า หมาย หรือ sign ที่ปรากฏในพระธรรมตอนนี้ ในรากศัพท์ภาษาฮีบรูมาจากคำว่า oth หมายถึง warning ดังนั้น เราจึงรู้จากการมองไปบนท้องฟ้า ว่า พระเจ้าเตือนให้ทำอะไรเช่นเดียวกับที่พระคัมภีร์หลาย ๆ ตอนกล่าวไว้ว่า ในวาระสุดท้ายนั้น
there will be signs in the sky
กจ. 2:19 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบน และนิมิตที่แผ่นดินเบื้องล่าง เป็นเลือด ไฟ และไอควัน

มธ. 24:30 เมื่อนั้นนิมิตแห่งบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้ แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก

ส่วนอีกคำหนึ่ง คือคำว่า ฤดู ใน ปฐก.1:14 ที่ได้กล่าวไปนั้น ในภาษาฮีบรูมาจากคำว่า Mo’ed หมายถึง appointed time คือ เวลาที่ถูกกำหนดไว้ เป็นเวลาที่พระเจ้านัดหมายเราไว้
เป็นเวลาฤดูกาลที่จะพบพระองค์ ฟ้าสวรรค์สำแดงเวลาของพระเจ้า คนยิวเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อคนยิวต้องการที่จะรู้ว่า นี่เป็นวันอะไร มีเทศกาลอะไรไหม เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าพระเจ้าได้กำหนดดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ในฟ้าสวรรค์ เพื่อจัดตั้งระเบียบเวลาของพระองค์ไว้ในชีวิตของเรา ทำให้รู้ว่าถึงวาระ เวลา ฤดูกาลใด ต้องทำสิ่งใดท้องฟ้าจึงเป็นดังนาฬิกาของคนยิวทุกเดือนคนยิวจ้องดูท้องฟ้า รอเวลาที่ดวงจันทร์ ดวงใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้งและเมื่อถึงวันขึ้นค่ำ
เมื่อดวงจันทร์ดวงใหม่(New Moon)เกิดขึ้น พวกเขาก็ป่าวประกาศเสียงดังว่า “เดือนใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว”นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการเฉลิมฉลองด้วยความชื่นชมยินดี เรียกว่า "โรช โคเดช (Rosh Chodesh)" ซึ่งเป็นเวลาที่เขาจะมาอยู่รวมกันกับผู้เผยพระวจนะ และฟังเสียงพระเจ้าที่จะให้ทิศทางในเดือนนั้นRosh Chodesh ถือเป็น head of the month เป็นวันต้นเดือนนั้นพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม ทำให้เราเห็นภาพ Rosh Chodesh ชัดเจนถึงเวลาต้นเดือน ที่เราสามารถสนองตอบโดยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลแรกของเวลาแด่พระเจ้า 

(อ่านเพิ่มเติมได้จาก บทความ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลแรกในวันต้นเดือน (Rosh Chodesh))

คำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนต่างๆตามปฏิทินฮีบรู

ปฏิทินฮีบรูมี 2 แบบคือ แบบศาสนา(Ecclesiastical Calendar)และซึ่งปีแบบราชการ(Civil Calendar) 
 
1. แบบศาสนา(Ecclesiastical Calendar)  มี 12 เดือนเริ่มต้นในเดือน
"นิสาน"(Nissan)(ประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค.)และไปสิ้นสุดที่เดือน"อาดาร์ (Adar) (ประมาณเดือนมี.ค.-เม.ย.) บางปีจะมีเดือนอาดาร์ 2 หน เช่นในปีนี้ ปี 2014  สาเหตุที่มีเดือนอาดาร์ 2 หนในปีที่เป็น ปีอธิกสุรทิน (leap year) ทั้งนี้เพราะปฏิทินฮีบรูเป็นการนับปฏิทินสุริยจันทรคติ จะมีการนับเดือนจันทรคติที่ 13 โดยการเพิ่ม 7ครั้งทุก 19ปีเข้าไปในเดือนจันทรคติ 12 เดือนในปีปกติสุรทินเพื่อให้ปีปฏิทินไม่คาดเคลื่อนจากฤดูกาลเร็วเกินไป

2.แบบราชการ(Civil Calendar) มี 12 เดือน เริ่มต้นวันที่ 1 ในเดือนทิชรี (Tishrei) )(ประมาณเดือนก.ย.-ต.ค.)จะมีการเฉลิมฉลองในการขึ้นปีใหม่ที่เราเรียกว่า "Rosh Hashanah (โรช ฮาชชะนาห์)" ไปสิ้นสุดที่เดือน"เอลลูล (Elul)"
(ประมาณเดือนก.ย.-ต.ค.)   
จะได้ว่ามีการปีใหม่ 2 ครั้งคือในเดือนนิสานเป็นปีใหม่แบบศาสนาและเดือนทิชรีเป็นการขึ้นปีใหม่แบบราชการที่เรียกว่า "Rosh Hashanah" แต่ละเดือนจะมีความหมายในเชิงการเผยพระวจนะและเราสามารถนำคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนตามปฏิทินฮีบรูมาอธิษฐานใคร่ครวญตามพระวจนะของพระเจ้าได้ดังนี้ (สามารถ Click บทความต่างๆ ตามที่ Link ได้นะครับ)

1.เดือน “นิสาน”(Nissan) หรือ “เดือนอาบีบ”(Abib) (อพย.13:4)(ประมาณเดือนมี.ค.-เม.ย.) เป็นเดือนแรกของปีปฏิทินฮีบรู แบบศาสนา(Ecclesiastical Calendar) ซึ่งปีใหม่ของชาวฮีบรูอยู่ในช่วงเป็นเดือนที่ 7 ตามปฏิทินแบบราชการ(Civil Calendar)   เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรใหม่ของการไถ่บาป เทศกาลปัสกา (Passover)อยู่ในเดือนนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ของเดือนนิสาน เป็นช่วงเวลาการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสิ่งเก่าก่อน และก้าวเข้าสู่สิ่งใหม่
ดือนนี้เกี่ยวข้องกับเผ่ายูดาห์ เผ่ายูดาห์ขึ้นไปสู้รบ ทำสงครามก่อนเผ่าอื่น (วนฉ.1:2,20:18) และยูดาห์ยังเป็นเผ่าแรกของอิสราเอลที่เคลื่อนขบวนทัพเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร (กดว.10:14)
คำว่า “ยูดาห์” หมายถึง “การสรรเสริญ” และเป็นวิถีทางที่จะทำให้มือของเราจับคอของศัตรูไว้ได้ต่อไป(ปฐก.49:8)

2.เดือน "อิยาร์" (Iyar) เดือนแห่งการเจิมแบบอิสสาคาร์ ผู้ที่รู้กาลเวลาของพระเจ้า (1 พศด. 12:32)

3.เดือน"สิวัน" (Sivan) เป็นเดือนแห่งเผ่าเศบูลุน คือ เผ่านักธุรกิจ เดือนแห่งเทศกาลเพ็นเทคอสต์(Pentecost) พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับความมั่งคั่ง (ปฐก.49:13,ฉธบ.33:18-19
หากศึกษาพระคัมภีร์จะพบว่า เมื่ออิสราเอลเคลื่อนทัพออกมาจากอียิปต์ จะเคลื่อนพลเป็นเผ่า และ 3 เผ่าที่นำหน้า นั้นก็คือ เผ่า ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน ให้เรานำคำอธิษฐานอวยพระพรประจำเดือนเหล่านี้มาป่าวประกาศ

4.เดือน “ทัมมุส (Tammuz) ชื่อเดือนทัมมุส ตั้งตามชื่อเทพเจ้าของบาบิโลน เพื่อเป็นการเพื่อระลึกว่า“รูปเคารพเป็นเหตุให้บ้านเมืองของตนต้องพินาศย่อยยับ” เพื่อเตือนใจพวกเขาให้หันกลับมาแสวงหาพระเจ้า (อสค.8:14-15) เป็นเดือนแห่งเผ่ารูเบน บุตรชายคนแรกของยาโคบ(อิสราเอล) เขาสูญเสียมรดกแห่งการเป็นบุตรหัวปีไป เพราะเขาไปร่วมหลับนอนกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของบิดา (1 พศด.5:1)


5.เดือน "อับ" (Av) คำว่า "อับ" อ่านตามภาษาฮีบรู จะอ่านว่า "อัฟ"เพราะสะกดด้วยตัว Beth ไม่มีจุด(Dagesh)จะออกเสียงตัววี AV ไม่ใช่ตัวบี AB

אָב ในภาษาฮีบรู ความน้ำพระทัยหมายตามตัวอักษรหมายถึง บิดา”(Father) มีรากศัพท์ให้ความหมายถึง (will) และความปรารถนา (desire) ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจถึงหัวใจของพระบิดา ดังเช่นพระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยที่จะอวยพรชนชาติของพระองค์ผ่านทางบิดาแห่งความเชื่อคือ อับราฮัม พระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อจากอับรามเป็นอับราฮัม บิดาของมวลชน เพื่อแผนการแห่งน้ำพระทัยพระบิดา (ปฐก.17:5) เป็นเดือนแห่งเผ่าสิเมโอน

สิเมโอน (Simeon) שמעון มาจากคำภาษาฮีบรูที่ออกเสียงว่า "เชมา" แปลว่า "การได้ยินการตระหนัก"



6.เดือน "เอลลูล" (Elul) เดือนแห่งเผ่ากาด  เมื่อตอนที่กาดได้ถือกำเนิด นางเลอาห์กล่าวว่า “โชคดีจริงๆ"(ปฐก.30:11) ซึ่งมีนัยบ่งบอกถึงการเพิ่มทวี

เดือนที่องค์จอมกษัตราเสด็จมาอยู่กับเรา (The King is in the field)



7. เดือน “ทิชรี"  (Tishrei) ชื่อเดิมคือ เอธานิม (Ethanim) เป็นเดือนที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ถวายพระวิหารเมื่อสร้างเสร็จแล้วแด่พระเจ้า การทรงสถิตของพระเจ้าทำให้เมฆแห่งพระสิริเทลงมาอย่างมากจนบรรดาปุโรหิตไม่สามารถยืนอยู่ได้(1 พกษ. 8:2-11)

เป็นเดือนที่ 7 ตามปฏิทินศาสนา (Ecclesiastical calendar) เป็นเดือนที่ 12 ตามแบบปฏิทินราชการ(Civil calendar) ของประเทศอิสราเอล เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ (Rosh Hashanah-Head of the year) เดือนแห่งเผ่าเอฟราอิม  เกิดผลและทวีคูณ ! (ปฐก 49.22) 

ในเดือนนี้จะมีเทศกาลสำคัญอยู่ 3 เทศกาลด้วยกัน (ลนต.23:24-40) 
1.ทศกาลเป่าแตรเขาสัตว์ (Rosh Hashanah-โรช ฮาชชะนาห์)  (วันที่ 1 เดือนทิชรี) เพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้นสู่ความดีของพระเจ้า
2. เทศกาลลบมลทินบาป (Yom Kippur-ยม คิปปูร์) (วันที่ 10 เดือนทิชรี)  จะช่วงเวลา 10 วันแห่งความยำเกรงพระเจ้า(Days of Awe) เป็นเวลาที่จะหันชีวิตออกจากวิถีแห่งความบาป และหันกลับมาหาพระเจ้าโดยการอดอาหารอธิษฐานเป็นการเตรียมชีวิตกลับใจจากความบาป

3. เทศกาลอยู่เพิง (Sukkot-สุคคท) (วันที่ 15-21 เดือนทิชรี)เพื่อเราจะได้สามัคคีธรรม ชื่นชม และดำเนินอยู่ต่อการทรงสถิตของพระเจ้าและรับ
      ความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์

8. เดือน "เชสวาน" (Cheshvan) เดือนแห่งเผ่ามนัสเสห์ (ลืม, กระโดดหนี) ดังความหมายของชื่อเผ่ามนัสเสห์ (ปฐก 41.51) พระเจ้าทรงอวยพรเรา ดังนั้นเราสามารถที่จะลืมความยากลำบากและความทุกข์ยาก

9.เดือน "คิสเลฟ" (Kislev) เดือนแห่งเผ่าเบนยามิน เบนยามินเป็นเพียงหนึ่งเดียวใน 12 คนที่เกิดในดินแดนอิสราเอล ดังนั้นจงเฝ้าดูอิสราเอล สิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนวิถีทางของเขา

10.เดือน "เทเบท" (Tevet) ในประวัติศาสตร์เดือนเทเบทมีความสำคัญ เพราะเป็นเดือนที่เอสเธอร์ได้ถูกเตรียมเพื่อเป็นราชินี และเมื่อได้เป็นราชินี พระนางเอสเธอร์ได้ช่วยชีวิตชาวยิวจากการถูกสั่งฆ่าโดยศัตรู

เอสเธอร์ 2:16 เมื่อเขาพาเอสเธอร์เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสในพระราชสำนัก ในเดือนสิบซึ่งเป็นเดือนเทเบท ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลของพระองค์

 
ดังนั้นเดือนนี้จะเป็นเดือนแห่งการลุกขึ้นเป็นหัวไม่ใช่หางของคนของพระเจ้าในสังคม เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในความชอบธรรมของพระเจ้า และศัตรูที่อธรรมจะถูกการพิพากษาจัดการ

เดือนแห่งเผ่าดาน ในปฐก.49:16-18 บอกไว้ว่า

"ส่วน​ดาน​จะ​เป็น​ทนาย​ของ​ประชาชน​ของ​ตน เป็น​เผ่า​หนึ่ง​ใน​อิสราเอล ดาน​จะ​เป็น​งู​อยู่​กลาง​ถนน เป็น​งู​พิษ​ที่​อยู่​ใน​หนทาง​ที่​กัด​ส้น​เท้า​ม้า ให้​คน​ขี่​ตก​หงาย​ลง ข้า​แต่​พระ​เจ้า ข้า​พระ​องค์​รอ​คอย​ความ​รอด​จาก​พระ​องค์"

11.เดือน "เชบัท"(Shevat) เดือนของเผ่าอาเชอร์ เป็นเดือนที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องความสุขและสิ่งที่ดีต่างๆ



12.เดือน "อาดาร์" (Adar) เดือนแห่งเผ่านัฟทาลี ซึ่งหมายถึง "ความหวานต่อฉัน" นี่เป็นเวลาแห่งการเ ฉลิมฉลองเพื่อว่าคำแช่งสาปจะถูกล้างและสิ่งต่างๆกลับกลายเป็นหวานสำหรับเรา ( ฉธบ.33:23 )

13 กุมภาพันธ์ 2557

รักสุดจิต ฟินสุดใจ

สวัสดีครับเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน  ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเดือนแห่งความรัก  วันที่14 ..เป็น "วันวาเลนไทน์"(Valentine's day) หรือ "วันแห่งความรัก" เป็นวันที่ระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ผู้ที่เป็นที่มาของวันแห่งความรัก เพราะท่านเป็นผู้อุทิศชีวิตของท่านในการสำแดงความรักโดยจัดการประกอบพิธีให้กีบคู่สมรสต่างๆท่านยอมฝ่าฝืนกฎหมายอันไม่ชอบธรรมในการห้ามจัดงานแต่งงานให้กับชายผู้เป็นทหารของโรมัน


(อ่านประวัติที่มาของวันวาเลไทน์ได้ที่http://pattamarot.blogspot.com/2011/02/valentine.html)

ความรักเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับผู้เชื่อทุกคน
มัทธิว 22:37-38 

37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
38นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น
39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"
ดังนั้นศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาแห่งความรัก พระเจ้าทรงเป็นความรักและสอนผู้เชื่อให้สำแดงความรักออกไป

พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ทำให้เกิดความรักขึ้นมาเป็นสิ่งที่ความสวยงามและทำให้โลกน่าอยู่แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ถูกล่อลวงจากวิญญาณชั่วร้ายให้ใช้ความรักในทางที่ไม่ถูกต้องทำผิดบาปทางเพศโดยเฉพาะในช่วงวันที่14..วันวาเลนไทน์วันแห่งความรักแต่หนุ่มสาวในวัยเรียนหลายคู่ได้ไปทำผิดบาปทางเพศทำให้เกิดปัญหาสังคมวันนี้จึงถูกขนานนามให้ใหม่ว่าเป็น วันเสียความบริสุทธิ์แห่งชาติ
 
ผมหวังว่าหนุ่มสาวในสมัยปัจจุบันจะเห็นความสำคัญของชีวิตที่ชอบธรรมรักษาความบริสุทธิ์ทางเพศจนกว่าจะถึงวันสมรสในชีวิต ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและปกป้องให้ดำเนินในความชอบธรรมตามแบบพระองค์
ในบทความวันนี้ผมขอแบ่งปันข้อคิดเรื่องความรักจากพระบัญญัติของพระเจ้า คือ "รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" หากเรารักษาบัญญัติ 2 ข้อนี้ได้เท่านี้ก็ถือว่า "สมบูรณ์แบบแล้ว" หรือที่วัยรุ่นเรียกว่า "ฟินสุดๆเลย"  คำว่า "ฟิน" เป็นคำฮิตคำฮอตที่ติดปากวัยรุ่นในปัจจุบัน คำว่า "ฟิน" มาจากคำว่า "ฟินาเล่"(Finale)  ที่แปลว่า "จบแบบสมบูรณ์แบบ" โดยส่วนมากมักจะใช้ตอนที่รู้สึกว่า... "สุดยอด"
 
เราจะต้องรักพระเจ้าแบบสุดจิต ไม่ใช่สุดฤทธิ์เหมือนหนังเรื่อง รักสุดฤทธิ์ของน้องเจมส์ จิรายุนะครับ แบบนั้นเป็นความรักที่ใช้อารมณ์เป็นหลักแบบ "รักสุดฤทธิ์ บิดสุดไมล์(มอเตอร์ไซด์)กันเลย" แต่ความรักของพระเจ้าใช้หลักการความถูกต้องในความบริสุทธิ์ใจตามหลักการของเจมส์ ยากอบนะครับ ไม่ใช่ของเจมส์ จิ  พระธรรมยากอบบทที่ 2:8 กล่าวไว้ว่า "...จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แล้วท่านทั้งหลายก็ประพฤติดีอยู่..."

นี่คือสิ่งที่เราควรจะยึดถือตามพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างมั่นคง ในสังคมทุกวันนี้เอาอารมณ์ความรู้สึกเป็นที่ตั้ง  บางอย่างมันหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไ
 มีคำกล่าวว่า "อย่าหาเหตุผลในความรัก  อย่าหาหลักการในความเกลียดชัง" หากในสถานการณ์ปัจจุบันคงต้องเพิ่มไปว่า "อย่าหาโกดังในโครงการจำนำข้าว เพราะมันไหม้หมดแล้ว"  :)

 
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ต้องก่อร่างสร้างเสริมมาจากความสัมพันธ์ที่เข้าใจกัน และตัดสินใจอย่างเหมาะสมว่า จะรักอย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่รักแม้ทำผิด เห็นดีเห็นชอบ แต่เป็นความรักที่่แสดงออกเป็นการกระทำ 

ผมขอเปรียบเทียบความรักเป็นเหมือนฟัน นอกจากฟินแล้ว ฟันในที่นี่เป็นคำพ้องเสียงใช้ได้ทั้งคำว่า Fun ที่แปลว่าสนุกสนาน และฟันที่เป็นอวัยวะในปากที่ทำหน้าที่ขบเคี้ยว ฟันแข็งแรงสุขภาพก็จะดี ความรักเปรียบดังฟันเพราะฟันเป็นสิ่งที่คงทนอยู่แม้คนที่ตายไปแล้วกระดูกฟันก็ไม่คงอยู่ แต่หากไม่รักษาให้ดีฟันก็จะบอกว่า "เหงือกจ๋า ฟันลาก่อน" ดังบทกลอน Love is Fun ดังนี้ครับ

รักมั่นคง คือ ฟันแท้         รักร่อแร่ คือ ฟันโยก  
รักโสโครก คือ ฟันดำ       รักถลำ  คือ ฟันเหยิน  
รักหมางเมิน คือ ฟันห่าง   รักร้าง คือ ฟันหลอ
รักหงิกงอ คือ ฟันกุด        รักบริสุทธิ์ คือ ฟันขาว 
รักชั่วคราว คือ ฟันปลอม   รักต้องถนอม คือ ฟันอุด
รักชำรุด  คือ   ฟันแตก       รักแรก  คือ  ฟันน้ำนม
รักระบม คือ ฟันผุ     รักคิกขุ คือ ฟันกระตาย   รักสลาย คือ ฟันหลุด
รักสะดุด คือ ฟันสึก   รักเจ็บลึก คือ ฟันคุด ...
นอกจากนี้หากความรักเป็น "รักสนุก" บางทีเป็น "ทุกข์สงัด" เพราะเป็นความรักที่ไม่อยู่ในทางความบริสุทธิ์ ความรักจึงกลายเป็นความใคร่  คำว่ารัก กลายเป็นคำแสลง มาจากการเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อจะลงเอยด้วยความสัมพันธ์ทางเพศ ที่เรียกว่า "ฟัน" ไม่ว่าจะฟันแล้วท้อง หรือ ฟันแล้วทิ้ง ก่อให้เกิดปัญหาสังคมดังนี้


รักตุ๊ด คือ ฟันหนุ่ม        รักทั้งกลุ่ม คือ ฟันหมด    รักสลด คือ ฟันพลาด
รักต่างชาติ คือ ฟันฝรั่ง  รักบิดบัง คือ ฟันชู้      รักอุดอู้ คือ ฟันช้า
รักกะฮา คือ ฟันเล่น      รักไม่เป็น คือ ฟันดะ   รักนะจ๊ะ คือ ฟันเธอ :)

หวังว่าคงจะไม่เป็นความรักแบบนี้  ขอให้เราคนไทยรักกัน เปลี่ยนคำว่า เธอตอนท้าย กลายเป็น  "รักเธอประเทศไทย ร่วมใจปฎิรูปนะ ฟันธง"


ในความคิดของผมจากหลักการพระคัมภีร์ คำว่า "รักสุดจิต ฟินสุดใจ" นั่นคือ  การที่เราต้องให้ความรักของพระเจ้าควบคุมชีวิตเราอย่าง สุดจิต สุดใจ และสุดความคิด มีค่านิยมความรักที่ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ อย่าให้ค่านิยมที่ผิดของโลกเข้ามามีอิทธิพลต่อเรา ส่งผลให้ทำผิดต่อหลักการ เราสามารถแยกแยะได้จากหลักการพระคัมภีร์
ค่านิยมของโลก : “ให้ความสนใจเฉพาะเปลือกนอก” VS  ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : “สนใจท่าทีภายในจิตใจ”(1 ซมอ.16:7)  
"อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
 ค่านิยมของโลก : "อยู่กันก่อนแต่ง อยู่กันได้ค่อยแต่ง" VS ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : “รักษาชีวิตที่บริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า”

1 เธสะโลนิกา 4:4   ให้ท่านทุกคนรู้จักมีภรรยาในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ


ค่านิยมของโลก :อยากให้โลกนี้มีเราเพียงสองคน”  VS  ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์  : "ความรักคือการไม่เห็นแก่ตนเอง"
 
1โครินธ์ 13:4-5 ความรักนั้น...ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว...    

ค่านิยมของโลก : ฉันต้องการบางอย่างจากเธอVS ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : "ความรักคือการให้" (กจ.20:35) 


ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"   

ค่านิยมของโลก :“รักชั่วคราว ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน”
เป็นความประทับใจครั้งแรกที่ได้พบกัน และรู้สึกว่า เกิดเป็นความรักระหว่างกัน ความรักแบบนี้มักจะไปจบด้วยการมีความสัมพันธ์ทางเพศ เพียงแค่เป็นกิจกรรมให้เกิดความสุขทางกาย แต่เกิดความทุกข์ใจตามมาภายหลัง
ค่านิยมตามหลักการพระคัมภีร์ : “รักชั่วนิรันดร์ เวลานั้นคือเครื่องพิสูจน์”

มีคำกล่าวว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน หมายถึง เวลาจะช่วยทำให้เราเห็นลักษณะที่แท้จริงของคน
การที่เราจะรักใครสักคน ควรเกิดจากการเรียนรู้จักกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ใช้เวลาอยู่ร่วมกันระยะหนึ่งจนเกิดเป็นความรัก ไม่ใช่เห็นปุ๊บก็รักปั๊บ ความรักแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ แต่โดยส่วนมากมักเป็นความรักที่ฉาบฉวยและไม่มีเหตุผล และอาจนำไปสู่การเลิกร้างกันในที่สุด เราจึงไม่ควรรักด้วยอารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก แต่ควรให้เหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ

เยเรมีย์17:9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า 


สุดท้ายผมขอให้ข้อคิดไว้สำหรับ หนุ่มสาวที่อยู่ในวัยฮอร์โมนว้าวุ่น ที่ว้าวุ่นเพราะอยากจะไขว่ขว้าหาความรัก เพราะความเหงา ความรักที่มาจากความ"เหงา" เหมือนหา"เหา"ใส่หัว เพราะจะทำให้ปวดหัวและเกิดความเศร้าและเหงากว่าเดิม ในวัยเรียนควรจะตั้งใจเรียนและทำหน้าที่ให้ดีสุด รับความรักจากคนในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ เพื่อนๆ ครูอาจารย์ และที่สำคัญรับความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต อย่างสุดจิตสุดใจ รับรองจะฟินแน่ๆเลย

ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ สุขสันต์วันแห่งความรัก