22 กรกฎาคม 2561

บัพติศมา : ท่วมท้นในความรัก รู้จักอัตลักษณ์ความเป็นลูก


บทความในครั้งนี้ ผมขอนำเสนอมุมมมองใหม่ในเรื่องการบัพติศมาในน้ำ  จากการศึกษาพระคัมภีร์ในตอนที่พระเยซูคริสต์ ทรงรับพิธีบัพติศมาในน้ำจากยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ณ แม่น้ำจอร์แดน  
มัทธิว 3:13-17  แล้ว​พระ​เยซู​เสด็จ​จาก​แคว้น​กา​ลิ​ลี มา​หา​ยอห์น​ที่​แม่​น้ำ​จอร์​แดน​เพื่อ​ทรง​รับ​บัพ​ติศ​มา​จาก​ท่าน  แต่​ยอห์น​ทูล​ห้าม​พระ​องค์​ว่า “ข้า​พระ​องค์​ต้อง​การ​จะ​รับ​บัพ​ติศ​มา​จาก​พระ​องค์ ควร​หรือ​ที่​พระ​องค์​จะ​เสด็จ​มา​หา​ข้า​พระ​องค์?”  แต่​พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ยอห์น​ว่า “บัด​นี้​จง​ยอม​เถิด เพราะ​สม​ควร​ที่​พวก​เรา​จะ​ทำ​ความ​ชอบ​ธรรม​ให้​ครบ​ถ้วน​ทุก​ประ​การ” แล้ว​ยอห์น​ก็​ยอม เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​รับ​บัพ​ติศ​มา​แล้ว​ก็​เสด็จ​ขึ้น​จาก​น้ำ และ​ใน​ทันใด​นั้น​ฟ้า​ก็​แหวก​ออก และ​พระ​องค์​ทรง​เห็น​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​เสด็จ​ลง​มา​ดุจ​นก​พิราบ​สถิต​บน​พระ​องค์ และ​นี่แน่ะ มี​พระ​สุร​เสียง​ตรัส​จาก​ฟ้า​สวรรค์​ว่า   “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา เรา​ชอบ​ใจ​ท่าน​มาก” 
เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงอายุได้ 30 ปี พระองค์ทรงมาหา​ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา​ ท่านเป็นเตรียมทางของการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ตามถ้อยคำของ อิสยาห์ 40:3 ... “จง​เตรียม​มรร​คา​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ใน​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร จง​ทำ​ทาง​หลวง​ใน​ที่​ราบ​แห้ง​แล้ง​ให้​ตรง​สำ​หรับ​พระ​เจ้า​ของ​เรา 
ยอห์นมาเพื่อประกาศให้คนกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในน้ำเพื่อจะเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า(มัทธิว 3:1-12)  ในฐานะความเป็นญาติสนิทระหว่างยอห์นและพระเยซูคริสต์ (ยอห์นเป็นบุตรของ​เอลีซาเบธ ญาติของนางมารีย์ แม่ของพระเยซู) ครั้งนี้ยอห์นทราบดีว่าพระเยซูคริสต์ไม่​ใช่​แค่​แวะ​มา​หา​ท่านในฐานะญาติ แต่มาตามแผนการของพระบิดา และงานของ​ยอห์น​ในการเตรียมาทางก็สำเร็จแล้ว                             แม้ว่ายอห์นจะปฏิเสธเพราะการให้​บัพติศมานั้นเพื่อ​ผู้​คน​ที่​กลับ​ใจ​จาก​บาป แต่​พระ​เยซู​ไม่​มี​บาป  แต่พระ​เยซู​ทรงยืน​ยัน​ที่​จะ​รับ​บัพติศมา​  ทรงตรัสว่า “บัด​นี้​จง​ยอม​เถิด เพราะ​สม​ควร​ที่​พวก​เรา​จะ​ทำ​ความ​ชอบ​ธรรม​ให้​ครบ​ถ้วน​ทุก​ประ​การ” (มธ. 3:15)  แล้ว​ยอห์น​ก็​ยอมทำพิธีบัพติศมาในน้ำให้กับพระองค์
การ​บัพติศมา​ใน้ำของ​พระ​เยซู​ไม่​ใช่​สัญลักษณ์​ของ​การ​กลับ​ใจ​จาก​บาป เป็นพิธีการล้างชำระ  (doctrine of baptisms)  ฮีบรู 6:2 และ​คำสอน​เรื่อง​พิธี​ล้าง​ชำระ​ต่างๆ การ​วาง​มือ การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ความ​ตาย และ​การ​ลง​โทษ​ชั่ว​นิรันดร์)  
การรับบัพติศมาในน้ำแบบนี้จึงเป็นการบัพติศมา : ท่วมท้นในความรัก  รู้จักอัตลักษณ์ความเป็นลูกเมื่อ​พระ​องค์​ทรง​รับ​บัพ​ติศ​มา​แล้ว​ก็​เสด็จ​ขึ้น​จาก​น้ำ และ​ใน​ทันใด​นั้น​ฟ้า​ก็​แหวก​ออก และ​พระ​องค์​ทรง​เห็น​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​เสด็จ​ลง​มา​ดุจ​นก​พิราบ​สถิต​บน​พระ​องค์ และ​นี่แน่ะ มี​พระ​สุร​เสียง​ตรัส​จาก​ฟ้า​สวรรค์​ว่า   “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา เรา​ชอบ​ใจ​ท่าน​มาก”  (มธ. 3:1ุ6-17) 


สิ่งที่น่าอัศรรย์ใจในเหตุการณ์ครั้งนี้คือ การยืนยันด้วยถ้อยคำแห่งความรัก(love affirmation) พระบิดาทรงตรัสกับพระบุตรว่า “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา เรา​ชอบ​ใจ​ท่าน​มาก” 
สิ่งนี้เป็นคำกล่าวอวยพรของผู้เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดที่มอบให้กับลูก (สดุดี 2:7 “เจ้า​เป็น​บุตร​ของ​เรา วัน​นี้​เรา​ให้​กำ​เนิด​เจ้า​แล้ว) สิ่งนี้เป็นการส่งผลต่อเป้าประสงค์ลิขิต(Destiny) สำหรับผู้ที่เป็นลูกที่จะผงาดขึ้นในความเป็นลูกเพื่อจะไปตามงานที่บิดามอบหมาย  นี่คือจุดเริ่มต้นการรับใช้ของพระเยซูคริสต์ในฐานะของพระบุตรที่มาในโลกเพื่อสำแดงความรักของพระบิดา ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา คนที่จะรอดเข้าแผ่นดินสวรรค์ คือการบัพติศมาแบบยอห์น บัพติศมา แต่สำหรับพระเยซูคริสต์ พระองค์มาเพื่อบัพติศมาด้วยพระวิญญาณและด้วยไฟ (มัทธิว 3:11 ข้าพ​เจ้า​ให้​ท่าน​รับ​บัพ​ติศ​มา​ด้วย​น้ำ แสดง​ว่า​กลับ​ใจ​ใหม่​ก็​จริง แต่​พระ​องค์​ผู้​จะ​มา​ภาย​หลัง​ข้าพ​เจ้า ทรง​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​ข้าพ​เจ้า ซึ่ง​ข้าพ​เจ้า​ไม่​คู่​ควร​แม้​แต่​จะ​ถือ​ฉลอง​พระบาท​ของ​พระ​องค์ พระ​องค์​จะ​ทรง​ให้​พวก​ท่าน​รับ​บัพ​ติ​ศมา​ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​และ​ด้วย​ไฟ)
การบัพติศมาในน้ำไม่ได้ทำให้รอด เราทั้งหลายรอดแล้วเมื่อเราเชื่อในพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระเยซูคริสต์    การบัพติศมาในน้ำ เป็นสัญลักษณ์ถึง การเข้าสนิทในพระกายร่วมพระเยซูคริสต์ คือ การฝังตัวเก่าของเราลงไปในน้ำและการโผล่ขึ้นจากน้ำเป็นการประกาศชัยชนะเหนือความตายเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ที่ทรงก้าวออกมาจากอุโมงค์ฝังศพด้วยชัยชนะ     
โรม 6:1-5  ...3 ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไม่​รู้​หรือ​ว่า เรา​ผู้​ที่​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ ก็​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​นั้น​เข้า​ใน​การ​ตาย​ของ​พระ​องค์?   4 เพราะ​ฉะนั้น เรา​จึง​ถูก​ฝัง​ไว้​กับ​พระ​องค์​แล้ว โดย​การ​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​การ​ตาย​นั้น เพื่อ​ว่า​เมื่อ​พระ​บิดา​ทรง​ให้​พระ​คริสต์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ตาย​โดย​พระ​สิริ​ของ​พระ​องค์​แล้ว เรา​ก็​จะ​ได้​ดำ​เนิน​ตาม​ชีวิต​ใหม่​ด้วย​เหมือน​กัน  5 เพราะ​ว่า​ถ้า​เรา​เข้า​สนิท​กับ​พระ​องค์​แล้ว​ใน​การ​ตาย​อย่าง​พระ​องค์ เรา​ก็​จะ​เข้า​สนิท​กับ​พระ​องค์​ใน​การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย​อย่าง​พระ​องค์
1 เปโตร 3:21 บัด​นี้​น้ำ​นั้น​ที่​เล็ง​ถึง​พิธี​บัพ​ติศ​มา​ก็​ช่วย​พวก​ท่าน​ให้​รอด​เช่น​เดียว​กัน ไม่​ใช่​เป็น​การ​ชำระ​มล​ทิน​ทาง​กาย แต่​เป็น​การ​วิง​วอน​พระเจ้า​เพื่อ​จะ​มี​มโน​ธรรม​ที่​ดี ความ​รอด​นั้น​มา​โดย​ทาง​การ​คืน​พระ​ชนม์​ของ​พระ​เยซู​คริสต์
สิ่งนี้เป็นความรักที่ท่วมท้นเหมือนการจุ่มให้มิด คำว่า บัพติศมา มาจากภาษากรีกคำว่า ฺBaptizo-βαπτίζω เป็นไวยากรณ์ แบบ Future Perfect Continuous Tense คือการดำเนินอย่างต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต และยังดำเนินต่อเนื่องไปถึงปัจจุบัน และในอนาคต หมายถึงการบัพติศมานี้ส่งผลต่อเนืื่องนิรันดร์ 
เข้าใจง่ายๆ คือ การรับเป็นลูกก็เป็นลูกตลอดไป
โรม. 8:15 เพราะ​ว่า​พระ​วิญ​ญาณ​ที่​พระ​เจ้า​ประ​ทาน​มา​นั้น​จะ​ไม่​ทรง​ให้​ท่าน​เป็น​ทาส​ซึ่ง​ทำ​ให้​ตก​ใน​ความ​กลัว​อีก แต่​พระ​วิญ​ญาณ​จะ​ทรง​ให้​ท่าน​มี​ฐานะ​เป็น​บุตร​ของ​พระ​เจ้า โดย​พระ​วิญ​ญาณ​นั้น​เรา​จึง​ร้อง​เรียก​พระ​เจ้า​ว่า “อับ​บา (พ่อ)

สำหรับความคิดส่วนตัวของผมแล้ว  ผู้ที่รับบัพติศมาในน้ำครั้งเดียวก็เพียงพอ แต่หากมีคนที่ขอรับบัพติศมาใหม่อีกได้ไหม  ผมคิดว่า รับได้ไม่ได้บาปอะไร หรือเมื่อก่อนนั้นรับบัพติศมาแบบพรมน้ำไม่ได้จ่มให้มิด ก็รับใหม่เถอะครับ  ถ้าสิ่งนั้นเป็นการทำให้ความเชื่อของเขามั่นคงมากขึ้นก็ทำไปเถอะครับ สิ่งเหล่านี่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ เช่นกรณีของอปอลโล (กจ.18) หรือแม้แต่อัครทูตเปาโล (กจ.22:16 ท่านมารับบัพติศมาในน้ำ) ประเด็นนี้ขอไม่มาถกเถียงกันว่าถูกหรือผิด

แต่ประเด็นที่ขอนำเสนอต่อไปคือ ท่วมท้นในความรัก  การไปสู่กระบวนการชำระต่อเนื่องจนกว่าจะสมบูรณ์(Entire Sanctification)  
ไม่มีใครอาบน้ำเพียงครั้งเดียวจบ  การที่เราเคยเป็นบุตรน้อยหลงหายหลงจากพระบิดาและกลับใจกลับมาหาพระเจ้า ดังเช่น อุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย(ลูกาบทที่ 15) 
(ผมเคยเขียน บทความเรื่อง  "หัวใจพระบิดา : "บุตรน้อยหลงหาย กับบุตรชายหลงผิด" เข้าไปอ่านได้ )

เมื่อเรากลับมาจากการหลงหายไปในโลกที่เต็มด้วยความบาปเปรียบเสมือนอยู่ในกองขยะ ผู้ที่เป็นพ่อก็จะต้องจับลูกอาบน้ำ ขัดสีฉวัีวรรณ แต่งตัวให้ใหม่ สมกับเป็นลูกของจอมราชา เราเป็นดั่งเจ้าชายและเจ้าหญิงของพระเจ้า เช่นเดียวกันเราก็ยังอยู่ในโลกนี้ ที่เต็มด้วยความบาปจึงต้องรับการชำระทุกๆวันจากพระเจ้า 
ภาพของตอนที่พระเยซูคริสต์รับบัพติศมา มีนกพิราบมาประทับที่พระองค์ นกพิราบเป็นภาพของความถ่อมสุภาพ นกพิราบไม่บินไปไหน เพราะพระเยซูคริสต์ทรงอ่อนสุภาพ เช่นเดียวกับพระวิญญาณที่อยู่ในเราเมื่อเราเข้าสนิทในพระกายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราจึงไม่ควรทำบาปให้พระวิญญาณเสียพระทัย เพราะท่านได้รับการประทับตราไว้ด้วยการไถ่จากบาปเป็นของพระบิดาแล้ว


เอเฟซัส 4:30 และ​อย่า​ทำ​ให้​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​ของ​พระ​เจ้า​เสีย​พระ​ทัย ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ​นั้น​ท่าน​ได้​รับ​การ​ประ​ทับ​ตรา​ไว้​สำ​หรับ​วัน​ที่​จะ​ได้​รับ​การ​ไถ่

คำว่า "การชำระ" ภาษากรีกใช้คำว่า Hagiazo ἁγιασμός  เป็นการรับการชำระจากพระเจ้าด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยพระวจนะ(เทียบได้กับน้ำ) ทุกๆวันต่อเนื่อง

คำว่า ”baptizo” ซึ่งหมายถึง จุ่มลงแล้วนำขึ้นอย่างเร็ว”  แต่การแช่ตัว (soaking)  ยอมให้ความรักไหลล้นค่อยๆท่วมจนมิดอย่างต่อเนื่องเพื่อการชำระล้างและน้ำที่แช่ไหลซึมผ่าน
ภาพของท่วมท้นในความรักของพระบิดา เป็นภาพของการแช่อิ่ม(Soaking) เช่นเดียวกับผลไม้ที่ยอมให้น้ำเชื่อมไหลซึมผ่านเข้าไปในเนื้อผลไม้ที่แช่ (osmosis 

ดังนั้นขอหนุนใจให้เราได้มีประสบการณ์กับพระบิดาในการรับบัพติศมาหัวใจของเราใหม่ทุกๆวัน ให้ท่วมท้นในความรัก เพื่อเรียนรู้รักความรักของพระบิดาที่เข้ามาเยียวยาให้หายจากความบาดเจ็บ ประสบการณ์ในอดีตที่เลวร้าย หักล้างคำโกหกของศัตรูด้วยความจริงเพื่อเราจะเป็นไท
เรียนรู้จักอัตลักษณ์ความเป็นลูก  ถึงเวลาแห่งการผงาดขึ้นในความเป็นลูก เพื่อไปสู่เป้าประสงค์ของพระบิดา ตามที่พระเยซูคริสต์ทรงมอบแผนการ พระมหาบัญชาที่ให้เราในฐานะผู้เชื่อได้กระทำตามพระบัญชา

มัทธิว 28:18-20 
18 พระ​เยซู​จึง​เสด็จ​เข้า​มา​ใกล้​แล้ว​ตรัส​กับ​พวก​เขา​ว่า “สิทธิ​อำนาจ​ทั้ง​หมด​ใน​สวรรค์​ก็​ดี ใน​แผ่น​ดิน​โลก​ก็​ดี​ทรง​มอบ​ไว้​แก่​เรา​แล้ว
19 เพราะ​ฉะนั้น ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​ออก​ไป​และ​นำ​ชน​ทุก​ชาติ​มา​เป็น​สา​วก​ของ​เรา จง​บัพ​ติศ​มา​พวก​เขา​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​บิดา พระ​บุตร และ​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์
20 และ​สอน​พวก​เขา​ให้​ถือ​รัก​ษา​สิ่ง​สาร​พัด​ที่​เรา​สั่ง​พวก​ท่าน​ไว้ และ​นี่​แน่ะ เรา​จะ​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เสมอ​ไป จน​กว่า​จะ​สิ้น​ยุค”

21 กรกฎาคม 2561

Tisha B'Av : ปิดหูรับคำแช่งสาป เปิดปากกล่าวถ้อยคำแห่งพระพร

วันที่ 21 ก.ค.2018 ตรงกับวันที่ 9 เดือนอับ(Av) ตามปฏิทินฮีบรู เป็นรำลึกถึง เหตุการณ์ที่เรียกว่า "ชิสชาบาอับ" (Tisha B'Av -תשעה באב‎ ) คือ วันที่ 9 เดือนอับ
คำแช่งสาปในวันที่ 9 ของเดือนอับนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คำแช่งสาปเกิดจากความไม่เชื่อและเปิดหูรับฟังคำพูดแง่ลบ โดยเริ่มต้นจากเหตุการณ์ในพระธรรมกันดารวิถี บทที่ 13 คนอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ดั้นด้นผ่านทะเลทรายมาจวนที่จะถึงดินแห่งพันธสัญญาแล้วคือ "คานาอัน"(Canaan)
โมเสสได้ส่งผู้สอดแนม(Spy) 12 คน เข้าไปในแผ่นดินนั้น และสืบหาข้อมูลว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร
พวกเขากลับมารายงานโมเสสโดยนำผลไม้แห่งแผ่นดินคานาอันนั้นกลับมาด้วย เพื่อให้คนอิสราเอลที่ไม่ได้ไปด้วยนั้นได้เห็นและลิ้มรส 
กดว. 13:23 ​เขา​ทั้ง​หลาย​มาถึง​หุบ​เขา​เอช​โคล์ แล้ว​พวก​เขา​ตัด​องุ่น​กิ่ง​หนึ่ง​ที่​มี​องุ่น​พวง​หนึ่ง​จาก​ที่​นั่น ต้อง​ใช้​สอง​คน​หาม​ด้วย​ไม้​คาน และ​พวก​เขา​ยัง​เ​ก็​บ​ลูก​ทับทิม​และ​มะเดื่อ​มา​บ้าง 
ผลองุ่นหนึ่งพวงนั้น ต้องใช้คนหามถึง 2 คน แสดงว่าเขตแดนนั้นเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง พวกผู้สอดแนมทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าดินแดนนั้นเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยพระพรอย่างแท้จริง ที่นั่นมีสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ พวกเขาไม่ปฏิเสธว่าในแผ่นดินพระสัญญานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพระพร 
แต่เหล่าผู้สอดแนม(Spy) 10 คนจาก 12 คนที่ไป พวกเขาจะสามารถไว้วางใจพระเจ้าได้หรือไม่ว่าพระองค์จะประทานแผ่นดินนั้นให้กับพวกเขา
ผู้สอดแนม 10 คนบอกว่า “เรา​ไม่​สามารถ​เข้า​ไป​และ​ชนะ​คน​เหล่า​นั้น​ได้ เพราะ​พวก​เขา​มี​กำลัง​มากกว่า​เรา” (กดว. 13:31)  
ภารกิจที่เราจะเข้าไปคานาอัน เป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ (mission impossible!)
มีเพียงผู้สอดแนม 2 คนเท่านั้นที่ คือ โยชูวาและคาเลบ บอกว่า “พระเจ้าจะทรงมอบดินแดนนั้นให้กับเรา พระเจ้าได้ทรงนำเรามาไกลถึงเพียงนี้ ให้เรารุดไปข้างหน้าต่อไปด้วยความเชื่อและเข้ายึดครองดินแดนนั้น”  
ดินแดนแห่งแผ่นดินพระสัญญานั้น ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับคนที่ขาดความเชื่อ แต่ดินแดนแห่งพระสัญญานั้นเตรียมไว้ สำหรับคนที่มีความเชื่อที่จะได้ครอบครองและในวันที่ 9 ของเดือนอับ Tisha B'Av นั้นเองที่คนอิสราเอลเลือกที่จะเปิดหูฟังเสียงแห่งความไม่เชื่อ ทำให้คำแช่งสาปได้เข้ามา พระเจ้าได้ทรงเปิดประตูแห่งพระพรสำหรับอนาคตให้พวกเขาแล้ว แต่ทว่า พวกเขาปฏิเสธที่จะผ่านเข้าไป และนั่นก็คือ บาปของคนอิสราเอลที่คาเดช บารเนีย พวกเขากบฏต่อโมเสส นั่นคือการกบฏต่อพระเจ้า เหตุการณ์ในพระธรรมกันดารวิถีบทที่ 14 ต่อจากนั้น
ตามแผนการของพระเจ้านั้น เดือนอับควรที่จะเป็นเดือนแห่งพระพรและการเฉลิมฉลอง เพราะพวกเขาได้เข้าไปในแผ่นดินพันธสัญญา คือ "คานาอัน" แต่ พวกเขากลับต้องตายคาถิ่นทุรกันดาร! 
เดือนอับจึงนี้เป็นเดือนที่เกี่ยวข้องกับคำแช่งสาปแช่ง! และต่อเนื่องมาจากเดือนทัมมุส(Tammuz) เดือนแห่งการเตือนใจที่พวกคนยิวไปกราบไหว้รูปปั้นโคทองคำ โมเสสไม่พอใจอย่างมากจึงขว้างศิลาแห่งพระบัญญัติตกแตก (อพยพ 32) ในช่วงวันที่ 17เดือนทัมมุส
ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลา 21 วันแห่งความทุกข์ยาก ที่เป็นธรรมเนียมของคนยิวในเวลาต่อมาที่พวกเขาจะอดอาหารเพื่อไว้ทุกข์ และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความทุกข์ ที่เรียกว่า בין המצרים "Bein ha-Metzarim - เบน ฮา มิซาริม" เป็นช่วงเวลา 21 วันนับตั้งแต่วันที่่ 17 ทัมมุสถึงวันที่ 9 เดือนอับ 
ตามประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ในวันที่ 9 ของเดือนอับ (Tisha B'Av) มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับประเทศอิสราเอล เป็นดั่ง "วงจรเวลาแห่งการแช่งสาป" เกิดขึ้นต่อเนื่อง ดังเช่น
วันที่9 เดือนอับ – ปี 587 กคศ. กองทัพบาบิโลนทำลายพระวิหารหลังแรกของกษัตริย์ซาโลมอน
วันที่ 9 เดือนอับ - คศ.70 กองทัพโรมันทำลายพระวิหารหลังที่ 2
วันที่ 9 เดือนอับ - คศ.135 โรมเข้าปราบคนยิวเป็นครั้งสุดท้าย และกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย
เมื่อพระวิหารถูกทำลายและพวกเขาต้องหนีกระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่เมื่อพวกเขากลับใจ พระยาห์เวห์ทรงให้อภัยและรื้อฟื้นประเทศกลับขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 14 พ.ค.1948 
ดังนั้นเดือนนี้จึงเดือนแห่งการยอมจำนนและถูกสร้างขึ้นใหม่ 
สดุดี 51:10 ​ข้า​แต่​พระ​เจ้า ขอ​ทรง​เนรมิต​สร้าง​ใจ​สะอาด​ใน​ข้า​พระ​องค์ ​และ​ขอ​ทรง​สร้าง​จิตใจ​หนัก​แน่น​ขึ้น​ใหม่​ภาย​ใน​ข้า​พระ​องค์  
เดือนนี้เกี่ยวข้องกับตัวอักษร ט “เทธ” ในภาษาฮีบรูเป็นภาพของครรภ์มารดา ให้ความหมายถึงการคลอดสิ่งใหม่ สิ่งดีต่างๆจะเกิดขึ้น 
เดือนนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำหรับการอธิษฐานสารภาพความผิดบาปด้วยใจยอมจำนนและขอพระองค์สร้างจิตใจใหม่ให้เข้มแข็ง  
เป็นช่วงเวลาที่เราเรียนรู้จากบทเรียนที่คนยิวทำผิดพลาดในอดีต
Tisha B'Av เป็นเวลาที่เราจะปิดหูรับคำแช่งสาป เพื่อเปิดปากกล่าวถ้อยคำแห่งพระพร!
เดือนอับเป็นเวลาที่จะทำลายวิญญาณการไม่เชื่อฟัง การไม่เชื่อฟังจะมีคำพูดออกมาจากปาก สิ่งที่ออกมาจากปากก็ออกมาจากใจ เมื่อใจไม่เชื่อ ปากก็ไม่เชื่อ ปากก็บ่น ปากก็คร่ำครวญ  
เดือนอับเป็นเดือนที่เราจะยืนขึ้นและกล่าวถ้อยคำแห่งความจริง(Stand up,Speak up)เพื่อทำลายคำหลอกลวงของศัตรู! 
อาโมส 3:8 สิงห์​เปล่ง​เสียง​คำ​ราม​แล้ว ใคร​จะ​ไม่​กลัว​บ้าง? พระ​ยาห์​เวห์​องค์​เจ้า​นาย​ตรัส​แล้ว ใครบ้างจะ​ไม่​เผย​พระ​วจนะ? 
เราต้องเปิดปากของเรา กล่าวถ้อยคำว่า "ฉันเป็นผู้รับพระพร"
"ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ผู้รับพระพรและมรดก"
ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงนำคำแช่งสาปของเราไปแล้ว โดยที่พระองค์มาตายไถ่บาปให้กับเราที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราได้รับพระพร 
กาลาเทีย 3:13-14 
13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติโดยการที่พระองค์ทรงยอมถูก แช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง 14 เพื่อพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลายเพราะพระเยซูคริสต์เพื่อเราจะ ได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ
1เปโตร 2:24 พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายจากบาปได้และดำเนินชีวิตตามคลองธรรม ด้วยบาดแผลของพระ องค์ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย
สำหรับพระยาห์เวห์นั้นแม้ว่าลูกของพระองค์จะทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พระองค์ทรงเข้าใจและทรงให้อภัยเสมอ แม้คนยิวถูกการแช่งสาปแต่กระนั้นพระองค์ทรงทำให้เขาได้รับพระพรกลับมาเสมอ
พระองค์ทรงมีพันธสัญญาแห่งการรื้อฟื้นให้พวกเขาพ้นการแช่งสาปและหายดีเสมอ 
ถ้อยคำเผยพระวจนะ เศคาริยาห์ 8:19 กล่าวว่า 
“​พระ​เจ้า​จอม​โยธา​ตรัส​ดังนี้​ว่า กา​รอด​อาหาร​ใน​เดือน​ที่​ 4 (Tammuz) กา​รอด​อาหาร​ใน​เดือน​ที่​ 5 (Av) และ​กา​รอด​อาหาร​ใน​เดือน​ที่​ 7 และ​กา​รอด​อาหาร​ใน​เดือน​ที่​ 10 จะ​เป็น​ที่​ให้​ความ​บันเทิง​และ​ความ​ร่า​เริง และ​เป็น​การ​เลี้ยง​ที่​ให้​ชื่น​ชม​แก่​พงศ์​พันธุ์​ยูดาห์ เหตุ​ฉะนั้น​เจ้า​จง​รัก​ความ​เที่ยงตรง​และ​สันติภาพ
กา​รอด​อาหาร​ใน​เดือน​ที่​ 5 หรือเดือน อับ(Av) ในช่วงเวลา Tisha B'Av เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะไม่ต้องอับอายอีกต่อไป เพราะพวกเขาจะได้กลับมาสู่พระบิดาด้วยความรัก ความ​เที่ยงตรง​และ​สันติภาพมาลาคี 4:5-6
“ดู​เถิด เรา​จะ​ส่ง​เอลียาห์​ผู้เผย​พระ​วจนะมายัง​เจ้า​ก่อน​วัน​แห่ง​พระ​เจ้า คือ​วันที่​ใหญ่​ยิ่ง​และ​น่า​สะพรึงกลัว​มาถึง​ และ​ท่าน​ผู้​นั้น​จะ​กระทำ​ให้​จิตใจ​ของ​พ่อ​หัน​ไป​หา​ลูก และ​จิตใจ​ของ​ลูก​หัน​ไป​หา​พ่อ หา​ไม่ เรา​จะ​มา​โจมตี​แผ่นดิน​นั้น​ด้วย​คำ​สาปแช่ง” 
เชื่อมั่นว่าในเดือนอับปีนี้ แม้จะ "อับแสง" ที่พระสิริทรงเป็นความสว่าง ความโปรดปรานของพระองค์ไม่ทำให้เรา "อับอาย" และไม่มีวันตกอับ หรือ "อับเฉา"และ"อับโชค" เพราะเราไม่มีโชค มีแต่แผนการที่จะไปสู่เป้าประสงค์ลิขิตของพระองค์ในชีวิต
ได้เวลาผงาดขึ้นในความเป็นลูก นี่เป็นเวลาแห่งพระพรที่พระบิดาจะนำหัวใจของเราเข้ามาหากัน ขอบคุณอับบา พระบิดาในสวรรค์

14 กรกฎาคม 2561

สุขสันต์สำหรับการเริ่มต้นเดือนใหม่ ในเดือน “อับ”(Av) 5778

Chodesh Tov! สุขสันต์สำหรับการเริ่มต้นเดือนใหม่ ในเดือน “อับ”(Av) 5778 ( ช่วงวันที่ 13 ก.ค.-วันที่ 11 ส.ค. 2018)
แม้จะเป็นเดือน “อับ”แต่ชีวิตเราจะไม่”อับเฉา”
แม้ดวงเดือนดับ”อับแสง” แต่แสงแห่งพระสิริของพระเจ้าจะเข้ามาขับไล่ความมืดออกไป
เดือนอับ(Av) เป็นเดือนที่ 5 ตามปฏิทินศาสนาและเป็นเดือนที่ 11 ตามปฏิทินราชการของอิสราเอล คำว่า “อับ” ในรากศัพท์ภาษาฮีบรูหมายถึง “บิดา” ผู้ให้กำเนิด" พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระบิดาและทรงมีเป้าประสงค์ลิขิตสำหรับเราทุกคนอย่างเจาะจง
ดังนั้นเดือนนี้เราควรที่จะทำความเข้าใจและรับรู้ถึงหัวใจของพระบิดาโดยการสดับฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เพื่อตั้งชีวิตของเราเชื่อมตรง(Alignment)กับเป้าประสงค์ของพระองค์
เดือนนี้เป็นแห่งการได้ยิน ตระหนักและกระทำตาม

เดือนนี้เป็นเดือนแห่งเผ่า “สิเมโอน” (Simeon) שמעון
มาจากคำภาษาฮีบรูที่ออกเสียงว่า “ชามา” (Shama) שָׁמַע แปลว่า
“ได้ยิน”(to hear) เดือนนี้จึงเป็นเดือนที่จะต้อง "ได้ยินและตระหนัก" (to hear, to be concerned.”) ที่มาของชื่อ “สิเมโอน” เนื่องด้วยเมื่อนางเลอาห์ตั้งครรภ์และคลอดลูกคนที่2เป็นบุตรชาย และตั้งชื่อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่นางไม่ได้เป็นหญิงที่ยาโคบรัก เพราะท่านรักราเชล แต่เธอตระหนักว่าพระเจ้าทรงได้ยินเสียงของเธอ (ปฐก.29:31-33)

เดือนนี้จึงป็นช่วงเวลาแห่งการตระหนักรับรู้ถึงความรักของพระบิดา เพื่อจะผงาดขึ้นในความเป็นลูกและไปสู่เป้าประสงค์ของพระองค์

05 กรกฎาคม 2561

ภาคปฏิบัติการแปลภาษาแปลกๆสำหรับกลุ่มแคร์

ภาคปฏิบัติการแปลภาษาแปลกๆในกลุ่มแคร์

การแปลภาษาแปลกๆนอกจากจะช่วยทำให้ผู้ฟังได้รู้ถึงความหมายของภาษาแปลกๆแล้ว การแปลภาษาแปลกๆยังมีส่วนช่วยในการปลดปล่อยฤทธิ์เดชของพระเจ้ามายังที่ประชุมอีกด้วย การแปลภาษาแปลกๆจึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างกลุ่มแคร์เป็นอย่างยิ่ง ในภาคที่นี้ผมจึงขอเสนอภาคปฏิบัติในการแปลภาษาแปลกๆสำหรับกลุ่มแคร์ โดยผมขอกล่าวถึงเคล็ดลับสำคัญสองประการในการแปลภาษาแปลกๆ นั่นก็คืออย่าพูดภาษาแปลกๆพร้อมกันและ ฝึกฝนในการตื่นตัวรับคำแปล

เคล็ดลับ#1 อย่าพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน

การพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน มักจะทำให้การรับคำแปลมีความสับสนและขาดทิศทาง แม้แต่เปาโลเองก็ไม่ได้สนับสนุนการพูดภาษาแปลกๆอย่างพร้อมกัน (ดู 1 โครินธ์ 14)

ดังนั้นหากมีผู้ใดในกลุ่มแคร์เริ่มพูดภาษาแปลกๆ คนอื่นในกลุ่มแคร์ก็ควรเงียบโดยไม่พูดภาษาแปลกๆแทรก และปล่อยให้ผู้ที่พูดคนแรกได้พูดภาษาแปลกๆออกมาเต็มที่

(1 โครินธ์ 14:27) ถ้า​ใคร​จะ​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ จง​ให้​พูด​เพียง​สอง​คน​หรือ​อย่าง​มาก​ที่​สุด​ก็​สาม​คน และ​ให้​พูด​ที​ละ​คน แล้ว​ให้​อีก​คน​หนึ่ง​แปล

เคล็ดลับ#2 ฝึกฝนในการตื่นตัวรับคำแปล
ในระหว่างที่ผู้หนึ่งในแคร์กำลังพูดภาษาแปลกๆ คนอื่นๆในแคร์ก็ควรเงียบและควรตื่นตัวในการรับคำแปล และเมื่อผู้ที่พูดได้พูดภาษาแปลกๆจบแล้ว คนอื่นในแคร์หรือตัวผู้พูดเองก็สามารถปลดปล่อยคำแปลออกมาได้

รายละเอียดของการตื่นตัวรับคำแปลดูได้จาก
แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น
แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น (ตอนที่ 2)

            สิ่งสำคัญที่จะทำให้ของประทานการแปลได้รับการพัฒนาก็คือ เมื่อผู้หนึ่งในแคร์เริ่มพูดภาษาแปลกๆ เราก็ควรจะเงียบและตื่นตัวในการรับคำแปล และเมื่อผู้พูดได้พูดภาษาแปลกๆจบ เราก็สามารถปลดปล่อยคำแปลออกมาได้ การฝึกฝนให้ตัวเองเงียบและตื่นตัวรับคำแปลในระหว่างที่ผู้หนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆ นับเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ของประทานการแปลภาษาแปลกๆได้รับการพัฒนา

สรุป
เมื่อผู้หนึ่งในแคร์เริ่มพูดภาษาแปลกๆ คนอื่นในแคร์ควรคาดหวังการแปล โดยการอยู่นิ่งๆและตื่นตัวรับคำแปล และเมื่อผู้พูดได้พูดภาษาแปลกๆจบ ก็ควรมีคนในแคร์สักคนหนึ่ง(อาจเป็นตัวผู้พูดเอง)ได้ปลดปล่อยคำแปลออกมา ทุกครั้งที่มีการพูดภาษาแปลกๆ คนในแคร์ควรจะคาดหวังคำแปลเสมอ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ ไม่ควรพูดนานเกินไป การพูดภาษาแปลกๆอาจจะพูดสักประมาณ 3 -10 วินาที แล้วจึงหยุด (หากจะคาดหวังการแปล การพูดภาษาแปลกๆ 10 วินาที ก็ถือว่านานมากแล้ว) หากผู้ที่พูดยังคงรู้สึกอยากพูดภาษาแปลกๆต่ออีก ผู้พูดก็ควรหยุดพูดและให้ผู้อื่นในแคร์ได้ปลดปล่อยคำแปลให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นผู้พูดค่อยพูดภาษาแปลกๆต่อแล้วให้ผู้อื่นปลดปล่อยคำแปลอีกรอบหนึ่ง

ภาษาแปลกๆกับคำแปล ไม่จำเป็นต้องมีความยาวเท่ากัน
บางครั้งความยาวของภาษาแปลกๆกับความยาวของคำแปลไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกัน บางครั้งภาษาแปลกๆอาจจะยาว แต่คำแปลกลับสั้น บางครั้งภาษาแปลกๆสั้น แต่คำแปลกลับยาว ทั้งนี้เพราะการแปลภาษาแปลกๆเป็นการแปลแบบตีความ(Interpret) ไม่ใช่การแปลแบบคำต่อคำ(Translate)

(ความแตกต่างระหว่างการแปลแบบตีความกับการแปลแบบคำต่อคำ
เพื่อนๆสามารถอ่านได้จาก http://pattamarot.blogspot.com/2018/06/blog-post_32.html )

บางครั้งภาษาแปลกๆที่พูดอาจยืดยาวมาก แต่เนื้อหาและใจความสำคัญอาจมีอยู่ไม่มาก ทำให้คำแปลไม่ยาวนัก บางครั้งภาษาแปลกๆที่พูดอาจสั้นนิดเดียว แต่เนื้อหาและใจความอาจมีรายละเอียดมาก ทำให้คำแปลอาจมีความยาวมากกว่าภาษาแปลกๆที่พูดออกมา

บางครั้งสิ่งที่ได้รับไม่ใช่คำแปลแต่เป็นคำเผยพระวจนะ
          ขณะที่ผู้ฟังภาษาแปลกๆกำลังตื่นตัวรับคำแปลอยู่นั้น สิ่งที่ผู้ฟังได้รับอาจไม่ใช่คำแปลของภาษาแปลกๆ แต่เป็นคำเผยพระวจนะหรือถ้อยคำที่พระเจ้าต้องการสื่อสาร เนื่องจากบางครั้ง การพูดภาษาแปลกๆสามารถปลดปล่อยฤทธิ์เดชมายังที่ประชุมและยังทำให้ของประทานอื่นๆได้รับการกระตุ้นออกมา ด้วยเหตุนี้ระหว่างที่คนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ สิ่งที่ผู้ฟังได้รับอาจจะไม่ใช่คำแปลแต่เป็นคำเผยพระวจนะที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อความของภาษาแปลกๆ ด้วยเหตุนี้บางครั้งเมื่อมีการปลดปล่อยคำแปล อาจจะมีบางคนปลดปล่อยคำแปลที่แตกต่างไปจากคำแปลที่คนอื่นได้รับ ทั้งนี้เป็นเพราะสิ่งที่บางคนปลดปล่อยอาจจะไม่ใช่คำแปลของภาษาแปลกๆ แต่เป็นคำเผยพระวจนะในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อความของภาษาแปลกๆ

พระคุณจงมีแด่ทุกท่าน
Philip Kavilar


แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ ฟังเสียงพระเจ้า เขียนโดย ซินดี้ เจคอปส์
หนังสือ Tongues Interpretation & Prophecy เขียนโดย Don Basham