(ผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านบทความในตอนที่ผ่านมาได้ตาม link นี้ได้ครับ เกร็ดน่ารู้ World Cup 2014 และ เก็บบอลหลังตาข่าย World cup 2014)
ความสำเร็จของอินทรีเหล็ก
ขอเริ่มต้นเก็บความทรงจำด้วยความสำเร็จของทีมชาติเยอรมัน หรือที่รู้จักกันด้วยฉายา "ทีมอินทรีเหล็ก" ทีมนี้ได้ชื่อว่าเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดถึง 105 นัด ในจำนวน 16 ครัั้งที่ได้เข้าร่วมพลาดเพียงครั้งเดียวในปี 1950 ที่บราซิลจัดครั้งแรก เนื่องจากถูกแบนจากการแข่งขัน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นชาติที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2
นัดที่สุดประทับใจคือ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ทีมอินทรีเหล็กถล่มทีมเจ้าภาพ แซมบ้า บราซิลถึง 7-1 เป็นการพ่ายแพ้ในบ้านครั้งแรกนับจากปี 1975 เรียกว่า "ยิ่งกว่าล็อคถล่ม" ทำให้ชาวบราซิล หรือทีมเซเลเซา (แปลว่าผู้ที่ถูกเลือก เพราะใครติดทีมชาติบราซิลคือต้องผ่านการคดเลือกมาอย่างดี)
ทีม"เซเลเซา" เลยกลายเป็น "เซเลเศร้า"ไปเลย เป็นความเจ็บปวดของชาวบราซิลที่ผิดหวังกับทีมชุดนี้ที่พ่ายแพ้ในบ้านนับตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมา และผิดหวังมากกว่าครั้งที่พลาดได้แชมป์โลกปี 1950 ที่จัดที่บราซิลครั้งแรกด้วยซ้ำ
คำขวัญ (Slogan) ประจำทีมในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ของทีมเยอรมันคือ
One nation,One team,One dream. หนึ่งเดียวกันในชาติ,ทีมและความใฝ่ฝัน ทำให้เป็นการรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ฝันเป็นจริง ทีมชาติเยอรมัน เอาชนะทีมอาร์เจนติน่า 1:0 คว้าแชมป์โลกไปครองได้สำเร็จ เป็นทีมยุโรปทีมแรกที่ไปคว้าแชมป์ในทวีปอเมริกาใต้และสามารถคว้าดาวดวงที่ 4 มาประทับที่ตราทีมชาติได้สำเร็จ ความสำเร็จเริ่มจากการต่อยอดความล้มเหลวของทีมอินทรีเหล็ก 10 ปีแห่งความล้มเหลวจากการตกรอบแรกฟุตบอลยุโรปในปี 2004 เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปครั้งใหญ่ของฟุตบอลในประเทศเยอรมัน
โยอาคิม เลิฟ (Joachim Löw) กุนซือทีมชาติเยอรมัน บอกว่า "การคว้าแชมป์โลกในวันนี้ เป็นเพราะการทำงานอย่างหนักตลอด 10 ปีของทุกคน ใช่ครับ และมันไม่ใช่แค่ผลผลิตที่เกิดขึ้นจาก เดเอฟเบ (DFB (Deutscher Fußball-Bund) สมาคมฟุตบอลเยอรมนี ), นักเตะ หรือสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติ เพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะทุกภาคส่วนต่างมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน ให้ความร่วมมืออย่างดี สนับสนุนเกื้อกูลกัน จนในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน..."
ผมขอสรุป 4 ปัจจัยหลักในความสำเร็จของเยอรมัน มีดังนี้ครับ
1. ระบบการเล่น วินัย ที่ปลูกฝังจนเป็นทีมสปิริต
สำหรับทีมเยอรมัน "การมีทีมสปิริต สำคัญกว่าการมีซูปเปอร์สตาร์" จะเห็นได้จากฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ทีมชาติเยอรมันเล่นได้เป็นระบบที่สุด โดยระบบที่ลงตัวที่สุดคือ ระบบ 4-2-3-1 นั่นคือกองหลัง 4 แบ็คโฟร์ ยืนกันเป็นแนวเดียว กองกลางตัวรับตัดเกม 2 ตัวหน้าแผงกองหลัง กลางรุก 3 ตัว และมีหน้าเป้า 1 ตัว ต้องขอชมกัปตันทีมคือ ฟิลิปป์ ลาห์ม(Philip Lahm) ที่ยอมถอยจากกองกลางตัวรับมาเล่นตำแหน่งแบ็คขวา เพราะทีมมีปัญหาจุดนี้ ในช่วงรอบแรก จะเห็นได้ว่าคำว่า "ทีม"ย่อมมาก่อนผู้เล่น แม้ว่าลาห์มจะเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับได้ดี จ่ายบอลเยี่ยม ตัดเกมคู่ต่อสู้ได้ดี แต่เมื่อทีมมีจุดอ่อน เขาก็ยินดีไปเปลี่ยนในตำแหน่งดังกล่าว นอกจากนี้ นักเตะคนอื่นในทีมยัวช่วยกันวิ่งไล่บอล และกดดันคู่ต่อสู้จนทำให้ทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ นักเตะของทีมเยอรมันมีค่าเฉลี่ยในการวิ่งแต่ละนัดมากที่สุด แม้แต่โธมัส มุลเลอร์ (Thomas Muller) กองหน้าตัวเป้ายังต้องลงมาไล่บอลในแดนกลางเพื่อช่วยทีม นักเตะระดับซูปเปอร์สตาร์อย่าง มิโลสลาฟ โคลเซ่ (Miloslav Klose) แม้จะเป็นดาวซัลโวผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก 16 ประตูใน 4 สมัย ยังยินดีที่จะเป็นตัวสำรองเพื่อลงมาช่วยทีมในเวลาสำคัญ
2. บุนเดสเทรนเนอร์ เข้าใจและเข้าถึงทีม
โยอาคิม เลิฟ (Joachim Löw) บุนเดสเทรนเนอร์ (Bundestrainer-ผู้ฝึกสอนทีมชาติ)
เป็นคนที่มีประสบการณ์อยู่วงการฟุตบอลเยอรมันมานาน เคยเป็นมือขวาของทีมเชฟ (teamchef) อย่างเจอร์เก้น คลินส์มันน์ (Jurgen Klinsmann) เจ้าของฉายา "ฉลามขาว" (ตำแหน่ง บุนเดสเทรนเนอร์ (Bundestrainer) ต่างจากทีมเชฟ teamchef เพราะบุนเดสเทรนเนอร์ คือคนที่ผ่านการอบรมการเป็นโค้ชได้รับใบอนุญาต (license) การทำทีม)
สมัยเจอร์เก้น คลินส์มันน์ เคยเป็นนักเตะดังและได้รับการแต่งตั้งมาคุมทีมชาติเยอรมันไม่ได้ผ่านการอบรมโค้ช การเริ่มจากตำแหน่งผู้ช่วยมาก่อนตั้งแต่ปี 2004 ทำให้เลิฟ มีประสบการณ์การทำงาน 10 ปี รู้จักนักฟุตบอลในทีมเป็นอย่างดีและเป็นคนที่เลือกสรรนักฟุตบอลมาเอง
เขาเก็บนักเตะที่ทำงานร่วมกันมานานร่วม 10 ปีอย่าง โคลเซ่ ,ชไวนี่, ลาห์ม,โพโดลสกี้ และผสมผสานนักเตะดาวรุ่งจากทีมชาติชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ที่ขึ้นชั้นมาเล่นชุดใหญ่อย่างนอยเออร์,มุลเลอร์, โครส, ฮุมเมล โอซิล และเกิร์ทเซ่
เลิฟ มีความมุ่งมั่นและเอาจริงในการฝึกซ้อมลูกทีมและขยันที่จะศึกษาการเล่นของคู่แข่ง เพื่อนำมาปรับแท็คติกการเล่นที่เหมาะสมในการทำทีม ยกตัวอย่าง เขาปรับการเล่นนัดที่เจอกับทีมฝรั่งเศสกับราซิลจากระบบระบบ 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-2 เพื่อใช้โคลเซ่ลงมาคู่กับมุลเลอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเกมรุกและมันก้ได้ผลดีทั้ง 2 นัด
3. ระบบสโมสรและการสร้างนักเตะของชาติทำงานร่วมกัน
แม้ว่าในลีกของชาติหรือบุนเดสลีก้า จะเต็มไปด้วยนักเตะต่างชาติที่มาค้าแข้งในเยอรมัน แต่สมาคมฟุตบอลก็วางระบบในการพัฒนาทีมสโมสรต่างๆอย่างเป็นระบบ ทีมสโมสรชั้นนำของเยอรมันจะเล่นในระบบเดียวกันคือ ระบบ 4-2-3-1 ทำให้เลิฟสามารถเลือกผู้เล่นที่เข้ากับระบบของเขา จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่จะมาจากสโมสรบาเยิร์น มิวนิคและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์เป็นแกนหลัก
ระบบการเล่นของเยอรมันเป็นระบบที่น่านำมาศึกษาและปรับใช้เพราะเหมาะสมกับฟุตบอลสมัยใหม่ที่ไม่เพียงแต่ผู้เล่นมีความสามารถ แต่ต้องมีพละกำลังและทีมเวิร์คในการเล่นด้วยกัน เพราะฟุตบอลในระบบเดิมที่เคยประสบความสำเร็จ ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทีมที่เคยเป็น Teamwork มันไม่ work ซะแล้ว
เริ่มด้วยทีมชาติอิตาลี หรืออัสซูรี่ทีมสีน้ำเงิน เคยเป็นแชมป์โลกเมื่อปี 2006 แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ตกรอบแรก ด้วยสไตล์การเล่นแบบ “คาเตนัคโช่” (Catenaccio) หรือตามคำพังเพยของไทยคำว่า “ตีหัวเข้าบ้าน” ที่หลายคนมองว่ามันแสนจะน่าเบื่อเหลือเกิน นั่นคือเล่นเกมรับให้เหนียวแน่น และสวนกลับ หากได้ประตูนำก็อุดประตู แต่ระบบนี้ใช้ไม่ได้ เพราะอิตาลีชุดนี้ หน้าไม่คม หลังก็ไม่เหนียวอย่างที่ควรจะเป็นทำให้ตกรอบแรกไป 2 ครั้งติดในปี 2010และ 2014
ระบบต่อมาคือ ระบบการเล่นแบบทีมชาติสเปน ที่พวกเขาต้องพลาดท่า ตกรอบแรก ฟุตบอลโลกไปแบบสุดช็อก หลังจากที่พ่ายให้กับทีมชาติ ชิลี 0-2 กลายเป็นแชมป์เก่าทีมที่ 4 ที่ต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบแรก สเปน นั้นครองความยิ่งใหญ่ มาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี 2008 การเล่นในรูปแบบที่ เรียกว่า ติกี้ ตาก้า (Tiki Taka) ฟุตบอลโลกครั้งนี้ กลายเป็น "ตะกุกตะกัก" เนื่องด้วยวัยที่ร่วงโรยไปของนักเตะทั้ง ชาบี เอร์นานเดซ , เซอร์จิโอ บุสเก็ตส์ , อันเดรส อิเนียสต้า , เคราร์ด ปิเก้ และอีกหลาย ๆ คน ทำให้ สเปน ครองความยิ่งใหญ่ ในโลกลูกหนัง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ฟุตบอล ยูโร 2008 ฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012
โยฮัน ครัฟฟ์(Johan Cruyff) ตำนานนักเตะเทวดา ชาวดัตท์ เคยพูดเอาไว้ว่า "วงจรของทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ จะอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี หลังจากนั้นมีแต่จะดาวน์ลง ๆ จนไม่เหลือลายเดิม หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง"
และปัจจัยสุดท้ายในข้อที่ 4 คือ
4.ทีมงานสนับสนุนเบื้องหลังของทีมและกำลังใจจากแฟนบอล
การที่ทีมจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีคนที่คอยหนุนหลังให้กำลังใจและทำงานเบื้องหลัง นอกจากเลิฟ และนักเตะทีมชาติแล้ว ผมขอยกย่องในการทำงานนอกสนามของคนเหล่านี้คือ
ผู้จัดการทีม โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟท์ อดีตนักเตะทีมชาติ ,ผู้ช่วยโค้ช ฮันส์ ดีเตอร์ ฟลิกค์
อัวรค ซีแกน-ทาเลอร์ ผู้คอยป้อนข้อมูลช่าวสารของคู่แข่งรายต่อไป ไม่มีนักวิเคราะห์คู่แข่งคนไหนแล้วที่ทำได้เหมือนเขา มีข้อมูลและข้อเท็จจริงไว้ให้อย่างมหาศาล ที่ทำให้บุนเดสเทรนเนอร์นำไปใช้ในการเตียมการรับมือกับทุกทีมได้
นอกจากนั้น ยังมีทีมงานฟิตเนสที่เยี่ยมที่สุด แซด ฟอร์ไซธ์ล ,มาร์ค แฟร์สเตเก้น และ เบนจามิน คูเกิล ที่ทำให้นักเตะอินทรีเหล็กฟิตเปรี๊ย ทีมงานแพทย์ที่ถือว่าดีที่สุดในโลกทีมหนึ่ง แพทย์ประจำทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค หมอเทวดา ดร.ฮันส์-วิลเฮล์ม มุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ธ
นอกจากนี้ผู้เล่นคนที่ 12 คือ แฟนบอลหลายล้านคนในเยอรมันและหลายพันหลายหมื่นคนในบราซิลคอยให้กำลังใจ อยากเห็นทีมชาติเยอรมันชนะตู่แข่งด้วยตาตัวเองทั้งในสนามและอยู่ทางบ้านหน้าจอทีวี
ก่อนที่จะจบบทความนี้ ขอเก็บความทรงจำ ฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วย
สรุปรางวัลต่างๆประจำฟุตบอลโลก 2014 มีดังนี้
รางวัลถุงมือทองคำ ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม คือ มานูเอล นอยเออร์(Manuel Neuer) จากทีมชาติเยอรมัน นายทวาร Sweeper Keeper จอมออกมาตัดบอลนอกเขตโทษ
รางวัลลูกบอลทองคำ นักฟุตบอลยอดเยี่ยม คือ เลโอเนล เมสสี่ (Lionel Mesi) จากทีมชาติอาร์เจนติน่า
รางวัลรองเท้าทองคำ ดาวซัลโว คือ ฮาเมส โรดิเกวซ (James Rodriguez) จากทีมชาติโคลอมเบีย จำนวน 6 ประตู กองกลางที่ย้ายไปร่วมทีมรีล มาดริดของสเปนแล้ว
ดาวรุ่งยอดเยี่ยม คือ พอล ป็อกปา(Paul Pogba) จากทีมชาติฝรั่งเศส
ทีมแฟร์เพลย์ Fair Play award คือ ทีมชาติโคลอมเบีย ได้ใบเหลืองเพียงแค่ 5 ใบเท่านั้นจากการลงเล่นตลอด 5 แมตช์ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นทีมที่เล่นด้วยน้ำใจนักกีฬา, ให้ความเคารพต่อคู่แข่ง และผู้ตัดสินในแต่ละเกม
ขอจบบทความครั้งนี้ และขอบันทึกความทรงจำฟุตบอลโลกครั้งนี้ พบกันใหม่ในฟุตบอลโลกปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ